วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

ในหลวงทรงสนับสนุนสร้างเขื่อนแม่วงก์ จริงหรือ ?







ในช่วงเวลานี้ มีการต่อต้านคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ จากประชาชนหลายฝ่าย และในช่วงเดียวกันนี้ ไอ้พวกล้มเจ้า นำโดยไอ้หงอก สมศักดิ์ เจียมธีรสถุล และเว็บไทยอีนิวส์ได้อ้างว่า โครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ในหลวงก็ทรงสนับสนุน โดยพวกล้มเจ้ามันยกข้อมูลจาก สรุปพระราชดำริของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาใช้อ้างตามนี้




ดูโพสของหงอกเจียม !!



-------------------

คำถาม ในหลวงทรงสนับสนุนสร้างเขื่อนแม่วงก์ จริงหรือ ?

ตอบ ไม่จริงครับ แต่เป็นการกล่าวอ้างมั่วนิ่มขึ้นมาเองของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยต้นสายปลายเหตุของข่าวลือนี้ เกิดจากเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2554 รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายธีระ วงศ์สมุทร พร้อมข้าราชการกรมชลประทานได้เข้าเฝ้าในหลวงที่โรงพยาบาลศิริราช



ซึ่งต่อมา กระทรวงเกษตร ได้สรุปพระราชดำริในข้อ ๓.๓ ไว้ว่า

๓.๓ มีรับสั่งถึงประโยชน์ของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีส่วนในการบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างตั้งแต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาลงมา ในการนี้ได้พระราชทานพระราชดำริให้เร่งก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำในที่ราบภาคกลาง โดยเร่งรัดการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ปิดกั้นลำน้ำสะแกกรัง ขนาดความจุ ๒๔๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ที่กรมชลประทานมีแผนจะก่อสร้างเขื่อน"



ซึ่งเอกสารสรุปพระราชดำริของกระทรวงเกษตรในวันที่ 19 กันยายน 2554 ตามเอกสารนี้ คลิกอ่านเอกสาร !!


แต่จากข่าวในพระราชสำนักทุกสื่อ ทุกช่อง ที่ผมได้ตามเช็คดูแล้ว ไม่มีสื่อไหนลงข่าวว่า ในหลวงทรงตรัสให้เร่งสร้างเขื่อนแม่วงก์เลย เพราะจากทุกข่าว ในหลวงทรงตรัสชมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามพระราชดำริเพียง 5 โครงการเท่านั้น คือ

1.โครงการเขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก

2.โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นครศรีธรรมราช จ.พัทลุง จ.สงขลา

3.โครงการพัฒนาลุ่มน้ำก่ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สกลนคร จ.นครพนม

4.โครงการเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก

และในตอนท้ายในหลวงก็ทรงตรัสชมการสร้างเขื่อนขุนด่านปราการชล เท่านั้น

“ครั้งแรกที่ไปเขตนั้นได้คุยกับชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็ยินดีมาก เขาสนับสนุนโครงการนี้อย่างยิ่ง ตามปกติโครงการแบบนี้จะมีการคัดค้านมาก เพราะว่าจะต้องมีปัญหาเรื่องที่ดิน มีปัญหาเรื่องที่ของชาวบ้าน แต่นี้ไม่มีปัญหาเขาเห็นด้วย และคนในท้องที่นั่นเอง ก็เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำโครงการ และโครงการมีประโยชน์จริงๆ การที่ท่านทั้งหลายได้เห็นผลงานของเขื่อนขุนด่านปราการชลนี้ มหัศจรรย์เป็นเขื่อนที่สูง เป็นเขื่อนที่สร้างด้วยวิธีที่ก้าวหน้า ผู้ที่อยู่ในท้องที่ ในท้องที่ของการสร้างเขื่อนก็ทราบดี และเขาเข้าใจเห็นความสำคัญของเขื่อนนี้ จึงอยากจะทราบ ท่านทั้งหลายนี้เขา ได้อธิบายว่าคนที่เข้าไปดูในท้องที่ว่าได้ ท่านมีความสามารถอย่างไร และก็ท่านมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างไร อธิบายก็ต้องใช้เวลานาน เพราะว่าเป็นแบบใหม่จริงๆ แต่ผลประโยชน์ของโครงการนี้ ชาวบ้านในท้องที่ก็อธิบายได้ ตั้งแต่วันแรกที่ไปท้องที่ของโครงการนี้ ชาวบ้านสนับสนุนเต็มที่”

