วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

ผมเข้าใจนะว่า ทำไมโป๊ปฟรานซิส ถึงจุมพิตเท้าของผู้ลี้ภัยมุสลิม









จากข่าว ที่มีรูปสมเด็จพระสันตะปาปา แห่งนิกายคาทอลิค ทรงจูบเท้าผู้อพยพต่างศาสนาและต่างผิวพรรณกับพระองค์ ก็มีผู้คนทั้งแสดงความเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และมีบางคนก็กล่าวหาว่า พระองค์ทรงเสแสร้งเพื่อสร้างภาพ

ก่อนอื่นผมขอให้คุณผู้อ่าน ได้อ่านข่าวและชมคลิปก่อนครับ

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสก้มลงล้างและจูบบนเท้าของผู้ลี้ภัยชาวมุสลิม พร้อมกล่าว"เราเป็นบุตรจากพระเจ้าองค์เดียวกัน" 

สำนักข่าวต่างประเทศได้เผยอีกหนึ่งภาพประทับใจ เมื่อสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสที่ 1 ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั่วโลก ได้เสด็จเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยในกรุงโรม ประเทศอิตาลี พร้อมจัดพิธีล้างเท้าให้แก่ผู้ลี้ภัย 11 คน ซึ่งมีทั้งที่นับถือศาสนาอิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และคริสต์ เพื่อแสดงสัญญะละลายความเกลียดชัง ของคนทั่วโลกต่อชนชาติมุสลิมและผู้ลี้ภัย

รายงานระบุว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ทรงล้างเท้าของผู้ลี้ภัยด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะก้มลงจูบอย่างทะนุถนอม

โดยพระองค์ทรงกล่าวว่า "เราเป็นบุตรจากพระเจ้าองค์เดียวกัน เราล้วนมีวัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่างกัน แต่เราทั้งหมดเป็นพี่น้องกันและต้องการใช้ชีวิตอย่างสันติสุข"

ที่มา qz

คลิปองค์โป๊ปทรงจูบเท้าผู้อพยพ



สำหรับความเห็นผม

ผมเข้าใจในสิ่งที่โป๊ปฟรานซิสทรงกระทำนะ ถ้าเราอ่านจากเนื้อข่าว ก็ได้เขียนไว้แล้วว่า คือ สัญญะละลายความเกลียดชังของผู้คนทั่วโลกต่อชนชาติมุสลิมและผู้ลี้ภัย (สัญญะ คือ sign of God)

ซึ่งพวกเราคงรู้กันมาช้านานแล้วว่า ในอดีตพวกชนผิวขาวอย่างชาวยุโรปและชาวอเมริกัน ได้มีการเหยียดสีผิว และนำพวกชาวอาฟริกามาเป็นทาสใช้แรงงานอย่างทารุณ

แม้ภายหลังการมีแรงงานทาส ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่การเหยียดผิวในสังคมคนผิวขาวก็ยังคงหลงเหลืออยู่

แล้วยิ่งมีวิกฤติผู้อพยพจากทวีปอาฟริกา จากตะวันออกกลาง และจากเอเซีย หลั่งไหลเข้าไปในยุโรปและสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก ก็ยิ่งสร้างความรังเกียจคนต่างชาติต่างศาสนา ต่างผิวพรรณ ย้อนกลับมาอีกครั้ง

ในเมื่อสมเด็จพระสันตะปาปา ซึ่งถือเป็นผู้นำศาสนาและถือเป็นผู้นำของคนผิวขาวด้วยคนหนึ่ง

ในเมื่อคนผิวขาวยังให้ความเคารพรักต่อพระองค์ พระองค์จึงทรงกระทำการละลายความเกลียดชังในหมู่คนทั้งโลก ด้วยการล้างเท้าและจุมพิตเท้าให้กับผู้อพยพที่ต่างศาสนา ต่างสีผิวกับพระองค์

