วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คนไทยซื้อขายทองมากที่สุดอันดับ 3 ของเอเซีย แต่....







ประเทศในเอเซียที่มีการนำเข้าและซื้อขายทองคำแท้ ๆ ที่ไม่ใช่ทองคำในกระดาษจากการซื้อขายล่วงหน้า ประเทศที่ซื้อทองคำมากที่สุดอันดับ 1 คือ จีน อันดับ 2 คืออินเดีย และอันดับ 3 คือ ไทย

จากการจัดอันดับดังกล่าว คุณพอมองเห็นอะไรที่มันแปลก ๆ ไหมครับ ?

จีนทั้งซื้อทั้งขายทองคำปีละ 1,000 ตัน (จีนนำเข้าทองปีละประมาณ400กว่าตัน) ซึ่งแซงหน้าอินเดียที่เคยเป็นอันดับ 1 มาตลอดเล็กน้อย เพราะค่านิยมของคนจีน และคนอินเดียชอบซื้อทอง สะสมทอง แจกทอง และใส่ทอง เพื่อแสดงออกถึงความมั่งมี ร่ำรวย

ส่วนสาเหตุที่ คนอินเดียซื้อทองน้อยลง (ในตัวเลขอย่างเป็นทางการ) ก็เพราะทางการอินเดียเพิ่มภาษีทองคำขึ้นไปจากเดิมอีก 30 % ในทองคำแท่ง และเพิ่มอีก 37 % ในทองรูปพรรณ (ทำให้อินเดียมีการลักลอบนำเข้าทองหนีภาษีเพิ่มขึ้น)

สาเหตุเพราะค่านิยมซื้อทองคำให้เจ้าสาวใส่ในงานแต่งปริมาณมากเกินไป ทองส่วนนี้ก็จะเป็นสินสอดทองหมั้นแก่เจ้าบ่าวต่อไป ทำให้เกิดปัญหาว่าครอบครัวเจ้าสาวที่ยากจนที่ให้ทองคำน้อยเกินไปแก่เจ้าบ่าว ทำให้ทางฝ่ายครอบครัวเจ้าบ่าวรังเกียจลูกสะใภ้ และเกิดการทำร้ายร่างกายลูกสะใภ้



ชุดเจ้าสาวอินเดีย ที่ต้องประดับทองมากมาย

--------------------

แต่แค่จีนกับอินเดียรวมกัน ก็มีสัดส่วนการซื้อทองเป็น 60% ของตลาดทองทั้งโลกแล้ว

และในวันนี้ประเทศจีนก็มีทองคำสะสมในคลังหลวงมากที่สุดในโลก

ส่วนคนไทยในวันนี้ ไม่ได้ซื้อทองในรูปเครื่องประดับประเภทสร้อย กำไล มากเหมือนสมัยก่อน เพราะ 90% ของการซื้อขายทองคำในประเทศไทยคือ การซื้อขายทองคำแท่ง ซึ่งมีเจตนาเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นมากที่สุด ที่เหลือก็อาจทองคำเพื่อนำมาผลิตตบแต่งในเครื่องประดับชนิดอื่น ๆ ส่วนคนไทยที่รวยมากๆ จะซื้อมาทองคำแท่งเก็บเล่น ๆ มากกว่าเก็งกำไรระยะสั้น

และหากดูถึงในระดับโลกเฉพาะทองคำแท่ง ประเทศไทยซื้อทองคำแท่งมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และเยอรมัน คือไทยมีการซื้อทองคำแท่งนำเข้าประมาณปีละ 92 ตันต่อปี

คนอินเดียที่มีฐานะระดับมหาเศรษฐี มีประมาณ 50-60 ล้านคน ต่อจำนวนประชากรทั้งประเทศ 1,273 ล้านคน

คนจีนก็เช่นกัน มีคนรวยระดับมหาเศรษฐีก็มีมากไม่ยิ่งหย่อนกว่าคนอินเดีย

ทั้งจีนและอินเดีย จัดเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก ที่สามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้ พัฒนาโครงการอวกาศของตนเองได้ มีเทคโนโลยีของตนเองที่ทันสมัยไม่แพ้ชาติใดในโลก

วันนี้อินเดีย ส่งรถยี่ห้อทาทามาขายคนไทย ส่งยานสำรวจดาวอังคารที่มีกำหนดลงจอดบนดาวอังคารในปีนี้

วันนี้จีนเปิดประเทศมา 20 กว่าปี จีนมีการคลังที่รวยอันดับ 1 ของโลก และส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์แล้ว

ส่วนเยอรมัน ก็คือชาติมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจของยุโรปและของโลก ประเทศนี้ไม่ต้องยกตัวอย่าง เพราะรวยที่สุดในยุโรปไปแล้ว

แล้วประเทศที่ซื้อทองคำแท่งเป็นอันดับ4 และ 5 ล่ะคือชาติไหน ?