ที่ชื่อว่าขุนด่าน เพราะว่าที่ตรงนั้นเป็นที่ที่บุคคลที่อยู่ที่นั่นตั้งแต่แรกชื่อ ขุนด่าน ได้สนับสนุนโครงการเหล่านี้ และรู้สึกว่าท่านขุนด่านก็ดีใจที่ทำได้สำเร็จเรียบร้อย ท่านขุนด่านอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรกนานแล้ว เป็นคนที่ได้ช่วยประชาชน เรียกว่าขุนด่าน หมายความท่านได้อยู่ที่ที่เป็นด่านของประเทศ ได้ดูแลประชาชนในที่นั้นมาตั้งแต่ตน และเป็นที่รู้จักดีของประชาชน ประชาชนก็สนับสนุนท่าน เรียกว่าเทิดทูนท่าน และยกย่องท่านมาก ก็เป็นที่ที่น้ำผ่านมามาก และโครงการได้สร้างขึ้นมาโดยไม่มีความเดือดร้อนกับชาวบ้าน บางคนไม่รู้ก็โกรธเกิดเอะอะนิดหน่อย เพราะว่าเป็นที่ที่ก็น่าจะมีปัญหา แต่แท้จริงก็ไม่มีปัญหา ไม่ได้มีสิ่งใดที่จะเป็นจะขัดขวางโครงการ

ในระยะแรก ก็ได้ไป ข้าพเจ้าเองก็ไปตรวจในเขตของโครงการ ซึ่งเป็นที่ที่คนเขาถามว่ามี ทรัพยากรอะไร ก็มีทรัพยากรนั่นนี่ โดยมากก็เป็นต้นกล้วยป่า กล้วยป่า ปีนขึ้นไปก็เห็นป่ากล้วย ที่อยู่ในเขตเข้าไปจนสุดเขตของเขื่อน แล้วก็น่าสนใจมาก เพราะว่าคนที่รู้จักกัน ศึกษาพื้นที่ที่จะทำเขื่อนว่าเข้าไปได้สุดโครงการเลย แต่ว่าน่ากลัวเหมือนกันเพราะไปเฮลิคอปเตอร์ ไปจนสุดเฮลิคอปเตอร์ไม่ยอมขึ้นเพราะว่าที่มันมีลมตก แล้วก็ไปถึงสุดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะออกมายังไง ว่าไปก็น่ากลัวเหมือนกัน ผู้ที่เคยไป ก็เห็นด้วยกันก็ว่าน่ากลัวไปถึงสุดก็ไม่รู้จะลง ไม่รู้จะขึ้นอย่างไร เพราะว่ามีแต่ลมดูดลงไปในที่ ก็จะขึ้นมาไม่ได้ ขึ้นก็ไม่ได้ลงก็ไม่ได้ แต่นักบินเฮลิคอปเตอร์ดีมีความสามารถพ้นจากเหตุนั้น สามารถกลับมาได้ ไม่อย่างนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นที่ที่ออกมายาก เพราะเป็นที่ที่ขึ้นก็ไม่ได้ ลงก็ไม่ได้ ถือว่าเป็นโครงการตัวอย่างเหมือนกัน ได้สร้างชลประทาน ได้เข้าไปพัฒนาให้มีโครงการชลประทานที่ใหญ่และน่าสนใจ แต่ที่นี่คนที่ไปก็สามารถก็จะไปดูว่า ความดีของช่างชลประทาน ได้ประสบผลสำเร็จอย่างไร เพื่อที่จะบริเวณของจังหวัดนครนายกได้มีความก้าวหน้าอย่างมาก ภายในเวลาอันเร็วมาก ได้สร้าง 3 เขื่อนที่สูงและสมัยใหม่"


