วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

โฆษณาครบ 75 ปีไทยประกันชีวิต ชุด โอกาส ดันตกม้าตายตอนจบ





ในโอกาสที่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) จะมีอายุครบรอบ 75 ปี ในปี 2560 นั้น ก็เลยออกโฆษณาดราม่าชุดใหม่ มีความยาวมากถึง 5 นาที เพื่อฉลองโอกาสนี้

นั่นคือ โฆษณาชุด โอกาส ตามคลิปนี้ครับ



สร้างสรรค์ผลงานโฆษณาโดย ธนญชัย ศรศรีวิชัย (ต่อ ฟิโนมีน่า)
หากใครดูโฆษณาชุดนี้ไม่ได้ เพราะ บ.ไทยประกันชีวิตไล่ตามลบคลิปจนหมด ก็ให้ไปดูใหม่ได้ที่ https://vimeo.com/195906924


คือการนำเสนอแนวคิดของโฆษณา เพื่อที่จะสอนสังคมว่า โอกาสของคนเรานั้นไม่ได้มาจากใครอื่น แต่มาจากการที่ตัวเราเองสร้างโอกาสนั้นขึ้น เพื่อให้โอกาสที่ดีกับตัวเอง

หลายคนสร้างโอกาสที่ดีให้ตัวเองได้ ทั้ง ๆ ที่ ตัวเองก็ไม่ได้สวย ไม่ได้รวย ไม่ได้เก่งมาแต่เกิด แถมหนำซ้ำยังผ่านความทุกข์ยากลำบากมากมายมาสารพัด

แต่เพราะความไม่ท้อเช่นนางเอกในโฆษณาชุดนี้ ซึ่งสุดท้ายเธอก็เลยประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในที่สุด

เพียงแต่ว่า โฆษณาไทยประกันชีวิต ชุด โอกาส นี้ เกิดมาตกม้าตายตอนจบครับ

แต่โฆษณาทั้งหมดเกือบ 5 นาทีได้นำเสนอดีมาตลอด แต่ดันมาตกม้าตายในฉากที่โรงพยาบาล เพราะนำเสนอได้กำกวมมาก จนคนดูจำนวนมากเลยเกิดข้อสงสัยและถกเถียงกันมากมาย

ซึ่งไม่รู้จะเป็นเจตนาของผู้ผลิตหรือเปล่า ?
ที่มีเจตนาให้เกิดความกำกวมขึ้นในโฆษณา เพื่อให้คนดูได้ถกเถียงดราม่ากัน เพื่อหวังให้โฆษณาได้ถูกกล่าวขวัญถึงมากขึ้น

ก็คือ ฉากที่นางเอกซึ่งเป็นพนักงานขายประกันชีวิต ต้องรีบวิ่งอย่างกระหืดกระหอบเพื่อไปให้ทัน จนต้องหกล้มหกลุกคลุกคลานในโรงพยาบาล เพื่อจะเอาเอกสารกรมธรรม์มาแสดงให้เห็นว่า เด็กที่ป่วยคนนี้ได้ทำประกันชีวิตไว้แล้ว ได้โปรดช่วยเด็กให้ถึงที่สุดด้วยเถิด แล้วนางเอกพนักงานขายประกันก็ถึงกับก้มลงกราบนางพยาบาลที่อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน



ฉากนี้เกิดความกำกวมให้ผู้ชมอย่างมาก เพราะการนำเสนอเริ่มต้นจาก นางพยาบาลมีท่าทีเหมือนกับกำลังทะเลาะกับแม่ของเด็กที่ป่วย จนหลายคนตีความว่า ทางหมอและพยาบาลไม่ยอมรีบรักษาเด็ก เพราะผู้ป่วยอาจไม่มีเงิน ไม่มีเครดิต ไม่มีสวัสดิการในการรักษาพยาบาลอะไรเลยเหรอ ถึงขนาดพนักงานขายประกันจะต้องรีบวิ่งมาโชว์เอกสารกรมธรรพ์ให้ดูว่า ผู้ป่วยคนนี้มีประกันชีวิตคุ้มครองจริง ๆ นะ

ประเด็นจุดนี้ มีผู้ชมหลายคนตำหนิการนำเสนอของโฆษณาชุดนี้ว่า เหมือนเชิดชูแต่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตของตัวเอง ยกย่องแต่พนักงานขายประกันของตัวเอง แต่กลับโยนบาปไปให้บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนแทน ว่า ไม่ยอมรักษาเด็ก ก่อนที่จะรู้ว่า แม่ของเด็กจะมีเงินจ่ายค่ารักษาหรือไม่ ?

(แต่ความจริงถ้าเป็นเหตุฉุกเฉินจริง ๆ กฎหมายหลักประกันสุขภาพในปัจจุบันนี้ ก็กำหนดให้ทุกโรงพยาบาลต้องรับรักษาในขั้นแรกไปก่อน)

แต่มีผู้ชมหลายคนก็พยายามตีความเพื่อช่วยโฆษณาชุดนี้ว่า นางพยาบาลทำหน้าตาพร้อมทำมือเหมือนบอกแม่เด็กว่า .ใจเย็น ๆ  หรือ เข้าไปไม่ได้นะคะ หรือจะทำท่าทางเหมือนจะบอกว่า หมดหวังแล้วนะคะ หรือนางพยาบาลพยายามจะบอกแม่ของเด็กว่า หมอได้ช่วยอย่างถึงที่สุดอยู่แล้วนะคะ

จนขนาดที่แม่ของเด็กต้องหันหน้าแสดงความผิดหวังเข้าผนังตึก (คือ คนดูต้องตีความกันเองว่าตกลงนางพยาบาลพูดอะไรกับแม่เด็กกันแน่วะ)

ขนาดเมื่อพนักงานประกันโชว์เอกสารประกันชีวิตแล้ว นางพยาบาลก็ยังทำหน้าราวกับว่า หมดหวังแล้วค่ะ


นางพยาบาลทำหน้าหมดหวัง ก่อนที่พนักงานประกันจะก้มตัวลงกราบ

ส่วนแม่ของเด็ก ก็ยิ่งเสียใจหนักมาก เพื่อเห็นสีหน้าหมดหวังของนางพยาบาล




ส่วนนางเอกพนักงานขายประกัน ก็คงนึกถึงอดีตในสมัยลูกสาวของตัวเองที่เคยป่วย แล้วพาไปรักษาไม่ทัน เธอก็เลยลืมตัวก้มลงกราบเพื่อให้หมอและพยาบาลพยายามช่วยชีวิตเด็กให้ถึงที่สุด

แต่ถ้าสังเกตดี ๆ พนักงานขายประกันทำหน้าเหมือนกำลังช็อค เมื่อเห็นสีหน้าหมดหวังของนางพยาบาล



พนักงานประกันที่หน้าตากำลังช็อค จึงค่อย ๆ ทรุดตัวลงกราบ เหมือนจะขอร้องว่า "ได้โปรดพยายามช่วยให้ถึงที่สุดด้วยเถอะ"


ตกลงโฆษณากำลังจะสื่อถึงอะไรกันแน่ ?? งง ??
กรมธรรม์ประกันชีวิตช่วยชีวิตเด็กไว้ ?  หรือ
การกราบนางพยาบาลถึงช่วยชีวิตเด็กไว้ กันแน่ ??


ประเด็นตรงนี้โฆษณานำเสนอได้กำกวมมาก ตรงที่ว่า หมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินทำไม แล้วทำไมไฟห้องผ่าตัดถึงเพิ่งจะมาเปิดหลังจากพนักงานขายประกันได้ยื่นเอกสารให้หมอและพยาบาลได้เห็นและได้ก้มลงกราบหมอและพยาบาลแล้ว




โคตรงง งงโคตร ครับ เพราะมันเหมือนกับพยายามสื่อว่า หมอจะยังไม่รักษา จนกว่าจะเห็นเอกสารประกันชีวิตก่อน แล้วไฟห้องผ่าตัดถึงเพิ่งจะเปิดขึ้น เมื่อหมอและพยาบาลมั่นใจแล้วว่า โรงพยาบาลจะไม่ขาดทุน ????

แล้วพอหมอได้เริ่มผ่าตัด ต่อมาเด็กก็รอด พนักงานประกันชีวิตถึงได้กอดกับแม่ของเด็ก

งงดีครับ คือเหมือนโฆษณาจะบอกว่า ต้องมีประกันชีวิตมาโชว์ เด็กถึงจะได้รับการรักษาทันที หรือได้รับการรักษาอย่างเต็มที่อีกครั้ง แล้วเด็กถึงจะรอด ???

คล้าย ๆ กับว่า ตอนแรกที่ยังไม่มีกรมธรรม์มาแสดง หมอยังรักษาแบบกั๊ก ๆ แต่พอรู้ว่า เด็กมีประกันชีวิต หมอเลยกลับไปรักษาใหม่อย่างเต็มที่  งั้นเหรอ ??

ไม่งั้น นางพยาบาลก็จะมัวทะเลาะกับแม่ของเด็กทำไม (ในตอนแรกนางพยาบาลทำหน้าเชิงปฏิเสธ !!)

สรุป ห่วยครับ โฆษณาไทยประกันชีวิต ชุด  โอกาส ชุดนี้ เพราะเป็นการนำเสนอที่เสมือนจะไปทำลายจรรยาบรรณอาชีพอื่น ผมไม่เข้าใจว่า คณะกรรมการของไทยประกันชีวิตพิจารณาให้โฆษณาชุดนี้ผ่านออกมาออกอากาศได้อย่างไร น่าเสียดายจริง ๆ ทำมาเกือบจะดีแล้วเชียว

-------------------

สรุป

ผมว่า โฆษณาไทยประกันชีวิตชุด โอกาส มาตกม้าตายตอนจบ

คือช่วงเหตุที่เกิดในโรงพยาบาล เกิดความกำกวมในการนำเสนอที่ไม่ชัดเจน ซึ่งถ้าตรงฉากนี้ ใส่ซับไตเติ้ลคำพูดของนางพยาบาล ของพนักงานประกันชีวิต หรือทุกคนที่กำลังพูดในฉากนี้ จะลดความกำกวมในการนำเสนอลงได้มาก

ผู้ชมคนดูจะได้ไม่ต้องมาเดาเหตุการณ์ในโฆษณากันเองแบบงู ๆ ปลา ๆ

การนำเสนอที่ว่า การทำประกันชีวิตเป็นสิ่งที่ดี แถมยังช่วยให้โอกาสคนได้ประสบความสำเร็จในชีวิตจากการขายประกัน และการประกันชีวิตยังช่วยให้โอกาสคนได้รอดชีวิตนั้น

ผมว่า การตีความและการนำเสนอในประเด็นนี้ ควรคิดให้ละเอียดรอบคอบกว่านี้ครับ เพราะไม่เช่นนั้น จะทำให้หลายคนคิดว่าโฆษณาชุดนี้ กำลังเชิดชูผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตตัวเอง แต่กลับทำให้ผู้ชมมองภาพลักษณ์ของบุคลากรทางการแพทย์ในทางลบ

แม้ความเป็นจริงในอดีต จะเคยมีเหตุการณ์ รพ.เอกชนปฏิเสธการรักษาคนจนจริง ๆ ก็ตาม

แต่การนำเสนอโฆษณาในเชิงสร้างสรรค์สังคมนั้น ต้องยิ่งระมัดระวังให้มาก เพื่อจะได้ไม่ไปทำร้ายคนอื่น ทำลายภาพลักษณ์อาชีพอื่นโดยไม่เจตนาได้

นี่เท่ากับว่า คุณต่อ ฟีโนมีน่า พลาดเรื่องกติกามารยาทของนักโฆษณาเลยทีเดียว

--------------------

และแม้ว่า โอกาสนั้นเราต้องสร้างเองหรือหาเอง แต่เหตุปัจจัยของแต่ละคนได้มาไม่เท่ากัน บางคนแทบไม่ต้องสร้างโอกาสเลย โอกาสดี ๆ ก็วิ่งเข้ามาหาเองดื้อ ๆ

ส่วนมีอีกมากมายหลายคนที่พยายามจะสร้างโอกาสที่ดีให้กับตัวเอง แต่ก็มีอุปสรรคความยากลำบากมากมายมาขัดขวางอยู่เสมอ

ทั้งหมดทั้งมวลของความยากง่ายในชีวิตของแต่ละคน ล้วนมีกฎแห่งกรรมเป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น คนที่ได้โอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิตได้ง่าย ๆ ก็คือเคยทำกรรมดีไว้มาก

ส่วนคนที่กว่าจะได้โอกาสดี ๆ สักครั้ง ก็เลือดตาแทบกระเด็น ก็เพราะเคยสร้างกรรมชั่วไว้เยอะ เลยมีวิบากกรรมมาขัดขวางให้ยากเข็ญ

แต่ทั้งหมดแล้ว กรรมในปัจจุบันสำคัญที่สุด ทำดีที่สุดในวันนี้ แล้วพรุ่งนี้จะดีขึ้นเอง

----------------------

อัพเดทข่าวล่าสุด

หลังจากสภาการพยาบาล ได้มีหนังสือเรียกร้องให้ บ.ไทยประกันชีวิต ถอดโฆษณาชุด โอกาส ออกทันที เพราะเหมือนดูถูกวิชาชีพพยาบาล

ทาง บ.ไทยประกันชีวิต ก็ได้ถอดโฆษณาชุดนี้ออกจากสื่อทุกชนิด และลบโฆษณาออกจากช่องYoutube ของ บ.ไทยประกันชีวิต แล้ว พร้อมมีแถลงการณ์ขอโทษ

คลิกอ่าน ผลงานโฆษณาระดับมาสเตอร์พีซกู้ชื่อเสียงต่อ ฟีโนมีน่า ทิ้งท้ายปี 2559

คลิกอ่าน ผมไม่ชอบโฆษณาไทยประกันชีวิต ชุด เหตุผลที่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง

คลิกอ่าน วิจารณ์โฆษณาไทยประกันชีวิต ชุด Unsung Hero


วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ลำดับสืบราชสันตติวงศ์ กว่าที่พระองค์เจ้าอานันทมหิดล จะขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8






ขอเริ่มต้นเล่าที่ รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระอัครมเหสีทั้งหมด 4 พระองค์ คือ

1. พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์ หรือ พระนางเรือล่ม (ระดับพระบรมราชเทวี ใน ร.5)


2. พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา (ระดับพระบรมราชเทวีใน ร.5) หรือ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (สยามมกุฏราชกุมาระพระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี) และทรงเป็นสมเด็จย่าแท้ ๆ ของรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 


3. พระองค์เจ้าหญิงเสาวภาผ่องศรี หรือ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถพระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี ในรัชกาลที่ 5) ทรงเป็นพระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7

*อัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 ลำดับที่ 1 -3 ทรงเป็นพี่น้องร่วมพระอุทร(ท้อง)เดียวกัน เพราะทรงเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4 กับ เจ้าจอมมารดาเปี่ยม และทรงเป็นอัครมเหสี ระดับพระบรมราชเทวี


4. พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี หรือ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี (ระดับพระราชเทวี ในร.5) ทรงเป็นพระมารดาของทูลกระหม่อมบริพัตร หรือจอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต

แต่อัครมเหสีลำดับ 4 พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี ทรงเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4 เช่นกัน แต่ต่างพระมารดากับอัครมเหสี 3 ลำดับแรก และทรงเป็นระดับพระราชเทวี เท่านั้น

------------------------

ภายหลังการสวรรคตของสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก


สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร


เนื่องจาก รัชกาลที่ 5 ทรงให้ความเท่าเทียมกันกับพระอัครมเหสีทั้ง 3 คนที่เป็นพี่น้องร่วมพระอุทรเดียวกัน คือ พระนางสุนันทาฯ  พระนางสว่างวัฒนาฯ  และพระนางเสาวภาผ่องศรีฯ

เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ 5 กับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ ทรงสวรรคตลง


พระนางเจ้าสว่างวัฒนา หรือ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า


ดังนั้นรัชกาลที่ 5 จึงทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระราชโอรสพระองค์โตของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ขึ้นเป็นสยามมกุฏราชกุมาร พระองค์ที่ 2 ของราชวงศ์จักรี แทน

นั่นคือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร หรือรัชกาลที่ 6 ในเวลาต่อมา

--------------------------

เมื่อรัชกาลที่ 6 สวรรคตลง

เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 6 ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ทรงมีพระอนุชาร่วมพระอุทร เป็นรัชทายาทลำดับที่ 1 คือ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ


กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระบิดาของพระองค์จุล


เพราะรัชกาลที่ 6 ทรงมีพี่น้องร่วมพระอุทร ทั้งหมดดังนี้

1 สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพาหุรัดมณีมัย (ประสูติเมื่อ 14 ธันวาคม 2421 สิ้นพระชนม์เมื่อ 26 สิงหาคม 2430)
2. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
3. สมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพชรุตมธำรง
4. จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (ต้นสกุลจักรพงษ์ ณ อยุธยา)
5. สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์
6. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง (ประสูติและสิ้นพระชนม์ในวันเดียวกัน)
7. พลเรือเอก สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎาวงศ์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา (ต้นสกุลอัษฎางค์ ณ อยุธยา)
8. สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุช กรมขุมเพชรบูรณ์อินทราไชย (ต้นสกุลจุฑาธุช)
9. สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ 7)


มีคำถามว่า เมื่อ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ มีพระชายาเป็นชาวต่างประเทศ จะสามารถครองราชย์ได้หรือไม่ ?

