เพราะบล็อคมุมมองใหม่เมืองเอก ลิงค์มักมีปัญหาไลค์ไม่ได้ เลยมาเปิดบล็อคใหม่อันนี้แทนครับ
วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
โทษค่าเงินบาท กระตุ้นเศรษฐกิจแบบชั่ว ๆ ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทของไทยแข็งขึ้นไปถึง 29 บาทกว่า / ดอลล่าห์สหรัฐ ทำให้รัฐบาลเพื่อไทยพยายามกดดันให้แบงกค์ชาติและ กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งผมได้อธิบายไปในหลายบาความแล้วว่า พวกรัฐบาลเพื่อไทยมันหวังผลอะไรแอบแฝง
แล้วรัฐบาลอีโง่ มันก็ยังโยนความผิดที่ข้าวไทยขายไม่ออกว่า เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
พวกผู้ส่งออกก็เห็นแก่ตัว ออกมากดดันรัฐบาลเพื่อไปกดดันธนาคารแห่งประเทศไทยอีกทอด ว่าผู้ส่งออกเดือดร้อน แถมอ้างแบบแถๆ ว่า ทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่ง
จริง ๆ แล้ว สินค้าหลายชนิดมีการซื้อขายล่วงหน้า การที่ค่าเงินบาทแข็ง จึงไม่ได้ทำให้สินค้าส่งออกหลายชนิดแพงขึ้นเลยในรูปเงินดอลล่าห์ แต่มันมากระทบที่เวลาฝรั่งจ่ายเงินดอลล่าห์ให้ผู้ส่งออก ผู้ส่งออกมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท ก็เลยได้เงินน้อยลง !!
แต่หากนำดัชนีค่าเงินในประเทศคู่แข่งการค้าของไทยแล้ว ไทยเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากไปกว่าประเทศในกลุ่มอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ หรือมาเลเซียเลย
รูปจากเว็บ ธปท.
แต่รัฐบาลอีโง่กลับต้องการให้ลดดอกเบี้ยลง ทำให้ประชาชนที่ฝากเงินไว้ก็ต้องเดือดร้อน เพราะได้ดอกเบี้ยน้อยลง
แต่อย่างมาเลเซีย กับฟิลิปปินส์ มีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินของประเทศต่อค่าเงินดอลล่าห์มากกว่าไทยด้วยซ้ำ
แต่เขากลับมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการส่งออกดีขึ้น ในขณะที่ไทยเราถดถอยลง และทั้ง 2 ประเทศนี้ ก็ยังมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังสูงกว่าไทย
ฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยของนายกฯ ยิ่งลักษณ์กระทำด้วยการโทษไปที่ค่าเงินบาทแข็ง มันจึงแฝงไว้ด้วยเจตนาชั่วนั่นเอง
หนี้ภาคครัวเรือนของคนไทยพุ่งสูง รัฐควรสนับสนุนให้คนไทยหันมาออมเงินมากขึ้น แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับไม่ส่งเสริมการออม และพยายามส่งเสริมให้คนใช้จ่ายเป็นหนี้มากขึ้น
และเมื่อ ธปท. ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยให้การส่งออกและเศรษฐกิจไทยดีขึ้นแต่อย่างใด คนออมเงินเลยซวยไป !!
แถมรัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังหาทางให้ประชาชนใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อ้างไปลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาลง เพื่อคนจะได้มีเงินเหลือมาจับจ่ายมากขึ้น แต่แท้จริงแฝงประโยชน์แก่พวกพ้องตนเองมากกว่า ที่ได้ผลพลอยได้จ่ายภาษีคนรวยน้อยลง
ในขณะที่เมื่อปีที่แล้ว สิงคโปร์มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง แต่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กลับพอใจว่า เติบโตอย่างช้า ๆ และมั่นคงน่ะดีแล้ว (คลิกอ่านคำพูดของนายกฯสิงคโปร์ ที่ท้ายบทความนั้น)
ส่วนรัฐบาลเพื่อไทยน่ะเหรอ ไม่คิดถึงชาติมากกว่าพวกพ้องและผลประโยชน์ตัวเองหรอกครับ
--------------------------
การกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน
แต่ควรไปกระตุ้นภาคการผลิต ให้มีผลผลิตมากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง
หากประชาชนยังรายได้น้อย หนี้สินเยอะ การไปกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่าย นั่นคือ หายนะ !!
--------------------------
ข่าวเดลินิวส์ หอการค้าแนะรัฐหยุดกระตุ้นประชาชนสร้างหนี้
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม 2556 เวลา 19:04 น.
เมื่อวันที่ 17 ก.ค. นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานกิตติมศักดิ์สภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ เพิ่มเติมในการกระตุ้นภาคการบริโภคในประเทศช่วงครึ่งหลังของปี 56 เนื่องจากจะทำให้เกิดการบิดเบือนกลไกลเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาหนี้ภาคครัวเรือนมีอัตราสูงขึ้นต่อเนื่อง
ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหาคือต้องไม่เพิ่มหนี้ให้กับประชาชนอีก แต่ควรให้เวลาแก่ประชาชนในการชำระหนี้มากกว่า
“คาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่้งปีหลังจะชะลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากประชาชนลดการใช้จ่ายลง โดยภาพรวมหากเศรษฐกิจปีนี้เติบโตเฉลี่ยที่ 4% หรือต่ำกว่าเล็กน้อยก็อยู่ในระดับที่พอรับได้ เนื่องจากประเทศไทยในขณะนี้ยังมีอัตราการว่างงานต่ำ ภาคธุรกิจยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ ส่วนการส่งออกที่ชะลอตัวลงมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังไม่ดี”
นายประมนต์ กล่าวต่อไปว่า "สำหรับการดูแลค่าครองชีพที่รัฐบาลอยู่ระหว่างดำเนินการอยู่ ควรปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด หากมีนโยบายที่จะช่วยเหลือควรช่วยประชาชนเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ก็ควรดำเนินการเพื่อให้มีรายเหมาะสมกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ควรเป็นการให้เปล่า ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องให้การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง
ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมวงเงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น มองว่า จะยังไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาสั้น แต่ละส่งผลดีต่อศักยภาพในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ เน้นดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้จะเหมาะสมกว่าการเร่งโครงการลงทุนนี้ นายประมนต์ กล่าวในฐานะประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นฯ ได้ทำข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลให้มีบุคคลที่สามเข้าไปตรวจสอบการดำเนินโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทเพื่อให้เกิดความโปร่งใส."
คลิกอ่าน โกร่ง โต้ง โกหกเรื่องดอกเบี้ยไทยสูงเกินจริง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น