วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

ผมเข้าใจนะว่า ทำไมโป๊ปฟรานซิส ถึงจุมพิตเท้าของผู้ลี้ภัยมุสลิม









จากข่าว ที่มีรูปสมเด็จพระสันตะปาปา แห่งนิกายคาทอลิค ทรงจูบเท้าผู้อพยพต่างศาสนาและต่างผิวพรรณกับพระองค์ ก็มีผู้คนทั้งแสดงความเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และมีบางคนก็กล่าวหาว่า พระองค์ทรงเสแสร้งเพื่อสร้างภาพ

ก่อนอื่นผมขอให้คุณผู้อ่าน ได้อ่านข่าวและชมคลิปก่อนครับ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสก้มลงล้างและจูบบนเท้าของผู้ลี้ภัยชาวมุสลิม พร้อมกล่าว"เราเป็นบุตรจากพระเจ้าองค์เดียวกัน" 

สำนักข่าวต่างประเทศได้เผยอีกหนึ่งภาพประทับใจ เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสที่ 1 ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก ได้เสด็จเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยในกรุงโรม ประเทศอิตาลี พร้อมจัดพิธีล้างเท้าให้แก่ผู้ลี้ภัย 11 คน ซึ่งมีทั้งที่นับถือศาสนาอิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และคริสต์ เพื่อแสดงสัญญะละลายความเกลียดชัง ของคนทั่วโลกต่อชนชาติมุสลิมและผู้ลี้ภัย

รายงานระบุว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ทรงล้างเท้าของผู้ลี้ภัยด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะก้มลงจูบอย่างทะนุถนอม

โดยพระองค์ทรงกล่าวว่า "เราเป็นบุตรจากพระเจ้าองค์เดียวกัน เราล้วนมีวัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่างกัน แต่เราทั้งหมดเป็นพี่น้องกันและต้องการใช้ชีวิตอย่างสันติสุข"

ที่มา qz

คลิปองค์โป๊ปทรงจูบเท้าผู้อพยพ



สำหรับความเห็นผม

ผมเข้าใจในสิ่งที่โป๊ปฟรานซิสทรงกระทำนะ ถ้าเราอ่านจากเนื้อข่าว ก็ได้เขียนไว้แล้วว่า คือ สัญญะละลายความเกลียดชังของผู้คนทั่วโลกต่อชนชาติมุสลิมและผู้ลี้ภัย (สัญญะ คือ sign of God)

ซึ่งพวกเราคงรู้กันมาช้านานแล้วว่า ในอดีตพวกชนผิวขาวอย่างชาวยุโรปและชาวอเมริกัน ได้มีการเหยียดสีผิว และนำพวกชาวอาฟริกามาเป็นทาสใช้แรงงานอย่างทารุณ

แม้ภายหลังการมีแรงงานทาส ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การเหยียดผิวในสังคมคนผิวขาวก็ยังคงหลงเหลืออยู่

แล้วยิ่งมีวิกฤติผู้อพยพจากทวีปอาฟริกา จากตะวันออกกลาง และจากเอเซีย หลั่งไหลเข้าไปในยุโรปและสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ก็ยิ่งสร้างความรังเกียจคนต่างชาติต่างศาสนา ต่างผิวพรรณ ย้อนกลับมาอีกครั้ง

ในเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งถือเป็นผู้นำศาสนาและถือเป็นผู้นำของคนผิวขาวด้วยคนหนึ่ง

ในเมื่อคนผิวขาวยังให้ความเคารพรักต่อพระองค์ พระองค์จึงทรงกระทำการละลายความเกลียดชังในหมู่คนทั้งโลก ด้วยการล้างเท้าและจุมพิตเท้าให้กับผู้อพยพที่ต่างศาสนา ต่างสีผิวกับพระองค์

เพื่อจะบอกว่า พวกเราแม้ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างผิวพรรณกัน แต่พวกเราก็มีพระเจ้าองค์เดียวกัน

เมื่อคนผิวขาวแสดงความเคารพต่อองค์สันตะปาปาได้ แล้วการที่องค์สันตะปาปาทรงก้มลงจูบเท้าผู้อพยพได้ ก็เพื่อแสดงถึง ความเท่าเทียมกันของผู้คนภายใต้พระเนตรของพระเจ้า