เพื่อจะบอกว่า พวกเราแม้ต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา ต่างผิวพรรณกัน แต่พวกเราก็มีพระเจ้าองค์เดียวกัน

เมื่อคนผิวขาวแสดงความเคารพต่อองค์สันตะปาปาได้ แล้วการที่องค์สันตะปาปาทรงก้มลงจูบเท้าผู้อพยพได้ ก็เพื่อแสดงถึง ความเท่าเทียมกันของผู้คนภายใต้พระเนตรของพระเจ้า

การจูบเท้าผู้อพยพขององค์สันตะปาปาอาจดูแรงเกินไป แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องการเหยียดผิวของพวกฝรั่งผิวขาวที่ผ่าน ๆ มา

ผมว่า มันก็ต้องเจอการละลายพฤติกรรมแบบแรง ๆ อย่างนี้แหละครับ ถึงจะเหมาะสม

--------------------------

การกราบเท้าของคนไทย

พวกร่าน ชื่อเต็ม ๆ คือ ลิเบอร์ร่าน หรือพวกเกลียดชังวัฒนธรรมไทย อ้างเรื่องความเท่าเทียมกันแบบโง่ ๆ พวกนี้พยายามสร้างความเกลียดชังในประเพณีวัฒนธรรมไทยทุกรูปแบบ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกราบเท้า ซึ่งพวกร่านจะแอนตี้มาก ๆ หาว่า ทำให้คนเราไม่เท่าเทียมกัน

สำหรับการกราบเท้าของคนไทยนั้น ผมเชื่อโดยส่วนตัวว่า น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย

เพราะถ้าเราดูหนังดูซีรีย์อินเดียเป็นประจำ เรามักจะเห็นว่า การทำความเคารพอย่างสูงสุดต่อผู้ใหญ่หรือผู้มีพระคุณ ชาวอินเดียเขาจะใช้วิธีก้มหน้าลงจนแทบจะจูบเท้าผู้ใหญ่ แล้วนำมือแตะไปที่เท้าของผู้ใหญ่ที่เคารพ แล้วนำมือที่แตะเท้าผู้ใหญ่มาแตะบนหัวของผู้ทำความเคารพอีกครั้ง

จากการราบเท้าแบบไทย การก้มหัวแนบพื้นแบบญี่ปุ่นและเกาหลี และการก้มแตะเท้าผู้ใหญ่แล้วแตะหัวผู้ทำความเคารพแบบคนอินเดีย มาจนถึงการจูบเท้าผู้อพยพของโป๊ป

เราอาจเทียบเคียงได้ว่า หากคนเราเท่าเทียมกันจริง ๆ จะไปถือสาให้หนักทำไมว่า การกระทำแบบนี้ถือว่าไม่สมควรทำ เพราะเขามีฐานะต่ำต้อยกว่าเรา หรือเขาฐานะสูงกว่าเรา

อย่างประเพณีการกราบของคนไทย เราก็ยังไหว้เฉพาะผู้หลักผู้ใหญ่ หรือผู้มีพระคุณ หรือผู้ที่เราเคารพนับถือเท่านั้น จริงไหม ?

ส่วนการกระทำของพระสันตะปาปา นี่คือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของพระองค์ เพื่อแสดงให้คนทั้งโลกตระหนักรู้ถึงความเท่าเทียมกันของมนุษย์ และขอให้เลิกเกลียดชังกัน

โป๊ปจึงเจตนาจูบไปตรงที่ ๆ ต่ำที่สุดก็คือ เท้าของผู้อพยพ ที่ผู้คนอาจรังเกียจว่า มีฐานะต่ำต้อยกว่า ยากจนกว่าตน เพื่อจะบอกว่า แม้แต่สิ่งที่ต่ำที่สุดของมนุษย์ทุกคน พระองค์ยังจูบได้ แล้วนับประสาอะไรกับการยกย่องผู้อื่นให้เท่าเทียมกับเราแค่เนี้ย เราจะกระทำไม่ได้