คำตอบคือ อันดับ 4 สวิสเซอร์แลนด์ อันดับ 5 สหรัฐอเมริกา

อันดับ 4 สวิสเซอร์แลนด์ก็ถือเป็นประเทศที่ร่ำรวยชาติหนึ่ง ทองคำสวิสคือผลิตภัณฑ์ที่ทั้งโลกเชื่อถือ และหากมองว่า ธนาคารในสวิสฯ เป็นแหล่งที่มหาเศรษฐีและนักการเมืองของโลกชอบไปเปิดบัญชีทิ้งไว้ที่นั่น การที่สวิสเซอร์แลนด์จะแปลงเงินเป็นทองบ้าง ก็ไม่แปลก

และอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสฯ ก็มีการใช้ทองคำเป็นส่วนประกอบอยู่มากด้วย

ส่วนอันดับ 5 สหรัฐอเมริกา ก็คือมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก นวัตกรรมของโลกล้วนมาจากประเทศนี้มากที่สุด

พี่ไทยแลนด์ล่ะซื้อทองมากที่สุดเป็นอันดับ 3 มาโดยตลอด แล้วพี่ไทยแลนด์เราเป็นมหาอำนาจเรื่องอะไรดีนะ ?? 



เฉลย ไทยเป็นมหาอำนาจ เรื่องนักการเมืองโกงกิน แต่จับมาลงโทษได้แค่คนเดียว !! 555 (ที่จับได้คือนายรักเกียรติ สุขธนะ)

หรือไม่ก็ไทยแลนด์เป็นมหาอำนาจเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลกมั้ง ?


------------------

คนไทยเป็นมหาอำนาจในเรื่อง...

ทั้งเฟสบุ้ค ไลน์ อินสตาแกรม พี่ไทยใช้มากที่สุดติดอันดับต้น ๆ ของโลก

สยามพารากอน สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นสถานที่ ๆ คนไทยอัพรูปลงอินสตาแกรม และเฟสบุ้คมากที่สุดในโลก

นี่เราควรภูมิใจในความโดดเด่นเรื่องนี้ของคนไทยดีมั้ยเนี่ย ?

แต่ที่แน่ ๆ การที่มีคนไทยจำนวนถึง สี่ร้อยแปดพันเจ็ดหมื่นหกแสนห้าล้านคนลงมาเดินบนท้องถนน เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมาได้มากที่สุดในโลกขนาดนั้น

เหตุเพราะกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์คของคนไทยล้วน ๆ นี่แหละครับ ^^


----------------------------

ส่งท้ายบทความ

บทความนี้ไม่ได้เขียนเพื่อเอาฮา แต่ถ้าใครได้อ่านบทความนี้ คุณลองพิจารณาให้ลึกซึ้งเถิดว่า

การที่คนไทยซื้อทองคำมากที่สุดในอันดับต้น ๆ ของโลก ซื้อมากกว่าญี่ปุ่น มากกว่าสิงคโปร์ มากกว่าอังกฤษ และมากกว่าอีกนับร้อยประเทศ จะซื้อไปทำไมเหรอ ?

แล้วที่คนไทยไม่ใช่ผู้ผลิตเฟสบุ้ค ไม่ได้เป็นเจ้าของไลน์ หรืออินสตาแกรม หรือผลิตสมาร์ทโฟนได้เอง แต่ดันใช้แอพลิเคชั่นพวกนี้มากที่สุดในโลก ไปทำไมเหรอ ?

ฝากแค่นี้แหล่ะครับ





วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

นายชัยเกษม นิติศิริ ตัวอย่างอดีตอัยการสูงสุดในระบอบทักษิณ






ผมว่า ประเทศไทยต้องปฏิรูประบบการเมืองหลายอย่าง โดยเฉพาะตำแหน่ง อัยการสูงสุด (ทนายความแผ่นดิน) ที่ชอบทำตัวเป็นผู้พิพากษาเสียเอง หรือบางคนถึงกับบอกว่า อัยการสูงสุดทำตัวเหนือกว่าศาลเสียอีก

เพราะอัยการสูงสุดคือผู้ชี้ขาดว่า คดีของแผ่นดินคดีไหนควรส่งฟ้องศาล คดีไหนไม่สมควรส่งฟ้องศาล