ในหลวงไม่มีการตรัสถึง เอ่ยถึง เขื่อนแม่วงก์ เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเขื่อนแม่วงก์ ไม่ใช่โครงการตามแนวพระราชดำริ

ผมจึงขอสรุปตรงนี้ไว้ก่อนเลยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บิดเบือนพระราชดำริของในหลวงครับ

ย้ำ !! กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีนายธีระ วงศ์สมุทร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ บิดเบือนข้อมูลอ้างพระราชดำริในหลวง เพื่อมาสนับสนุนโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์

ถ้าใครอยากดูคลิปข่าวพระราชสำนักย้อนหลังในวันที่ 19 กันยายน 2554 ของทุกช่อง ไปหาดูได้ที่เว็บข่าวในพระราชสำนักอย่างเป็นทางการ เลือกดูย้อนหลังตามปฏิทิน ได้ที่ คลิก !!

ไปฟังในหลวงตรัสชัด ๆ ว่า ไม่มีเอ่ยถึงเขื่อนแม่วงก์เลย

ซึ่งมีข่าวในพระราชสำนักเลือกดูได้ทั้งช่อง 3 5 7 9 11 ทีวีไทย พร้อมมีเอกสารข่าวด้วย ถ้าอยากจะอ่าน

คลิกอ่านข่าวไทยรัฐ นายธีระ วงศสมุทรเข้าเฝ้าฯ 19 กันยายน 54

-----------------

คำถาม เขื่อนแม่วงก์ เป็นโครงการพระราชดำริ หรือไม่ ?

ตอบว่า ไม่ใช่ครับ โครงการเขื่อนแม่วงก์ ริเริ่มโดยสำนักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือราชการ เลขที่ สร.0107 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2521 มอบหมายให้กรมชลประทานศึกษาการสร้างเขื่อนแม่วงก์ จนปี พ.ศ.2525 สมัยอธิบดีกรมชลประทาน ร.อ.สุนทร เรืองเล็ก กรมชลประทานศึกษาแล้ว จึงกำหนดว่า บริเวณเขาสบกก เหมาะที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ที่สุด

จนกระทั่งปี พ.ศ.2537 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบาย และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ก็มีมติให้กรมชลประทานศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม บริเวณพื้นที่ที่จะใช้ในการก่อสร้างและพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ จนเวลาล่วงเลยมาถึงปี พ.ศ.2541 มติที่ประชุม คชก.เมื่อวันที่ 23 มกราคม สรุปว่า "ไม่เห็นชอบกับการสร้างเขื่อนแม่วงก์"....

เมื่อไม่ใช่โครงการในพระราชดำริ ก็ไม่มีเหตุอันใดที่ในหลวงต้องทรงเอ่ยถึง

ผมขอประณามกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่บิดเบือนพระราชดำริ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม ทั้งยังเปิดโอกาสให้พวกชั่วหนักแผ่นดินอย่างนายสมศักดิ์ เจียมธีรสถุล และสาวกมาบิดเบือนใส่ร้ายพระองค์


-----------------

ปลอดประสพ เคยคัดค้านเขื่อนแม่วงก์

ที่สำคัญเมื่อ พ.ศ. 2542 นายปลอดประสพ สุรัสวดี สมัยเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ ก็เคยคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์เช่นกัน

"การตัดสินใจไม่อนุญาตให้เข้าไปสร้างเขื่อนในป่าแม่วงก์นั้น เป็นการตัดสินใจของตนเองเพียงคนเดียวในฐานะอธิบดีกรมป่าไม้ หลังจากพิจารณาข้อมูลรอบคอบแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการรักษาผืนป่าไว้ หากปล่อยให้ใช้อย่างฟุ่มเฟือยไปเรื่อยต่อไปคงไม่มีป่าเหลืออย่างแน่นอน...." นายปลอดประสพ สุรัสวดี กล่าว