แล้วการยกย่องให้ใครสูงกว่าเราได้ ย่อมถือว่า เป็นผู้ถ่อมตน เหมือนที่โป๊ปกระทำต่อผู้อพยพในเชิงสัญลักษณ์ว่า โป๊ปแม้จะสูงถึงตำแหน่งผู้นำศาสนานิกายคาทอลิค แต่พระองค์ก็กล้าที่จะยกย่องผู้อื่นให้สูงกว่าตนก็ได้ ด้วยการจูบเท้าเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์นี้ หรือจะเรียกว่า คือ "ยาแรงของโป๊ป" ก็ได้

สำหรับผมนะ ถือว่า การจูบเท้าผู้อพยพของสมเด็จพระสันตะปาปา ถือเป็นการการะทำที่ยิ่งใหญ่มากครับ

สำหรับความคิดเห็นของผมคงมีเท่านี้ ส่วนด้านล่างคือเนื้อหาในส่วนคัมภีร์พระคริสต์ ภาคพันธะสัญญาใหม่ ฉบับพระวรสารยอห์น

--------------------

พระวรสารยอห์น ยน 13.1-15 การล้างเท้า (โดยพระเยซู)

ถนนในปาเลสไตน์ไม่ได้ลาดยางหรือปูอิฐเหมือนในปัจจุบัน จึงเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเป็นนิ้วในฤดูแล้งและโคลนตมหนาเตอะในฤดูฝน กอปรกับชาวบ้านทั่วไปสวมรองเท้าแตะจึงไม่มีสิ่งใดปกป้องเท้าจากฝุ่นหรือโคลน ด้วยเหตุนี้ที่หน้าประตูบ้านจึงมักมีโอ่งน้ำใหญ่และคนใช้ยืนถือคนโทและผ้าเช็ดตัว คอยล้างเท้าให้แขกก่อนเข้าบ้าน

แต่คณะของพระเยซูเจ้า ไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน ไหนเลยจะมีคนใช้คอยติดตามล้างเท้า บรรดาศิษย์จึงต้องผลัดเวรกันล้างเท้าให้พระอาจารย์และพวกเดียวกันเอง

เป็นไปได้ว่าก่อนงานเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย บรรดาศิษย์โต้เถียงและแย่งชิงกันเป็นใหญ่ จึงเกี่ยงกันล้างเท้าซึ่งเป็นงานอันต่ำต้อย 

การโต้เถียงนี้คงติดพันไปถึงเวลารับประทานอาหารเพราะลูกาเล่าว่า “บรรดาศิษย์โต้เถียงกันว่า ในกลุ่มของตนผู้ใดควรได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่ที่สุด” (ลก 22:24)

พระเยซูเจ้า จึงทรงลุกขึ้นจากโต๊ะ ทรงถอดเสื้อคลุมออกวางไว้ ทรงใช้ผ้าเช็ดตัวคาดสะเอว แล้วทรงเทน้ำลงในอ่าง เริ่มล้างเท้าบรรดาศิษย์และใช้ผ้าที่คาดสะเอวเช็ดให้ (ยน 13:4-5)

เมื่อทรงล้างเท้าของบรรดาศิษย์เสร็จแล้ว พระองค์เสด็จกลับไปที่โต๊ะ ตรัสว่า “ท่านเข้าใจไหมว่าเราทำอะไรให้ท่าน ท่านทั้งหลายเรียกเราว่าอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในเมื่อเราซึ่งเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ยังล้างเท้าให้ท่าน ท่านก็ต้องล้างเท้าให้กันและกันด้วย เราวางแบบอย่างไว้ให้แล้ว ท่านจะได้ทำเหมือนกับที่เราทำกับท่าน” (ยน 13:12-15)

“แบบอย่าง” ที่พระองค์ทรงวางไว้ให้เราทุกคน คือ

1. ความรักทำได้ทุกสิ่ง

ยอห์นเล่าว่า “ก่อนวันฉลองปัสกา พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่จะทรงจากโลกนี้ไปเฝ้าพระบิดา” (ยน 13:1)

จริงอยู่ พระองค์กำลังจะจากโลกนี้ไป แต่เป็นการจากไปเพื่อ “เฝ้าพระบิดา” ซึ่งเป็นเกียรติยศสูงสุด !