ขอตอบว่า โดยกฎมณเฑียรบาลมาตรา11 ข้อ 4 ก็คงไม่ได้ เว้นแต่รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชโองการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท

แต่ต่อมาภายหลังกรมหลวงพิษณุโลกทรงหย่าขาดกับภรรยาชาวต่างประเทศแล้ว เล่าลือกันวงในว่า อาจเพราะรัชกาลที่ 6 ทรงขอไว้ เพื่อกรมหลวงพิษณุโลกอาจต้องครองราชย์ได้ในอนาคต หากในกรณีรัชกาลที่ 6 ไม่มีพระราชโอรส

จนเมื่อรัชกาลที่ 6 สวรรคตลง ทำไมรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงได้ขึ้นครองราชย์ ?

ก่อนอื่นขอให้ดูกฎมณเฑียรบาลว่าด้วย ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์

ลำดับที่ 1 พระราชโอรสหรือพระราชนัดดา

ลำดับที่ 2 กรณีซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา แต่ทรงมีสมเด็จอนุชาที่ร่วมพระราชชนนี หรือพระราชโอรสของสมเด็จพระอนุชา

ลำดับที่ 3 กรณีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา กับไร้ทั้งสมเด็จพระอนุชาร่วมพระราชชนนี แต่ทรงมีสมเด็จพระเชษฐา หรือสมเด็จพระอนุชาต่างพระราชชนนี หรือพระโอรสของสมเด็จพระเชษฐาหรือพระอนุชา

ลำดับที่ 4 กรณีซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา กับทั้งไร้สมเด็จพระอนุชาร่วมพระราชชนนี และไร้สมเด็จพระเชษฐา หรือพระอนุชาต่างพระราชชนนี แต่ทรงมีพระเจ้าพี่ยาเธอหรือพระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระโอรสของพระเจ้าพี่ยาเธอหรือพระเจ้าน้องยาเธอ

ลำดับที่ 5 กรณีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและไร้พระราชนัดดา พระอนุชาร่วมพระราชชนนีและพระอนุชาต่างพระราชชนี พระเจ้าพี่ยาเธอ น้องยาเธอ แต่ทรงมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอหรือพระโอรส


ดังกล่าวนี้คือลำดับพระองค์ ผู้มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล มาตรา 9 แต่มีข้อบังคับว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสมบัติไว้ในหมวด 5 มาตรา 11 ว่าดังนี้

1. มีพระสัญญาวิปลาศ
2. ต้องราชทัณฑ์ เพราะประพฤติผิดพระราชกำหนดกฎหมายในคณดีมหันตโทษ
3. ไม่สามารถทรงเป็นอัครพุทธศาสนูปถัมภก
4. มีพระชายาเป็นนางต่างด้าว กล่าวคือนางที่มีสัญชาติเดิมเป็นชาวประเทศอื่น นอกจากชาวไทยโดยแท้
5. เป็นผู้ที่ได้ถูกถอดถอนออกแล้ว จากตำแหน่งพระรัชทายาท ไม่ว่าการถูกถอดถอนจะได้เป็นไปในรัชกาลใด ๆ
6. เป็นผู้ที่ได้ถูกประกาศยกเว้นออกเสีย จากลำดับสืบราชสัตติวงศ์

*ให้ดูข้อ 4 และข้อ 6 เป็นสำคัญ




------------------------------------

เหตุที่รัชกาลที่ 7 ทรงได้ครองราชย์ แทนพระองค์จุลจักรพงษ์

เหตุเพราะ กรมหลวงพิษณุโลก ทรงสวรรคตก่อนรัชกาลที่ 6 ดังนั้น ลำดับสืบราชสันตติวงศ์นั้น จึงต้องตกไปที่ทายาทของกรมหลวงพิษณุโลกแทน นั่นคือ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ หรือ พระองค์จุล


พระองค์จุล ทรงเป็นท่านตาของฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์


สำหรับข้อห้ามของการขึ้นครองราชย์ในกฎมณเฑียรบาลนั้น ไม่มีข้อห้ามเรื่องกรณีมีพระมารดาเป็นชาวต่างชาติ เพราะห้ามแต่มีพระชายาเป็นชาวต่างชาติเท่านั้นในข้อ 4

อีกทั้งพระมารดาของพระองค์จุล แม้จะเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็ได้รับการรับรองจากรัชกาลที่ 6 ให้เป็นสะใภ้หลวงแล้ว พระองค์จุล จึงทรงไม่มีเหตุต้องมลทินใด ๆ ในการเป็นรัชทายาทต่อจากกรมหลวงพิษณุโลก

อีกทั้งตอนที่รัชกาลที่ 6 ทรงสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2468 พระองค์จุล ทรงมีพระชันษาเพียง 17 พรรษา ทรงยังโสด ยังไม่ได้แต่งงาน

ดังนั้นตามหลักที่ถูกต้อง พระองค์จุล จึงสมควรขึ้นเป็นรัชกาลที่ 7 ตามหลักการสืบราชสันตติวงศ์

แต่ที่พระองค์จุล กลับถูกข้ามไป เพราะทูลกระหม่อมบริพัตร ซึ่งมีอำนาจทางการเมืองมากที่สุดในเวลานั้น ทรงอ้างว่า รัชกาลที่ 6 ทรงเคยให้กรมหลวงพิษณุโลก ทำหนังสือสัญญาไว้ว่า หากกรมหลวงพิษณุโลกได้ขึ้นครองราชย์ จะต้องไม่ให้พระองค์จุล เป็นรัชทายาท เหตุเพราะมีแม่เป็นชาวต่างชาติ (แต่กฎมณเฑียรบาลไม่มีข้อห้ามในเรื่องนี้)

ทูลกระหม่อมบริพัตร ซึ่งมีอำนาจทางการเมืองมากที่สุดในขณะนั้น ทรงสามารถโน้มน้าวใจพระราชวงศ์ และขุนนางต่าง ๆ ให้เชื่อคล้อยตามได้โดยไม่ยาก เพื่อยินยอมให้สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ได้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 7 (ทรงเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของ ร.6 ที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่)

**แต่เอกสารที่อ้างว่า กรมหลวงพิษณุโลกทรงเขียนเป็นสัญญาไว้ ก็ยังไม่มีใครเคยเห็น แต่อาจอยู่ที่ทูลกระหม่อมบริพัตร**



(ทูลกระหม่อมบริพัตร หรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต)


ซึ่งเท่าที่ผมพอทราบ ดูเหมือนพระองค์จุลทรงเคยเล่าไว้ในหนังสือ เกิดวังปารุสก์ ว่า รัชกาลที่ 7 ทรงมีจดหมายถึง พระองค์จุล เพื่ออธิบายสาเหตุที่ต้องข้ามพระองค์จุลไปในคราวหมดรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 นั่นคือ ความตามมาตรา 10 ของกฎมณเฑียรบาล

"มาตรา๑๐ ท่านพระองค์ใดที่จะได้เสด็จขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ควรที่จะเป็นผู้ที่มหาชนนับถือได้โดยเต็มที่และเอาเป็นที่พึ่งได้โดยความสุขใจฉะนั้นท่านพระองค์ใดมีข้อที่ชนหมู่มากเห็นว่าเป็นที่น่ารังเกียจก็ควรที่จะให้พ้นเสียจากหนทางที่จะได้สืบราชสันตติวงศ์เพื่อเป็นเครื่องตัดความวิตกแห่งพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทและอาณาประชาชน"

เหตุเพราะ พระมารดาของพระองค์จุล เป็นชาวต่างชาติ แม้จะไม่ได้เป็นข้อห้ามในการสืบราชสันตติวงศ์ก็ตาม แต่สถานการณ์ในตอนนั้น ก็อาจมีคนต่อต้านพระองค์จุล อยู่มาก

โดยพระองค์จุล ก็ทรงเขียนไว้ในหนังสือ เกิดวังปารุสก์ ไว้ว่า "ข้าพเจ้ามิได้เคยนึกว่า ตนถูกตัดจากสิทธิอะไรเลย ข้าพเจ้าไม่เคยนึกและบัดนี้ก็มิได้นึกว่า ข้าพเจ้ามีสิทธิอย่างใดเกินกว่าที่คนไทยทุก ๆ คนย่อมมีอยู่ตามกฎหมาย"



ส่วนกรณีหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช โอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณ์อินทราไชยนั้น รัชกาลที่ 6 ทรงเคยมีพระราชโองการสั่งเสียไว้ก่อนแล้วว่า ให้ข้ามหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัชไป เพราะหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัชมีแม่ที่ไม่มีชาติสกุล ทรงเกรงว่าจะไม่เป็นที่เคารพแห่งพระบรมวงศานุวงศ์ (หมายถึง แม่ของหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช ไม่ได้รับการรับรองจากรัชกาลที่ 6 ให้เป็นสะใภ้หลวง)

ดังนั้น การที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้ครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 7 นั้น ผู้มีส่วนสำคัญที่สุดก็คือ ทูลกระหม่อมบริพัตร จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นั่นเอง

---------------------

เมื่อรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ ปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์ก็กลับมาอีก

ตามที่รู้กันอยู่ว่า ทูลกระหม่อมบริพัตร ในฐานะผู้สำเร็จราชการพระนคร และองคมนตรี ทรงมีอำนาจทางการเมืองและการทหารมากที่สุดในขณะนั้น ดังนั้นคณะราษฎร จึงต้องจับทูลกระหม่อมบริพัตร เป็นพระองค์แรก แล้วส่งทูลกระหม่อมบริพัตรเสด็จออกนอกประเทศในทันที หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ต่อมารัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2477 ซึ่งลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ สายตรงที่ใกล้ชิดรัชกาลที่ 7 ก็คือ พระองค์จุล เช่นกัน ซึ่งในขณะนั้นพระองค์จุล ก็ยังโสด ยังไม่ได้แต่งงานกับชาวต่างชาติแต่อย่างใด

(ภายหลังจากนั้น พระองค์จุลทรงสมรสกับหม่อมเอลิสะเบธ จักรพงษ์ ณ อยุธยา เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2481 มีธิดาคือ หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์)

แต่ คณะราษฎร ไม่เชื่อว่า รัชกาลที่ 6 ทรงเคยให้กรมหลวงพิษณุโลก พระบิดาของพระองค์จุล ลงพระนามเป็นสัญญาว่า จะไม่ทรงแต่งตั้งพระองค์จุล ขึ้นเป็นรัชทายาท หากกรมหลวงพิษณุโลกได้ครองราชย์จริง ๆ ตามที่ทูลกระหม่อมบริพัตรอ้างถึงเมื่อครั้งทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 7

เพราะคณะราษฎร ไม่เคยเห็นเอกสารฉบับดังกล่าวนั้น และรัชกาลที่ 6 ก็ไม่ทรงเคยมีพระบรมราชโองการให้ข้ามพระองค์จุล ไป


-----------------------

เหตุที่คณะราษฎร ข้ามพระองค์จุล อีกครั้ง

คณะรัฐมนตรีในขณะนั้น คือครม.ของรัฐบาลพลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (หัวหน้าคณะราษฎร) เกือบจะมีความเห็นพ้องว่า จะทูลเชิญพระองค์จุล มาเป็นรัชกาลที่ 8 อยู่เหมือนกันในการอภิปราย เพราะพระองค์จุล ทรงเป็นหลานแท้ ๆ ของรัชกาลที่ 7

นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยในขณะนั้น ได้อภิปรายให้คณะรัฐมนตรีฟังว่า หากกรณีรัชกาลที่ 6 ให้ข้ามพระองค์จุล เพราะมีแม่เป็นชาวต่างชาติเป็นเรื่องจริงตามที่ทูลกระหม่อมบริพัตร เคยอ้างไว้ในการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ 7 ก็อาจทำให้มีปัญหายุ่งยากตามมาภายหลังได้

อีกทั้ง คนไทย รวมถึงเชื้อพระวงศ์ (ในเวลานั้น) ก็อาจทำใจยอมรับพระมหากษัตริย์ที่เป็นลูกครึ่งได้ไม่ดีนัก

ดังนั้นก็ควรข้ามพระองค์จุล อีกครั้งจะดีกว่า เพราะมิเช่นนั้น ก็อาจมีคำถามตามมาอีกว่า ทำไมคราวนี้พระองค์จุล ขึ้นครองราชย์ได้ แล้วทำไมตอนรัชกาลที่ 6 สวรรคต กลับข้ามพระองค์จุล ไปเสีย ?


นายปรีดี จึงเสนอว่า ดังนั้นควรข้ามพระองค์จุล ไป แล้วกลับไปที่สายหลักดั้งเดิมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั่นคือสายของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งตอนนี้พี่น้องร่วมอุทรกับเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศที่เหลืออยู่ก็คือ สายราชสกุลมหิดล ของกรมหลวงสงขลานครินทร์ หรือจอมพลเรือสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม

อีกทั้งพระมารดาของกรมหลวงสงขลานครินทร์ คือสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ก็ทรงเป็นเสด็จป้าแท้ ๆ ของรัชกาลที่ 7 อีกด้วย จึงทรงเป็นสายตรงลำดับที่ใกล้ชิดรองลงมาจากพระองค์จุล

แต่กรมหลวงสงขลานครินทร์ทรงสวรรคตไปแล้ว ดังนั้นลำดับการสืบราชสันตติวงศ์จึงตกไปที่ทายาท ก็คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล

คณะรัฐมนตรีต่างเห็นพ้องคล้อยตามการอภิปรายของนายปรีดี พนมยงค์ จึงมีมติทูลเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8 สืบไป

-------------------

คำถาม หากไม่มีคณะราษฎร ไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัชกาลที่ 7 อาจไม่เลือกสายราชสกุลมหิดล เป็นรัชกาลที่ 8 จริงหรือไม่ ?