การจูบเท้าผู้อพยพขององค์สันตะปาปาอาจดูแรงเกินไป แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องการเหยียดผิวของพวกฝรั่งผิวขาวที่ผ่าน ๆ มา

ผมว่า มันก็ต้องเจอการละลายพฤติกรรมแบบแรง ๆ อย่างนี้แหละครับ ถึงจะเหมาะสม

--------------------------

การกราบเท้าของคนไทย

พวกร่าน ชื่อเต็ม ๆ คือ ลิเบอร์ร่าน หรือพวกเกลียดชังวัฒนธรรมไทย อ้างเรื่องความเท่าเทียมกันแบบโง่ ๆ พวกนี้พยายามสร้างความเกลียดชังในประเพณีวัฒนธรรมไทยทุกรูปแบบ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกราบเท้า ซึ่งพวกร่านจะแอนตี้มาก ๆ หาว่า ทำให้คนเราไม่เท่าเทียมกัน

สำหรับการกราบเท้าของคนไทยนั้น ผมเชื่อโดยส่วนตัวว่า น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย

เพราะถ้าเราดูหนังดูซีรีย์อินเดียเป็นประจำ เรามักจะเห็นว่า การทำความเคารพอย่างสูงสุดต่อผู้ใหญ่หรือผู้มีพระคุณ ชาวอินเดียเขาจะใช้วิธีก้มหน้าลงจนแทบจะจูบเท้าผู้ใหญ่ แล้วนำมือแตะไปที่เท้าของผู้ใหญ่ที่เคารพ แล้วนำมือที่แตะเท้าผู้ใหญ่มาแตะบนหัวของผู้ทำความเคารพอีกครั้ง

จากการราบเท้าแบบไทย การก้มหัวแนบพื้นแบบญี่ปุ่นและเกาหลี และการก้มแตะเท้าผู้ใหญ่แล้วแตะหัวผู้ทำความเคารพแบบคนอินเดีย มาจนถึงการจูบเท้าผู้อพยพของโป๊ป

เราอาจเทียบเคียงได้ว่า หากคนเราเท่าเทียมกันจริง ๆ จะไปถือสาให้หนักทำไมว่า การกระทำแบบนี้ถือว่าไม่สมควรทำ เพราะเขามีฐานะต่ำต้อยกว่าเรา หรือเขาฐานะสูงกว่าเรา

อย่างประเพณีการกราบของคนไทย เราก็ยังไหว้เฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้มีพระคุณ หรือผู้ที่เราเคารพนับถือเท่านั้น จริงไหม ?

ส่วนการกระทำของพระสันตะปาปา นี่คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของพระองค์ เพื่อแสดงให้คนทั้งโลกตระหนักรู้ถึงความเท่าเทียมกันของมนุษย์ และขอให้เลิกเกลียดชังกัน

โป๊ปจึงเจตนาจูบไปตรงที่ ๆ ต่ำที่สุดก็คือ เท้าของผู้อพยพ ที่ผู้คนอาจรังเกียจว่า มีฐานะต่ำต้อยกว่า ยากจนกว่าตน เพื่อจะบอกว่า แม้แต่สิ่งที่ต่ำที่สุดของมนุษย์ทุกคน พระองค์ยังจูบได้ แล้วนับประสาอะไรกับการยกย่องผู้อื่นให้เท่าเทียมกับเราแค่เนี้ย เราจะกระทำไม่ได้

แล้วการยกย่องให้ใครสูงกว่าเราได้ ย่อมถือว่า เป็นผู้ถ่อมตน เหมือนที่โป๊ปกระทำต่อผู้อพยพในเชิงสัญลักษณ์ว่า โป๊ปแม้จะสูงถึงตำแหน่งผู้นำศาสนานิกายคาทอลิค แต่พระองค์ก็กล้าที่จะยกย่องผู้อื่นให้สูงกว่าตนก็ได้ ด้วยการจูบเท้าเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์นี้ หรือจะเรียกว่า คือ "ยาแรงของโป๊ป" ก็ได้

สำหรับผมนะ ถือว่า การจูบเท้าผู้อพยพของสมเด็จพระสันตะปาปา ถือเป็นการการะทำที่ยิ่งใหญ่มากครับ

สำหรับความคิดเห็นของผมคงมีเท่านี้ ส่วนด้านล่างคือเนื้อหาในส่วนคัมภีร์พระคริสต์ ภาคพันธะสัญญาใหม่ ฉบับพระวรสารยอห์น