สำหรับผู้ที่กำลังจะรับเกียรติยศสูงสุดเช่นนี้ หัวใจน่าจะหยิ่งลำพองแบบสุด ๆ แต่พระเยซูเจ้ากลับสุภาพถ่อมตนแบบสุด ๆ

พระองค์ทรงล้างเท้า ! ล้างเท้าซึ่งเป็นงานของทาสและคนใช้

อีกทั้งเท้าที่ล้างก็ไม่ใช่ของผู้มีอำนาจวาสนา แต่เป็นเท้าของบรรดาศิษย์ซึ่งไม่อยู่เหนืออาจารย์

พระองค์ทรงถ่อมตนลงมาทำหน้าที่อันต่ำต้อยเช่นนี้ได้ก็เพราะ “ทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุด” (ยน 13:1)

เป็น “ความรัก” ที่ทำให้พระองค์กระทำดังนี้ได้
เป็น “ความรัก” ที่ทำให้สิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เกิดขึ้นได้
เป็น “ความรัก” ที่ทำให้สิ่งที่เราคิดว่ายาก เป็นเรื่องง่าย

ข้อพิสูจน์คือ เวลาคนรักของเราเจ็บป่วย เราสามารถอดทนดูแลและรับใช้เขาได้แม้จะต้องทำงานหนักและสกปรกปานใดก็ตาม

แต่ถ้าไม่มี “ความรัก” อยู่ในหัวใจ เราจะมองเห็นแต่ตัวเอง ถือว่าตัวเองดีและสำคัญเกินกว่าจะรับใช้ผู้อื่นหรือถ่อมตนลงมาทำแบบพระเยซูเจ้า !!

มีแต่ “ความรัก” เท่านั้นที่ทำได้ทุกสิ่ง


2. ชีวิตสนิทกับพระเจ้าคือบ่อเกิดของการรับใช้

ยอห์นเล่าว่า “พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว และทรงทราบว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า และกำลังเสด็จกลับไปหาพระเจ้า” (ยน 13:3)

สิ่งที่พระองค์ทรงทราบคือ “พระองค์ทรงมาจากพระเจ้า และกำลังเสด็จกลับไปหาพระเจ้า”

ไม่มีครั้งใดอีกแล้วที่พระองค์จะรู้สึกสนิทชิดใกล้กับพระเจ้าเท่าโอกาสนี้ !

แต่แทนที่ความใกล้ชิดกับพระเจ้าจะทำให้พระองค์แยกตัวอยู่เหนือมนุษย์ และดูหมิ่นเหยียดหยามมนุษย์ผู้ต่ำต้อย พระองค์กลับถ่อมตนลงใกล้ชิดมนุษย์ถึงขนาดรับใช้ด้วยการล้างเท้าให้พวกเขา

แปลว่า “ยิ่งใกล้ชิดพระเจ้ามากเท่าใด ยิ่งรับใช้ผู้อื่นได้มากเท่านั้น” !


3. ต้องรักแม้แต่ศัตรู

พระเยซูเจ้าทรงทราบว่ามีคนกำลังจะทรยศพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายสะอาด แต่ไม่ทุกคน” (ยน 13:11)

ยูดาส อิสคาริโอท คือผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์ซึ่งส่งผลรุ่นแรงถึงขั้นต้องสังเวยด้วยชีวิตของพระองค์เอง

หากเราถูกทรยศ คงรู้สึกขมขื่น เจ็บปวด โกรธแค้น เกลียดชัง และพร้อมจะตอบโต้ด้วยความรุนแรงทุกเมื่อ

แต่พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับผู้ทรยศด้วยความสุภาพถ่อมตน และทรงรักเขาจนถึงที่สุด

พระองค์ทรงล้างเท้าให้ผู้ที่กำลังจะทรยศพระองค์ !