ขอตอบว่า มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่รัชกาลที่ 7 อาจไม่ทรงเลือกราชสกุลมหิดล

เพราะในช่วงเวลานั้น เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำอย่างมาก รวมทั้งประเทศไทยก็มีปัญหาเศรษฐกิจสูง จนเป็นเหตุให้มีข่าวลือว่า อาจมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ อยู่เป็นระยะ ๆ

รัชกาลที่ 7 เองก็ทรงมีพระราชปรารถนาอยากจะสละราชสมบัติอยู่แล้วเป็นเนือง ๆ เพราะอยากจะทรงไปรักษาพระอาการประชวร

และถึงแม้รัชกาลที่ 7 จะทรงเลือกสายราชสกุลมหิดลตามลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ที่เหมาะควรก็ตาม

แต่ก็เป็นไปได้ว่า ทางราชสกุลมหิดล โดยพระชนนีหม่อมสังวาลย์ ก็อาจปฏิเสธ เพราะพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ยังทรงมีพระชนมายุเพียง 9 พรรษาเท่านั้น แล้วพระชนนีหม่อมสงวาลย์ ก็มีความปราถนาไม่อยากให้ลูก ๆ ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

สรุป จึงเป็นไปได้ว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัชกาลที่ 7 อาจทรงเลือกทูลกระหม่อมบริพัตรขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8 ก็ได้โดยพระราชอำนาจตามมาตรา 5 ของกฎมณเฑียรบาล  เพื่อความมั่นคงของประเทศ เพราะทูลกระหม่อมบริพัตร ทรงเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดากับรัชกาลที่ 7

หรือหากทูลกระหม่อมบริพัตร ไม่ทรงขึ้นครองราชย์เอง ก็ทรงอาจให้พระโอรสองค์โตของพระองค์ คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8 แทน

เหตุผลที่สำคัญอีกอย่างคือ ทูลกระหม่อมบริพัตร ทรงเป็นผู้สนับสนุนให้รัชกาลที่ 7 ได้ครองราชย์ด้วย จึงมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัชกาลที่ 7 เป็นทุนเดิม


หมายเหตุ แต่ถ้าเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นปกติดี รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชปรารถนาให้สายราชสกุลมหิดล สืบราชสมบัติตามลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ต่อไป

เพราะก่อนที่รัชกาลที่ 7 จะสละราชสมบัติ แต่หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว และหลังจากทูลกระหม่อมบริพัตรเสด็จออกนอกประเทศไปแล้ว คือเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2475 ร.7 ทรงเคยมีพระราชดำริแก่ พระยานโมปกรณ์นิติธาดา (นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น)  พระยาพหลฯ และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม(หรือนายปรีดี) ทรงอยากให้พระราชโอรสของกรมหลวงสงขลานครินทร์ ขึ้นครองราชย์

แต่ก็ยังเป็นพระราชดำริส่วนพระองค์ แก่ผู้เข้าเฝ้าทั้งสามคนเท่านั้น


ข้อมูลจาก เว็บปรีดี พูนศุข

----------------------

คำถาม กรณี รัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ทรงมีสมเด็จพระชนนีเป็นสามัญชน

ขอตอบว่า แม้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จะทรงเป็นสามัญชน แต่การอภิเษกสมรสของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีกับพระบรมราชชนก ก็ทรงได้รับการรับรองจากพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 ให้เป็นสะใภ้หลวง

ดังนั้นลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ของรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 จึงไม่ทรงมีมลทินในความต่ำต้อยที่มีพระมารดาเป็นสามัญชนแต่ประการใด

------------------------

ทิ้งท้ายบทความ

บทความเรื่องนี้ ผม ใหม่เมืองเอก เขียนเล่าอย่างพอให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ คุณผู้อ่านก็ควรอ่านให้พอรู้เป็นสังเขป แต่อย่าเชื่อผู้เขียนไปหมดเสียทีเดียว 

คุณผู้อ่านควรไปศึกษาหาข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วยตัวเอง จะยิ่งทำให้เข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทยได้ดียิ่งขึ้น และจะได้วิเคราะห์กลั่นกรองเองว่า ควรจะเชื่อแหล่งข้อมูลจากที่ใดมากที่สุดครับ

ขอบคุณที่กรุณาอ่านมาจนจบ

คลิกอ่าน คดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 ในมุมมองใหม่เมืองเอก






วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ประเทศไทยมีรัชกาลที่ 10 แล้วตั้งแต่ 13 ตุลาคม 2559





หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เวลา 15.52 น.

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ในฐานะองค์รัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาล ทรงขอใช้เวลาทำพระทัยสักพักร่วมกับประชาชน จึงยังไม่ทรงต้องการปฏิบัติหน้าที่พระมหากษัตริย์เป็นการชั่วคราว (รัฐบาลอนุโลมตามพระทัย)



ดังนั้นจึงมีข้อถกเถียงว่า ตกลงตอนนี้ประเทศไทยว่างเว้นพระมหากษัตริย์หรือไม่ ?

ขอตอบว่า ตอนนี้ประเทศไทยได้มีพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 อย่างไม่เป็นทางการแล้วครับ แม้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ จะทรงขอไม่ทำหน้าที่องค์พระประมุขเป็นการชั่วคราวก็ตาม

เพราะเมื่อยึดตามโบราณราชประเพณีและกฎมณเฑียรบาล  สมเด็จพระบรมฯ (องค์รัชทายาท) ทรงขึ้นครองราชย์แล้วทันที เหมือนเช่นสมัยรัชกาลที่ 5 สวรรคต องค์รัชทายาทคือ รัชกาลที่ 6 ก็ขึ้นครองราชย์ทันทีเช่นกันตามกฎมณเฑียรบาล

กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช 2467 มาตรา 6 ซึ่งบัญญัติว่า

“เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสมมุติท่านพระองค์ใดให้เป็นพระรัชทายาทแล้ว และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข้อความให้ปรากฏแก่พระบรมวงศานุวงศ์ เสนามาตย์ ราชเสวกบริพารและอาณาประชาชน ให้ทราบทั่วกันแล้ว ท่านว่า ให้ถือว่าท่านพระองค์นั้นเป็นพระรัชทายาทโดยแน่นอนปราศจากปัญหาใด ๆ และเมื่อใดถึงกาลอันจำเป็น(หมายถึงรัชกาลก่อนสวรรคต) ก็ให้พระรัชทายาทพระองค์นั้นเสด็จขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกษโดยทันที ให้สมดังพระบรมราชประสงค์ที่ได้ทรงประกาศไว้นั้น”


เพียงแต่พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ถือว่า ยังทรงครองราชย์อย่างไม่เป็นทางการ เพราะต้องรอให้รัฐสภาได้ประกาศรับรองเสียก่อน แต่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงขอให้ชะลอไว้ก่อน

แล้วจากรัฐธรรมนูญทุกฉบับ กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือยังปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เพราะเหตุอื่น ถ้าไม่มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ก่อน ก็ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน



สรุปคือ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงขอยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ของรัชกาลที่ 10 เป็นการชั่วคราว ดังนั้นพลเอกเปรม จึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนรัชกาลที่ 10 เป็นการชั่วคราวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

เพราเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ คำว่า ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นั้น หมายถึง ผู้สำเร็จราชการแทนพระมหากษัตริย์ที่ยังมีพระชนม์ชีพเท่านั้น

ดังนั้น พลเอกเปรม จึงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนรัชกาลที่ 10 ไม่ใช่ทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนความว่างเว้นพระมหากษัตริย์ครับ

(ซึ่งตรงจุดนี้ ดร.วิษณู เครืองาม ให้ความเห็นคลาดเคลื่อน เพราะ ดร.วิษณุ ให้ความเห็นว่า พลเอกเปรมทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนตำแหน่งพระมหากษัตริย์ที่ยังว่างอยู่ ซึ่งยังมีอีกหลายความเห็นของ ดร.วิษณุ ที่มีลักษณะย้อนแย้งคำพูดตัวเองครับ)

เพราะที่จริงมีความกำกวมในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของพลเอกเปรม  แต่เพราะรัฐธรรมนูญทุกฉบับได้ให้การรับรองกฎมณเฑียรบาลอยู่แล้ว ว่าองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ทันที ดังนั้นตำแหน่งผู้สำเร็จราชการฯ ของพลเอกเปรม จึงไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

ย้ำว่า รัฐธรรมนูญให้การรับรองกฎมณเฑียรบาลอยู่แล้ว ดังนั้น กฎมณเฑียรบาล ได้กำหนดว่า องค์รัชทายาททรงขึ้นครองราชย์ทันที ประเทศไทยจึงมีพระมหากษัตริย์ตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว 

เหตุเพราะรัฐธรรมนูญบางครั้งก็ให้คำตอบไม่ครอบคลุมในทุกเรื่อง หากรัฐธรรมนูญให้คำตอบทุกเรื่องไม่ได้ ก็ให้ยึดถือตามโบราณราชประเพณีครับ

------------------

คำถามแทรก

ถ้าหากช่วงนี้เกิดมีกฎหมายให้พลเอกเปรม เซ็นในนามผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถามว่า ในพระปรมาภิไธย อย่างไร?

ผมคาดว่าก็อาจใช้คำว่า ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 (ยังไม่เขียนพระนาม)

ซึ่งเราไม่ต้องห่วงปัญหาในข้อกฎหมาย เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะออกมา อาจเขียนมาตราเพิ่มเผื่อไว้ เพื่อให้การรับรองการเซ็นเอกสารของพลเอกเปรมในช่วงนี้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อป้องกันอีกชั้นก็ได้ เพื่อป้องกันหากจะมีปัญหาข้อกฎหมายในอนาคต (ผมแค่ยกตัวอย่าง)

แล้วเราต้องไม่ลืมว่า ในเวลานี้มี ม.44 ของหัวหน้า คสช. ที่คอยสนับสนุนอยู่แล้ว

ฉะนั้นจึงไม่ต้องกังวลใด ๆ

------------------

คำแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี รับรองมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่แล้ว

ถ้าเราได้ดูคำแถลงการณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ก็ยิ่งรับรองว่า ประเทศไทยได้มีรัชกาลที่ 10 แล้วจริง ๆ



จากคำแถลงบางส่วนของนายกรัฐมนตรี

".. ภารกิจสำคัญที่จะต้องดำเนินการในบัดนี้มี 2 ประการ คือ การดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และตามกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พุทธศักราช 2467 ตลอดจนตามราชประเพณีในส่วนของการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งสอดคล้องต้องกัน เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลจะแจ้งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม สถาปนาพระรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลไว้แล้ว เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2515 จากนั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป....

....พี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งหลาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตแล้ว ขอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลใหม่ทรงพระเจริญ



จากแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรี สรุปได้ว่า

ในหลวงในพระบรมโกศ ได้ทรงแต่งตั้งรัชทายาท แล้วเมื่อ 28 ธ.ค. 2515 ซึ่งรัฐบาลจะแจ้ง สนช. ให้รับทราบต่อไป

การสืบราชสันตติวงศ์ให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลและโบราณราชประเพณีโดยต่อเนื่อง

หมายถึง มีรัชกาลที่10ในทันที เพียงแต่ยังไม่มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้น

ขอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลใหม่ทรงพระเจริญ (ประโยคนี้คือการรับรองว่ามีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่แล้วอย่างไม่เป็นการทาง)

อีกทั้งการที่นายกรัฐมนตรี ได้แนะนำว่า ควรเรียกในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ก็เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน ครับ

(หรือแม้กระทั่งก่อนวันที่ 13 ต.ค. 2559 ที่ผ่านมา ข่าวในพระราชสำนึกที่เคยใช้คำว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เฉยๆ แต่ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมา สำนักพระราชวังได้แนะนำสื่อมวลชนทุกแขนงว่า ควรจะใช้พระนามย่อว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" แทน)


ที่สำคัญ ทั้งนายกรัฐมนตรี และ ดร.วิษณุ เครืองาม ยังย้ำอยู่หลายครั้งว่า การสืบราชสันตติวงศ์ให้ยึดตามกฎมณเฑียรบาลและโบราณราชประเพณี

------------------------

สรุป

ตอนนี้ประเทศไทยเราได้มีพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แล้วตามโบราณราชประเพณีและกฎมณเฑียรบาล แต่ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์อย่างไม่เป็นทางการตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ก็ทรงขัดกฎมณเฑียรบาลไม่ได้ พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แล้วโดยทันที เพียงแต่ทรงขอยังไม่ทำหน้าที่พระมหากษัตริย์เท่านั้น (ในระหว่างนี้จึงทรงอนุโลมให้เรียกพระนามเดิมว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เหมือนเดิมเป็นการชั่วคราว)

โดยเราต้องไมลืมว่า โบราณราชประเพณีในการขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ นั้นมีมาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาช้านานแล้ว ดังนั้นกรณีการขึ้นครองราชย์ เราจึงควรยึดตามกฎมณเฑียรบาลเป็นหลักไว้ก่อน

เพียงแต่ถ้าจะให้ทรงดำรงพระเกียรติยศแห่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญโดยสมบูรณ์ ก็ต้องให้รัฐสภาประกาศรับรองก่อน แล้วรัฐบาลก็จะประกาศต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการว่า ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่แล้วโดยสมบูรณ์

แล้วหลังจากนั้น ก็จะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นการถัดไป เราก็จะได้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 โดยสมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณีและตามรัฐธรรมนูญครับ

(เช่น สมัยรัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์ ก็มีพระบรมราชาภิเษกหลังจาก พ.ศ.2489 ถัดไปเกือบ 4 ปีครับ คือมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 4-8 พฤษภาคม พ.ศ. 2493)

-------------------

ล่าสุด ประธาน สนช. ทูลเชิญองค์รัชทายาทขึ้นเป็นรัชกาลที่ 10 แล้ว เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2559

แต่ที่ผมอยากให้ฟังคือ หลังมีรัชกาลที่ 10 อย่างเป็นทางการแล้ว

นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้แถลงการณ์ประกาศว่า ให้นับรัชสมัยแผ่นดินของรัชกาลที่ 10 ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นต้นไปโดยต่อเนื่อง ตามหลักแผ่นดินย่อมไม่ว่างเว้นพระมหากษัตริย์

ลองฟังตั้งแต่นาทีที่ 1.50




ดังนั้น ที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล พยายามแถว่า แผ่นดินไทยว่างเว้นพระมหากษัตริย์นั้น จึงเป็นการแถ ตามที่ผมอธิบายเหตุผลมาทั้งหมดตามบทความข้างต้น

คลิกอ่าน หยุดวาทกรรมสร้างความแตกแยกอำมาตย์ไพร่ได้แล้ว (ทำไมคนไทยยังยากจน)






วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

ถอดหัวโขนลงเถอะ กรณีดราม่าโฆษณาเที่ยวไทยมีเฮ





ว่าจะไม่เขียนเรื่องนี้แล้วเชียวในตอนแรก แต่ผมคิดว่า ควรเขียนดีกว่า เพราะไม่อยากให้สังคมไทยต้องแตกแยกกับเรื่องที่ไม่ควรแตกแยกเลย

จากกรณี MV โฆษณา เที่ยวไทยมีเฮ ที่นำตัวละครทศกัณฐ์ มาแสดงใน MV เพื่อชวนท่องเที่ยวเมืองไทยกัน ก็เกิดมีคนออกมาต่อต้าน MV ชุดนี้ โดยอ้างว่า ยักษ์ ทศกัณฑ์ เป็นตัวละครในโขนซึ่งเป็นศิลปะชั้นสูงของไทย จึงไม่ควรนำทศกัณฑ์ มาแสดงอะไรที่ตลกแบบนี้



ทีนี้ก็เกิดการถกเถียงกันใหญ่ในหมู่สังคมออนไลน์ถึงความเหมาะสมหรือไม่ที่นำตัวละครยักษฺ์ทศกัณฐ์ มาแสดง

ผมจะไม่เขียนอะไรให้ยาวมาก แต่อยากจะถามว่า คุณผู้อ่านเคยได้ยินสำนวนที่ว่า วางหัวโขนหริอถอดหัวโขนลงบ้างเถอะ กันบ้างไหม

สำนวนนี้มาหมายถึง ถ้ายึดติดกับเกียรติยศศักดิ์ศรีมากเกินไปมันก็ไม่ดี เฉกเช่น คนที่ปล่อยวางไม่เป็นก็จะทุกข์มาก

กรณีนำตัวละครโขนไปแสดงอะไรต่าง ๆ ก็มีมานานแล้ว เช่น หนุมานพบ 7 ยอดมนุษย์  ยักษ์วัดโพธิ์ทะเลาะกับยักษ์วัดแจ้ง ก็มีมาแล้วเป็นต้น แถมในหนังเน้นความบันเทิง ทั้งเน้นฮา เพื่อเอาใจเด็ก ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มคนดูโดยเฉพาะ

แม้แต่ในการแสดงโขนที่โรงละครแห่งชาติ ก็จะมีบางช่วงที่ทศกัณฑ์ และ หนุมาน ก็ออกมาแสดงตลกกับพระฤาษี

โขน แม้เป็นศิลปะชั้นสูงของไทยก็จริง แต่ทั้งหมดก็เกิดขึ้นมาเพื่อความบันเทิงต่อผู้ชมทั้งสิ้น เมื่อก่อนการแสดงโขนมีแต่เจ้านายชั้นสูง ขุนนางชั้นสูงเท่านั้นได้ชม แต่ต่อมาก็มีโขนสด ที่ชาวบ้านเอามาเล่นเพื่อความบันเทิง ทำให้คนไทยรู้จักโขนมากขึ้น

ซึ่งถ้ามีคนยึดติดว่า โขนต้องแสดงในรั้วในวังให้เจ้านายชั้นสูงให้ขุนนางชมเท่านั้น ศิลปะการแสดงโขนก็คงตายไปนานแล้วกระมัง

ส่วนใน MV เที่ยวไทยมีเฮ ผมก็ไม่เห็นมีฉากไหนลบหลู่ดูหมิ่นทศกัณฐ์ แต่อย่างใด

จึงอยากถามว่า แค่ทศกัณฐ์ออกมาแสดงให้ผู้ชมขำ ถือเป็นการลบหลู่ตัวละครยักษ์ ทศกัณฐ์ เหรอครับ

คำว่า ลบหลู่ มีคำจำกัดความแค่ไหนกันแน่ ?