--------------------

พระวรสารยอห์น ยน 13.1-15 การล้างเท้า (โดยพระเยซู)

ถนนในปาเลสไตน์ไม่ได้ลาดยางหรือปูอิฐเหมือนในปัจจุบัน จึงเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเป็นนิ้วในฤดูแล้งและโคลนตมหนาเตอะในฤดูฝน กอปรกับชาวบ้านทั่วไปสวมรองเท้าแตะจึงไม่มีสิ่งใดปกป้องเท้าจากฝุ่นหรือโคลน ด้วยเหตุนี้ที่หน้าประตูบ้านจึงมักมีโอ่งน้ำใหญ่และคนใช้ยืนถือคนโทและผ้าเช็ดตัว คอยล้างเท้าให้แขกก่อนเข้าบ้าน

แต่คณะของพระเยซูเจ้า ไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน ไหนเลยจะมีคนใช้คอยติดตามล้างเท้า บรรดาศิษย์จึงต้องผลัดเวรกันล้างเท้าให้พระอาจารย์และพวกเดียวกันเอง

เป็นไปได้ว่าก่อนงานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย บรรดาศิษย์โต้เถียงและแย่งชิงกันเป็นใหญ่ จึงเกี่ยงกันล้างเท้าซึ่งเป็นงานอันต่ำต้อย 

การโต้เถียงนี้คงติดพันไปถึงเวลารับประทานอาหารเพราะลูกาเล่าว่า “บรรดาศิษย์โต้เถียงกันว่า ในกลุ่มของตนผู้ใดควรได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุด” (ลก 22:24)

พระเยซูเจ้า จึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะ ทรงถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผ้าเช็ดตัวคาดสะเอว แล้วทรงเทน้ำลงในอ่าง เริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์และใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้ (ยน 13:4-5)

เมื่อทรงล้างเท้าของบรรดาศิษย์เสร็จแล้ว พระองค์เสด็จกลับไปที่โต๊ะ ตรัสว่า “ท่านเข้าใจไหมว่าเราทำอะไรให้ท่าน ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในเมื่อเราซึ่งเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ยังล้างเท้าให้ท่าน ท่านก็ต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว ท่านจะได้ทำเหมือนกับที่เราทำกับท่าน” (ยน 13:12-15)

“แบบอย่าง” ที่พระองค์ทรงวางไว้ให้เราทุกคน คือ

1. ความรักทำได้ทุกสิ่ง

ยอห์นเล่าว่า “ก่อนวันฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่จะทรงจากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดา” (ยน 13:1)

จริงอยู่ พระองค์กำลังจะจากโลกนี้ไป แต่เป็นการจากไปเพื่อ “เฝ้าพระบิดา” ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุด !

สำหรับผู้ที่กำลังจะรับเกียรติยศสูงสุดเช่นนี้ หัวใจน่าจะหยิ่งลำพองแบบสุด ๆ แต่พระเยซูเจ้ากลับสุภาพถ่อมตนแบบสุด ๆ

พระองค์ทรงล้างเท้า ! ล้างเท้าซึ่งเป็นงานของทาสและคนใช้

อีกทั้งเท้าที่ล้างก็ไม่ใช่ของผู้มีอำนาจวาสนา แต่เป็นเท้าของบรรดาศิษย์ซึ่งไม่อยู่เหนืออาจารย์

พระองค์ทรงถ่อมตนลงมาทำหน้าที่อันต่ำต้อยเช่นนี้ได้ก็เพราะ “ทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุด” (ยน 13:1)

เป็น “ความรัก” ที่ทำให้พระองค์กระทำดังนี้ได้
เป็น “ความรัก” ที่ทำให้สิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เกิดขึ้นได้
เป็น “ความรัก” ที่ทำให้สิ่งที่เราคิดว่ายาก เป็นเรื่องง่าย

ข้อพิสูจน์คือ เวลาคนรักของเราเจ็บป่วย เราสามารถอดทนดูแลและรับใช้เขาได้แม้จะต้องทำงานหนักและสกปรกปานใดก็ตาม

แต่ถ้าไม่มี “ความรัก” อยู่ในหัวใจ เราจะมองเห็นแต่ตัวเอง ถือว่าตัวเองดีและสำคัญเกินกว่าจะรับใช้ผู้อื่นหรือถ่อมตนลงมาทำแบบพระเยซูเจ้า !!