4. ศีลล้างบาปมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

พระเยซูเจ้าตรัสกับเปโตรว่า “สิ่งที่เราทำอยู่ขณะนี้ ท่านยังไม่เข้าใจ แต่จะเข้าใจในภายหลัง” (ยน 13:7)

สิ่งที่เปโตรและเราเข้าใจในภายหลังคือ “ศีลล้างบาป”

และเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้าท่านไม่ให้เราล้าง ท่านจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา” (ยน
13:8) 

สิ่งที่เข้าใจได้ในภายหลังคือ “ถ้าท่านไม่รับศีลล้างบาป ท่านจะไม่มีส่วนในพระศาสนจักรของเรา”

ด้วยเกรงว่าจะถูกตัดขาดจากพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์ เปโตรจึงทูลว่า “พระเจ้าข้า อย่าล้างเฉพาะเท้าเท่านั้น แต่ล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” (ยน 13:9)

พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า” (ยน 13:10)

ปกติ ชาวยิวนิยมอาบน้ำก่อนออกจากบ้านไปร่วมงานเลี้ยง เขาจึงไม่ต้องอาบน้ำที่บ้านของเจ้าภาพอีก สิ่งเดียวที่จำเป็นต้องทำคือ “ล้างเท้าก่อนเข้าบ้าน”

เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วก็ไม่จำเป็นต้องล้างอะไรอีกนอกจากเท้า” จึงหมายความว่า “ท่านอาบน้ำเองที่บ้านก็ได้

แต่สิ่งที่ท่านต้องให้เราทำคือ ‘พิธีล้างเพื่อเข้าสู่พระศาสนจักร’ ถ้าท่านไม่ยอมให้เราล้าง ก็แสดงว่าท่านหยิ่งจองหองเกินกว่าจะยอมเข้าพระศาสนจักร โดยผ่านทางศีลล้างบาป”

หากผู้ใดรู้และมีโอกาสแต่ไม่ยอมรับศีลล้างบาป เพราะความหยิ่งจองหองของตนเอง ความหยิ่งจองหองนั้นจะทำให้เขาถูกตัดขาดจากสังคมของผู้มีความเชื่อโดยสิ้นเชิง !

และนี่คือการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต !!!

ที่มา http://goo.gl/AwPSDs

คลิกอ่าน ปวิน ชัชชาลพงษ์พันธ์ ตุ๊ดใจหยาบโชว์โง่กรณีหมอบคลาน กราบเป็นเรื่องป่าเถื่อน



วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตรรกะวิบัติทีมสรยุทธ กับปัญหาคำพิพากษาศาลชั้นต้น








สำหรับคดีสรยุทธ ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุก 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญา นั้น

ฝ่ายที่เชียร์สรยุทธได้แห่ออกมาใช้ตรรกะวิบัติและโง่ ๆ หลายกรณี แต่กรณีที่สำคัญที่สุดคือ การอ้างเหตุผลว่า สรยุทธยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะคดียังไม่สิ้นสุด

นี่คือการอ้างเหตุผลที่โง่มาก และไม่ได้มีความรู้เรื่องกระบวนการยุติธรรมเลย เพราะอ้างบนพื้นฐานความเชื่อของตัวเองที่ว่า คำตัดสินของศาลชั้นต้นยังไม่มีผลทางคดี  สรยุทธจึงยังไม่มีความผิด เพราะเป็นแค่คำตัดสินของศาลชั้นต้นเท่านั้น



ผมขอถามง่าย ๆ นะว่า ถ้าในทางกลับกัน ถ้าศาลชั้นต้นพิพากษาว่า สรยุทธไม่มีความผิดและได้ยกฟ้อง

ถาม ถ้าเป็นแบบนี้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นจะมีผลไหม ?

