วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

ผู้บริหารเศรษฐกิจไทยยังโง่ใช้วิธีการเดิม ๆ แก้เงินบาทแข็ง






เมื่อวานนี้ กนง. มีมติดดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1.5 % ทั้ง ๆ ที่ เพิ่งจะลดไปเมื่อเดือนที่แล้วจาก 2 % เหลือ 1.75 % ไปหมาด ๆ ลดดอกเบี้ยนโยบายไปแค่ 10 วัน ค่าเงืนบาทมันก็เด้งกลับมาที่เดิม

คือ กนง. และ รมว.เศรษฐกิจไทย ทั้งหลาย ก็ยังคิดบนหลักการเดิม ๆ คิดแต่ในกรอบที่ไม่เคยแก้ปัญหาได้จริง

ผมคัดค้านการลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. มาตลอด ตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาแล้ว แล้วเป็นยังไง อ้างลดดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้เงินบาทแข็ง แต่สุดท้ายก็ช่วยภาคส่งออกของไทยไม่ได้อยู่ดี แถมเงินบาทก็กลับมาที่แข็งจุดเดิมอีกหลังลดดอกเบี้ยนโยบายไปแค่ไม่กี่วัน ซึ่งพิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของคนไทยที่ต้องลดลง ก็เสมือนโดนปล้นไปไม่กลับคืน

เพราะต้นทุนการส่งออกของไทยนั้น ปัญหาหรือประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่ค่าเงินบาทแข็ง แต่มันอยู่ที่ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยต่างหาก เช่นค่าแรงขั้นต่ำสูงกว่าคู่แข่ง ทำให้สินค้าส่งออกของไทยหลายชนิด ย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านแทน

เช่น การที่ค่าแรง 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ มันทำให้โรงงานอุตสาหกรรมที่อุตส่าห์ไปตั้งโรงงานในพื้นที่ห่างไกล ที่ ๆ เคยมีค่าแรงถูกกว่ากรุงเทพฯ กลับต้องกลายเป็นจ่ายค่าแรงแพงเท่ากรุงเทพฯ จึงทำให้ต้นทุนการผลิตเขาสูงขึ้นมาก เพราะไหนจะค่าขนส่งที่ไกลกว่า ซ้ำยังต้องแบกรับค่าแรงที่แพงเท่ากรุงเทพฯ อีก จึงทำให้อุตสาหกรรมหลายชนิดเขาอยู่ไม่ได้

เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยหลายโรงงานก็ย้ายฐานการผลิตไปเขมร ไปพม่า ไปลาว กันหมดแล้ว เพราะค่าแรงถูกกว่าไทยหลายเท่า


เพราะสินค้าส่งออกของไทยหลายชนิดที่ไม่ได้ใช้แรงงานฝีมือชั้นสูง จึงมีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่งมาก ก็เลยทำให้ส่งออกไทยทรุดมาตลอด เพราะต้นทุนค่าแรงแพงนี่แหละ

จำได้ไหม โกหกสีขาวของไอ้โต้ง ต้องโกหกเรื่องการส่งออกโต เพราะอ้างว่ากลัวผู้คนจะแตกตื่น ??

ปัจจัยเรื่องเงินบาทแข็งแทบไม่มีผลต่อการส่งออกเท่าไหร่นักหรอก แต่ที่ต้องมาใช้การลดดอกเบี้ยนโยบายลง ก็เพราะผู้บริหารเศรษฐกิจประเทศไทยมันโง่มาตลอด ไม่มีปัญญาทำอะไรอย่างอื่นแล้ว ก็เลยต้องมาปล้นเงินออมของคนไทยไปพยุงช่วยผู้ส่งออกแทน

แล้วลดดอกเบี้ยมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ไม่ช่วยทำให้ส่งออกไทยดีขึ้นแต่อย่างใด เพราะภาคส่งออกไทยทรุดมาตลอดตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประกาศค่าแรง 300 บาท เหตุเพราะค่าแรงเพิ่มขึ้นเร็วแบบผิดธรรมชาติ แต่คุณภาพแรงงานไทยไม่พัฒนาให้สมกับค่าแรงที่เพิ่มขึ้นพรวดเดียวทั่วประเทศ

นี่เห็นว่า ผู้นำแรงงานไทยกำลังจะเรียกร้องให้รัฐบาล คสช. เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 360 บาทต่อวันอีกแล้ว เพราะอ้างว่า ไม่ได้เพิ่มมา 2 ปีกว่าแล้ว

เหอะ ๆ ถ้าเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอีก ส่งออกไทยก็ยิ่งทรุดล่ะครับ เผลอ ๆ ธปท. คงลดดอกเบี้ยลงเรื่อย ๆ จนไม่ต้องมีดอกเบี้ยเงินฝากเลยล่ะมั้ง

แทนที่ ธปท. จะไปตรวจสอบดูว่า ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ กินดอกเบี้ยเงินกู้สูงไปไหม มีส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้แตกต่างกันมากแค่ไหน แต่กลับเอาภาระมาผลักลงที่คนฝากเงินออมก่อนทุกที

แล้วการกระตุ้นในคนไทยใช้จ่ายน่ะ เป็นแนวคิดที่ผิดมหันต์ เพราหนี้ครัวเรือนไทยสูงที่สุดในโลกไปแล้ว คือ หนี้ครัวเรือนสูงถึง 80 % ต่อจีดีพี

ฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลและ ธปท. ควรทำ คือต้องทำแตกต่างจากที่ผ่าน ๆ มา เรียกว่า ต้องคิดนอกกรอบเดิม ๆ คือ ไม่ต้องไปกระตุ้นการใช้จ่ายของคนไทย เพระคนไทยมีสันดานชอบใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ควรไปปรับอัตราดอกเบี้ยเงินออมเพิ่มขึ้น ถ้าคนไทยมีเงินออมได้ ก็แสดงว่า มีเงินเพิ่มขึ้น เมื่อมีเงินเพิ่มขึ้นการใช้จ่ายก็จะดีขึ้นเอง แถมใช้จ่ายอย่างสบายใจด้วย

นิสัยคนไทยชอบใช้จ่ายเงินอยู่แล้ว ขอเพียงให้มีเงินจริง ๆ เถอะ ดังนั้นภาครัฐไม่ควรมากระตุ้นเรื่องนี้หรอก เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นคนไทยที่จนอยู่แล้วจะยิ่งไปกู้เงินมาใช้จ่าย  เช่น สงกรานต์ที่ผ่านมา เที่ยวกินกันจนแทบหมดตัว หลังสงกรานต์โรงรับจำนำคึกคักทันที แล้วสุดท้ายใครล่ะที่เดือดร้อน ??

คือ ผู้บริหารบ้านเมืองต้องคิดให้แตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ฝรั่งบ้างเถอะ เพราะที่ผ่าน ๆ มา เดินตามตูดฝรั่งมาหลายครั้ง แต่ก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้


หลักการเศรษฐศาสตร์ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร ?