และเราก็ได้พบว่า มีหลายคดีมากมายที่สังคมมองว่า จำเลยผิด แต่แล้วจู่ ๆ อัยการสูงสุดกลับมีความเห็นไม่สั่งฟ้องซะงั้น



นายชัยเกษม นิติศิริ เขาผู้นี้เป็นอดีตอัยการสูงสุด ผู้ซึ่งปัจจุบันนี้ดำรงตำแหน่งรมว.กระทวงยุติธรรม ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์


ผลงานอันอื้อฉาวในอดีตของนายนิติธรสมัยดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดก็คือ

(ขอยกมาจากวิกิพีเดีย)

มีการวิจารณ์จากสื่อมวลชนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามที่จะตอบแทนตำแหน่งให้เนื่องจากในสมัยที่นายชัยเกษม นิติสิริดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (ค.ต.ส.) ฟ้องร้องพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและยังเป็นหนึ่งในฐานะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้ร่วมทำคำวินิจฉัยเรื่องเสร็จที่ 568-569/2549 เกี่ยวกับโครงการสลากพิเศษแบบเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว (หวยบนดิน) เนื่องจากเขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กรณีการทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจ จับวัตถุระเบิด CTX 9000

นายชัยเกษม นิติสิริ เคยถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(ค.ต.ส.) ฟ้องร้อง  ในคดีการทุจริตคอรัปชั่นการจัดซื้อเครื่องตรวจ จับวัตถุระเบิด CTX 9000 ในฐานะอดีตกรรมการบริหารบริษัท การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด

ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐแยกสำนวนของเขาออกเป็นสำนวนต่างหาก ในวันที่ 27 มิถุนายน 2551 เพียง 3 วันก่อนหน้าที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐจะหมดหน้าที่

หลังจากที่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ได้มีมติให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และได้ส่งเอกสารสำนวนให้อัยการสูงสุดแล้ว

อัยการสูงสุดในขณะนั้นได้แก่ ศาสตราจารย์พิเศษ ชัยเกษม นิติสิริสั่งไม่ฟ้องตัวเองรวมถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม


-----------

ผลงานล่าสุดของนายชัยเกษรม นิติธร ก็คือ 

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา นายชัยเกษม นิติศิริ รักษาการณ์ รมว.กระทรวงยุติธรรม ก็ได้มาแถลงการณ์ว่า ครม.ยิ่งลักษณ์ต้องรักษาการณ์ต่อไป ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 181 กำหนด

และแถลงว่า นายสุเทพได้กระทำการละเมิดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาโดยไม่มีกฎหมายรองรับ

คลิกอ่านข่าวนี้



ผมว่า ถ้าเราจะปฏิรูปการเมืองใหม่ ก็ต้องปฏิรูปที่ตำแหน่งอัยการสูงสุดก่อนเลยว่า อัยการสูงสุดห้ามกินเงินเดือนจากบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ แม้จะไปนั่งเป็นคณะกรรมการในหน่วยงานเหล่านั้นก็ตาม  เช่น การที่อัยการสูงสุดไปนั่งในตำแหน่งคณะกรรมการ ปตท. เป็นต้น

และเมื่ออัยการสูงสุดเกษียณจากอายุราชการแล้ว หรือผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด ต้องห้ามรับตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ หลังจากออกจากราชการไปตลอดชีวิต

เพื่อป้องกันไม่ให้ในสมัยที่ยังรับราชการอยู่  จะคอยเอาแต่เลียนักการเมืองจนลืมไปว่า ตนเองเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนลืมทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ แต่กลับทำตัวเป็นข้าราชการของนักการเมือง ที่คอยแต่ปกป้องผลประโยชน์ให้นักการเมือง

แต่อย่างว่าล่ะนะ ถ้าห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มันก็อาจใช้วิธีรับถุงขนมใส่เงินแทนก็ได้ หรือให้โอนเงินสกปรกไปใส่ธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์ก็ได้


--------------------------

ข้อมูลทรัพย์สินของนายชัยเกษม นิติศิริ

27 ส.ค.56 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1/5 โดยพบว่า ในส่วนของนายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีรายได้รวม 7,898,668 บาท รายจ่าย 2,400,000 บาท รวมทรัพย์สิน 152,709,376.73 บาท ไม่มีหนี้สิน