มีแต่ “ความรัก” เท่านั้นที่ทำได้ทุกสิ่ง


2. ชีวิตสนิทกับพระเจ้าคือบ่อเกิดของการรับใช้

ยอห์นเล่าว่า “พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว และทรงทราบว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า และกำลังเสด็จกลับไปหาพระเจ้า” (ยน 13:3)

สิ่งที่พระองค์ทรงทราบคือ “พระองค์ทรงมาจากพระเจ้า และกำลังเสด็จกลับไปหาพระเจ้า”

ไม่มีครั้งใดอีกแล้วที่พระองค์จะรู้สึกสนิทชิดใกล้กับพระเจ้าเท่าโอกาสนี้ !

แต่แทนที่ความใกล้ชิดกับพระเจ้าจะทำให้พระองค์แยกตัวอยู่เหนือมนุษย์ และดูหมิ่นเหยียดหยามมนุษย์ผู้ต่ำต้อย พระองค์กลับถ่อมตนลงใกล้ชิดมนุษย์ถึงขนาดรับใช้ด้วยการล้างเท้าให้พวกเขา

แปลว่า “ยิ่งใกล้ชิดพระเจ้ามากเท่าใด ยิ่งรับใช้ผู้อื่นได้มากเท่านั้น” !


3. ต้องรักแม้แต่ศัตรู

พระเยซูเจ้าทรงทราบว่ามีคนกำลังจะทรยศพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายสะอาด แต่ไม่ทุกคน” (ยน 13:11)

ยูดาส อิสคาริโอท คือผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์ซึ่งส่งผลรุ่นแรงถึงขั้นต้องสังเวยด้วยชีวิตของพระองค์เอง

หากเราถูกทรยศ คงรู้สึกขมขื่น เจ็บปวด โกรธแค้น เกลียดชัง และพร้อมจะตอบโต้ด้วยความรุนแรงทุกเมื่อ

แต่พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับผู้ทรยศด้วยความสุภาพถ่อมตน และทรงรักเขาจนถึงที่สุด

พระองค์ทรงล้างเท้าให้ผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์ !


4. ศีลล้างบาปมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรว่า “สิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง” (ยน 13:7)

สิ่งที่เปโตรและเราเข้าใจในภายหลังคือ “ศีลล้างบาป”

และเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา” (ยน
13:8) 

สิ่งที่เข้าใจได้ในภายหลังคือ “ถ้าท่านไม่รับศีลล้างบาป ท่านจะไม่มีส่วนในพระศาสนจักรของเรา”

ด้วยเกรงว่าจะถูกตัดขาดจากพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์ เปโตรจึงทูลว่า “พระเจ้าข้า อย่าล้างเฉพาะเท้าเท่านั้น แต่ล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” (ยน 13:9)

พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า” (ยน 13:10)

ปกติ ชาวยิวนิยมอาบน้ำก่อนออกจากบ้านไปร่วมงานเลี้ยง เขาจึงไม่ต้องอาบน้ำที่บ้านของเจ้าภาพอีก สิ่งเดียวที่จำเป็นต้องทำคือ “ล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน”

เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า” จึงหมายความว่า “ท่านอาบน้ำเองที่บ้านก็ได้

แต่สิ่งที่ท่านต้องให้เราทำคือ ‘พิธีล้างเพื่อเข้าสู่พระศาสนจักร’ ถ้าท่านไม่ยอมให้เราล้าง ก็แสดงว่าท่านหยิ่งจองหองเกินกว่าจะยอมเข้าพระศาสนจักร โดยผ่านทางศีลล้างบาป”

หากผู้ใดรู้และมีโอกาสแต่ไม่ยอมรับศีลล้างบาป เพราะความหยิ่งจองหองของตนเอง ความหยิ่งจองหองนั้นจะทำให้เขาถูกตัดขาดจากสังคมของผู้มีความเชื่อโดยสิ้นเชิง !

และนี่คือการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต !!!

ที่มา http://goo.gl/AwPSDs

คลิกอ่าน ปวิน ชัชชาลพงษ์พันธ์ ตุ๊ดใจหยาบโชว์โง่กรณีหมอบคลาน กราบเป็นเรื่องป่าเถื่อน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น