ต้องส่งเสริมการออมของประชาขนให้มากขึ้น ไม่ใช่เอาแต่กระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่าย  และไม่ใช่มาปล้นดอกเบี้ยเงินฝากของประชาชนไป

เช่น ผู้สูงอายุจำนวนมากที่ฝากเงินไว้ใช้จ่ายยามชรา กลับมาโดน ธปท. ปล้นไปให้ผู้ส่งออกซะงั้น 

ถ้าการฝากเงินแล้วไม่ได้ดอกเบี้ย ก็ยิ่งทำให้คนไทยจำนวนมากก็ยิ่งไม่เห็นความสำคัญของการออมเงิน นี่จะเป็นหายนะของประเทศไทยในระยะยาวแน่ ๆ

เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีเงินออม แต่คนไทยส่วนใหญ่กลับเป็นหนี้มากขึ้นทุกปี พวก ธปท. และ รัฐมนตรีเศรษฐกิจของไทย พวกคุณแกล้งโง่หรือไง ไม่รู้หรือว่านี่คือกำลังเป็นหายนะ

การที่เงินบาทแข็ง สาเหตุหลัก ๆ คือ การปล่อยให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดหุ้นอิสระมากเกินไปนี่แหละ โดยเฉพาะจากมาตรการ QE ทั้งจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทย

เมื่อมีเงินทุนไหลเข้าไทยมาก ก็ต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยมากขึ้น จึงทำให้เงินบาทแข็งตัวมากขึ้น

แต่พวกผู้บริหารบ้านเมืองนี้ไม่กล้าแตะตลาดหุ้น เพราะกลัวว่าตลาดหุ้นจะตก เพราะพอตลาดหุ้นตก ตัวเองก็จะโดนด่าหนัก เพราะนักเลงพนันในตลาดหุ้นมันมีปากที่มีพลังกว่าคนออมเงิน

ทั้งๆ  ที่ตลาดหุ้นไทยนี่แหละตัวดี ที่เคยร่วมสร้างความฉิบหายให้ประเทศไทยมาแล้ว ในวิกฤติฟองสบู่ปี 2540

สังเกตได้เลยว่า 3 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยทรุดทุกด้าน แต่ตลาดหุ้นกลับไม่ตกลงก็เพราะส่วนใหญ่มันคือตลาดแห่งการพนันจากการเก็งกำไรนั่นเอง

ดังนั้น เมื่อเงินบาทแข็งมันเกิดจากตลาดหุ้นและตลาดค้าเงินเป็นหลัก มันต้องแก้ที่ตลาดหุ้น ไม่ใช่จะมาล้นที่คนออมเงินแทน เพราะถ้าไม่แก้ที่ตลาดหุ้น ถึงลดดอกเบี้ยไปก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะมันก็เป็นจะแค่นโยบายที่สร้างกระแสได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น

แล้วอีกไม่นานเงินบาทก็จะกลับไปแข็งค่าเช่นเดิม เพราะนักค้าเงินเขาสามารถปั่นให้ค่าเงินบาทกลับมาแข็งได้อีก ถ้าผู้บริหารประเทศไทยมันยังโง่ ๆ ด้วยวิธีการเดิม ๆ

ที่สำคัญดอกเบี้ยไทยไม่ได้สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ซึ่งผมเคยนำมาแสดงให้เห็นแล้วในหลายบทความ

--------------------

คือ ประเทศไทยมันไม่เจริญ สาเหตุหนึ่งก็คือ ผู้บริหารเศรษฐกิจไทยมันคิดนอกกรอบไม่เป็น แก้ปัญหาด้วยวิธีเดิม ๆ ทั้ง ๆ ที่ใช้แล้วมันก็แก้ไม่ได้ แต่ก็ยังจะทำแบบเดิม ๆ ต่อไป

อัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ที่ 1.5 %


ส่วนอัตราดอกเบี้ยของอินโดนีเซีย คู่แข่งของไทยที่กำลังจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก อยู่ที่ 7.5%



บทความเก่าที่เกี่ยวข้อง


คลิกอ่าน กนง. ดีใจแบบโง่ ๆ ทำค่าเงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 5 ปี

คลิกอ่าน ดร.โกร่ง และ กิตติรัตน์ โกหกดอกเบี้ยไทยสูงเกินไป

คลิกอ่าน สมหมาย ภาษี คิดห่วยเสนอลดดอกเบี้ยรับ QE ของธนาคารกลางยุโรป

คลิกอ่าน เงินบาทแข็งโป๊ก เพราะแมงเม่าไทยมันแยะ




วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

"ปากช่องโมเดล" จากโบนันซ่า บ้านพักสรยุทธ ถึง คีรีมายา








ขอเริ่มด้วยการบอกว่า อำเภอเขาช่องทั้งอำเภอ ได้ถูกประกาศเป็นป่าถาวร และเขตป่าสงวน มานานแล้ว

ย้ำ !! ทั้งอำเภอปากช่องล้วนอยู่ในเขตป่าทั้งสิ้น จะมียกเว้นแค่เขตเทศบาลเมือง และเขตนิคมสร้างตนเองลำตะคอง เท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ในเขตป่าถาวร และป่าสงวน หากใครมีที่ดินอยู่ใน 2 เขตนี้ ก็คือ ปลอดภัย !!!

ดังนั้น ใครที่มีบ้านพักตากอากาศในปากช่อง จึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบแทบทั้งนั้นเป็นส่วนใหญ่

ดังนั้นขอแนะนำให้ดูคลิปข่าวจากไทยพีบีเอสสัก 3 รอบ เพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ครับ แนะนำว่า ใครมีบ้านพักในอำเภอปากช่องควรดูคลิปนี้สัก 3 รอบเป็นอย่างน้อย

นาทีที่ 22.41 เป็นต้นไป



ถ้าดูแล้วยังไม่ชัดเจน ผมขอสรุปคร่าวตามนี้


http://imgur.com/IeDuj1j

พ.ศ.2497 รัฐบาลเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มาขอ ส.ค.1 เพื่อยืนยันการครอบครองที่ดิน

หากภายหลังได้ประกาศเขตป่าถาวร และป่าสงวนแล้ว ถ้าผู้ใดที่มี ส.ค.1 มีที่ดินในเขตป่า ก็จะได้รับการยกเว้นความผิด และได้โอกาสเปลี่ยนเป็นเอกสาร นส.3 ในการสำรวจ ใน พ.ศ. 2519 (กรุณาจำปี 2519 นี้ไว้ก่อนเพราะจะไปเทียบกับเรื่องโฉนดที่ดินของสรยุทธ)

พ.ศ. 2506 ทั้งอำเภอปากช่อง ถูกประกาศเป็นเขตป่าถาวร

พ.ศ. 2515 ประกาศเขตป่าสงวน จำแนกออกจากเขตป่าถาวร

พ.ศ. 2532  พ.ศ. 2536 ประกาศเขต ส.ป.ก. หรือ ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร แยกออกจากเขตป่าสงวน แต่ยังจัดทำไม่แล้วเสร็จ ยังไม่ได้จัดสรรให้แก้เกษตรกรรายใดเลย จึงยังไม่มีที่ดินใดถูกประกาศเป็นที่ดิน ส.ป.ก. อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด แล้วหากมีการออกเอกสารสิทธิใด ๆ บนพื้นที่ที่จะถูกประกาศเป็นที่ดิน ส.ป.ก. ก็ค่อนข้างแน่ช้ดว่า เป็นเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบ

ทั้งนี้ ในส่วนผู้ถือครองที่ดินมีการอ้างการออกโฉนด น.ส.3ก. ในพื้นที่ ส.ป.ก. นั้น ยืนยันว่า สามารถทำได้ แต่ต้องเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างกรมป่าไม้ กรมที่ดิน และ ส.ป.ก. โดยเฉพาะในส่วน ส.ป.ก. ที่สามารถออก น.ส.3 ได้นั้น จะต้องมีการถือครองโดยชาวบ้านในพื้นที่มาก่อนปี 2497 เท่านั้น และต้องมีเอกสาร ส.ค.1 ยืนยันชี้แจงก่อนจะประกาศเป็นพื้นที่เขต ส.ป.ก. ด้วย ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเป็นเงื่อนไขเดียวกับที่ประกาศพื้นที่ป่าสงวน

โดยกำหนดว่าหากประชาชนอยู่มาก่อนประกาศเขตป่า ก็สามารถแสดงสิทธิในการขอออก น.ส.3 ได้ตามกฎหมาย

-----------------------

กรณีโบนันซ่า สปีดเวย์

กรณี 1 หากที่ดินใดที่โบนันซ่า อ้างถือครองเอกสารสิทธิ นส.3ก. ซึ่งเจ้าหน้าที่พบว่า เป็นเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบ เพราะเป็นการออกเอกสารสิทธิในเขตป่าสงวนและเขตป่าถาวร ตรงจุดนี้รัฐก็ต้องเพิกถอนเอกสารสิทธินั้นไป

ถามว่าจะเอาผิดโบนันซ่าในเรื่อง นส.3ก. นี้ได้หรือไม่ ?

ขอบอกว่า ยาก เพราะโบนันซ่าอาจอ้างว่าซื้อต่อมาจากชาวบ้านอีกทอด เว้นแต่ไล่เรียงไปถึงเจ้าหน้าที่ที่ออกเอกสารโดยมิชอบจะซัดทอดมาถึงโบนันซ่าเอง

ส่วนรัฐก็ต้องไล่เอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบต่อไป (ซึ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องนั้นเสียชีวิตไปแล้ว ก็ถือว่า จบ ไม่มีการเอาผิดใด ๆ ต่อไป)

กรณี 2 โบนันซ่าถือครองที่ดิน ส.ป.ก. ตรงนี้ รัฐก็ต้องยึดที่ดิน ส.ป.ก. คืน และเรียกค่าเสียหายจากโบนันซ่า แต่ไม่มีโทษจำคุก

กรณี 3 โบนันซ่ารุกที่ป่าสงวนโดยไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ มาอ้างอิง  ตรงจุดนี้ก็โบนันซ่าโดนข้อหาบุกรุกที่ป่าเต็ม ๆ มีความผิดอาญา มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี

ซึ่งทางตำรวจก็ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการบริษัทโบนันซ่า อินเตอร์เนชันแนล สปีดเวย์ จำกัดไปแล้ว ซึ่งคนที่โดนข้อหามากที่สุด ก็คือนายภูผา เตชะณรงค์ น้องชายนายสงกรานต์ เพราะเขาถือหุ้นในโบนันซ่า สปีดเวย์ถึง 99.40 %


---------------------

กรณีบ้านพักตากอากาศของสรยุทธ สุทัศนะจินดา

นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้ซื้อที่ดินจำนวน 8 ไร่ จากโครงการมูลแดนซ์ ตั้งแต่ปี 2551

ซึ่งที่ดินโครงการหรู ๆ เหล่านี้ ราคาขายประมาณไร่ละ 10 ล้านเป็นอย่างต่ำ ถ้าสรยุทธมี 8 ไร่กว่า ก็มูลค่าประมาณ 80 ล้านบาท เมื่อรวมสิ่งก่อสร้างด้วย มูลค่าบ้านพักของสรยุทธ ก็ราว ๆ 100 ล้านบาท

โดยสรยุทธอ้างว่า มีโฉนดและใช้ชื่อตัวเองนั้น

ผลการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า เป็นการออกโฉนดโดยมิชอบบนพื้นที่ ๆ จะกำลังจะแจกเกษตรกรเพื่อเป็นที่ดิน ส.ป.ก. ต่อไป  แต่กลับมีการออกเอกสารโฉนดมาก่อน แสดงว่า กรณีนี้น่าะมีเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตเกี่ยวข้องในการออกโฉนดโดยมิชอบ

กรณีของสรยุทธ รัฐก็จะต้องเพิกถอนเอกสารสิทธิดังกล่าวและยึดที่ดินคืนแล้ว รัฐก็จะเรียกค่าเสียหายจากสรยุทธ เช่นค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง เป็นต้น

แต่สรยุทธก็จะไม่มีความผิดถึงขั้นจำคุกแต่อย่างใด เพราะเป็นแค่การครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. โดยมิชอบโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เท่านั้น

ซึ่งกรณีนี้คล้ายกับกรณีบ้านของอดีตนายกฯ พลเอกสุรยุทธ จุลานนท์ ที่ครอบครองที่ดินบนเขายายแพง

ส่วนสรยุทธ ก็ต้องไปไล่เบี้ยฟ้องร้องค่าเสียหายจากโครงการมูลแดนซ์เอาเองต่อไป



ส่วนเอกสารสิทธิ หรือ โฉนดที่ดินของสรยุทธ ที่ว่าออกโดยมิชอบนั้น ทางรัฐก็ต้องไปเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบต่อไป

สถานการณ์กรณีที่ดินสรยุทธอาจพลิกผัน !!

เพราะ !! สรยุทธเพิ่งแถลงในรายการเรื่องเล่าเช้านี้เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2558  โดยอ้างเอกสารว่า โฉนดที่ดินที่เขาซื้อมานั้น เจ้าของที่ดินดั้งเดิมคือ นางรุจิรา พานิช เคยมีเอกสาร นส.3ก. เลขที่29 ซึ่งแยกมาจากนส.3ก. เลขที่ 8 ซึ่งออกเมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2505 แล้วสรยุทธอ้างว่า ก่อนการประกาศเป็นป่าถาวรในปี 2506



ต่อมาเอกสาร นส.3ก. เลขที่ 90 ออกสืบเนื่องมาจากหลักฐานเดิมคือ นส.3ก.เลขที่ 29 ซึ่งออกก่อน มติ ครม. 2506 ก่อนการประกาศเป็นเขตป่าไม้ถาวร



ซึ่งโฉนดที่ดินของสรยุทธ มาจาก นส.3ก. เลขที่ 90 เดิม คือในส่วนโฉนดเลขที่ 15593 - 15597  จึงชอบด้วยกฎหมาย

แผนที่แปลงที่ดินของสรยุทธ


ดังนั้น ที่ดินของสรยุทธจึงได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย หากเอกสารที่สรยุทธนำมาอ้างเป็นเอกสารที่ถูกต้อง ซึ่งก็ต้องตรวจสอบความถูกต้องกันต่อไป

ถ้าหากที่สรยุทธแถลงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ก็จะรอดจากการถูกเพิกถอนสิทธิเอกสารและรอดจากยึดที่ดินคืนคืนรัฐ

ข้อสังเกต คือ สรยุทธไม่มีการเอ่ยเรื่องเอกสาร ส.ค.1 เหมือนที่คลิปไทยพีบีเอส รายงานไว้ว่า ก่อน พ.ศ. 2506 จะมีเพียงเอกสาร ส.ค. 1 ที่ให้ชาวบ้านถือไว้เท่านั้น ตรงนี้ต้องตรวจสอบความคลาดเคลื่อนของข้อมูลของใครถูก ซึ่งเจ้าของที่ดินดั้งเดิมอาจมี ส.ค. 1 อยู่ก่อนก็ได้ แต่สรยุทธไม่ได้พูดถึง

ประเด็นสำคัญคือ มีการออก นส.3ก. ก่อนการประกาศเป็นป่าถาวรใน พ.ศ.2506 จริงหรือไม่ ?