โดยรายได้ของนายชัยเกษม ประกอบด้วย เงินเดือน 1,347,000 บาท เบี้ยประชุมราชการ/รัฐวิสาหกิจ 2,643,888 บาท ค่าสอนพิเศษ 25,000 บาท ค่าโบนัสรัฐวิสาหกิจ 2,250,000 บาท ดอกเบี้ยเงินฝาก 300,000 บาท เงินปันผล 300,000 บาท รวม 6,865,888 บาท ขณะที่ นางอัมพร นิติสิริ คู่สมรส มีรายได้จากเงินเดือน 562,780 บาท เบี้ยประชุมราชการ/รัฐวิสาหกิจ 240,000 บาท ดอกเบี้ยเงินฝาก 150,000 บาท เงินปันผล 80,000 บาท รวม 1,032,780 บาท

(คลิกดูข้อมูลรายละเอียดจากข่าวastv)


------------------

หมายเหตุ นายชัยเกษมไม่ใช่อัยการสูงสุดที่สั่งฟ้องทักษิณ คดีที่ดินรัชดา

ผมเห็นบทความในสื่อบางแห่งลงข้อมูลคลาดเคลื่อนว่า นายชัยเกษม นิติศิริ เป็นอัยการสูงสุดที่ฟ้องทักษิณในคดีที่ดินรัชดา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด เพราะมันคาบเกี่ยวกันในช่วงเวลากับอัยการสูงสุดคนก่อนหน้านี้

เพราะอัยการสูงสุดที่สั่งฟ้องทักษิณในคดีที่ดินรัชดาคือ นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุดในขณะนั้น (หมายเลขคดีดำที่ อม.1/2550) ซึ่งนายพชร ได้เกษียณราชการในเดือนกันยายน 2550 แล้วนายชัยเกษม นิติศิริ คืออัยการสูงสุดคนต่อมา






วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ไอ้ทรราช ทักษิณ vs รัฐบุรุษ เนลสัน แมนเดลา








เนลสัน แมนเดลา คือผู้สร้างความสามัคคีของคนในชาติ ให้เลิกแตกแยกเพราะการแบ่งแยกสีผิว

ทักษิณ ชินวัตร คือผู้สร้างความแตกแยกของคนในชาติ ด้วยวาทกรรม แบ่งแยกชนชั้น ให้เสื้อแดงถ่อยเป็นไพร่ ให้คนฉลาดมีศีลธรรมเป็นอำมาตย์

------------------------

เนลสัน แมนเดลา นักกฎหมายที่ช่วยเหลือประชาชน

ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจที่ร่ำรวยจากสัมปทานของรัฐ ทำเพื่อตระกูลอย่างเห็นแก่ตัว ขูดรีดประชาชน มันจึงรวยเร็ว

-------------------------

เนลสัน แมนเดลา ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตด้วยข้อหาล้มล้างการปกครอง หรือ กบฏ แต่ติดคุกจริง 27 ปี

ทักษิณ ชินวัตร ถูกตัดสินจำคุกแค่ 2 ปี ด้วยข้อหาเป็นนายกรัฐมนตรีแต่กลับอนุญาตให้เมียไปประมูลซื้อที่ดินของรัฐ แต่ไม่ยอมมาติดคุกแม้แต่วินาทีเดียว ทั้ง ๆ ที่ติดคุกวันเดียวก็สามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้แล้ว


-----------------

เนลสัน แมนเดลา ไม่กลัวคุก ไม่ทิ้งประชาชน

ทักษิณ ชินวัตร หนีคุก ทิ้งประชาชน แล้วหลอกเสื้อแดงไปตายแทน

"พี่น้องไม่ต้องห่วง ผมเอาตัวรอด เสียงปืนนัดแรกดังแล้ว ผมยังไม่ว่างจะกลับมาเดินนำขบวนนะ พี่น้องเสื้อแดงจงสู้ต่อไปเพื่อประชาธิปไตย ส่วนญาติพี่น้องลูกเมียของผม ขออนุญาตไปเที่ยวช้อปปิ้งเมืองนอกก่อนนะครับ"  (5555 อันนี้ผมแต่งล้อไอ้ทักษิณ)

------------------

เนลสัน แมนเดลา ให้อภัยผู้มีอำนาจและทุกฝ่ายที่ทำให้เขาติดคุก

ทักษิณ ชินวัตร คิดอาฆาตแค้นจองเวร จนถึงกับพูดว่า "ถ้าผมอยู่ไม่เป็นสุข ใครก็อย่าหวังจะได้เป็นสุข"

--------------------

เนลสัน แมนเดลา แต่งงาน 3 คร้้ง

ทักษิณ ชินวัตร แต่งงานครั้งเดียวหย่าแล้ว แต่ต่อจากนั้นซื้อมาเอา

-----------------------

เนลสัน แมนเดลา อยู่อย่างพอเพียง เรียบง่าย

ทักษิณ ชินวัตร กินอยู่หรูหรา อวดร่ำอวดรวย ไม่รู้จักคำว่าพอ โลภไม่สิ้นสุด โกงไม่บันยะบันยัง