ถ้าคำพิพากษาศาลชั้นต้นเกิดตัดสินว่า สรยุทธไม่ผิด สรยุทธก็คงไม่อุทธรณ์ต่อ (ก็พ้นผิดแล้วนี่ จะอุทธรณ์หาหอกอะไร) ก็เท่ากับว่า สรยุทธได้พ้นผิดในคดีนี้โดยสิ้นเชิง (เว้นแต่อัยการฝ่ายโจทก์จะอุทธรณ์คดีต่อ)

แล้วพวกที่อ้างว่า คำตัดสินของศาลชั้นต้นยังไม่มีผล จะต้องกลืนน้ำลายตัวเองหรือไม่ ?

ซึ่งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ตัดสินให้สรยุทธ ต้องโทษจำคุก 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญานั้น

ถ้าหากสรยุทธไม่มีเงินประกันตัววงเงิน 2 ล้านบาทมาประกัน ตอนนี้สรยุทธก็คงไปนอนคุยกับชูวิทย์ในคุกไปแล้ว จริงไหม ?

ฉะนั้น ในกระบวนการยุติธรรมคำพิพากษาในทุกศาล ถือว่า มีผลบังคับใช้ได้ทันทีทั้งสิ้น เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนคำพิพากษาในศาลชั้นต่อไปแล้ว


ความเห็นโง่ ๆ ของอาจารย์สุขุม นวลสกุล หางแดง



ส่วนการที่ให้จำเลยที่ถูกศาลชั้นต้นตัดสินว่ามีความผิดแล้ว ได้มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อนั้น ไม่ได้หมายความว่า เขาจะกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ทันทีนะครับ

เพราะถ้าตราบใดที่จำเลยยังไม่สามารถแก้ต่างให้ตนเอง จนศาลอุทธรณ์เปลี่ยนคำตัดสินให้จำเลยพ้นผิดได้ จำเลยก็ต้องเป็นผู้กระทำผิดต่อไป

ที่กระบวนการยุติธรรมให้มีถึงศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ก็เพื่อให้จำเลยมีโอกาสสู้คดีต่อ เผื่อฝ่ายจำเลยจะหาหลักฐานใหม่มาสู้ เพื่อให้ตนเองพ้นจากความผิดจากคำตัดสินของศาลชั้นต้นได้

สรุปก็คือ ถ้าศาลชั้นต้นตัดสินว่าผิด ก็ต้องถือว่า ผิดไปแล้ว จนกว่าจะเปลี่ยนคำตัดสินใหม่ในชั้นศาลอุทธรณ์ หรือ ศาลฎีกา


มีคำถาม ถามอีกว่า ถ้าศาลอุทธรณ์ให้พ้นผิด แล้วที่เขาตกเป็นจำเลยสังคมว่าเป็นคนผิดในศาลชั้นต้นล่ะ จะว่ายังไง ใครจะชดใช้ให้เขา ?

คำตอบนี้ ต้องตอบว่า การที่ได้พ้นผิดในศาลชั้นต่อไปได้ ก็ถือเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่แล้ว ถ้าจะโทษก็ต้องโทษทีมทนายความและตัวจำเลยเอง ที่หาหลักฐานมาต่อสู้คดีไม่ดีพอหรือไม่เพียงพอ จึงทำให้ศาลชั้นต้นต้องตัดสินว่า จำเลยมีความผิด

และถ้าใครติดคุกอยู่เพราะไม่มีเงินประกันตัวเหมือนมหาเศรษฐีอย่างสรยุทธ หากต่อมาศาลอุทธรณ์ตัดสินให้เขาพ้นผิด ทางกระทรวงยุติธรรมก็จะมีเงินชดใช้ให้ ตามจำนวนเวลาที่ติดคุกไป

ถามว่ามันคุ้มไหม ?