คลิกที่นี่เพื่อดูคลิปที่สรยุทธแจกแจงโฉนดที่ตัวเองถือครอง

-----------------

กรณีคีรีมายา

พบว่า คีรีมายาซื้อที่ดิน นส.3ก. มาจากกรมบังคับคดี ที่ได้ยึดที่ดินมาจากธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ จำกัด มาขายทอดตลาด รวม 36 แปลง เนื้อที่กว่า 700 ไร่ ซึ่งหากพบว่า เอกสารสิทธิ์ที่คีรีมายาถือครองเป็นเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบ ที่ดินในส่วนนี้ก็จะไม่ใช่ความผิดของคีรีมายา

แต่รัฐก็ต้องเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน และยึดที่ดินคืนรัฐ แถมรัฐอาจต้องจ่ายค่าชดใช้คืนในส่วนที่รัฐได้เงินจากการซื้อที่ดินของคีรีมายา มาแล้ว

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณี “คีรีมายา รีสอร์ท” ระบุว่า ซื้อที่ดินมาอย่างถูกต้องจากการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี ว่า “หากผู้ซื้อที่ดินดังกล่าวเป็นผู้เสียหาย ตามหลักความเป็นธรรมจะต้องมีการเยียวยาให้กับผู้เสียหายเนื่องจากรัฐได้รับเงินจากการขายทอดตลาดไปแล้ว”

มีรายงานว่า ในส่วนของ “คีรีมายา รีสอร์ท” จากการตรวจสอบเอกสารสิทธิทั้ง 36 แปลง จากการรังวัดที่ดินเขตป่า ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ แต่กลับมีนายหน้าเข้าไปใช้ชื่อชาวบ้านถือครองที่ดินเป็นเวลา 5 ปี ก่อนโอนขายกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินให้กับ “บริษัท เขาใหญ่เนอเชอรัล” ก่อนนำเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ก. ไปยื่นจำนองกับธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน).หรือ บีบีซี เพื่อกู้ยืมเงินจากธนาคาร

“บริษัท เขาใหญ่เนอเชอรัล ทุนจดทะเบียน 330 ล้านบาท จดทะเบียน 1 กุมภาพันธ์ ปี 2533 ปัจจุบันล้มละลายไปแล้ว มีกรรมการบริหาร 12 คน กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ประกอบด้วย นายชาญศักดิ์ เฟื่องฟู นายเอกชัย อธิคมนันทะ นายวันชัย ธรรมธิติวัฒน์ นายราเกซ สักเสนา (ที่ปรึกษาบีบีซี) จึงเป็นข้อพิรุธว่าอาจเป็นการจัดตั้งบริษัทเพื่อขอกู้เงินจากบีบีซี”

ทั้งนี้ ยังเชื่อว่า เอกสารที่ดินดังกล่าวอาจมีที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้


อกจากนี้ จากภาพถ่ายทางอากาศพบว่า “คีรีมายา” มีเนื้อที่รวมกว่า 1,400 ไร่ แต่เอกสารสิทธิ ตาม น.ส. 3 ก. มีเพียงกว่า 700 ไร่เท่านั้น

ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบว่ามีการกว้านซื้อที่ดินเพิ่มเติม หรือนำ น.ส. 3 ก. ไปขอออกโฉนดเกินจากเนื้อที่ตาม น.ส. 3 ก. หรือไม่

ส่วนบริษัทที่ประมูลชื้อ ต่อมาก็คือ “บริษัท ร้อยแก้ว จำกัด” ต่อมาขายต่อ ให้บริษัท กอล์ฟ โฮม คันทรีคลับ แอนด์ รีสอร์ท ทั้ง 36 แปลง

“มีการโอนส่งมอบจากเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ กรมบังคับคดี ในคราวเดียว แต่กรมบังคับคดีไม่ทราบรายละเอียดว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของสนามกอล์ฟและรีสอร์ตคีรีมายาหรือไม่”

สรุปกรณีคีรีมายา สั้น ๆ คือ มีเอกสารสิทธิที่ซื้อจากองบังคับคดี เนื้อที่ประมาณ 700 กว่าไร่ ซึ่งตรงนี้คีรีมายาไม่มีความผิด

แต่ไอ้ส่วนที่ดินที่เกินกว่า 700 ไร่ไปนั้น อันนี้ต้องตรวจสอบเช่นเดียวกับกรณีโบนันซ่าครับว่า คีรีมายาได้เอกสาร นส.3ก. หรือออกโฉนดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือมีการครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.โดยมิชอบด้วยรึเปล่า

แล้วหากมีที่ดินบริเวณใดรุกเขตป่าสงวน ป่าถาวร คีรีมายาก็จะโดนข้อหาบุกรุกป่าเช่นเดียวกัน

-----------------

แจ๊ส ชวนชื่น ก็รวยจนมีบ้านพักแถวเขาใหญ่เหมือนกัน

ได้ดูรายการที่นี่หมอชิต พาไปเยี่ยมบ้านแจ๊ส ชวนชื่น ตลกที่กำลังฮอตที่สุดช่วงนี้ ที่บ้านพักตากอากาศแถวเขาใหญ่





เรียกว่า อินเทรน จริง ๆ เพราะช่วงนี้เรื่องบ้านพักตากอากาศแถวเขาใหญ่ โดยเฉพาะที่อำเภอปากช่อง กำลังโดนตรวจสอบทุกพื้นที่ว่า มีที่ดินใด รีสอร์ทใด ที่รุกที่ป่าถาวร ป่าสงวน และครอบครองที่ดิน ส.ป.ก. โดยมิชอบบ้าง

คือ ในฐานะที่ผมเป็นแฟนตลกแจ๊ส ชวนชื่นมานานมาก ชอบตั้งแต่แจ๊สเป็นแค่ตัวประกอบเล็ก ๆ ในคณะชวนชื่น ตอนนั้นแจ๊สมักเล่นเป็นกระเทยเงียบ ๆ จนตอนนี้โด่งดังที่สุดในคณะไปแล้ว

เห็นแจ๊สได้ดี ก็ดีใจด้วย แต่ถ้าเผอิญบ้านพักตากอากาศของแจ๊ส เกิดไปซื้อที่ดินจากการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบล่ะก็ เสียดายเงินแทนเลยล่ะครับ