----------------------

เนลสัน แมนเดลลา อ่อนน้อมถ่อมตน จึงยิ่งใหญ่

ทักษิณ ชินวัตร อวดเบ่ง หลงตัวเอง ยกหางตัวเองว่าตนเทียบเท่านายแมนเดลา และนางซูจี

------------

เนลสัน แมนเดลา เป็นรัฐบุรุษสันติภาพแห่งอาฟริกาใต้และของโลก ได้รับรางวัลโนเบลเพื่อสันติภาพ

ทักษิณ ชินวัตร เป็นทรราชแห่งไทยแลนด์ คอรัปชั่นติดอันดับโลก ได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำที่เลวที่สุด 1 ใน 5 ของโลก มันสมควรได้รับรางวัล NO LAND = จรจัดไม่มีแผ่นดินอยู่ เร่ร่อนไปเรื่อย ๆ 555

------------------

เนลสัน แมนเดลลา วีรบุรษของชาติ เมื่อจากไปคนทั้งโลกต่างอาลัย และยกย่อง

ทักษิณ ชินวัตร โจรขายชาติ ถึงตายห่าไป ก็มีแต่คนสมน้ำหน้า หัวเราะ 5555


---------------------

ส่งท้ายบทความ

อาร์คบิชอฟ เดสมอน ตูตู เคยกล่าวว่า "คนที่ต้องติดคุกเป็นเวลายาวนาน จะมี 2 ทางให้เลือกเดิน คือ 1 เขาจะทุกข์ทรมานและอาฆาตแค้นมากขึ้น หรือ 2. เขาจะสงบเยือกเย็นลง และมีเมตตาธรรมมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีที่แมนเดลา เขาเลือกทางเดินในแบบที่ 2"





วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พระราชวังไกลกังวล กับสิ่งคณะราษฎร์มอบให้







ตอนแรก ในหลวง ร.7 ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญตามที่คณะราษฎร์ต้องการ แต่รัชกาลที่ 7 ทรงเน้นว่า พระราชทานให้ปวงชนชาวไทย ไม่ใช่พระราชทานให้แก่กลุ่มบุคคลคณะหนึ่งคณะใดเท่านั้น

แต่สุดท้าย ในพวกคณะราษฎร์ก็เกิดการแย่งชิงอำนาจกันเอง ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง (มีสมาชิกคณะราษฎร์บางคนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปตายเยี่ยงยาจกในต่างประเทศก็มี)

"ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของ ข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดย สิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร"


ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ในหลวง ร. 7 จึงทรงเสียพระราชหฤทัย แล้วจึงทรงสละพระราชสมบัติในระหว่างเสด็จไปรักษาพระเนตรที่อังกฤษ และในหลวงก็ทรงประทับที่อังกฤษ จนกระทั่งสวรรคต

ฉะนั้นการกระทำของพวกคณะราษฎร์ จึงไม่ได้น่าชื่นชมยกย่องมากมายอะไรมากนักตามที่แบบเรียน สปช. เขียนยกย่องให้นักเรียนสมัยผมเรียน

เพราะยังไง ๆ แม้ไม่มีคณะราษฎร์ ในหลวงของเราก็ทรงเตรียมมอบประชาธิปไตยให้คนไทยอยู่แล้ว เพราะในหลวงได้เตรียมการเรื่องประชาธิปไตยมาตั้งแต่ ร.5 ร.6 และ ร.7

โดยเฉพาะเนื่องในการฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี ในหลวงรัชกาลที่ 7 เคยมีพระราชปรารภว่า จะทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้คนไทย (เปลี่ยนแปลงการปกครอง) แต่ถูกทักท้วงจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่

------------

แม้ถ้าจะได้ประชาธิปไตยมาช้าหน่อย แต่ถ้าได้มาอย่างที่ประชาชนพร้อมแล้ว นั่นแหละดีที่สุด

อย่างเช่น ประเทศภูฏาน ก็เพิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง แต่ภูฏานเขาได้ประชาธิปไตยที่ชาญฉลาดแล้ว

ไม่ใช่ได้ประชาธิปไตยแบบโง่ ๆ เหมือนที่คณะราษฎรเร่งยัดเยียดให้คนไทย

จนกระทั่งวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเลยว่า ประชาธิปไตยที่ถูกต้องคืออะไร ?