จนเมื่อปี พ.ศ.2555 ยุคสมัยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ความชัดเจนในโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ก็เริ่มปรากฏ เมื่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 เม.ย. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ในงบประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ใช้เวลาสร้าง 8 ปี

ส่วนรายละเอียดของมติที่ประชุมครั้งนี้นั้น นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นผู้ออกมาแถลงหลังการประชุม ครม.ที่รัฐสภาเสร็จสิ้น โดยนายปลอดประสพกล่าวว่า

"ครม.อนุมัติหลักการให้มีการจัดสร้างเขื่อนแม่วงก์ อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ เพื่อใช้ในการคุมปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำคลองโพธิ์ และห้วยทับสะเดา ปริมาณ 1.3 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีที่อยู่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท โดยในฤดูฝนจะมีปริมาณน้ำสูงถึง 1 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีจะเป็นประโยชน์กับการคุมปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เขื่อนเจ้าพระยาสามารถรองรับน้ำได้มากขึ้น"

นายปลอดประสพกล่าวต่อว่า "การตัดสินใจสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้น เริ่มคิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 แต่เพิ่งจะมามีความชัดเจนในรัฐบาลนี้ โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1.3 หมื่นล้านบาท ก่อสร้าง 8 ปี เสร็จภายในปี 2562 ซึ่งหลังจากนี้จะมีการเร่งรัดการสำรวจผลกระทบต่อชุมชน เร่งรัดการอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพรรณพืชต่อไป".

(ที่มาข่าวไทยรัฐ)

----------------

คลิปประวัติโครงการเขื่อนแม่วงก์







วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

ไม่แปลกใจ ทำไมการศึกษาไทยอยู่ที่ 8 ในอาเซียน







(หมายเหตุ เดิมบทความนี้มีคนไลค์แล้วเกิน 300 แต่อยู่ยอดไลค์ก็หายไปเพราะระบบของเฟสบุ้คขัดข้องเอง)

จากข่าวการจัดอันดับการศึกษาไทย โดย World Economic Forum (WEF)- The Global Information Technology Report 2013 ได้จัดอันดับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยในกลุ่มอาเซียน อยู่ในอันดับที่ 8

สำหรับประเทศที่มีคุณภาพการศึกษาดีที่สุดในกลุ่มอาเซียนเรียนตามลำดับที่ดีที่สุด มีดังนี้

อันดับ 1 ประเทศสิงคโปร์ อันดับ 2 ประเทศมาเลเซีย อันดับ 3 ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม อันดับ 4 ประเทศฟิลิปปินส์ อันดับ5 ประเทศอินโดนีเซีย อันดับ6 ประเทศกัมพูชา อันดับ7ประเทศเวียดนาม และอันดับ 8 ประเทศไทย

-------------------

สิ่งแรกที่ผู้เกี่ยวข้องทางการศึกษาไทยควรกระทำ คือ ต้องเชื่อการจัดอันดับคราวนี้ไว้ก่อน เพราะถ้าไม่เชื่อ แล้วไปหาเหตุผลมาคัดค้านผลการจัดอันดับ ก็เท่ากับว่า ไทยเราเป็นพวกที่ไม่ยอมรับความจริง หลงตัวเอง เพราะเมื่อไม่ยอมรับ ก็จะไม่หาทางปรับปรุงคุณภาพการศึกษาของไทยให้ดีขึ้น

พูดง่าย ๆ ก็คือ  เชื่อไว้ไม่เสียหลาย รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม

ส่วนที่พม่า กับ ลาว ไม่ได้ถูกนำมาจัดอันดับ ผมว่า คงเป็นปัญหาขัดข้องบางอย่างของเวิล์ดอีโคโนมิคเอง แต่ถ้าพม่ากับลาวได้รับการจัดอันดับด้วย ผมก็ยังเชื่อว่า การศึกษาไทยก็คงยังอยู่ที่โหล่อยู่ดี

ซึ่งพอผลจัดอันดับนี้ออกมา ดูเหมือนว่า ผู้บริหารทางการศึกษาไทยค่อนข้างจะกังขา และเหมือนไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่