มันไม่คุ้มหรอกครับ แต่ระบบและกระบวนการยุติธรรมมันเป็นแบบนี้ แล้วถ้าจะไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายใครในทางแพ่งต่อไป ที่ทำให้เขาต้องติดคุก ก็สามารถทำได้

ฉะนั้น เราทุกคนต้องเคารพคำตัดสินของศาลในทุกศาล แม้เราอาจไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องเคารพคำตัดสินของศาล

--------------------

ตรรกะโง่ ๆ ของ บก.ลายจุด



งั้นผมขอถามกลับว่า แล้วสรยุทธเสือกหยุดทำรายการทำไมล่ะ ทำไมไม่จัดรายการต่อ ทำไมสรยุทธไม่เชื่อกองเชียร์อย่าง บก.ลายจุด หรือฝ่ายเสื้อแดง จัดรายการต่อไปล่ะ ??

สรยุทธก็ดำเนินรายการหน้าจอต่อไปสิ หยุดทำไมล่ะ คนที่เขาแสดงความเห็นให้สรยุทธหยุด ก็ไม่ต้องไปเชื่อเขา เพราะความเห็นของคนมันไม่ใช่กฎหมาย สรยุทธอยากจัดรายการต่อก็จัดไปสิ ใครจะไปห้ามได้ล่ะ ถามโง่ ๆ นะ บก.ลายจุด

ถามต่อ ถ้าสรยุทธ ไม่มีเงินประกันตัว 2 ล้านบาท ถามว่า ตอนนี้สรยุทธจะไปอยู่ที่ไหน ?

ตอบ สรยุทธก็อยู่ในคุกน่ะสิ

ฉะนั้นคำถามโง่ ๆ ของ บก.ลายจุด ที่ถามว่า ถ้าสรยุทธขายน้ำเต้าหู้แล้วโดนคดีฉ้อโกง สรยุทธต้องหยุดขายน้ำเต้าหู้หรือไม่ ?

ขอตอบให้คนโง่อย่าง บก.ลายจุด ว่า ถ้าคนขายน้ำเต้าหู้ไม่มีเงินประกันตัว ก็ไปสอนนักโทษทำน้ำเต้าหูในคุกได้เลย 555

แต่ความจริง คนเขาไม่ได้เรียกร้องให้สรยุทธเลิกทำมาหากิน แค่ขอให้ยุติบทบาทหน้าจอทีวีชั่วคราวเท่านั้น ส่วนรายการเรื่องเล่าเช้านี้ของสรยุทธก็ยังอยู่เหมือนเดิม

แต่เพราะอาชีพสื่อ มีหน้าที่ต้องรายงานข่าว ซึ่งคนรายงานข่าวต้องมีความน่าเชื่อถือ เพราะไม่เช่นนั้น ก็จะไม่ต่างจากสำนักข่าวกำมะลอ ที่กุข่าว มีให้เห็นตามโลกออนไลน์บ่อย ๆ

เพราะคนรายงานข่าวต้องมีคุณสมบัติสำคัญที่สุดคือ ต้องมีความน่าเชื่อถือ และโปร่งใส จึงจะทำให้ข่าวที่ตนเองรายงานนั้นมีความน่าเชื่อถือไปด้วย

ตัวอย่างง่าย ๆ นะ บก.ลายจุด

ถ้าลูกจ้างของคุณขโมยเงินค่าขายข้าวสารคุณไป 2 แสนบาท แถมคุณไปแจ้งความแล้วด้วย ต่อมาตำรวจไปตามจับได้ ถามว่า คุณจะไปประกันตัวลูกจ้างของคุณ ให้เขากลับมาทำงานให้คุณต่อไปไหม ? 