----------------

กรณีตัวอย่าง ถอดหัวโขน แล้วคนรักทั่วโลก



เมื่อครั้งพิธีปิดโอลิมปิก 2016 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายชินโสะ อาเบะ ผู้ได้ชื่อว่า เป็นคนค่อนข้างหัวโบราณ หัวอนุรักษ์นิยมพอควร เขายังกล้าถอดหัวโขนแห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีผู้มีเกียรติ ผู้เคร่งครัดออก เพื่อสวมหมวกตัวการ์ตูนเกม ซุปเปอร์มาริโอ เพื่อร่วมพิธีรับมอบการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกครั้งต่อไปที่โตเกียวได้เลย

การที่นายกฯ ชินโสะอาเบะ ยอมถอดหัวโขนแห่งการเป็นผู้นำรัฐบาลญี่ปุ่นอันทรงเกียรติออกได้ ก็เพื่อความบันเทิงแก่คนทั้งโลก กลับทำให้เขาได้รับคำชื่นชมยกย่องจากคนญี่ปุ่นทั้งประเทศ และคนทั้งโลก จนคะแนนนิยมของนายกฯ ชินโสะ อาเบะ พุ่งสูงที่สุดในรอบ 4 ปี

ถ้าคนยึดติดมาก ก็อาจจะตำหนิได้ว่า เป็นถึงนายกรัฐมนตรีจะมาทำตัวเป็นตัวตลก เป็นตัวการ์ตูนให้ผู้คนเขาหัวเราะทำไม เสียเกียรติหมด

ขนาดคนเป็นถึงผู้นำประเทศ เขายังถอดหัวโขนลงได้ แล้วกะแค่ตัวละครในวรรณคดีที่คนแต่งขึ้น ตัวละครในวรรณคดีอินเดียที่ไทยไปรับเขามาเล่นต่อ ทำไมจะวางความถือตัวว่าสูงส่งลงบ้างไม่ได้จริงไหม

ฉะนั้น กรณีทศกัณฐ์ ได้ช่วยโฆษณาส่งเสริมการท่องเที่ยว ก็ทำเพื่อประเทศชาติไทยแท้ ๆ ไม่มีอะไรสูงไปกว่าเจตนาทำเพื่อชาติหรอกครับ

คนที่ต่อต้านโฆษณาชุดนี้ ผมพอเข้าใจว่า คุณอาจมองว่า หัวโขนมีครู มีพิธีไหว้ครู จึงควรให้ความเคารพ แต่จากโฆษณาเที่ยวไทยมีเฮ ผมไม่เห็นว่า จะลบหลู่ครูโขนแต่อย่างใดเลย

อย่าหลงเข้าใจผิด "ที่เราไหว้หัวโขน หมายถึงเราไหว้ครูบาอาจารย์โขน ไม่ใช่ไหว้ยักษ์ ไหว้ลิง ไม่ใช่เคารพนับถือกราบไหว้ทศกัณฐ์ ไม่ใช่เคารพนับถือหนุมาน นะครับ" อย่าเข้าใจสับสน

หรือเราจะให้ตัวละครโขนได้แต่อยู่บนหิ้ง จนชาวบ้านชาวช่องเข้าไม่ถึงเหรอครับ ลองคิดดูแล้วกัน

ผมอยากจะบอกว่า การที่บางคนเอาแต่ยึดติดอะไรที่มันเกินไป มันยิ่งจะทำให้โขนเราตายจากไปได้ในที่สุด

เช่นตอนนี้ คนทั้งโลกเขารู้จักโดราเอมอน รักโดราเอมอน กันไปทั้งโลกแล้ว จนโดราเอมอนกลายเป็นทูตวัฒนธรรมประจำโอลิมปิค 2020 ของญี่ปุ่นไปแล้ว

ในขณะที่โขนที่เราหลงยกว่าสูงส่งนั้น กลับไม่ค่อยมีใครรู้จักและเข้าถึงเท่าไหร่เลย แม้แต่คนไทยด้วยกันเองด้วยซ้ำ

อย่าให้โขนตาย เพราะความยึดติดอะไรที่ไม่เข้าท่าเลยครับ คนดูเขาแยกแยะออกว่า การแสดงโขนระดับสูงที่แสดงโดยนักแสดงโขนจากกรมศิลปากรน่ะ คือที่สุดแห่งศิลปะชั้นสูงของไทยอยู่แล้ว ไม่มีใครเขาไปดูถูกลบหลู่โดยไม่แยกแยะหรอกครับ

หันมารักโขนไทยอย่างถูกวิธีกันดีกว่านะ เช่น ทำให้หนุมานไทยและทศกัณฐ์ไทยโด่งดังกว่าอุลตร้าแมนหรือโดเราเอมอนก็ยิ่งดี

คลิกอ่าน รามเกียรติ์ คือ วรรณคดีเหยียดเชื่อชาติ



วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ผมรู้สึกแหม่ง ๆ กับรูปทรงสถาปัตย์ของตึกมหานคร





เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการ พร้อมการแสดงแสงสีของตึกมหานคร ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยในปัจจุบันไปแล้ว

อันนี้ผมไม่ได้มีอคติกับเจ้าของตึกหรือรู้จักอะไรกับตึกนี้เขามาก่อนหรอกนะ

แต่เป็นมุมมองจากคนธรรมดามอง มองจากความรู้สึกของตัวเองรู้สึกเท่านั้น

คือ ผมรู้สึกแหม่ง ๆ แทม่ง ๆ กับรูปทรงการออกแบบภายนอกของตึกมหานครนี้จริง ๆ

เพราะผมมองว่า เสมือนตัวตึกมีรอยฉีกขาด หรืออาจจะมองเหมือนตึกกำลังจะพังทลายลงมา




หรือแบบที่ทางตึกเขาอธิบายว่า รูปทรงตึกดูแสดงเป็นรูปพิกเซล (Pixel) นั้น

ผมกลับมองว่า เสมือนโครงสร้างแบบพิกเซลนั้นกำลังค่อย ๆ หลุดร่วงลงมา เช่นดูตัวอย่างรูปนี้นะครับ เหมือนตึกมันหลุดร่วงจนเป็นรอยแผลแบบนั้น



มีเพื่อนผมคนนึงบอกว่า เหมือนตึกเวิร์ลเทรดที่ถูกเครื่องบินชนแล้ว และกำลังจะถล่มลงมา

โอเค อันนี้มันแค่มุมมองส่วนตัวของผม แต่ผมก็มักเชื่อในความรู้สึกตัวเองว่าตรงมากกว่าไม่ตรง

บอกตรง ๆ ผมรู้สึกแปลก ๆ กับตึกมหานครนี้ว่า รูปทรงการออกแบบดูไม่ค่อยจะเป็นมงคลเท่าไหร่นัก อันนี้ต้องขออภัยทางเจ้าของตึกด้วย



หรืออย่างรูปด้านล่างนี้ รูปแรก ผมมองเหมือนมีวิญญาณมาลงสิงตึกประมาณนั้น หรือถ้าใครเคยดูแฮรี่ พอตเตอร์ คงจำตอนผู้คุมวิญญาณมาดูดพลังจากแฮรี่ไป  รูปด้านล่างรูปแรกคล้ายจริง ๆ

ส่วนอีกรูปดูเหมือนมีจานบินกำลังดูดเอาอะไรบางสิ่งจากตึกออกไป


รูปนี้เหมือนวิญญาณกำลังลงสิง



รูปนี้เหมือนมีจานบินมาดูดเอาอะไรบางอย่างออกจากตึกไป

หรืออย่างรูปด้านล่างนี้ ผมดูเหมือนตึกโดนฟันจนเป็นแผลเหวอะจนเห็นเลือดเห็นเนื้อเห็นน้ำเหลือง หรือจะมองอีกมุมก็เสมือนตึกกำลังไฟไหม้อยู่ประมาณนั้น


โอย แผลเหวอะมาก ๆ น่ากลัว ๆ

ส่วนรูปสุดท้ายด้านล่างนี้ คือผมมองว่า เหมือนหนังไซไฟแบบที่หุ่นยนต์กำลังจะร่างแตกสลาย มันจะฉายแสงแบบนี้ออกมาก่อนที่ตัวมันจะระเบิดหรือสลายตัวเองไปน่ะ


โอย ร่างกำลังจะแตกสลายแล้วววว !!

แต่จากเท่าที่หาข้อมูลเขาว่า สถาปนิกใช้คอนเซ็ปต์ทลายความสมบูรณ์แบบของตึกให้เหมือนรูปภาพที่ถูกไวรัสคอมพิวเตอร์กัดกินจนเป็นรอยพิกเซล(pixel) เพื่อให้เกิดสเปซ เกิดมิติในการใช้พื้นที่ และดูเป็นจุดเด่นของตึก

ก็ไม่รู้สินะ ตึกถูกไวรัสคอมฯ กัดแทะเนี่ย มันเป็นมงคลหรือไม่ เพราะบ้านทั่วไปเรายังไม่ชอบให้ปลวกกัดกินบ้านเลย เพราะมันหมายถึง บ้านจะพังทลาย!!

บางคนเปรียบเทียบสถาปัตยกรรมของตึกมหานครว่า เหมือนจิ๊กซอลที่ยังต่อไม่เสร็จ
เอ คำว่า "ไม่เสร็จ" ฟังไม่ค่อยจะเป็นมงคลเลยนะ

@เขาลือกันว่า นี่คือที่มาไอเดียออกแบบตึกมหานคร 555


สรุปเลยแล้วกัน

ผมมองว่า รูปทรงสถาปัตยกรรมของตึกมหานคร มันดูแหว่ง ๆ ขาด ๆ ซึ่งถ้าตามหลักความสมดุลของฮวงจุ้ย ก็ดูไม่น่าจะเวิร์คเท่าไหร่

สงสัยผมคงตาไม่ถึงเหมือนคนอื่นเขามั้ง 555

ที่ผมเขียนวิจารณ์นี้ ก็เขียนจากความรู้สึกแวบแรกที่เห็นรูปทรงของตึก แต่หากตัดเรื่องความเขื่อส่วนตัวออกไป ผมก็มองว่า ตึกมหานครนี้ก็สวยแปลกตาไปอีกแบบเหมือนกัน



เพราะงานสถาปัตยกรรมก็เปรียบเสมือนงานศิลปะ ซึ่งผู้ชมที่ได้พบเห็นย่อมสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะมันคือทัศนียภาพสาธารณะ



ผมก็หวังว่า มันคงเป็นแค่ความรู้สึกของผมคนเดียว และขอให้ตึกของเขาประเสริฐดีงาม อลังการและปลอดภัยตลอดไปแล้วกันครับ (ขอบคุณเจ้าของรูปทุกรูปจากเฟสบุ๊คและอินเตอร์เน็ต)

------------

อัพเดทข่าวตึกมหานคร ในปี 2561

ผ่านไปเกือบ 2 ปีหลังตึกมหานครเปิดตัว ตึกมหานครก็ไม่ใช่ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทยอีกแล้ว เพราะมีตึกแมนโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนส์  ที่ไอคอนสยาม กลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในไทยแทนในปี 2561

ส่วน บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ เจ้าของเดิมตึกมหานครบริหารตึกไปไม่รอด เพราะขาดสภาพคล่อง จนจำใจต้องขายตึกมูลค่าโครงการ 2.2 หมื่นล้านบาทให้ บ.คิงพาวเวอร์ ในราคา 1.4 หมื่นล้านบาทไปแล้วเมื่อเดือนเมษายน 2561 ที่ผ่านมา

แล้วเปลี่ยนชื่อตึกใหม่เป็น ตึกคิงพาวเวอร์มหานคร

แล้วพอคิงพาวเวอร์ ซื้อตึกมหานครมาเพียงแค่ไม่กี่เดือน #เจ้าของคิงพาวเวอร์ ก็...

แต่ความจริงตึกไม่สามารถกำหนดชะตาคนได้

กฎแห่งกรรมต่างหากที่กำหนดความคิดคนให้เป็นไปตามวิบากกรรมได้



คลิกอ่าน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ยี่ห้อไหนดีที่สุด






วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม ปางเจ้าแม่กวนอิมพันมือ





บ้านผมอยู่แถวถนนโชคชัย 4 เขตลาดพร้าว ซึ่งจะมีสถานที่สำคัญที่ผู้คนทั่วประเทศรู้จักกันแห่งหนึ่ง นั่นคือ ตำหนักเจ้าแม่กวนอิม โชคชัย 4

เมื่อสัก 30 ปีที่แล้ว ผมเคยไปบ่อยนะ ช่วงนั้นตำหนักเจ้าแม่กวนอิม โชคชัย 4 ดังมาก ดังสุด ๆ เพราะจะมีการทรงเจ้าแม่กวนอิมในทุกคืน ที่ตำหนักเก่าชั้นบนสุด

ผมเองตอนเป็นแค่เด็ก ม.ปลาย ก็เคยไปเกาะเข่าของคนทรงเจ้าแม่กวนอิม ให้ท่านทำนายชีวิตให้ ซึ่งคนทรงคนนี้ก็เจ้าของตำหนักเจ้าแม่กวนอิม นั่นเอง

แต่ปัจจุบัน ถ้าจำไม่ผิดท่านเจ้าของตำหนักได้ไปบวชเป็นภิกษุณีในนิกายมหายานไปแล้ว หลังจากนั้นตำหนักเจ้าแม่กวนอิมอาจไม่ได้คึกคึกมากมายเเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากแวะไปไหว้อยู่สม่ำเสมอมาจนถึงปัจจุบัน

แล้วที่นี่ก็มีตำหนักใหม่ในฝั่งตรงข้ามตำหนักเดิม เป็นตำหนักเจ้าแม่กวนอิม ปางพันมือ ซึ่งสร้างได้สวยงามมาก ๆ แต่ผมเองแม้อยู่ใกล้บ้าน ก็ได้แค่ขับรถผ่านเท่านั้น ยังไม่เคยลงไปไหว้ที่ตำหนักใหม่เลยสักครั้ง แต่คิดว่า เร็ว ๆ นี้น่าจะได้ไปไหว้สักครั้งเสียที


ตำหนักเจ้าแม่กวนอิมพันมือ โชคชัย 4 

ส่วนผม ใหม่เมืองเอก ในปัจจุบันไม่ได้เชื่อเรื่องทรงเจ้าเข้าทรงแล้วนะครับ อันนี้ขอเล่าสู่กันฟังเท่านั้น

-----------------------

กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม ปางพันมือ

คิดว่าคุณผู้อ่านส่วนใหญ่คงรู้จัก เจ้าแม่กวนอิมปางพันมือ กันอยู่แล้ว แต่เชื่อว่า ส่วนใหญ่คงไม่รู้ว่า ที่มาเจ้าแม่กวนอิมปางพันมือ นั้นถือกำเนิดขึ้นมาอย่างไร มีประวัติอย่างไร