แต่เราต้องไม่ลืมว่า การจัดอันดับนี้คงจัดอันดับจากค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ เด็กไทยที่เก่งสุด ๆ ก็เก่งไปเลย แต่เด็กไทยที่ไม่เก่งและคิดไม่เป็นน่ะ มันคงมีเยอะมากกว่าค่าเฉลี่ยของเด็กชาติอื่น ๆ

อาจมีคนแย้งว่า เด็กไทยเก่งได้เหรียญทองวิชาการโอลิมปิกมากมาย

ผมจึงอยากบอกว่า เด็กสิงคโปร์ไปแข่งโอลิมปิกวิชาการก็สู้เด็กไทยไม่ได้ครับ แต่ทำไมระบบการศึกษาของสิงคโปร์จึงดีที่สุดในอาเซียนและดีที่สุดอันดับ 3 ของโลก ??

และผลของคุณภาพการศึกษาที่ดีของสิงคโปร์ จึงทำให้สิงคโปร์เป็นชาติเดียวในอาเซียนที่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว (มาหลายปีแล้วด้วย)


คลิกอ่าน คนไทยจะเจริญแบบสิงคโปร์ได้ไหม ตอน 1


-----------------

ผมไม่แปลกใจ ทำไมการศึกษาไทยห่วย สอนให้คนไทยคิดไม่เป็น

ประเทศไทยใช้งบประมาณเพื่อการศึกษาสูงเป็นอันดับ 2 ของเอเซีย แต่กลับค่าเฉลี่ยการศึกษาของนักเรียไทยกลับโง่ที่สุดในอาเซียน

เพราะการศึกษาย่อมส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมฉันใด เศรษฐกิจไทยห่วยลง สังคมไทยเสื่อมทรามลง ก็เพราะการศึกษาของไทยห่วยฉันนั้น

1. นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลไทย หากคนไทยเป็นคนฉลาด แม้กระทั่งชาวนาไทยฉลาด ก็ต้องไม่เห็นแก่นโยบายประชานิยมห่วย ๆ แบบนี้ เพราะการซื้อข้าวโดยรัฐบาลไทยในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโลก มันย่อมขายไม่ออก ทำให้ข้าวไทยตกต่ำ ประเทศชาติต้องขาดทุนมหาศาล

เหตุเพราะชาวนาไทย คิดไม่เป็น เห็นแก่ประโยชน์เบื้องหน้าส่วนตนเพื่อเอาตัวเองรอด ส่วนประเทศชาติจะพังก็ชั่งแม่มัน !!

และนโยบายจำนำข้าว ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวสวนยางพาราไม่พอใจรัฐบาลรุนแรงมากกว่าที่เคยเป็น เหตุเพราะนโยบายที่ไม่เท่าเทียมกันนี่เอง


2. นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลไทย คนไทยคนไหนที่เลือกรัฐบาลนี้เพื่อหวังว่า ตนจะได้ผลประโยชน์นี้เพราะกำลังจะซื้อรถคันแรกอยู่พอดี คนไทยคนนั้น ๆ ก็เลว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ทั้ง ๆ ที่นโยบายรถคันแรกเป็นนโยบายที่มีผลเสียต่อประเทศชาติมากกว่าผลดี

นโยบายนี้เพิ่มรถให้มากขึ้น เพิ่มทั้งปัญหารถติด ปัญหามลภาวะ ปัญหาความเครียดของผู้ใช้ถนนร่วมกัน ทำลายโลก ทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้นโดยใช่เหตุ

ซึ่งรัฐบาลดี ๆ ในโลก ไม่มีใครเขาคิดกระตุ้นการซื้อรถคันแรกเหมือนที่รัฐบาลเพื่อไทยทำหรอก ซึ่งหากคนไทยที่เลือกรัฐบาลนี้เพราะนโยบายรถคันแรก ผมถือว่า คนไทยคนนั้นเห็นแก่ตัวที่สุด

นั่นจึงแสดงให้เห็นถึงการศึกษาไทยไม่ได้สอนให้คนไทยรักชาติ นึกถึงสังคมส่วนรวมมาก่อนผลประโยชน์ส่วนตัว !!