เพราะคนไทยส่วนใหญ่รู้จักแค่ว่า การเลือกตั้งชนะคือประชาธิปไตย แค่มีเสียงที่มากกว่าคือประชาธิปไตย



-----------------

พระราชวังไกลกังวล สร้างในสมัยรัชกาลที่ 7 และในช่วงที่รัชกาลที่ 7 เสด็จแปรพระราชฐานไปพักผ่อนที่พระราชวังไกลกังวล

และในช่วงนี้เองที่คณะราษฎร์ถือโอกาสก็ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง


คลิกอ่าน ฤา ประชาธิปไตยไม่เหมาะกับคนไทย กับคำสารภาพของปรีดี !!





วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มุขเก่าของเสื้อแดงด่า "ไอ้พวกเสียงส่วนน้อย"






ถ้าเราตามดูเว็บบอร์ด หรือเฟสบุ้คที่เปิดให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเมืองในเว็บต่าง ๆ

ตอนนี้คนไทยเราแตกแยกกันมากจริง ๆ ถ้าเสื้อแดงก็ต้องโทษไปที่ระบอบอำมาตย์ตามที่ทักษิณสั่งสอนมอมเมาไว้

ส่วนพวกที่ต่อต้านระบอบทักษิณ ก็โทษไปที่ทักษิณกับความโง่ของพวกเสื้อแดงว่าเป็นตัวการสร้างความแตกแยกในประเทศนี้

ส่วนประเด็นหลักที่คิดต่างกันของแต่ละฝ่ายคือ

ฝ่ายต่อต้านทักษิณมองว่า การคอรัปชั่นคือภัยที่ร้ายแรงที่สุดของชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ทหารอ้างในการยึดอำนาจเสมอทุกยุคสมัย

ส่วนฝ่ายเสื้อแดง นปช. ก็จะมองว่า การรัฐประหารของทหารคือสิ่งเลวร้ายที่สุดยิ่งกว่าการคอรัปชั่น เช่น

ไอ้เหวงที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตรต่อต้านระบอบทักษิณ แต่พอเกิดรัฐประหารปี 49 ปุ๊บ ไอ้เหวงก็แปลงร่างเป็นขี้ข้าทักษิณทันที 555


ประเด็นรองลงมาที่คิดต่างของแต่ละฝ่ายคือ

ฝ่ายต่อต้านทักษิณ มองว่า รัฐบาลแม้จะมาจากการเลือกตั้งก็ตาม แต่ก็ต้องมีหลักธรรมาภิบาลในการปกครองประเทศด้วย ไม่ใช่คิดอยากจะทำอะไรเพื่อผลประโยชน์พวกพ้องก็ได้ โกงกินก็ได้ ถ้าโดนจับได้ว่าโกง แล้วยังหน้าด้านอยู่บริหารต่อ มันก็ต้องโดนประชาชนออกมาขับไล่

ส่วนฝ่ายเสื้อแดง กลับมองว่า ถ้ารัฐบาลมันจะโกงก็โกงไปเหอะ ก็ปล่อยให้รัฐบาลมันโกงกินไปสบาย ๆ 4 ปี แต่ระหว่างนั้นอย่าลืมแจกกูบ้างนะ แล้วค่อยว่ากันใหม่ในการเลือกตั้งคราวต่อไป

แต่เสื้อแดงหารู้ไม่ว่า นักการเมืองโกงกินมันคิดไกลกว่าพวกเสื้อแดงนัก อยากรู้ว่านักการเมืองโกงกินมันคิดยังไง

แนะนำไปอ่านอีกบทความเรื่อง ประชานิยมทักษิณ กับแชร์ลูกโซ่ คลิก !!

และเรื่อง ปตท.กับ ทักษิณ สันดานเดียวกัน คลิก !!





----------------------

มุขเก่าที่ใช้ประจำของเสื้อแดง

ที่จริงพวกเสื้อแดงมันมีมุกซ้ำ ๆ อยู่ไม่กี่อย่างหรอก แต่ถ้าสุดท้ายเวลาพวกเสื้อแดงมันเถียงไม่ออก มันจะงัดมุขสุดท้ายขึ้นมาด่า ก็คือ

"โธ่ ไอ้พวกเสียงข้างน้อย แน่จริงพวกมึงก็ชนะเลือกตั้งให้ได้สิวะ"

นี่คือการใช้หลักตรรกะพวกมากกว่า แปลว่าถูกต้องกว่า แต่จะถูกต้องตามหลักคุณธรรมหรือไม่ พวกเสื้อแดงมันไม่สนหรอก