ผมเลยขอถือโอกาสเล่าเลยแล้วกัน โดยการเล่านี้ ผมจะเล่ามาจากการได้ชมซีรีย์ เจ้าแม่กวนอิมของทีวีบี เวอร์ชันที่ เจ้าหย่าจือ แสดงเป็นเจ้าแม่กวนอิม ผมเล่าเท่าที่จำได้นะครับ อาจไม่ตรงนัก เพราะเคยดูมานานแล้ว

ในวันที่พระบิดาขององค์หญิงเมี่ยวซัน หรือเจ้าแม่กวนอิม จะสิ้นพระชนม์ ก็เป็นวันเดียวกันกับที่เจ้าแม่กวนอิมจะสำเร็จวิชาปราบมารในวันนั้นด้วยเช่นกัน

แต่เพราะพญามาร ไม่ต้องการให้เจ้าแม่กวนอิมสำเร็จวิชามารในวันนี้ จึงได้จับพระบิดาของเจ้าแม่กวนอิม มาเพื่อล่อให้เจ้าแม่กวนอิมมาช่วยเหลือพระบิดา เพื่อเป็นการสกัดการเข้ากรรมฐานของเจ้าแม่กวนอิมจะได้ไม่สำเร็จวิชาปราบมาร

แน่นอน ผู้เป็นลูกย่อมจะต้องไปช่วยเหลือพ่อ เพราะพ่อคือบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกทุกคน

เจ้าแม่กวนอิมก็เกือบจะตัดสินใจไปช่วยพระบิดาเช่นเดียวกัน แต่เพราะรู้ว่า ถ้าไปช่วยพระบิดาในตอนนั้น ก็ไม่มีทางช่วยได้สำเร็จ พระบิดาก็คงไม่พ้นจากความตายอยู่ดี เพราะในเวลานั้นเจ้าแม่กวนอิมยังไม่สามารถเอาชนะพญามารได้

แถมเจ้าแม่กวนอิมก็จะอาจต้องเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งเปล่า ๆด้วย อีกทั้งพญามารก็จะมีอำนาจมากขึ้น แล้วจะยิ่งก่อกรรมทำเข็ญต่อไปได้โดยไม่มีใครมาขัดขวางได้อีก

เจ้าแม่กวนอิมจึงจำต้องตัดใจไม่ไปช่วยพระบิดา  เพื่อเข้ากรรมฐานเพื่อฝึกวิชาปราบมารให้สำเร็จในที่สุด

และเมื่อพระบิดาของเจ้าแม่กวนอิมสิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ได้ตกนรกเพื่อไปชดใช้กรรมที่พระองค์เคยก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้มากมายเมื่อครั้งยังมีชีวิต

หลังจากเจ้าแม่กวนอิมสำเร็จวิชาปราบมารแล้ว ก็เข้าญาณสมาบัติ จนได้เห็นในนิมิตว่า พระบิดาของเจ้าแม่กวนอิมทรงทุกข์ทรมานอย่างมากในนรก

เจ้าแม่กวนอิมจึงตัดสินใจลงไปช่วยพระบิดาในนรก เพื่อช่วยให้พระบิดาทุกข์ทรมารน้อยลง

ในระหว่างที่เจ้าแม่กวนอิมลงไปในนรกอยู่นั้น ก็ได้พบพวกสัตว์นรกที่กำลังทุกข์ทรมานเพราะความหิวโหยจำนวนมาก มาสกัดกั้นไม่ให้เจ้าแม่กวนอิมได้ผ่านไป

เจ้าแม่กวนอิมจึงตัดสินใจตัดแขนซ้ายของตัวเอง โยนให้พวกสัตว์นรกเหล่านั้น ได้รุมกินแขนของเจ้าแม่กวนกิมเพื่อลดความหิวโหย เจ้าแม่กวนอินจึงสามารถผ่านเข้าไปช่วยพระบิดาขึ้นมาจากนรกได้ และก็ได้พาพระบิดาไปพบท่านพญามัจจุราช เพื่อขอความเมตตาลดโทษให้แก่พระบิดา

พญามัจจุราชได้เห็นความกตัญญูของเจ้าแม่กวนอิม และเห็นการเสียสละแขนซ้ายของตัวเองเพื่อจะไปช่วยพระบิดา ผลแห่งกุศลนี้จึงช่วยให้พระบิดาของเจ้าแม่กวนอิมได้ลดหย่อนโทษลง แต่ต้องไปเกิดเป็นวัว 500 ชาติบนโลกมนุษย์เพื่อชดใช้ความบาปแทน

เจ้าแม่กวนอิมได้ขอบคุณพญามัจจุราช แล้วก็กลับขึ้นไปบนโลกมนุษย์ตามเดิม

เมื่อเจ้าแม่กวนอิมขึ้นไปบนโลกมนุษย์แล้ว เหล่าสานุศิษย์ต่างตกใจที่เห็นเจ้าแม่กวนอิมแขนซ้ายขาด

ดังนั้นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่พระราชาองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นอดีตคนรักของเจ้าแม่กวนอิมกำลังจะสร้างให้ ก็เลยต้องปั้นให้รูปเจ้าแม่กวนอิมแขนข้างเดียวเท่านั้น

แต่บรรดาสานุศิษย์ต่างไม่ต้องการให้รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมแขนขาดแบบนี้ ต่างก็เลยไปทำแขนมาต่อให้รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมกันมากมายมาจากทั่วสารทิศ

จนสุดท้ายแขนของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่เหล่าสานุศิษย์ปั้นมาถวายให้รูปปั้น จึงมีนับร้อยนับพันแขนที่ต่อเพิ่ม จนกลายเป็นปางเจ้าแม่กวนอิมในที่สุด


รูปเจ้าแม่กวนอิมพันมือ ในตำหนักเจ้าแม่กวนอิมโชคชัย 4 จากเว็บพันทิป

ในช่วงที่เจ้าแม่กวนอิมมีแขนข้างเดียวนั้น ก็ได้ออกไปสู้กับพญามารที่เพิ่งสำเร็จวิชามารสูงสุดแล้วเหมือนกัน

พญามารได้แบ่งภาคตัวเองออกมาหลายร้อยตัว จนเจ้าแม่กวนอิมกำลังจะพลาดพลั้งแก่พญามาร แต่เพราะอานุภาพของบทสวดที่สานุศฺิษย์ของเจ้าแม่กวนอิมที่กำลังร่วมกันสวดมนต์เพื่อช่วยเจ้าแม่กวนอิมนั้น

ก็เกิดพลานุภาพขึ้น จู่ ๆ แขนของเจ้าแม่กวนอิมที่มีอยู่ข้างเดียว ก็กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนกลายเป็นเจ้าแม่กวนอิมพันมือ เพื่อต่อสู้กับพญามารจนเอาชนะพญามารได้ในที่สุด

หลังจากเจ้าแม่กวนอิมเอาชนะพญามารได้แล้ว เจ้าแม่กวนอินก็กลับมามีแขนทั้งสองข้างดังเดิม

จบ.

คลิกอ่าน นับถือเจ้าแม่กวนอิม ไม่จำเป็นต้องเลิกทานเนื้อวัว




วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

มหัศจรรย์ยาหอมไทย กับคุณค่าที่คนไทยควรรู้จัก





ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้อ่านเนื้อหาของบทความทั้งหมดให้จบเสียก่อน แล้วค่อยเลือกชมคลิปประกอบบทความแต่ละคลิปตามสะดวกในภายหลังนะครับ
v

v

ผมเป็นผู้หนึ่งที่รับประทานยาหอมไทยเป็นประจำเป็นเวลานานกว่า 10 ปีมาแล้ว และคันพบด้วยตัวเองว่า ยาหอมเป็นยาไทยที่มีคุณค่าน่ามหัศจรรย์มาก ๆ

หากเราดูส่วนผสมข้างกล่องก็จะพบว่า ส่วนผสมหลักของยาหอมไทย คือ ดอกไม้นานาพรรณ ที่มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ และขับลม

ในทางการแพทย์แผนไทย โรคลมกำเริบต่าง ๆ จะมีผลโดยตรงต่อหัวใจ เช่น ถ้าคุณท้องอืดท้องเฟ้อ คุณก็จะมีอาการแน่นมากที่หน้าอกและหัวใจ จะรู้สึกไม่สบายใจเลย

ดังนั้นสรรพคุณของยาหอม จึงมีหน้าที่หลักคือการขับลมจุดเสียดจากอาการลมกำเริบต่าง ๆ ของร่างกาย และเป็นยาบำรุงรักษาหัวใจไปในตัวด้วย



สำหรับยาหอมที่ผมทาน คือยาหอมตรา 5 เจดีย์ ผมไม่ได้โฆษณาให้ยี่ห้อนี้นะครับ แต่เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่ใช้แล้วได้ผลดี

โดยวิธีการชงยาหอมที่ถูกต้อง จะต้องใส่น้ำน้อย ๆ ให้ปริมาณยาหอมกับปริมาณน้ำมีสัดส่วนพอเข้มข้น ถึงจะเป็นการชงยาหอมที่ถูกต้อง

โดยถ้าทานยาหอมด้วยวิธีการชงที่ถูกต้องแล้ว หลังจากทานก็จะเกิดความเย็นสบายที่หน้าอกและหัวใจ แต่ถ้าใส่น้ำมากเกินไป ก็จะทำให้สรรพคุณของยาหอมเกิดการเจือจางลง และจะไม่ได้ผลเท่าที่ควรครับ

เช่น ผมใส่ยาหอมสัก ครึ่งช้อนชา ก็จะมีน้ำปริมาณแค่ 50 cc. เท่านั้น แล้วเวฟด้วยไมโครเวฟประมาณ 15 วินาที แล้วดื่มเลย โดยไม่ต้องดื่มน้ำตามอีก ก็จะเกิดสรรพคุณทำให้เย็นสบายที่หน้าอก และทำให้จิตใตสงบลงได้อย่างดีเยี่ยม

แต่วิธีที่ง่ายในการทานยาหอมอีกวิธีคือ ตักผงยาหอมใส่ปากโดยตรงเลย แต่ยังดีสู้วิธีชงด้วยน้ำน้อย ๆ วิธีแรกไม่ได้ เพราะจะไม่ได้ความหอมเท่าที่ควร

คลิปรายงานเรื่องยาหอม โดยสำนักข่าวไทย


-------------------

ยาหอมบำรุงรักษาโรคหัวใจ

ผมเคยดูรายการชีวิตชีวา ของคุณศิริบูรณ์ ณัฐพันธ์ ทางช่อง 3 เมื่อหลายปีก่อน เคยเชิญนายแพทย์ด้านโรคหัวใจ จากโรงพยาบาลรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง (ซึ่งผมจำได้ว่าคือโรงพยาบาลอะไร แต่ขออนุญาตไม่เอ่ยถึงแล้วกัน เพราะมันผ่านมาหลายปีแล้ว จึงไม่อยากให้กระทบกับโรงพยาบาล)

คุณหมอผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจท่านนี้ได้ศึกษาเรื่องยาหอมไทยด้วย เพราะเนื่องจากที่ท่านเป็นหมอโรคหัวใจ ได้รับรู้ว่า ยาหอมไทยมีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ท่านจึงได้ค้นคว้าศึกษา

คุณหมอโรคหัวใจท่านนี้ยังได้แนะนำว่า คนไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป ควรหัดกินยาหอมไว้ เช่นตื่นนอนก็ชงดื่ม หรือก่อนนอนก็ชงดื่ม เป็นต้น

ที่คุณหมอแนะนำนั้นเพื่อให้ยาหอมบำรุงธาตุ ปรับธาตุ และยาหอมยังมีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจได้ในระดับหนึ่ง เพราะยาหอมนอกจากมีฤทธิ์ขับลมแล้ว ก็ยังช่วยขยายหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เลือดมาหล่อเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น จึงมีผลทำให้มีสรรพคุณบำรุงหัวใจไปด้วยในตัว

ยาหอมจึงจัดเป็นยาอายุวัฒนะชนิดหนึ่ง

------------------------------

รายการชีวิตชีวา ตอน ยาหอมปรับอารมณ์ ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น



----------------------

ยาหอมรักษาอาการโรคความดันต่ำกำเริบ

ผู้ที่มีความดันต่ำเป็นปกติ คือ มีค่าความดันตัวบนสูงไม่เกินค่า 100 มม.ปรอท เราจะถือว่า คน ๆ นั้นมีลักษณะเป็นคนความดันต่ำเป็นปกติ ซึ่งถ้าทางการแพทย์แผนโบราณจะถือว่า เป็นคุณสมบัติที่ดี เพราะมักจะเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาวกว่าคนที่มีความดันปกติทั่วไป

แต่ข้อเสียของคนที่มีความดันต่ำเป็นปกติคือ วันดีคืนดีก็อาจมีอาการความดันต่ำกำเริบได้ เช่น เกิดอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด คลื่นเหียนอาเจียน จนอาจมีอาการจะอ้วกเมื่อรับประทานอาหารเข้าไป

อาการแบบนี้แม่ของผมเคยเป็นมาทุกปีในสมัยแม่ยังสาว ๆ พอเป็นทีก็ไม่ต้องทำงานเลย ลาหยุดงานไปทั้งวัน นอนทั้งวัน คล้ายคนป่วยหนักนอนซมเลย

แต่แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่เกิดมีอาการความดันต่ำกำเริบที่บ้านเพื่อนของพ่อผม เมื่อครอบครัวของเราเดินทางไปเยี่ยมเยียนเพื่อนของพ่อ

แล้วแม่เกิดอาการความดันต่ำกำเริบ ภรรยาของเพื่อนพ่อจึงชงยาหอมมาให้แม่กิน

แล้วก็เกิดความมหัศจรรย์ อาการหน้ามืด อ่อนเพลีย ท้องอืดกินอะไรไม่ลง เพราะจะอ้วก  ก็หายภายในไม่เกินครึ่งชั่วโมงเป็นปลิดทิ้ง หลังจากที่แม่ผมได้กินยาหอมเข้าไป

หลังจากนั้นมา ทุกครั้งที่แม่มีอาการแบบเดิมกำเริบอีก แม่ก็จะกินยาหอมเพื่อรักษาอาการดังกล่าวให้หายชะงักทุกครั้งไป


----------------------

ยาหอมรักษาอาการนอนไม่หลับ

บางช่วงของชีวิตผมเคยเป็นคนที่มีอาการนอนหลับยาก คือร่างกายเพลียอยากจะพักแล้ว  แต่ความคิดในสมองยังไม่ยอมหยุดพักตาม เมื่อนอนหลับยาก จิตใจก็จะเริ่มไม่สงบและหงุดหงิด

ผมได้ค้นพบด้วยตัวเองว่า ก่อนจะนอนพอได้กินยาหอมเข้าไปไม่นาน ยาหอมได้ช่วยระงับความคิดฟุ้งซ่าน และช่วยให้จิตใจเริ่มสงบลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เป็นผลทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายและหลับได้ง่ายในที่สุด

คลิปรายการชีวิตชีวา ตอนยาหอมช่วยให้นอนหลับ คำแนะนำโดยเภสัชกรจาก ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์


-------------------------------

ยาหอมรักษาอาการใจสั่น ตกใจ ได้ผลดี

มีช่วงนึงของชีวิต ผมมีอาการตกใจทีไร จะเกิดอาการใจสั่น และหัวใจเต้นเร็วขึ้น จิตใจก็เริ่มไม่สงบ ทำให้นอนไม่หลับ เช่นถ้าขณะที่ผมกำลังนอนหลับอยู่ แล้วเกิดมีเสียงอะไรดังทำให้ตกใจตื่น ผมจะมีอาการนอนหลับต่อไม่ได้ ผมก็จะกินยาหอมนี่แหละที่ทำให้ช่วยนอนหลับต่อไปได้

คลิปสรรพคุณยาหอม โดยเภสัชกรจาก ม.มหิดล



รศ.ภญ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล โดยแบ่งเป็นกลุ่มๆ นอกจากการแก้ลม แก้ลมคลื่นเหียน อาเจียน แต่ละกลุ่มยังมีสรรพคุณเสริมแตกต่างกันไป เช่น ยาหอมเทพจิตร สรรพคุณเมื่อกินแล้ว กระตุ้นให้จิตใจสดชื่น สบาย บำรุงให้จิตใจรู้สึกแช่มชื่น เช่น อกหักรักคุด เสียใจ ก็แนะนำให้ทานยาหอมช่วยบรรเทาได้