ถ้าคุณยังตอแหลว่า ยังให้ทำงานต่อไป ก็ตามสบายครับ

แล้วกรณีสรยุทธ นี่ไม่ใช่แค่โกงเงินคนทั่วไปนะ แต่เขาโกงเงินหน่วยงานของรัฐ เข้าข่ายคอร์รัปชัน แถมมีการติดสินบนพนักงาน อสมท. ด้วย 

คนเราไม่ใครถูกหมดหรือผิดหมด เพราะในส่วนดีของเขาเราก็ชื่นชม แต่ในส่วนผิดก็ต้องตำหนิได้ เพราะเขาคือ บุคคลสาธารณะ แถมยังเป็นสื่อด้วย

-----------------

"ถ้ายังให้สื่ออย่างคุณสรยุทธทำงานแบบไร้ยางอาย ถูกตัดสินว่าผิด ยังออกรายการต่อไป ถึงจะเป็นศาลชั้นต้นก็ตาม ทำให้คนไทยเป็นล้านๆ รวมทั้งเยาวชนคิดว่าความผิดเหล่านี้ไม่สำคัญจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อไป การที่ตัวแทนเสื้อแดงบางคนอ้างว่าทำผิดแบบนี้ก็ขายน้ำเต้าหู้ไม่ได้เป็นเหตุผลที่โง่เง่าที่สุด เพราะการขายน้ำเต้าหู้ไม่มีอิทธิพลต่อความคิดของคนจำนวนมากเป็นล้าน ๆ คน นี่คือการแสดงความเห็นที่ขาดเหตุผลและโง่ที่สุดเท่าที่ผมได้เห็นมา" ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์

-----------------------

ตรรกะโง่ ๆ ของหม่อมหลวงปลื้ม



กรณีตรรกะของคุณหน้าปลาดุกปลื้ม ผมขอยกเรื่องขำขันที่ผมเขียนในเฟสมาให้อ่านก่อน

ขำขัน ตอน ตรรกะไอ้ปลาดุกปลื้ม

จนท.สรรพากร "นี่คุณปลื้ม ทางกรมตรวจสอบย้อนหลังพบว่า คุณหลีกเลี่ยงภาษีหลายปีเลยนะ ผมคงต้องสั่งปรับคุณย้อนหลัง 5 เท่า"

ปลื้ม "จะมาปรับผมได้ยังไง ผมไม่ได้เลี่ยงภาษีสักหน่อย ผมแค่ยังจ่ายไม่ครบเท่านั้น"

จนท. "ถถถ!! พ่องง!!"

อย่างกรณีการเลี่ยงภาษี หากเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา เยอรมัน และในประเทศที่เจริญแล้วหลายประเทศ จะไม่ใช่มีแค่โทษปรับเท่านั้น แต่จะมีโทษถึงขั้นจำคุกเลย และมักไม่รอลงอาญาด้วย

จะมาแถว่า "ผมไม่ได้เลี่ยงภาษี ผมแค่ยังจ่ายภาษีไม่ครบในตอนแรก"  ไม่ได้

หมายเหตุ กฎหมายใหม่ของไทยที่เพิ่งประกาศใช้ หากผู้ใดจงใจเลี่ยงภาษี อาจมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 7 ปี ครับ

ส่วนกรณีคดีสรยุทธ เนี่ย ร้ายแรงยิ่งกว่าคดีเลี่ยงภาษีด้วยซ้ำ เพราะมันคือการคอร์รัปชัน

เข้าใจนะคุณหน้าปลาดุก 555

-------------------

สรยุทธ หยุดทำรายการ ไม่ใช่เพราะสำนึกผิด

จากรายงานของสำนักข่าวอิศรา เผยหนังสือคำสั่งของ อสมท. ที่ส่งไปให้ช่อง 3 เพื่อขอให้สรยุทธยุติการดำเนินรายการ คลิกดูหนังสือคำสั่งอสมท.ที่นี่

ดังนั้นการที่สรยุทธหยุดดำเนินรายการ จึงไม่ใช่ความคิดของเขา หรือจิตสำนึกรับผิดชอบของเขาเลย

คลิกอ่าน คดีสรยุทธ กับความโง่ของคนมาตรฐานจริยธรรมต่ำ

คลิกอ่าน คดีรถเบนซ์เถื่อนตาช่วง อาตมาก็แค่รู้เท่าไม่ถึงการณ์