เพราะพวกเสื้อแดงมันศรัทธาคำว่าประชาธิปไตย ที่แปลว่า การชนะการเลือกตั้งเท่านั้น

นั่นเพราะพวกเสื้อแดงมันไม่รู้จักประชาธิปไตยที่ถูกต้องคืออะไร เพราะพวกมันไม่มีหัวใจประชาธิปไตย

คลิกอ่าน ต้องมีหัวใจประชาธิปไตย จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง




และตรรกะที่มักใช้ได้ผล เวลาเจอพวกฟายแดงเกรียน ๆ ที่ชอบใช้มุกด่า "ไอ้พวกเสียงส่วนน้อย" ผมมักแนะนำให้ตอบกลับไปว่า

"เออ.ใช่ คนกรุงเทพส่วนใหญ่ แม่งโง่เนอะ ที่ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย สู้คนอีสานส่วนใหญ่ไม่ได้ แม่งโคตรฉลาดเลย ถึงได้รักทักษิณเลือกพรรคเพื่อไทย
มิน่าล่ะ คนกรุงเทพฯ แม่งถึงได้จ๊นจน คนอีสานส่วนใหญ่แม่งถึงได้รวยโคตร ๆ 5555"

แล้วก็ตบท้ายด้วยการชวนให้ไปอ่านขำขันเรื่องนี้จะยิ่งเข้าใจมากขึ้น

คลิกอ่าน เมื่อเสื้อแดงระดับมันสมองคุยเรื่องนิรโทษกรรม !!


คือถ้าผมไม่เจอมุขเกรียนของฟายแดงก่อน ผมก็ไม่อยากจะใช้การตอบโต้แบบนี้หรอก

-----------------------

ขำขัน (ดัดแปลงจากประวัติพระโมคคัลลา พระสารีบุตร)

เมื่อทักษิณถาม akecity ว่า "ในโลกนี้มีคนโง่หรือคนฉลาดมากกว่ากัน"

akecity ตอบว่า "คนโง่มีมากกว่าคนฉลาด"

ทักษิณจึงพูดประชดกลับไปว่า "ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้พวกเสื้อแดงจึงหลงเชื่อผม แล้วหลงใหลยิ่งลักษณ์น้องสาวผมไงล่ะ ฮ่าๆๆ"


แนะนำอ่าน คนอีสานฉลาดที่สุด ถ้า...










วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อำนาจหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ กรณีแก้ไขที่มา สว. ขัดรัฐธรรมนูญ







การแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ 50 ที่มาสว.นั้น เนื้อหาที่แก้ไขหลัก ๆ คือ

1.ผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ว.ไม่จำเป็นต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเกินกว่า 5 ปี

2.ให้ที่มาของ ส.ว.ให้มาจากการเลือกตั้งทั้ง 200 คน

3. รวมทั้งผู้ที่เป็นคู่สมรส บุพาการี หรือเครือญาติของ ส.ส.สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว.ได้

เมื่อพิจารณาเนื้อหาแก้ไขทั้ง 3 ข้อรวมกัน

ย้ำ ! ว่า ศาล รธน. ได้พิจารณาเหตุผลของเนื้อหาทั้ง 3 ข้อประกอบกันว่า ที่มาสว. ในร่างแก้ไขแทบไม่มีอะไรที่แตกต่างจากที่มา สส. เลย ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกันมาก

นี่แหละ ที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า มันถอยหลังลงคลอง จะทำให้สภาสูงและสภาล่างมีที่มาเหมือนกัน ซึ่งจะทำให้หลักการถ่วงดุลอำนาจของ 2 สภาบกพร่อง กลายเป็นสภาผัวเมีย

ขอย้ำ ! ว่า ต้องมองทั้ง 3 ข้อรวมกันนะครับ อยากแยกดูเฉพาะข้อใดข้อหนึ่ง

ผมเชื่อว่า หากไม่มีการแก้ไขที่มา สว. โดยเฉพาะใน ข้อ 1 และ ข้อ 3 เพียงเท่านี้ก็อาจไม่มีใครไปยื่นให้ ศาล รธน. วินิจฉัยคดีนี้ก็ได้

ส่วนประเด็นที่ สว. ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ผมเชื่อว่า ทั้งฝ่ายค้านและวุฒิสภาบางส่วนที่คัดค้านน่าคงพอรับได้ และคงไม่ถึงกับต้องไปฟ้องศาล รธน.

แต่พวกเพื่อไทยและเสื้อแดง เอาเฉพาะข้อ 2 ไปเล่นเพื่อโจมตีศาล รธน. ว่า การเลือกตั้ง สว. จะไม่เป็นประชาธปไตยได้ยังไง ??