และกลุ่มยาหอมอินทจักร สรรพคุณแก้ลม วิงเวียนดีมาก เพราะทำให้เลือดลมเดินดี บำรุงโลหิต แถมถ้าง่วงมาก ยาหอมอินทจักร ช่วยกระตุ้นให้สมองแจ่มใสขึ้นเพราะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองดีขึ้น ดีกว่ากินกาแฟเสียอีก

-----------------

ยาหอม กับโรคกรดไหลย้อน

โรคที่คนสมัยนี้เป็นกันมาก คือ โรคกรดไหลย้อน ที่จะทำให้เกิดแน่นหน้าอก แสบหน้าอก เนื่องจากมีกรดในกระเพาะมีมากเกินไป

เมื่อผมหาข้อมูลในเน็ต พบว่า มีข้อมูลเว็บแพทย์แผนไทยหลายเว็บ และมีผู้แสดงความเห็นหลายรายในเว็บพันทิพ ได้ใช้การทานยาหอมในการรักษาอาการกรดไหลย้อน จนได้ผลดีอีกด้วย แต่ยาหอมไทยราคาไม่แพง ในขณะที่ยารักษากรดไหลย้อนแผนปัจจุบันมีราคาค่อนข้างแพงถึงแพงมาก

โดยคุณผู้อ่าน ลองพิมพ์คำว่า โรคกรดไหลย้อน กับคำว่า ยาหอม บนกูเกิ้ล คุณผู้อ่านก็จะพบวิธีการทานยาหอมเพื่อรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และอาการกรดไหลย้อน ให้ได้ศึกษาหาความรู้ทันที


ข้อมูล http://www.lannahealth.com/?p=2135

-----------------------------

สรุป

เมื่อ พ.ศ. 2545  อย. เคยตรวจยาหอมในประเทศไทยกว่า 700 กว่ายี่ห้อ พบมีเพียง 4 ยี่ห้อเท่านั้นที่มีปริมาณสารหนูเกินค่ามาตรฐาน ทำให้เกิดผลกระทบต่อวงการยาหอมไทยที่ขึ้นทะเบียน อย. ไปพอควร

สาเหตุเพราะมีผู้ผลิตยาหอมบางรายได้นำ กำมะถันแดง มาใช้เพื่อปรุงแต่งสีของยาหอม ซึ่งกำมะถันแดงจัดเป็นสารหนูชนิดนึงที่ อย.ห้ามใช้ แต่ผู้ผลิตยาหอมบางรายไม่รู้ว่า กำมะถันแดง นั้นจัดเป็นสารหนูชนิดหนึ่ง

รายละเอียดข่าว คลิกอ่านที่นี่

ฉะนั้น อย่าให้ผลตรวจเมื่อ 10 กว่าปีก่อนมาทำลายคุณค่าดี ๆ ของยาหอมไทยส่วนใหญ่เลยครับ เพราะส่วนประกอบแท้ ๆ ของยาหอมล้วนมีประโยชน์ดีทั้งสิ้น

ส่วนปัญหากำมะถันแดง จริง ๆ ไม่ใช่ส่วนประกอบของยาหอมเลย เป็นเพียงสารที่นำมาปรุงแต่งสีในยาหอมของผู้ผลิตบางรายเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันไม่พบยาหอมที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. มีสารหนูปนเปื้อนแล้วครับ

เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยกินยาหอม ทั้ง ๆ ที่ยาหอมถือเป็นยาที่มหัศจรรย์และราคาถูกในการรักษาโรคได้หลายชนิดได้อย่างเหลือเชื่อ

เพราะยาหอมเป็นทั้งยาคลายเครียด ยาช่วยให้นอนหลับ ยาแก้ลมจุกเสียด ยาบำรุงหัวใจ ยาบำรุงธาตุ ยาอายุวัฒนะ


เรามาทานยาหอมไทยกันเถอะครับ ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศอีกทาง

คลิกอ่าน วิกฤติป่า วิกฤติแล้ง ฟื้นฟูป่าต้นน้ำด้วยความมหัศจรรย์ของหญ้าแฝก



วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิกฤติป่า วิกฤติแล้ง ฟื้นฟูป่าต้นน้ำด้วยมหัศจรรย์หญ้าแฝก






เมื่อคืนนี้ผมได้มีโอกาชมคลิปรายการ 1 ในพระราชดำริ ตอน วิกฤติป่า วิกฤติภัยแล้ง ซึ่งเป็นตอนที่ดีมาก

เพราะได้อธิบายถึงปัญหาความแห้งแล้งอย่างสาหัสของประเทศไทย และแนวทางแก้ไขปัญหาป่าต้นน้ำ โดย ศ.ดร.อภิชาติ ภัทรธรรม อาจารย์พิเศษภาควิชาจัดการป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลับเกษตรศาสตร์ อดีตนักเรียนทุนอานันทมหิดล

ก่อนที่จะไปปลูกป่า ก็ควรเรียนรู้ถึงปัญหาของป่าและวิกฤติแล้งให้ถ่องแท้ก่อนครับ

คลิปรายการ หนึ่งในพระราชดำริ ตอน วิกฤติป่า วิกฤติแล้ง


ถ้าคุณได้ดูคลิปแรกจนจบ คุณจะเข้าใจปัญหาความซับซ้อนของป่าไม้ไทย ว่ามีผลอย่างไรต่อสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน และอิทธิพลของเอลนีโญในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และกำลังจะพบอิทธิพลของลานีญาในปี 2560 ต่อไป

ส่วนหลักการปล่อยให้ป่าฟื้นตัวด้วยตัวเอง ผมจะสรุปที่ท้ายบทความอีกทีครับ

--------------------

หลังจากเกิดกรณี ดารานักร้องมีเจตนาจะไปปลูกป่าบนพื้นที่ป่าต้นน้ำเดิมในจังหวัดน่านที่กลายเป็นไร่ข้าวโพด ไปแล้วนั้น

ก็มีกระแสดราม่าออกมาทั้งสนับสนุนและคัดค้าน ทั้งมีบางคนบอกว่า จะไปปลูกแต่ถ้าไม่มีคนดูแล สุดท้ายต้นกล้าก็ตายอยู่ดี

แถมชาวไร่ข้าวโพดเดิม ๆ ถ้าเขาไม่ยอมรับ เขาก็บุกทำลายต้นกล้าเพื่อกลับไปปลูกข้าวโพดได้เช่นเดิม

ดังนั้นปัญหาสำคัญของการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ก็คือ ปัญหาของคนในพื้นที่จะยอมรับหรือไม่ และมีมาตรการใดในการไม่ให้คนในพื้นที่กลับมาทำลายต้นกล้าที่นำไปปลูกป่าอีก

โอเค ปัญหานั้นพักไว้ก่อน

แต่ก่อนที่เราจะปลูกป่า เราควรเรียนรู้ก่อนว่า ก่อนที่ต้นกล้าจะอยู่รอดได้นั้น มันควรมีพืชพี่เลี้ยงที่ดีเพื่อช่วยดูดซับน้ำ และช่วยป้องกันการพังพลายของหน้าดินเสียก่อน

เพราะเมื่อป่าหัวโล้นไม่มีต้นไม้ใหญ่ที่มีรากค้ำจุนดินเอาไว้ ต่อให้ปลูกป่าไป ก็ยากที่จะไปรอด

และพืชที่เป็นพี่เลี้ยงที่ดีที่สุดของต้นกล้า เป็นพืชที่ช่วยฟื้นฟูผืนดินที่เสื่อมโทรมให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้ดีที่สุด เป็นพืชที่รักษาหน้าดินและการพังทลายของหน้าดินที่ดีที่สุด นั่นก็คือ การปลูกหญ้าแฝก นั่นเอง

ซึ่งหญ้าแฝกมีหลายพันธุ์ แต่ละพันธุ์ก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันเพื่อใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ต่าง ๆ

หญ้าแฝก ที่เดิมชาวบ้านคิดว่า มันคือ วัชพืช

แต่ความจริงแล้ว ในหลวงทรงค้นพบว่า หญ้าแฝกไม่ใช่วัชพืช แถมเป็น พืชมหัศจรรย์ที่เคยฟื้นฟูป่าบนดอยตุงที่เคยเป็นป่าเสื่อมโทรมจนกลับมาเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์อีกครั้ง

รายการ หนึ่งในพระราชดำริ ตอน หญ้าแฝก


จริง ๆ แล้ว การปลูกป่า ควรเริ่มด้วยการเตรียมผืนดินของภูเขาหัวโล้น ให้เหมาะให้พร้อมจะให้ต้นไม้ขึ้นได้อย่างยั่งยืนก่อนครับ

ซึ่งนั้นก็คือ ต้องปลูกหญ้าแฝก เป็นพืชพี่เลี้ยงเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ดินก่อน

-----------------

สรุป

หลักการที่ในคลิปแรกนำเสนอ ก็คือ การปล่อยป่า อย่าไปรบกวนป่า แล้วป่าจะฟื้นตัวของเขาเองได้นั้น

ผมอยากจะบอกว่า ในกรณีปล่อยป่าฟื้นสภาพด้วยป่าเองนั้น ก็ต้องเป็นสภาพพื้นที่ที่ยังพอมีป่าโดยรอบหลงเหลืออยู่พอเป็นพี่เลี้ยงป่าต่อไปบ้าง เช่น ป่าที่แหว่งไปจากการบุกทำลาย แต่ถ้าสภาพแวดล้อมโดยรอบยังพอมีป่าหลงเหลืออยู่ ป่าที่หลงเหลืออยู่ก็จะเป็นป่าพี่เลี้ยงที่จะฟื้นฟูบริเวณที่เป็นป่าเสื่อมโทรมได้ด้วยตัวเอง

ส่วนกรณีภูเขาหัวโล้นนับล้านไร่ ถ้าแค่ปล่อยให้ป่าฟื้นฟูเขาตัวเอง ก็คงไม่ทันการ เพราะไม่เหลือป่าเดิมที่จะเป็นพี่เลี้ยงเพื่อการฟื้นฟูตัวเอง

แถมปัญหาการพังทลายของหน้าดินก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่มีรากต้นไม้ใหญ่ค้ำจุนดินไว้ แถมความแห้งแล้งที่ทวีความรุนแรงก็จะยิ่งทำลายหน้าดินให้เสื่อมสภาพในที่สุด สุดท้ายผืนดินบนภูเขาหัวโล้นก็อาจจะเสื่อมสภาพไปตลอดกาล

ผมจึงอยากแนะนำให้คนที่คิดจะไปปลูกป่า ได้ศึกษาคุณสมบัติของหญ้าแฝกในหลาย ๆ พันธุ์ เพื่อนำมาปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่ต่าง ๆ ในการฟื้นฟูผืนดินเสียก่อน ก่อนคิดจะปลูกป่าต้นน้ำต่อไปครับ

ตัวอย่างเช่น หญ้าแฝก พันธุ์ห้วยขาแข้ง เป็นต้น ที่เหมาะกับการปลูกในสภาพที่ดินหลากหลาย แถมสามารถปลูกในที่แสงแดดน้อยก็ยังขึ้นได้ดี และยังเป็นอาหารของสัตว์กินหญ้าอีกด้วย เป็นต้น

คลิกอ่าน ต้นเหตุเขาหัวโล้น และลุงแก้วผู้พิชิตป่าหัวโล้นด้วยเกษตรทฤษฎีใหม่




วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

ประเพณีสงกรานต์ยุคใหม่ของไทย สมควรอนุรักษ์ไว้จริงเหรอ ?






ผ่านไปแล้วสำหรับสงกรานต์ในหลาย ๆ จังหวัดในปี 2559 แต่อีกหลายจังหวัดที่ไม่มีปัญหาภัยแล้ง วันนี้คงเป็นการเล่นวันสุดท้าย ยกเว้นสงกรานต์ที่ชลบุรีและสมุทรปราการ ที่ยังมีต่อไปอีก

อย่างกรุงเทพฯ ปีนี้หลายพื้นที่ก็เล่นสงกรานต์กันแค่ 2 วันเท่านั้น เพื่อร่วมมือรณรงค์ประหยัดน้ำ เพื่อเห็นใจคนต่างจังหวัดที่หลายจังหวัดกลับไม่มีแม้น้ำจะกิน

แน่นอน สำหรับคนกรุงเทพฯ ที่ยังเล่นน้ำสงกรานต์ในปีนี้ ผมเชื่อว่า ส่วนใหญ่คงไม่รู้สำนีกหรอกว่า ตอนนี้ประเทศไทยเรากำลังประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนักมากที่สุดในรอบ 20 - 30 ปี เลยทีเดียว

เพราะถ้าตราบใดน้ำประปาในบ้านของคนกรุงเทพฯ ยังไหลอยู่ คนกรุงเทพฯ ที่เล่นน้ำสงกรานต์เขาย่อมไม่รู้หรอกว่า ปัญหาภัยแล้งปีนี้รุนแรงเพียงใด

การออกไปเล่นสงกรานต์ด้วยน้ำประปา จึงไม่สามารถปลุกจิตสำนึกในการประหยัดน้ำได้เลย

แต่เอาเถอะ ไม่เป็นไร เพราะเทศกาลสงกรานต์คือเทศกาลแห่งความสุข ก็คงจะไปห้ามคนอยากมีความสุข สนุกสนาน ก็คงไม่ได้

แล้วที่ไม่สามารถยกเลิกการเล่นสงกรานต์สมัยใหม่ ย้ำ ผมใช้คำว่า สงกรานต์สมัยใหม่ โดยทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มักจะอ้างตรงกันคือ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และเพื่อมีรายได้จากการท่องเที่ยวแพร่สะพัดกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเหตุผลสำคัญ

ซึ่งอันนี้ผมคงไม่เถียงอะไร เพราะ ถ้าคิดว่าดีก็ทำไป

แต่องค์การอนามัยโลก ระบุว่า คนไทยต้องตายเพราะอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลก แล้วในช่วงเทศกาลหยุดยาว ๆ อย่างสงกรานต์ก็เป็นช่วงที่มีคนตายเพราะอุบัติเหตุสูงที่สุดเช่นกัน

แล้วรัฐบาลเคยคิดไหมว่า การตายจากและการบาดเจ็บในอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ของคนไทยนั้น มีตัวเลขความเสียหายกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติมากแค่ไหน ?

เคยเอาไปคิดคำนวณดูบ้างไหมว่าคุ้มไหม ?

แค่หัวหน้าครอบครัวตายจากอุบัติเหตุเพียงคนเดียว ใน 1 ครอบครัว ก็ทำให้คนในครอบครัวนั้น ๆ ต้องเดือดร้อนแสนสาหัสไปอีกนาน

หรือถ้ามีคนที่บาดเจ็บอาจถึงขั้นพิการไปตลอดชีวิตจากอุบัติเหตุ จะมีกระทบต่อครอบครัวและต่อประเทศชาติมากสักแค่ไหน

แล้วการส่งเสริมให้มีวันหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ ไม่ใช่มีคนตายหรือคนเจ็บแค่เพียงคนหรือสองคนเท่านั้น แต่มีเป็นร้อยเป็นพันคนครับ

ลองคิดสิว่าคุ้มไหมนะ ?

ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้หยุดยาว หรือส่งเสริมเทศกาลคนตายจากอุบัติเหตุกันแน่

--------------

ส่วนประเพณีสงกรานต์ของไทยจริง ๆ นะ แบบโบราณเลย เขาจะเล่นกันในวัด เมื่อหนุ่มสาวไปทำบุญ ช่วยขนทรายเข้าวัด ก็จะมีการถือขันสาดน้ำปะพรมน้ำกันบ้าง อาจเพื่อจีบ หรือเพื่อความสนุกสนานของหนุ่มสาว

หรืออาจมีการสาดน้ำเล่นกันในหมู่เด็ก ๆ แถวบ้าน หรือแอบสาดน้ำแกล้งคนรู้จักบ้างเท่านั้น

ที่โดยปกติวัฒนธรรมไทย หนุ่มสาวจะไม่กล้ามาเล่นอะไรที่ใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวกัน แต่ในเทศกาลสงกรานต์ก็เลยเหมือนปล่อยผีให้หนุ่มสาวนิดนึง ย้ำว่า นิดนึง

แต่พอในสมัยรัฐบาลชาติชาติ มีมติ ครม. ให้ช่วงสงกรานต์ได้หยุดราชการแบบยาว ๆ จากเดิมสงกรานต์จะหยุดแค่วันที่ 13 เมษายนเพียงวันเดียว ก็เพื่อให้คนไทยได้มีเวลามากพอที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ไปรดน้ำดำหัวพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เพื่ออนุรักษ์ถึงความกตัญญูรู้คุณด้วย

แล้วในรัฐบาลต่อ ๆ มา ก็มักมีมติเพิ่มวันหยุดแบบหวังพ่วงให้หยุดติดต่อกันในช่วงเสาร์ อาทิตย์อีก ด้วยเหตุผลเรื่องส่งเสริมการท่องเที่ยว

ประเพณีการเล่นสงกรานต์แบบเอามัน เล่นกันทั้งวัน ขนน้ำขึ้นรถกระบะสาดกัน (ซึ่งเดี๋ยวนี้ห้ามแล้ว) เล่นกันมันตลอดถนน ตลอดซอย มอไซค์ขับซิ่งไม่ใส่หมวกกันน็อคย้อมผมทอง เพื่อประกาศว่า คันนี้อนุญาตให้พวกมึงสาดน้ำปะแป้งได้ เล่นกันแบบถ่อย ๆ เถื่อน ๆ ทะลึ่ง ไปจนถึงขั้นอนาจาร จึงได้เริ่มบังเกิดขึ้นนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

และพร้อมกับเป็นเทศกาลที่มีคนตายจากอุบัติเหตุมากที่สุดในโลกด้วย

แล้วเทศกาลสงกรานต์ยังถือเป็นวันปล่อยผีปล่อยเปรตในตัวคนออกมาโลดแล่นอย่างหน้าไม่อาย

ฉะนั้น ใครที่อ้างว่า การเล่นสาดน้ำแบบนี้ กรุณาอย่าอ้างว่ารักษาประเพณีไทยครับ เพราะประเพณีไทยสงกรานต์แท้ ๆ มีแต่ความงดงามทั้งนั้น ไม่มีถ่อยและเสื่อมแบบปัจจุบันนี้

--------------------

แต่โดยสรุป ผมว่า สงกรานต์ในปี 2559 ถือว่า ทุกหน่วยงานทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็ช่วยกันประหยัดน้ำได้ดีพอควร 

แล้วสถิติคนเล่นสงกรานต์จากรายงานข่าวว่า ทุกสถานที่ในกรุงเทพฯ มีคนไทยเล่นสงกรานต์ลดลง 

นั่นแสดงว่า มีคนไทยจำนวนไม่น้อยช่วยเสียสละงดเล่นสงกรานต์ในปีนี้ อันนี้ผมต้องขอขอบคุณและชื่นชมเลย

ผมเองก็อยากให้สงกรานต์ของคนไทย ได้กลับมาเล่นน้ำได้อย่างไม่ต้องกลัวและเสียดายน้ำเหมือนในอดีต

หากเราคนไทยก็ต้องเริ่มช่วยกันปลูกต้นไม้ ฟื้นฟูธรรมชาติต้นน้ำลำธารให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ดังเดิม ซึ่งต้องใช้เวลานานพอควร

แต่หากไม่สนใจช่วยกันเหมือนเดิม เหมือนที่ผ่าน ๆ มา เหมือนที่เราคนไทยปกป้องป่าไม้ส่วนใหญ่ของประเทศไทยไว้แทบไม่ได้เลย จนตอนนี้ป่าไม้ของไทยเหลือไม่ถึง 30 % ของพื้นที่ประเทศไทยแล้ว

อย่างปีนี้มีน้ำตกหลายแห่งในประเทศไทย ที่ไม่เคยขาดน้ำเลยแม้ในช่วงฤดูแล้ง แต่กลับต้องเหือดแห้งไม่มีน้ำเลยสักหยดในหลายแห่ง

ทั้ง ๆ ที่น้ำตกก็คือแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำลำธาร นั่นแหละ

ไม่แน่นะ ในปีหน้าปัญหาภัยแล้งอาจสาหัสกว่านี้ก็ได้ จนประเทศไทยอาจต้องประกาศยกเลิกประเพณีสงกรานต์ไปเลยก็ได้ เพราะแม้แต่น้ำจะกินก็ยังไม่มี ซึ่งในปีนี้ก็มีเกิดขึ้นแล้วในหลาย ๆ จังหวัด ที่ไม่มีการเล่นสาดน้ำสงกรานต์ เพราะแม้แต่น้ำจะกินก็ยังไม่มี

ผมขอหวังว่า ปีนี้ฝนจะมาเร็วและตกสม่ำเสมอเพื่อไปเติมน้ำในเขื่อนให้เยอะ ๆ นะครับ

ไม่งั้นภัยแล้งปีนี้อาจแค่เผาหลอก ส่วนปีหน้าอาจเป็นเผาจริง



กลับมาที่คำถามว่า ประเพณีสงกรานต์แบบเอามัน สมควรอนุรักษ์ไว้ไหม ?

ถ้าถามผมนะ ถึงไม่มีก็ไม่เสียดายเลย แต่ก็อย่างว่า มันคงยกเลิกไม่ได้แล้วล่ะ ประเทศไทยเรามักบ่มปัญหาจนมาไกล จนเลิกจนห้ามอะไรยากไปหมดเสมอ

ฉะนั้นเมื่อยกเลิกไม่ได้ ก็ต้องร่วมช่วยกันทำให้สงกรานต์ของไทยดีขึ้น

ผมจึงอยากให้โรงเรียนต่าง ๆ ควรต้องให้มีการสอนการเล่นสงกรานต์อย่างมีมารยาทและรู้จักกาลเทศะให้นักเรียนได้เข้าใจ เพื่อให้สงกรานต์ของไทยเป็นสงกรานต์ที่สะอาด ปลอดภัย และงดงามมากขึ้นครับ




วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2559

สงกรานต์ 2559 ระวังคนไทยจะต้องอายชาวโลก







บทความนี้ผมขอเรียกว่า เป็นบทความที่ผมขอเสี่ยงเดาทางการนำเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศจากทั่วโลกที่จะต้องมาทำข่าวเทศกาลเล่นน้ำสงกรานต์ของคนไทย

ที่ได้ขึ้นชื่อว่า เป็นเทศกาลเล่นน้ำที่โด่งดังที่สุดในโลกมาหลายสิบปีแล้ว ก็นับตั้งแต่รัฐบาลพลเอกชาติชาย ได้มีมติ ครม. ให้วันหยุดสงกรานต์เป็นวันหยุดราชการยาวติดต่อกันหลายวัน

จากเดิมที่ในอดีตวันสงกรานต์ จะมีวันหยุดราชการเพียงวันเดียวคือ วันที่ 13 เมษายน เท่านั้น

และนับตั้งแต่รัฐบาลชาติชาย ได้ประกาศให้เทศกาลสงกรานต์เป็นวันหยุดยาว ก็ทำให้เกิดเทศกาลเล่นน้ำสงกรานต์อย่างเมามันของคนไทยพัฒนาต่อเนื่องกันเรื่อยมา

โดยเฉพาะรายการเรื่องจริงผ่านจอ ก็จะนำคลิปเหตุการณ์วัยรุ่นทะเลาะกัน ตีกัน และอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์มาให้ดูเพื่อปลงทุกปี

ว่านี่คือประเพณีสงกรานต์ไทยที่ผิดเพี้ยนไปนานแล้ว

--------------

กลับมาที่ประเด็นสำคัญของบทความนี้ก็คือ สงกรานต์ 2559 เกรงคนไทยจะต้องอายชาวโลก

ผมเกรงว่า ปัญหาภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปี 2559 นี้ จนหลายจังหวัดในประเทศไทยวิกฤติหนักถึงขั้นแม้แต่น้ำจะกินก็ยังแทบไม่มี น้ำน้ำประปาในหลายเขตจะต้องหยุดจ่ายน้ำ หรือต้องจ่ายน้ำเป็นเวลา

อย่างล่าสุดก็มีข่าวว่า ที่จังหวัดชัยภูมิ ชาวนาก็กำลังแย่งน้ำกับชาวบ้าน เพราะชาวนาต้องการกักน้ำเพื่อเอาไว้ทำนา ด้วยการไม่ให้น้ำดิบไหลส่งไปที่การประปาภูมิภาคเพื่อผลิตน้ำประปา จนเกิดการแย่งชิงน้ำดิบระหว่างชาวนากับชาวบ้าน

ซึ่งสิ่งที่ผมกลัวในเทศกาลสงกรานต์ 2559 ของไทยนั้นก็คือ

กลัวว่า สำนักข่าวต่างประเทศจะนำเสนอข่าวถึงความแตกต่างกันสุดขั้วของคนไทยในเมือง(ทุกจังหวัด) เล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างเมามัน แต่ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในชนบทของประเทศแทบไม่มีน้ำจะดื่มกิน

ผมเกรงว่า สำนักข่าวต่างประเทศจะตีข่าวทำนองว่า คนไทยบ้าเล่นน้ำสงกรานต์อย่างเมามัน โดยไม่สนใจว่า น้ำประปาอาจจะไม่มีใช้ไปตลอดรอดฝั่งในช่วงหน้าแล้ง

ทั้ง ๆ ที่ ทางเขื่อนใหญ่ของไทยทางภาคเหนือ ได้ประมาณการไว้แล้วว่า คนกรุงเทพฯ อาจจะมีน้ำประปาใช้ได้ถึงแค่ประมาณสิ้นเดือนกรกฎาคมเท่านั้น และน้ำดิบที่ส่งลงมาผลักดันน้ำเค็มและเพื่อผลิตน้ำประปา ก็มีไว้ให้เพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างจำเป็นเท่านั้น

น้ำไม่ได้ถูกส่งมาให้คนกรุงเทพฯ เพื่อเล่นสาดน้ำกันอย่างเมามัน

ผมกลัวว่าสำนักข่าวต่างประเทศจะเอาภาพที่คอนทราสกันอย่างรุนแรงของคนไทยมาเปรียบเทียบกันเช่น ภาพความแห้งแล้งของคนในชนบท เปรียบเทียบกับภาพของคนในเมืองเล่นสาดน้ำเล่นสงกรานต์อย่างเมามัน เป็นต้น






ในบทความเรื่อง ปี 2559 ทำไมคนกรุงเทพต้องช่วยกันประหยัดน้ำ ผมเคยเขียนอธิบายไปแล้วว่า น้ำดิบที่ส่งมาจากเขื่อนทางภาคเหนือเพื่อไล่น้ำเค็มที่หนุนสูง อาจจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ อาจมีแรงน้ำที่ผลักดันน้ำเค็มไม่พอในบางวัน

ซึ่งอาจทำให้มีบางเวลาน้ำเค็มจะหนุนไปถึง ตำบลสำแล จุดรับน้ำดิบของการประปานครหลวง ซึ่งจะมีผลทำให้ผลิตน้ำประปาได้น้อยลง และทำให้ กปน.จะต้องจ่ายน้ำประปาลดลง จนน้ำประปาจะไหลอ่อนลงในหลายพื้นที่

ซึ่งเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้เกิดน้ำเค็มหนุนสูงถึงตำบลสำแลมาแล้ว ตามข่าวนี้



แม้ว่าตอนนี้คนกรุงเทพฯ จะยังไม่ขาดแคลนน้ำประปา แต่อีก 3 เดือนข้างหน้าก็ไม่แน่ !!

แต่ข่าวล่าสุด นักวิชาการจาก TDRI ได้คาดการณ์ว่า น้ำประปาของคนกรุงเทพฯ อาจมีพอใช้ได้ไม่ถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2559 แล้วล่ะ เพราะหากฝนยังทิ้งช่วงต่อไปถึงในตอนนั้น

เพราะในเดือนพฤษภาคม ชาวนาในที่ลุ่มภาคกลางก็จะเริ่มฤดูกาลทำนาปีแล้ว ซึ่งคงยากที่จะห้ามชาวนาส่วนใหญ่ไม่ไห้ทำนาอีก เพราะรัฐบาลได้เคยห้ามชาวนาทำนาปรังมาแล้ว

-------------------

สรปบทความ

คือเทศกาลสงกรานต์ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งความสุขและสำคัญของคนไทย ก็คงไปห้ามไม่ให้เล่นน้ำไม่ได้หรอก

แต่ก็ควรจะเล่นกันพอหอมปากหอมคอกันพอประมาณ

ไม่ใช่เล่นกันอย่างเมามันทั้งวัน เปียกแล้วเปียกอีก เล่นแบบไม่เห็นใจคนไทยที่เขากำลังขาดแคลนน้ำกันเลย

แล้วถ้าสำนักข่าวต่างประเทศ เขาเกิดทำสกู๊ปข่าวว่า คนไทยเห็นความสำคัญของน้ำสำหรับเอามาสาดเล่นกัน มากกว่ามีน้ำกินน้ำใช้ไปตลอดรอดฝั่งในช่วงหน้าแล้งล่ะก็

ผมว่า งานนี้เราคนไทยก็เตรียมใจขายขี้หน้าชาวโลกได้เลย

แต่ผมก็หวังนะว่า คงไม่มีสำนักข่าวต่างประเทศไหนมาทำสกู๊ปข่าวแบบที่ผมกลัว

เพราะผมก็ไม่อยากให้คนต่างชาติเขามาดูถูกคนไทยว่า คิดไม่เป็น ที่มัวแต่เห็นแก่ความสนุกชั่วคราวมากกว่ากลัวการขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ในภายหน้า

ซึ่งมันจะบ่งบอกได้เลยว่า ทำไมประเทศไทยถึงไม่เจริญ นั่นก็เพราะ คนไทยคิดไม่เป็นนั่นเอง

ผมไม่อยากให้ใครมาดูถูกคนไทย ก็เลยเขียนบทความเตือนสติกันไว้ก่อน

จะได้เล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างผู้มีปัญญา รู้จักสนุกกันแบบพอประมาณ พอหอมปากหอมคอ และรู้จักเห็นใจคนที่เขากำลังเดิอดร้อนเรื่องขาดแคลนน้ำอยู่ในขณะนี้ แล้วเราจะได้รักษาประเพณีสงกรานต์แบบที่งดงามเอาไว้ด้วยครับ

คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล
รายงานว่า องค์การอนามัยโลกบอก คนไทยใช้น้ำเฉลี่ยคนละ 200 ลิตร/วัน แต่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่าน ๆ มา คนไทยจะใช้น้ำเพิ่มขึ้นกว่าปกติ 3 เท่า

ทีนี้ผมมานึกมุมกลับเล่น ๆ นะ ถ้าสมมุติคนไทยรักชาติเหมือนที่คนญี่ปุ่นรักชาติ

ถ้าอยู่ ๆ คนไทยพร้อมใจกันทั้งประเทศ ยอมเสียสละไม่เล่นน้ำสงรานต์กันเลย ทุกจังหวัด

รับรองจะกลายเป็นข่าวใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ของโลกเลย เชื่อไหม

คลิกอ่าน ปี 2559 ทำไมคนกรุงเทพฯ ต้องช่วยกันประหยัดน้ำ




วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

ผมเข้าใจนะว่า ทำไมโป๊ปฟรานซิส ถึงจุมพิตเท้าของผู้ลี้ภัยมุสลิม









จากข่าว ที่มีรูปสมเด็จพระสันตะปาปา แห่งนิกายคาทอลิค ทรงจูบเท้าผู้อพยพต่างศาสนาและต่างผิวพรรณกับพระองค์ ก็มีผู้คนทั้งแสดงความเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และมีบางคนก็กล่าวหาว่า พระองค์ทรงเสแสร้งเพื่อสร้างภาพ

ก่อนอื่นผมขอให้คุณผู้อ่าน ได้อ่านข่าวและชมคลิปก่อนครับ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสก้มลงล้างและจูบบนเท้าของผู้ลี้ภัยชาวมุสลิม พร้อมกล่าว"เราเป็นบุตรจากพระเจ้าองค์เดียวกัน" 