นี่ไม่ได้หมายความว่า บ้านพักของแจ๊สจะรุกที่ป่านะ แต่ที่ดินแถบนั้นมีโอกาสออกเอกสารโดยมิชอบซะเป็นส่วนใหญ่ ตามที่ผมอธิบายไปแล้ว

สรุปก็คือ ใครที่มีบ้านพัก มีที่ดินแถวปากช่องก็ร้อน ๆ หนาว ๆ ทั้งหมดล่ะครับพี่น้อง

ซึ่งปากช่องโมเดลนี้ จะขยายไปทั่วประเทศ ซึ่งมีโอกาสที่บ้านพักตากอากาศของบรรดาคนรวยในที่ดินทำเลงามอาจจะโดนรัฐยึดที่ดินคืนอีกมากมาย ซึ่งก็คงต้องไปไล่เบี้ยฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายคืนเป็นทอด ๆ กันเอง


-----------------

ถ้ายุค คสช. ทวงคืนผืนป่าไม่จบ ก็คงหวังจากพรรคการเมืองยาก

ที่ดินเฉพาะที่รุกป่าสงวน ป่าถาวร ประมาณการว่า มีประมาณ 4 ล้านไร่ทั่วประเทศ ซึ่ง คสช. ตั้งเป้าในปี 2559 นี้ไว้ว่า จะทวงคืนให้ได้ 4 แสนไร่

ซึ่งหากต่อไป คสช. หมดอำนาจไปแล้ว เราจะหวังนักการเมืองและพรรคการเมืองมาทวงคืนผืนป่าให้ชาติได้หรือไม่ ?

ก็ในเมื่อที่ผ่าน ๆ มาหลายสิบปี พวกนักการเมือง นายทุนการเมือง ต่างก็มีบ้านพักตากอากาศสวย ๆ ในทำเลงาม ๆ ใกล้ป่ากันทั้งนั้น


คลิกอ่าน ตรรกะลูกสาวโบนันซ่า เหมือนตรรกะธัมมชโย

คลิกอ่าน แอฟ ทักษอร ตอน อวสานโบนันซ่า




วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

แอฟ ทักษอร ตอน อวสานโบนันซ่า สปีดเวย์






ความคืบหน้าคดีสนามแข่งรถโบนันซ่า

สนามแข่งรถโบนันซ่า ที่อ้างว่า มี นส.3 ในบางส่วนของพื้นที่ ตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า เป็น นส.3 ที่ออกโดยมิชอบ โดยต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง เพราะเป็นพื้นที่ป่าสงวน ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิถือครองที่ดินได้

ส่วนที่อ้างว่า มีบางส่วนที่ถือครองเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. นั้น สรุปก็คือยังไม่มีพื้นที่ใดในบริเวณนั้นที่ได้ออกเป็น ส.ป.ก.4-01 แล้ว เพราะยังมีชาวบ้านในพื้นที่ที่คัดค้านการออก ส.ป.ก. ในพื้นที่นี้อยู่

สรุปคือ สนามแข่งรถโบนันซ่าไม่มีเอกสารที่ถูกต้องทางกฎหมายในการถือครองที่ดินเลย แถมยังรุกล้ำที่ป่าสงวน และรุกล้ำพื้นที่ป่าถาวรอีกด้วย (คุก ๆๆ)

เห็นว่า ผู้ถือครองสิทธิสนามแข่งรถโบนันซ่า ใช้ชื่อ ลูกชายทั้งสองคนของนายไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของโบนันซ่านั่นเอง

หากมีความผิดจริง ก็อาจถึงขั้นติดคุกทั้งพี่ทั้งน้อง !!

ฟังเรื่องเล่าเช้านี้ 9 เม.ย. 58 โดยสรยุทธเล่าข่าว กรมป่าไม้สั่งรื้อถอนสิ่งก่อสร้างในสนามแข่งรถโบนันซ่า และฟ้องเอาผิดทั้งทางแพ่งและอาญา ข้อหาบุกรุกป่าสงวนประมาณ 103 ไร่ในขั้นต้น

และที่ผ่านมาข้าราชการ สปก.โคราช ก็รู้อยู่แล้วว่าโบนันซ่ารุกล้ำป่า แต่ก็ไม่กล้าไปยุ่งเพราะกลัวอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งตอนนี้ได้มีคำสั่งย้ายด่วนเจ้าหน้าที่ สปก.จังหวัดนครราชสีมา ไปอุดรธานีแล้ว



--------------------

ย้อนฟังสงกรานต์พูดถึงสนามแข่งรถโบนันซ่า 



“ร.ต.ท.สงกรานต์ เตชะณรงค์" บุตรชาย นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ ผู้บริหารเจ้าของโปรเจกต์ สนามแข่งรถแห่งใหม่ "โบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์" ซึ่งอีกตำแหน่ง นั่งเป็น “ผู้อำนวยการสนาม” เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อ motorsportlives เมื่อหลายปีก่อนว่า

"คือจริง ๆ ที่ตรงนั้นมันเป็นพื้นที่กว้างเพื่อจัดงานคอนเสิร์ตอยู่แล้ว ซึ่งทางผมเองมีพื้นที่ที่เขาใหญ่มานานแล้ว ซึ่งมันเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บวกกับมันก็เป็นพื้นที่รองรับกิจกรรมประเภทพวกคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ผมเลยมีไอเดียคิดที่จะสร้างสนามแข่งรถบวกเข้าไปในพื้นที่นั้นด้วย เพื่อจะรองรับงานในรูปแบบอื่นๆ มากขึ้น”

“เรื่องงบประมาณ พอสมควรครับ ผมเองไม่กล้าเปิดบัญชีดูครับว่าลงทุนไปเท่าไร เพราะผมกลัว (หัวเราะ) แต่ไม่ถึงหลักร้อยล้าน เพราะว่าเรามีพื้นที่อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่มีพื้นที่เองคงถึงหลักร้อยล้านแน่นอน ขณะเดียวกัน ถ้าเราจัดงานขึ้นในโบนันซ่าคนแถว อ.ปากช่อง จะมาเที่ยวงานของเรา เพราะอยู่ใกล้กับพื้นที่ อย่างเช่นที่ผ่านมาจัดงานคอนเสิร์ต จะมีคนมากันหมื่นสองหมื่นคน แต่ที่พักของเรามีแค่ร้อยกว่าห้องอาจจะไม่พอกับความต้องการของคนมาเที่ยว แต่พวกเขาจะไปใช้บริการโรงแรมข้าง ๆ ไปกินร้านอาหารข้าง ๆ ไปจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อของกัน ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมเองรู้สึกแฮปปี้นะ เวลาจัดงานให้คนในพื้นที่ใกล้เคียงมาร่วมงานในแต่ละครั้ง”

"รูปแบบสนามเป็นแบบเซอร์กิต ใช้แข่งรถแบบทางเรียบ ทั้งรถมอเตอร์ไซต์และรถยนต์ครับ ความยาวประมาณ 3 กิโลเมตร และสนามอยู่ติดกับโบนันซ่า ไม่ไกลมากนัก ถ้าหากจะเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณชั่วโมงครึ่งครับ ทั้งนี้ในส่วนของสนามแล้วยังมีพื้นที่สำหรับจัดคอนเสิร์ตหรือมหกรรมต่าง ๆ ได้อีก ซึ่งตรงนี้เรายังสามารถนำงานคอนเสิร์ตหรืองานแข่งรถเข้ามารวมกันได้ด้วย"