3. เด็กอาชีวะ เด็กช่างกลไทย ตีกัน ฆ่ากันมากที่สุดในโลก

ข่าวเด็กนักเรียนช่างกล ตีกัน ฆ่ากันแบบหมาลอบกัด ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เพียงแค่ต่างสถาบันก็ฆ่ากันได้ นั่นแสดงให้เห็นถึงระบบความคิดของนักเรียนไทยมันแย่ ระบบการศึกษาไทยทำให้เด็กไทยอีคิวถ่อย ไอคิวสถุล 

ระบบการศึกษาไทยไม่ได้ปลูกฝังนักเรียนไทยมาตั้งแต่สมัยอนุบาล 1 ยัน ม. 3 ให้คิดเป็นว่า จะฆ่ากันไปทำไม มันก็แค่เด็กนักเรียนที่ขอเงินพ่อเงินแม่มาเรียนเหมือนกันทั้งนั้น การฆ่าถือเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด ซึ่งคนดี ๆ จะต้องไม่ทำเด็ดขาด แต่เด็กไทยก็ฆ่ากันได้ง่าย ๆ

แทนที่เรียนอาชีวะ จะสู้กันด้วยฝีมือทางการช่าง ดันสู้กัน ฆ่ากันเพราะต่างสถาบัน !!

นี่จึงแสดงให้เห็นว่าระบบการศึกษาไทยมันห่วย ที่ทำให้เด็กวัยรุ่น 15-18 ปี ฆ่ากันเองได้ง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักกัน หรือมีความแค้นกันมาก่อน


4. คนไทยแห่กราบไหว้สิ่งประหลาดก่อนวันหวยออก

เมื่อมีต้นไม้ หรือเห็ด หรือจะเป็นสัตว์ ออกผลออกลูกแปลกประหลาดออกมาคราวใด ก็จะมีสื่อทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ไปทำข่าวสิ่งแปลกประหลาดเหล่านั้น แล้วเราก็จะเห็นชาวบ้านต่างมาจุดธูปกราบไหว้ บนบาน หาเลขเด็ด ซึ่งไม่ใช่มีแค่คนแก่คนเฒ่าเท่านั้น วัยรุ่นหนุ่มสาวก็แห่กันมาไหว้เช่นกัน

ทำให้ผมนึกถึงกรณีแผ่นเจลยาแก้ปวดลดไข้ ที่หล่นบนหลังคา จนบวมน้ำ กลายเป็นหนอนจากต่างดาว ถึงขนาดมีคนมาเสนอซื้อในราคาหลายหมื่น สุดท้ายพอเรื่องเกิดความกระจ่างว่ามันเป็นแค่แผ่นเจลแก้ปวดเท่านั้น มันทำให้คิดได้เลยวา ระบบความคิดไม่เป็น ระบบการศึกษาไทยมันห่วยจริง ๆ

เพราะถ้าเป็นคนในประเทศที่เขาคิดเป็น หากเขาเจออะไรที่ผิดปกติ ออกผล ออกลูกมาแปลกประหลาด เขาจะใช้ระบบความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล เป็นวิทยาศาสตร์ มาวิเคราะห์หาว่า สิ่งแปลกประหลาดนั้นมันเกิดจากอะไร ในน้ำมีสารปนเปื้อนหรือไม่ ดินผิดปกติหรือไม่ อากาศผิดปกติหรือไม่ หรือจะเป็นสารเคมีตกค้างทำให้ผิดปกติหรือไม่ เขาจะต้องเริ่มคิดวิเคราะห์แบบนั้นกันก่อน

ส่วนระบบความคิดไม่เป็นของคนไทย คือ เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องไหว้ เราต้องมีโชค ต้องมีเลขเด็ดเพื่อหวยงวดหน้า พรุ่งนี้รวย ส่วนวันนี้ก็จนไปก่อนชั่งหัวมัน (แล้วพรุ่งนี้ก็ไม่เคยมาพบเราสักที)



5. หญิงไทยท้องก่อนอายุ 20 ปี มากที่สุดในเอเซีย

ทั้ง ๆ ที่ระบบการศึกษาไทยพยายามสอนให้นักเรียนไทยต้องรู้จักความพร้อมในการจะมีคู่ ในการจะตั้งครรภ์ แต่ทำไมสุดท้ายหญิงไทยกลับกลายเป็นชาติที่ท้องก่อนแต่ง ท้องก่อนวัยอันควร ท้องทั้ง ๆ ทียังไม่พร้อมมากที่สุดในเอเซีย และเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ? นั่นสิทำไม ??