สำนักข่าวต่างประเทศได้เผยอีกหนึ่งภาพประทับใจ เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสที่ 1 ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก ได้เสด็จเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยในกรุงโรม ประเทศอิตาลี พร้อมจัดพิธีล้างเท้าให้แก่ผู้ลี้ภัย 11 คน ซึ่งมีทั้งที่นับถือศาสนาอิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และคริสต์ เพื่อแสดงสัญญะละลายความเกลียดชัง ของคนทั่วโลกต่อชนชาติมุสลิมและผู้ลี้ภัย

รายงานระบุว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ทรงล้างเท้าของผู้ลี้ภัยด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะก้มลงจูบอย่างทะนุถนอม

โดยพระองค์ทรงกล่าวว่า "เราเป็นบุตรจากพระเจ้าองค์เดียวกัน เราล้วนมีวัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่างกัน แต่เราทั้งหมดเป็นพี่น้องกันและต้องการใช้ชีวิตอย่างสันติสุข"

ที่มา qz

คลิปองค์โป๊ปทรงจูบเท้าผู้อพยพ



สำหรับความเห็นผม

ผมเข้าใจในสิ่งที่โป๊ปฟรานซิสทรงกระทำนะ ถ้าเราอ่านจากเนื้อข่าว ก็ได้เขียนไว้แล้วว่า คือ สัญญะละลายความเกลียดชังของผู้คนทั่วโลกต่อชนชาติมุสลิมและผู้ลี้ภัย (สัญญะ คือ sign of God)

ซึ่งพวกเราคงรู้กันมาช้านานแล้วว่า ในอดีตพวกชนผิวขาวอย่างชาวยุโรปและชาวอเมริกัน ได้มีการเหยียดสีผิว และนำพวกชาวอาฟริกามาเป็นทาสใช้แรงงานอย่างทารุณ

แม้ภายหลังการมีแรงงานทาส ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การเหยียดผิวในสังคมคนผิวขาวก็ยังคงหลงเหลืออยู่

แล้วยิ่งมีวิกฤติผู้อพยพจากทวีปอาฟริกา จากตะวันออกกลาง และจากเอเซีย หลั่งไหลเข้าไปในยุโรปและสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ก็ยิ่งสร้างความรังเกียจคนต่างชาติต่างศาสนา ต่างผิวพรรณ ย้อนกลับมาอีกครั้ง

ในเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งถือเป็นผู้นำศาสนาและถือเป็นผู้นำของคนผิวขาวด้วยคนหนึ่ง

ในเมื่อคนผิวขาวยังให้ความเคารพรักต่อพระองค์ พระองค์จึงทรงกระทำการละลายความเกลียดชังในหมู่คนทั้งโลก ด้วยการล้างเท้าและจุมพิตเท้าให้กับผู้อพยพที่ต่างศาสนา ต่างสีผิวกับพระองค์

เพื่อจะบอกว่า พวกเราแม้ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างผิวพรรณกัน แต่พวกเราก็มีพระเจ้าองค์เดียวกัน

เมื่อคนผิวขาวแสดงความเคารพต่อองค์สันตะปาปาได้ แล้วการที่องค์สันตะปาปาทรงก้มลงจูบเท้าผู้อพยพได้ ก็เพื่อแสดงถึง ความเท่าเทียมกันของผู้คนภายใต้พระเนตรของพระเจ้า

การจูบเท้าผู้อพยพขององค์สันตะปาปาอาจดูแรงเกินไป แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องการเหยียดผิวของพวกฝรั่งผิวขาวที่ผ่าน ๆ มา

ผมว่า มันก็ต้องเจอการละลายพฤติกรรมแบบแรง ๆ อย่างนี้แหละครับ ถึงจะเหมาะสม

--------------------------

การกราบเท้าของคนไทย

พวกร่าน ชื่อเต็ม ๆ คือ ลิเบอร์ร่าน หรือพวกเกลียดชังวัฒนธรรมไทย อ้างเรื่องความเท่าเทียมกันแบบโง่ ๆ พวกนี้พยายามสร้างความเกลียดชังในประเพณีวัฒนธรรมไทยทุกรูปแบบ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกราบเท้า ซึ่งพวกร่านจะแอนตี้มาก ๆ หาว่า ทำให้คนเราไม่เท่าเทียมกัน

สำหรับการกราบเท้าของคนไทยนั้น ผมเชื่อโดยส่วนตัวว่า น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย

เพราะถ้าเราดูหนังดูซีรีย์อินเดียเป็นประจำ เรามักจะเห็นว่า การทำความเคารพอย่างสูงสุดต่อผู้ใหญ่หรือผู้มีพระคุณ ชาวอินเดียเขาจะใช้วิธีก้มหน้าลงจนแทบจะจูบเท้าผู้ใหญ่ แล้วนำมือแตะไปที่เท้าของผู้ใหญ่ที่เคารพ แล้วนำมือที่แตะเท้าผู้ใหญ่มาแตะบนหัวของผู้ทำความเคารพอีกครั้ง

จากการราบเท้าแบบไทย การก้มหัวแนบพื้นแบบญี่ปุ่นและเกาหลี และการก้มแตะเท้าผู้ใหญ่แล้วแตะหัวผู้ทำความเคารพแบบคนอินเดีย มาจนถึงการจูบเท้าผู้อพยพของโป๊ป

เราอาจเทียบเคียงได้ว่า หากคนเราเท่าเทียมกันจริง ๆ จะไปถือสาให้หนักทำไมว่า การกระทำแบบนี้ถือว่าไม่สมควรทำ เพราะเขามีฐานะต่ำต้อยกว่าเรา หรือเขาฐานะสูงกว่าเรา

อย่างประเพณีการกราบของคนไทย เราก็ยังไหว้เฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้มีพระคุณ หรือผู้ที่เราเคารพนับถือเท่านั้น จริงไหม ?

ส่วนการกระทำของพระสันตะปาปา นี่คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของพระองค์ เพื่อแสดงให้คนทั้งโลกตระหนักรู้ถึงความเท่าเทียมกันของมนุษย์ และขอให้เลิกเกลียดชังกัน

โป๊ปจึงเจตนาจูบไปตรงที่ ๆ ต่ำที่สุดก็คือ เท้าของผู้อพยพ ที่ผู้คนอาจรังเกียจว่า มีฐานะต่ำต้อยกว่า ยากจนกว่าตน เพื่อจะบอกว่า แม้แต่สิ่งที่ต่ำที่สุดของมนุษย์ทุกคน พระองค์ยังจูบได้ แล้วนับประสาอะไรกับการยกย่องผู้อื่นให้เท่าเทียมกับเราแค่เนี้ย เราจะกระทำไม่ได้

แล้วการยกย่องให้ใครสูงกว่าเราได้ ย่อมถือว่า เป็นผู้ถ่อมตน เหมือนที่โป๊ปกระทำต่อผู้อพยพในเชิงสัญลักษณ์ว่า โป๊ปแม้จะสูงถึงตำแหน่งผู้นำศาสนานิกายคาทอลิค แต่พระองค์ก็กล้าที่จะยกย่องผู้อื่นให้สูงกว่าตนก็ได้ ด้วยการจูบเท้าเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์นี้ หรือจะเรียกว่า คือ "ยาแรงของโป๊ป" ก็ได้

สำหรับผมนะ ถือว่า การจูบเท้าผู้อพยพของสมเด็จพระสันตะปาปา ถือเป็นการการะทำที่ยิ่งใหญ่มากครับ

สำหรับความคิดเห็นของผมคงมีเท่านี้ ส่วนด้านล่างคือเนื้อหาในส่วนคัมภีร์พระคริสต์ ภาคพันธะสัญญาใหม่ ฉบับพระวรสารยอห์น

--------------------

พระวรสารยอห์น ยน 13.1-15 การล้างเท้า (โดยพระเยซู)

ถนนในปาเลสไตน์ไม่ได้ลาดยางหรือปูอิฐเหมือนในปัจจุบัน จึงเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเป็นนิ้วในฤดูแล้งและโคลนตมหนาเตอะในฤดูฝน กอปรกับชาวบ้านทั่วไปสวมรองเท้าแตะจึงไม่มีสิ่งใดปกป้องเท้าจากฝุ่นหรือโคลน ด้วยเหตุนี้ที่หน้าประตูบ้านจึงมักมีโอ่งน้ำใหญ่และคนใช้ยืนถือคนโทและผ้าเช็ดตัว คอยล้างเท้าให้แขกก่อนเข้าบ้าน

แต่คณะของพระเยซูเจ้า ไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน ไหนเลยจะมีคนใช้คอยติดตามล้างเท้า บรรดาศิษย์จึงต้องผลัดเวรกันล้างเท้าให้พระอาจารย์และพวกเดียวกันเอง

เป็นไปได้ว่าก่อนงานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย บรรดาศิษย์โต้เถียงและแย่งชิงกันเป็นใหญ่ จึงเกี่ยงกันล้างเท้าซึ่งเป็นงานอันต่ำต้อย 

การโต้เถียงนี้คงติดพันไปถึงเวลารับประทานอาหารเพราะลูกาเล่าว่า “บรรดาศิษย์โต้เถียงกันว่า ในกลุ่มของตนผู้ใดควรได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุด” (ลก 22:24)

พระเยซูเจ้า จึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะ ทรงถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผ้าเช็ดตัวคาดสะเอว แล้วทรงเทน้ำลงในอ่าง เริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์และใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้ (ยน 13:4-5)

เมื่อทรงล้างเท้าของบรรดาศิษย์เสร็จแล้ว พระองค์เสด็จกลับไปที่โต๊ะ ตรัสว่า “ท่านเข้าใจไหมว่าเราทำอะไรให้ท่าน ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในเมื่อเราซึ่งเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ยังล้างเท้าให้ท่าน ท่านก็ต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว ท่านจะได้ทำเหมือนกับที่เราทำกับท่าน” (ยน 13:12-15)

“แบบอย่าง” ที่พระองค์ทรงวางไว้ให้เราทุกคน คือ

1. ความรักทำได้ทุกสิ่ง

ยอห์นเล่าว่า “ก่อนวันฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่จะทรงจากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดา” (ยน 13:1)

จริงอยู่ พระองค์กำลังจะจากโลกนี้ไป แต่เป็นการจากไปเพื่อ “เฝ้าพระบิดา” ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุด !

สำหรับผู้ที่กำลังจะรับเกียรติยศสูงสุดเช่นนี้ หัวใจน่าจะหยิ่งลำพองแบบสุด ๆ แต่พระเยซูเจ้ากลับสุภาพถ่อมตนแบบสุด ๆ

พระองค์ทรงล้างเท้า ! ล้างเท้าซึ่งเป็นงานของทาสและคนใช้

อีกทั้งเท้าที่ล้างก็ไม่ใช่ของผู้มีอำนาจวาสนา แต่เป็นเท้าของบรรดาศิษย์ซึ่งไม่อยู่เหนืออาจารย์

พระองค์ทรงถ่อมตนลงมาทำหน้าที่อันต่ำต้อยเช่นนี้ได้ก็เพราะ “ทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุด” (ยน 13:1)

เป็น “ความรัก” ที่ทำให้พระองค์กระทำดังนี้ได้
เป็น “ความรัก” ที่ทำให้สิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เกิดขึ้นได้
เป็น “ความรัก” ที่ทำให้สิ่งที่เราคิดว่ายาก เป็นเรื่องง่าย

ข้อพิสูจน์คือ เวลาคนรักของเราเจ็บป่วย เราสามารถอดทนดูแลและรับใช้เขาได้แม้จะต้องทำงานหนักและสกปรกปานใดก็ตาม

แต่ถ้าไม่มี “ความรัก” อยู่ในหัวใจ เราจะมองเห็นแต่ตัวเอง ถือว่าตัวเองดีและสำคัญเกินกว่าจะรับใช้ผู้อื่นหรือถ่อมตนลงมาทำแบบพระเยซูเจ้า !!

มีแต่ “ความรัก” เท่านั้นที่ทำได้ทุกสิ่ง


2. ชีวิตสนิทกับพระเจ้าคือบ่อเกิดของการรับใช้

ยอห์นเล่าว่า “พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว และทรงทราบว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า และกำลังเสด็จกลับไปหาพระเจ้า” (ยน 13:3)

สิ่งที่พระองค์ทรงทราบคือ “พระองค์ทรงมาจากพระเจ้า และกำลังเสด็จกลับไปหาพระเจ้า”

ไม่มีครั้งใดอีกแล้วที่พระองค์จะรู้สึกสนิทชิดใกล้กับพระเจ้าเท่าโอกาสนี้ !

แต่แทนที่ความใกล้ชิดกับพระเจ้าจะทำให้พระองค์แยกตัวอยู่เหนือมนุษย์ และดูหมิ่นเหยียดหยามมนุษย์ผู้ต่ำต้อย พระองค์กลับถ่อมตนลงใกล้ชิดมนุษย์ถึงขนาดรับใช้ด้วยการล้างเท้าให้พวกเขา

แปลว่า “ยิ่งใกล้ชิดพระเจ้ามากเท่าใด ยิ่งรับใช้ผู้อื่นได้มากเท่านั้น” !


3. ต้องรักแม้แต่ศัตรู

พระเยซูเจ้าทรงทราบว่ามีคนกำลังจะทรยศพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายสะอาด แต่ไม่ทุกคน” (ยน 13:11)

ยูดาส อิสคาริโอท คือผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์ซึ่งส่งผลรุ่นแรงถึงขั้นต้องสังเวยด้วยชีวิตของพระองค์เอง

หากเราถูกทรยศ คงรู้สึกขมขื่น เจ็บปวด โกรธแค้น เกลียดชัง และพร้อมจะตอบโต้ด้วยความรุนแรงทุกเมื่อ

แต่พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับผู้ทรยศด้วยความสุภาพถ่อมตน และทรงรักเขาจนถึงที่สุด

พระองค์ทรงล้างเท้าให้ผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์ !


4. ศีลล้างบาปมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรว่า “สิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง” (ยน 13:7)

สิ่งที่เปโตรและเราเข้าใจในภายหลังคือ “ศีลล้างบาป”

และเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา” (ยน
13:8) 

สิ่งที่เข้าใจได้ในภายหลังคือ “ถ้าท่านไม่รับศีลล้างบาป ท่านจะไม่มีส่วนในพระศาสนจักรของเรา”

ด้วยเกรงว่าจะถูกตัดขาดจากพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์ เปโตรจึงทูลว่า “พระเจ้าข้า อย่าล้างเฉพาะเท้าเท่านั้น แต่ล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” (ยน 13:9)

พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า” (ยน 13:10)

ปกติ ชาวยิวนิยมอาบน้ำก่อนออกจากบ้านไปร่วมงานเลี้ยง เขาจึงไม่ต้องอาบน้ำที่บ้านของเจ้าภาพอีก สิ่งเดียวที่จำเป็นต้องทำคือ “ล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน”

เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า” จึงหมายความว่า “ท่านอาบน้ำเองที่บ้านก็ได้

แต่สิ่งที่ท่านต้องให้เราทำคือ ‘พิธีล้างเพื่อเข้าสู่พระศาสนจักร’ ถ้าท่านไม่ยอมให้เราล้าง ก็แสดงว่าท่านหยิ่งจองหองเกินกว่าจะยอมเข้าพระศาสนจักร โดยผ่านทางศีลล้างบาป”

หากผู้ใดรู้และมีโอกาสแต่ไม่ยอมรับศีลล้างบาป เพราะความหยิ่งจองหองของตนเอง ความหยิ่งจองหองนั้นจะทำให้เขาถูกตัดขาดจากสังคมของผู้มีความเชื่อโดยสิ้นเชิง !

และนี่คือการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต !!!

ที่มา http://goo.gl/AwPSDs

คลิกอ่าน ปวิน ชัชชาลพงษ์พันธ์ ตุ๊ดใจหยาบโชว์โง่กรณีหมอบคลาน กราบเป็นเรื่องป่าเถื่อน