"มันเป็นสนามที่น่าจะยาวที่สุดในประเทศไทยตอนนี้ คือ มีความยาว 3 กิโลเมตร และการสร้างสนามทุกอย่างค่อนข้างอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบ และค่อนข้างใหม่ ถนนหนทางยังเรียบ และยังอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงาม ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนักจากกรุงเทพฯ ที่สำคัญ เรามีที่พักอยู่ติดกับตัวสนามแข่งขัน คือ สามารถไปค้างคืน และตื่นเช้ามาเอารถออกมาซ้อมได้เลย"

“ครอบครัวของผมทั้งคุณพ่อและคุณแม่เขารู้สึกแฮปปี้นะ เพราะเขาอายุเยอะ เขาขี้เหงาด้วย เขาอยากให้คนมาเยอะๆ จะได้มีเพื่อน ด้านสาวคนสนิท (แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ)  แอฟเขาก็ชอบความเร็วเหมือนกันครับ และตัวเขาเองก็เป็นคนขับรถเร็วมากโดยเฉพาะในสนามแข่งขัน แต่กลับกันเขาเป็นคนทำอะไรทุกอย่างช้าหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกินช้า เดินช้า แต่งหน้าช้า ส่วนตัวผมขับรถไม่ค่อยเร็ว แต่อาจจะมีบ้างในบางครั้ง นานๆ ที แต่แอฟเขาขับเร็วเป็นกิจวัตร (หัวเราะ)” สงกรานต์ กล่าว

------------------

แอฟ ทักษอร ปกป้องครอบครัวสามี อ้างพร้อมยินดีทำตามกฎหมาย

ในงาน GALA PREMIERE "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตอน อวสานหงสา"

แอฟ ทักษอร ดารานำในตำนานสมเด็จพระนเรศวร ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับคดีโบนันซ่ารุกที่ป่าสงวนว่า

“คิดว่าอยู่ในกระบวนการชี้แจงนะคะ ตัวกรานต์เขาเครียดแน่นอนค่ะ เป็นเรื่องเป็นข่าวขึ้นมาแบบนี้ทุกคนก็เครียด คือทุกคนจะพยายามทำให้ทุกอย่างถูกต้องให้ได้มากที่สุด แอฟเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเตชะณรงค์ ก็อยากจะบอกตรงนี้ว่าทุกคนก็พร้อมที่จะทำตามนโยบายหรือข้อบังคับกฎต่าง ๆ ตอนนี้เขาก็มีชี้แจงกันไปเป็นส่วน ๆ  ค่ะ ณ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เรียกเขาไปสอบสวน”

ทุกอย่างก็ต้องเป็นตามกฎหมายค่ะ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยกับการที่จะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ก่อนหน้านี้มันอาจจะมีอะไรที่มันไม่ชัดเจนเนื่องจากว่าอย่างที่ให้สัมภาษณ์ไปตามข่าวค่ะคือมันตั้ง 30 ปีมาแล้ว แต่ว่า ณ ตอนนี้ถ้ามีโอกาสทำให้มันถูกต้องและชัดเจนทุกคนก็พร้อมค่ะ” นางเอกแอฟ กล่าว

เอ่อ. คุณแอฟครับ ถ้าคุณบอกว่า ยินดีทำตามกฎหมายทุกอย่าง ขอถามหน่อยว่า คุณพร้อมจะให้สามีของคุณไปติดคุกโทษฐานบุกรุกป่าสงวนแล้วใช่ไหม ??









ฟังชัด ๆ สงกรานต์บอก ผิดไปประมาณ 10 ไร่เอง




ลูกผู้ชายตัวจริง ทำผิดต้องกล้ายืดอกยอมรับผิด หากต้องติดคุกชดใช้ความผิด ก็สมควรกระทำ ไม่งั้น อยู่ไปก็อายบรรพบุรุษไทยที่ปกป้องรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานไทยทุกคน

ร่ำรวยจากการฮุบทรัพยากรสาธารณะของชาติมานาน รู้สึกละอายใจบ้างไหมครับ ??

-------------------

สุดท้าย สงกรานต์ รอด น้องชายซวย !!!

ล่าสุด ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวรุกที่ป่าสงวนกับทายาทโบนันซ่า ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทแล้ว แต่กลับไม่มีชื่อ สงกรานต์ เป็นผู้ต้องหา เพราะสงกรานต์ไม่ได้มีชื่อเป็นคณะกรรมการของบริษัท โบนันซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล สปีดเวย์ จำกัด แต่อย่างใด

เพราะสนามแข่งรถแห่งนี้มีนายภูผา เตชะณรงค์ (น้องชายนายสงกรานต์ เตชะณรงค์) ถือหุ้นใหญ่ 9,940 หุ้น (99.40%) นายนิธิศเชษฐ์ สุทธิเจริญกุล นายปรีชากรณ์ ปราบสงบ นางสาวพนารัตน์ วรรณศิริ นางสาวพัทธมน เตชะณรงค์ นางสาวมนันญา สุจิรภิญโญกุล และ นายสำเนาว์ สมบูรณ์ คนละ 10 หุ้น

มี นายภูผา เตชะณรงค์ นายปรีชากรณ์ ปราบสงบ และ นายนิธิศเชษฐ์ สุทธิเจริญกุล เป็นกรรมการ

มิน่าล่ะ แอฟ ทักษอร เลยบอกยินดีทำตามกฎหมายทุกอย่าง เพราะที่แท้สามีของแอฟ รอดคดีนี้นี่เอง !!!


คลิกอ่าน ตรรกะลูกสาวโบนันซ่า เหมือนธัมมชโย กรณีบุกรุกที่ป่าสงวน

คลิกอ่าน ปากช่องโมเดล จากโบนันซ่า บ้านพักสรยุทธ ถึงคีรีมายา




วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

ตรรกะลูกสาวโบนันซ่า เหมือนธัมมชโย กรณีรุกที่ป่าสงวน







คุณผู้อ่านคงได้ยินข่าว กรณีทหารตรวจพบว่า รีสอร์ทและบ้านพักตากอากาศชื่อดัง เดอะโบนันซ่ารีสอร์ทเขาใหญ่ รุกที่ป่าสงวนกันไปแล้ว

โบนันซ่า ดังแค่ไหน ใคร ๆ ก็รู้ เพราะมีบ้านพักของมหาเศรษฐีในวงการต่าง ๆ ของไทยไปสร้างบ้านพักในนี้เยอะแยะ โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองเครือข่ายทักษิณ

ผมเองเชื่อมาตลอด ย้ำว่า เป็นความเชื่อของผมมาตลอดว่า รีสอร์ทในเมืองไทยที่ดัง ๆ หลายแห่ง รุกที่ป่าสงวนแทบทั้งนั้น นั่นเพราะอำนาจเงินของนายทุน สามารถทำให้เจ้าหน้าที่รัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับที่ดินในป่าสงวน สามารถทำที่ดินให้มีเอกสารสิทธิ์ได้ ที่เรียกว่า โกงแบบบูรณาการ