6. วัยรุ่นไทยยอมรับการโกงแต่แบ่งให้ ได้

จากผลสำรวจมาหลายปี พบว่า คนไทยรุ่นใหม่ยอมรับการโกงแต่แบ่งให้ของนักการเมืองได้ นี่แสดงให้เห็นระบบความคิดที่ล้มเหลว ระบบความคิดตื้น ๆ ไม่รู้เท่าทันคนโกงของคนไทย กลายเป็นว่า คนไทยชอบผลประโยชน์เฉพาะหน้า โดยไม่สนผลร้ายที่จะตามมาภายหลัง

ในต่างประเทศที่เจริญแล้ว เรื่องระบบความคิดที่ยอมรับคนโกงได้ จะไม่มีเด็ดขาด โกงก็คือโกง ถ้าโกงแล้วแบ่งให้ก็คือร่วมกันโกงกับเขา สมรู้ร่วมคิด ถือว่าผิดเหมือนกัน !!

แต่คนไทยรุ่นใหม่กลับยอมรับว่า ถ้าโกงแล้วแบ่งให้ก็ยอมรับได้ นั่นคือความเห็นแก่ตัว

เพราะถ้ามีการโกงแล้วกลับไปแบ่งให้คนอื่นที่ไม่ใช่เราล่ะ ? แถมยังทำให้เราต้องเสียผลประโยชน์ด้วย เราก็ย่อมไม่มีทางยอมรับได้จริงไหม ?

การโกงชาติแล้วมีคนยอมรับได้ นั่นแสดงว่า คนไทยไม่คิดว่าสมบัติของชาติคือของ ๆ เรา นี่คือหลักฐานว่า การศึกษาไทยมันห่วยจริง ๆ


7. ประเทศไทยแตะตรงไหน ก็เจอปัญหาโลกแตกทั้งสิ้น

ผมไม่ต้องยกตัวอย่างไปไกล เอาแค่เรื่องปัญหารถแท๊กซี่มิเตอร์ ก็ยังไม่มีใครแก้ปัญหาได้จริงไหม ? เพราะเราปล่อยให้ปัญหามันเกิดแล้วไม่รีบแก้ จนปัญหามันสั่งสม บานปลาย พัวพันไปจนกลายเป็นวิกฤติแห่งชาติ ยากที่จะแก้ไข เพราะถ้าแก้ตรงนั้นก็จะไปเดือดร้อนคนนี้

เพราะต่างฝ่ายก็ต่างอ้างความเดือดร้อนของตนเองเป็นใหญ่ จึงไม่มีใครยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม

นี่แหละความล้มเหลวของการศึกษาไทย ที่ไม่สอนให้คนไทยนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนเรื่องส่วนตัว



8. แจกแท็บเล็ต ไม่ช่วยให้นักเรียนไทยฉลาดขึ้น

ผลจากการแจกแท็บเล็ตเด็ก ป. 1 ถามว่า เด็ก ป. 1 ของไทยฉลาดขึน เก่งขึ้นหรือไม่ ?