การโกงแบบบูรณาการ ก็คือ โกงทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ คือ โกงทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ก็จะเสมือนไม่มีการโกงเกิดขึ้น

แล้วเพื่อป้องกันการตรวจสอบ นายทุนที่ดินรุกป่าสงวน ก็จะต้องหาเส้นสายการเมืองดี ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเขา

อย่างเช่น กรณีโบนันซ่า ก็เลือกที่จะไปสนิทชิดเชื้อกับพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในเครือข่ายทักษิณ เป็นต้น

ลีลายิ่งลักษณ์ ในงานเลี้ยงพรรคเพื่อไทยที่โบนันซ่า เมื่อหลายปีก่อน


ย่างกรณีล่าสุดที่ทหารได้ตรวจพบว่า สนามแข่งรถโบนันซ่า ได้รุกล้ำพื้นที่ป่าสงวนเกินกว่าที่ได้เอกสารสิทธิครอบครองมากถึง 32 ไร่ จากคำพูดของพันเอก สมหมาย บุษบา คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย กองทัพภาคที่ 2 มีดังนี้

"ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนและชาวบ้านในพื้นที่มานานแล้วว่า “โบนันซ่าเขาใหญ่” บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เบื้องต้นจากการเทียบเอกสารทางราชการพบว่าโบนันซ่าเขาใหญ่ ในส่วนสนามแข่งรถประมาณ 151 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. 72 ไร่ น.ส.3 ก. 47 ไร่ และป่าสงวน 32 ไร่ อีกทั้งในส่วนที่พักยังติดพื้นที่ป่าถาวร ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่ไม่สามารถออกเอกสารสิทธิครอบครองใดๆ ได้เลย ทั้งในส่วนพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาทราบว่ามีเอกชนถือครองที่ดินนับพันไร่ ซึ่งเมื่อก่อนรัฐแบ่งที่ดินให้ชาวบ้านในพื้นที่ทำกิน

หลังจากนี้ จะให้เจ้าของกิจการโบนันซ่าเอาเอกสารสิทธิมาให้ตรวจสอบ หากพบว่ารุกพื้นที่ป่าสงวนจริงก็ผิด โดยการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ พร้อมแจ้งข้อหาแผ้วถาง หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มาตรา 54 และข้อหายึดถือครอบครองทำประโยชน์ แผ้วถาง เป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา 14"

“นอกจากนี้ จะดำเนินการตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟ หมู่บ้านที่จัดสรรให้นักการเมือง บ้านจัดสรร สวนสัตว์ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นเป็นการออกเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ก. เมื่อปี พ.ศ. 2519 และนำมาออกโฉนดที่ดินในภายหลัง ซึ่งจะส่งเรื่องให้สำนักงาน ป.ป.ท. ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ร่วมกับนายทุนออกเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว” ผู้พันสมหมาย กล่าว


สนามแข่งรถโบนันซ่า ไม่เคยมีการขออนุญาตการเปิดใช้สนามแข่งรถ

คือผมขอสรุปคร่าว ๆ ว่า มีหลายพื้นที่ที่โบนันซ่าถือครองอยู่ที่มีเอกสารสิทธิ นส.3 นั้น นส.3 หลายจุดก็เป็นเอกสารสิทธิที่ออกโดยมิชอบ โดยต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แน่นอน ซึ่งทางโบนันซ่าอาจไม่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบเหล่านั้นก็ได้ เพราะอาจซื้อต่อมาจากชาวบ้านหลายทอด

แต่ที่แน่ ๆ คือ โบนันซ่าได้มีการรุกที่ป่าสงวนจริง ๆ อย่างน้อย 32 ไร่ ในบริเวณพื้นที่สนามแข่งรถ ซึ่งเป็นเขตป่าสงวน และครอบครองสิทธิโดยมิชอบในพื้นที่ ส.ป.ก. อีก 72 ไร่  จึงเท่ากับว่า  โบนันซ่าครอบครองโดยมิชอบรวม 104 ไร่ (จากการตรวจสอบในชั้นแรก ซึ่งอาจน้อยลงกว่านี้ก็ได้หากนำเอกสารที่ถูกต้องมายืนยัน)

ซึ่งกฎหมาย กรณีรุกที่ป่าสงวน กับ การครอบครองพื้นที่ ส.ป.ก. โดยมิชอบ แตกต่างกันนะครับ คือ รุกที่ป่าสงวนมีความผิดอาญาโทษจำคุก

แต่การครอบครองสิทธิ ส.ป.ก. โดยมิชอบ ไม่มีโทษจำคุก แต่จะถูกยึดที่ดินคืนและมีโทษปรับจากความเสียหายเท่านั้น ก็ขอให้เข้าใจในเรื่องนี้ในเบื้องต้นไว้นะครับ เพราะมีพวกโง่ชอบเอากรณีรุกที่ดินป่าสงวน กับกรณีครอบครองที่ดินจัดสรรเพื่อเกษตรกรมาปนกันมั่ว

อย่างเช่น กรณีเขายายเที่ยงของพลเอกสุรยุทธ นั้น คือ การครอบครองสิทธิในพื้นที่จัดสรรเพื่อเกษตรกรโดยมิชอบเท่านั้น จึงไม่มีโทษจำคุก มีแต่โทษยึดที่ดินคืนและโทษปรับค่าเสียหายเท่านั้น

และรายงานล่าสุดจากสื่อยังรายงานอีกว่า เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบว่า นอกจากสนามแข่งรถโบนันซ่าแล้ว ก็ยังมีในพื้นที่ในบริเวณอื่น ๆ ของรีสอร์ทโบนันซ่า ที่มีการรุกพื้นที่ป่าสงวนเช่นกัน

รายละเอียดความคืบหน้าคดี ก็ขอให้คุณผู้อ่าน ก็ต้องติดตามกันต่อไป

-------------------

ตรรกะลูกสาวและลูกชายโบนันซ่า

ทีนี่เราลองมาดูคำพูดของนางสาวพัทธมน เตชะณรงค์ ทายาทโบนันซ่า ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวดูครับ



"คือในทางเรามีเอกสารมาค่ะ อยู่ที่ทางกรุงเทพฯ จะให้มาโชว์ทีหลังแล้วกันนะ แต่ว่าทางหนูมั่นใจว่าเราไม่ได้บุกรุกที่มาค่ะ เราซื้อมาด้วยสิทธิจริง ๆ ค่ะ"

"แต่ที่ทางเขามาตรวจเนี่ย เราก็ยินดีให้ตรวจค่ะ เพราะจะได้ให้เอกสารมันชัดเจน คือทางแจนก็มาทำงานตรงนี้ก็เป็นรุ่นที่สอง ก็อยากทำอะไรให้มันชัดเจน หนูก็ไม่ชอบผิดกฎหมายเหมือนกันล่ะค่ะพี่ หนูอยากทำอะไรทุกอย่างให้มันเคลียร์ ที่นี่ถ้าเกิดทางการเข้ามาตรวจแล้ว ถ้าเกิดพื้นที่ตรงเนี้ย มันไอ้นี่จริง ๆ เราก็ยินดีที่จะคืนให้นะคะ"

"ใช่ค่ะ คือเอาให้มันแฟร์ ๆ กันไปเลย คือหนูน่ะมาทำต่อเนี่ย หนูก็อยากให้ทุกอย่างมันถูกหลักการและถูกกฎหมายน่ะค่ะ"  ลูกสาวโบนันซ่ากล่าว




คือการที่ลูกสาวโบนันซ่าบอกว่า ยินดีคืนให้ ถ้าที่ตรงไหนรุกที่ป่าสงวนจริง นั้น

ในความเป็นจริง คุณไม่มีสิทธิคืนที่ดินครับ เพราะมันไม่ใช่ที่ดินของคุณ คุณจึงไม่มีสิทธิมาคืน แต่คุณจะโดนกรมป่าไม้ยึดที่ดินคืนรัฐครับ ซึ่งความหมายมันแตกต่างกันนะครับ

และไม่ใช่ว่า พอกรมป่าไม้ยึดที่ดินในเขตป่าสงวนคืนแล้ว ก็คือจบ ซึ่งมันไม่ใช่ !!

แต่คดีรุกที่ป่าสงวนเป็นคดีอาญา มีโทษอาญาจำคุกอีกด้วย

ดังนั้น ใครที่เป็นผู้ถือครองที่ดินป่าสงวนโดยมิชอบ ก็ต้องโดนโทษจำคุกอีกด้วย !!

จะเป็นตัวคุณเองคือ นางสาวพัทธมน เตชะณรงค์ หรืออาจเป็นพ่อของคุณ คือ นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ ซึ่งก็ว่ามา ที่จะโดนคดีบุกรุกที่ป่าสงวน ยิ่งถ้ามีหลายแปลงที่บุกรุกก็หลายคดี หลายกระทงครับ

ส่วนนายสงกรานต์ เตชะณรงค์ ลูกชายคนดัง สามีดาราสาว แอ๊บ ทักษอร นั้น มีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร ?

"เราไม่ได้มาฉกฉวยผลประโยชน์ เราอยู่ที่นั่นมา 20-30 ปี เราคงไม่ทำอะไรให้ตัวเองเดือดร้อน ยอมรับเมื่อข่าวออกมาทำให้คนเข้าใจผิดแต่ถือเป็นโอกาสที่จะได้แสดงข้อเท็จจริง เราก็มีรูปบ้านอยู่ที่นั่นอยู่ 500-600 หลังคาเรือน วันที่เจ้าหน้าที่เข้ามา มาโชว์ให้ดูว่าตรงไหนผิด ตรงไหนถูก มันผิดไปประมาณ 10 กว่าไร่ ที่ตรงอื่นเราก็ไม่ต้องกังวล ทั้งนี้ก็ได้ชี้แจงไปหมดแล้ว ถ้าตรงไหนผิดจริงอยากให้รื้อต้องรื้อ" นายสงกรานต์ กล่าว


ก็อย่างที่ผมอธิบายไปว่า ไม่ใช่แค่คืนที่ดิน หรือแค่รื้อสิ่งก่อสร้างออกเท่านั้น แล้วก็ถือว่าจบนะครับ แต่มันยังมีโทษอาญาฐานบุกรุกป่าสงวนรออยู่ด้วยนะ สงกรานต์นะ


กรณีโบนันซ่า ถ้ากระทำผิดจริง มีโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึงสูงสุด 15 ปี

(รุกป่าสงวนไปกี่จุดกี่แห่ง ก็บวกคดีกี่กระทงก็ว่ากันไป โทษจำคุกก็เพิ่มขึ้นไปอีก)

ดยความเห็นส่วนตัวของผม ยิ่งเมื่อ 20-30 ปีก่อน ข้าราชการยิ่งโกง ยิ่งคอร์รัปชันกันง่ายกว่ายุคนี้มาก ๆ ครับ ฉะนั้นการมาอ้างเรื่องอยู่มา 20-30 ปีน่ะ อ้างไปก็แค่นั้น

การที่จะมีที่ดินสวย ๆ ทิวทัศน์ดี ๆ เพื่อเอามาทำรีสอร์ทหรูสำหรับเศรษฐีน่ะ มันต้องเลือกที่ดินสวย ๆ ในเขตป่าสงวน เขตป่าถาวร นี่แหละเจ๋งสุด ๆ จริงไหม ??

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!! โฆษณาหน้าแรกของเว็บโบนันซ่า อวดอ้างสวยที่สุดดีที่สุดของเขาใหญ่

http://imgur.com/TDso00Y

ส่วนที่ผมว่า ตรรกะเหมือนธัมมชโย ก็เหมือนตรงที่ เมื่อพระยักยอกทรัพย์มาแล้ว พอถูกจับได้ ก็รีบคืนทรัพย์ที่ยักยอกนั้นกลับไป ก็ให้ถือว่า จบ ไม่ปาราชิก

--------------------------------

ตรรกะควายแดง คดีเขาสอยดาว และ เขายายเที่ยง

ผมกะแล้วว่า ต้องมีพวกควายแดงยกกรณีเขาสอยดาวมาอ้าง ตามนี้




ซึ่งกรณีเขาสอยดาว เขาได้มีการดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งไปแล้ว ผมเลยไปตอบให้มันหายโง่สักหน่อย

คลิกที่รูปเพื่ออ่านข่าว


เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2556 นายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า กรมอุทยานแห่งชาติ ได้ฟ้องร้องคดีทางแพ่งกับบริษัท สวนจันทบุรี จำกัด ผู้ดำเนินการกิจการสนามกอล์ฟสอยดาวไฮแลนด์ ต.ทับไทย อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ข้อหาร่วมกันบุกรุก ยึดถือ ครอบครองที่ดิน เปลี่ยนแปลงทางน้ำในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จ.จันทบุรี เรียกร้องค่าเสียหาย ประมาณ 40 ล้านบาท โดยกรมอุทยานฯ ดำเนินคดีทั้งสิ้น 7 คดี ทั้งคดีแพ่งและอาญา และมี 1 ใน 7 คดี จะหมดอายุในวันที่ 17 ก.ค. จึงต้องเร่งฟ้อง นอกจากนี้ กรมป่าไม้ ยังได้ดำเนินคดีกับบริษัทดังกล่าวอีก 3 คดี เนื่องจากมีการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติเขาสอยดาวและเขตป่าไม้ถาวรเขาสอยดาว จ.จันทบุรี ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ด้วย

-------------------

ซึ่งนอกจากคดีเขาสอยดาวแล้ว ก็ยังเห็นมีพวกควายแดงออกมาอ้างเรื่อง คดีเขายายเที่ยงแบบโง่ ๆ อีกเช่นเคย ประเภท ก็เหมือนสุรยุทธไง ที่แค่คืนที่ดินให้ก็ถือว่า จบ

ถ้าใครสนใจอ่านเรื่อง คดีเขายายเที่ยง ก็ไปอ่านตามลิงค์นี้ครับ

คลิกอ่าน คดีเขายายเที่ยง 2 มาตรฐานจริงหรือ ?

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ตีแผ่การรับงานภาครัฐผ่านเส้นสายการเมืองของเจ้าของโบนันซ่า

คลิกที่รูปเพื่ออ่านรายงานจากสำนักข่าวอิศรา


คลิกอ่าน แอฟ ทักษอร ตอน อวสานโบนันซ่า สปีดเวย์