คำตอบคือ ไม่ !! เพราะวัยนี้ไม่ใช่วัยที่จะมานั่งเล่นแท็บเล็ต แนะนำว่าไปหาข้อมูลวิจัยในเรื่องนี้ได้ เพราะเขาได้ทำวิจัยออกมาแล้ว

แต่ก็ยังมีคนไทยมากมายชื่นชมการแจกแท็บเล็ตของรัฐบาลให้เด็ก ป. 1

ว่าแล้ว รัฐบาลก็เลยแจกไอแพดให้แก่ สส. สว. มันซะ 

ใครที่ชื่นชมนโยบายห่วย ๆ นี้ ก็แสดงให้เห็นถึงระบบความคิดไม่เป็นของคนไทยเช่นกัน

ถ้าแจกไอแพดมันดีต่อชาติจริง ๆ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาของสตีฟ จ๊อปส์ ก็คงแจกให้ สส. สว. เขาใช้ไปแล้ว



9. จ่ายครบ จบแน่ 

ประถมศึกษา ยัน ปริญญาโท แค่เพียงคุณจ่ายเงินครบ ก็จะได้วุฒิการศึกษาตามที่คุณต้องการได้ทันที

ที่จริงไม่ต้องพูดถึงการซื้อขายวุฒิปลอมก็ได้ครับ แค่ในมหาวิทยาลัยที่ถูกต้องตามกฎหมายของไทยนี่แหละ มีการเปิดสอนปริญญาโทกันเกลื่อน ก็จ่ายครบจบแน่เช่นกัน

แถมปริญญาเอกก็มีแล้วด้วย


10. ภาษาอังกฤษของคนไทยห่วยที่สุดในเอเชีย

การศึกษาภาษาอังกฤษของประเทศไทยล้มเหลวมาตลอดนับตั้งแต่มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นต้นมา เพราะก่อนหน้าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ คือกระทรวงธรรมการ คนไทยที่มีโอกาสเรียนภาษาอังกฤษ แม้จะเรียนในประเทศไทย ก็กลับเก่งภาษาอังกฤษเหมือนประหนึ่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนามาเลย

แต่พอเป็นกระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะยุคหลัง พ.ศ. 2500 เป็นต้น การศึกษาภาษาอังกฤษในโรงเรียนไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

คือเรียนจนจบเป็น 10 ปีก็คือคนไทยยังไม่สามารถพูดและเข้าใจภาษอังกฤษได้ (ผมด้วย)

ซึ่งประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีการเรียนภาษาอังกฤษห่วยที่สุดในเอเชีย เป็๋นรองแค่ประเทศลิเบียเท่านั้น



11. นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โง่ขนาดไหน เธอไม่ได้มีความรู้และวุฒิภาวะ ไม่มีการวางตัวให้สมกับการเป็นผู้นำประเทศเลย แต่ก็ยังมาเป็นนายกรัฐมนตรีไทยได้

เพียงเท่านี้ก็ชี้ชัดได้แล้วว่า คนไทยคิดไม่เป็น ระบบการศึกษาไทยจึงห่วยที่สุดจริง ๆ


เหตุผลของปัญหาทั้ง 10 ข้อ+ 1 ที่ผมยกมา คงไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้การศึกษาไทยเราแย่ที่สุดในอาเซียน

แต่ถ้าดูจากสภาพของผู้นำประเทศไทยแล้ว เราคนไทยก็ควรต้องยอมรับความจริงครับ

-------------------

ผมนั้นรักประเทศไทยมากที่สุด แต่ผมพบว่า ยิ่งกาลเวลาผ่านไปเท่าไหร่ ความดี ความงดงามในสังคมไทยนับวันยิ่งน้อยลง ๆ

ตอนเด็ก ๆ พ่อผมบอกว่า สมัยก่อนยุคพ่อดีกว่าสมัยนี้ (หมายถึงยุคผมยังเด็ก) มีความสุขกว่าน่าอยู่กว่าสังคมยุคนี้ (หมายถึงยุคผมยังเด็ก)

มาวันนี้ผมยิ่งเห็นด้วยกับคำของพ่อผม เพราะผมก็รู้สึกว่า ยุคผมเด็ก ๆ ก็ดีกว่า มีความสุขน่าอยู่กว่าสังคมไทยยุคนี้

ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ แล้วคุณละ ??


คลิกอ่าน คนไทยแม่ง..ไม่แพ้ชาติใดในโลก

คลิกอ่าน ความเห็นโดน ๆ กรณีการศึกษาไทยห่วยสุดในอาเซียน