ดังนั้น ประเด็นแก้ไขที่มา สว. ตามเหตุผลข้อ 1 และข้อ 3 นี่แหละที่เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด จนต้องมีการส่งเรื่องนี้จนเป็นคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญว่า ขัดต่อหลักการรัฐธรรมนูญ 2550

--------------------------

ถามว่า การออก พ.ร.บ. เป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่ ?

คำตอบก็คือ ใช่ เป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา

ในเมื่อการออก พ.ร.บ. เป็นอำนาจของรัฐสภา แต่ศาล รธน. ก็มีอำนาจตรวจสอบว่า พ.ร.บ.นั้น ๆ ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่

ถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภาใช่หรือไม่ ?

คำตอบก็คือใช่

และเมื่อใช้ตรรกะและเหตุผลเดียวกันกับการออก พ.ร.บ.

ในเมื่ออำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นของรัฐสภา ศาล รธน. ก็ย่อมมีอำนาจตรวจสอบตามคำร้องว่า ที่มาของการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรานั้น ๆ ได้มีการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่เช่นกัน

ตามรูปนี้ อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ในข้อ 1 และข้อ 6 ที่ขีดเส้นใต้สีเหลืองไว้


(รูปจากเว็บศาล รธน.)

ขอให้พิจารณาทั้ง ข้อ 1 และ ข้อ 6 ไปพร้อม ๆ กัน เราจะเห็นทันทีว่า

ในข้อ 1 คำว่าร่างกฎหมาย ไม่ได้ระบุว่า กฎหมายอะไร แสดงความว่า ครอบคลุมทุกร่างกฎหมาย รวมถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย

ในข้อ 6 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยว่ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ๆ มีบุคคลหรือพรรคการเมืองใช้สิทธิและเสรีภาพโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?

ซึ่งก็มีการกระทำหลายอย่างของ สส.รัฐบาล ประธานและรองประธานรัฐสภาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เช่นการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน เป็นต้น


------------------------------

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้รับความคุ้มครองและผูกพันทุกองค์กร

ตามรูปนี้ ในมาตรา 27 รัฐธรรมนูญ 2550



และในมาตรา 216 วรรค 5 "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ"

ผมยังไม่แน่ใจว่า คำว่า คำวินิจฉัยของศาลย่อมได้รับความคุ้มครอง นั่นหมายถึงอะไร ? ครอบคลุมแค่ไหน ?

ผมรู้แน่แค่ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 27

แล้วใครก็ตามที่ประกาศไม่ยอมรับอำนาจและคำตัดสินของศาล ก็เท่ากับว่า กระทำขัดรัฐธรรมนูญ (มาตรา27) เป็นความผิดและมีโทษแน่นอน

-----------------------

นางธิดา นกแสก ได้ปราศัยบนเวทีเสื้อแดง ที่สนามรัชมังคลาฯ ว่า "อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา"

ก็ถูกต้อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา ประโยคนี้ไม่ผิดแต่อย่างใด

แต่อำนาจในการตรวจสอบการกระทำใด ๆ โดยมิชอบรัฐธรรมนูญหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น

ในเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยตามคำร้องได้ตามมาตรา 68 ซึ่งผมเขียนอธิบายไว้แล้วในบทความ คลิกอ่าน ความโง่ของนิติราษฎร์ กับคดีแก้ไขรธน. ที่มา สว.

หากไม่อยากให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป ก็ควรทำตามหลักนิติธรรม ไม่กระทำการใดๆ โดยมิชอบรัฐธรรมนูญ ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญแนะนำไว้นั่นแหละถูกต้องที่สุด

คลิกอ่าน อะไรเอ่ย ศาลรัฐธรรมนูญ กับ สส.เพื่อไทย




วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อย่าหลงกล เมื่อยิ่งลักษณ์แจกประชานิยมให้คนเสียภาษี







วันนี้รัฐบาลชั่วได้ประกาศลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาลง แต่ที่จริงก็คือ ผลประโยชน์ทับซ้อน

ใครที่ได้รับการลดภาษี ผมก็ยินดีด้วย แต่อย่าไปให้เครดิตความดีความชอบไอ้รัฐบาลชั่วนี่นะครับ

เพราะผมว่า นี่คือการซื้อเสียงทางอ้อมของพวกมัน แต่เป็นการใช้ภาษีชาติผลประโยชน์ของชาติมาซื้อ (เพราะเร็ว ๆ นี้อาจมียุบสภา)

แต่ที่แน่ ๆ ไอ้พวกตระกลูชิน พวกมันจะได้ลดภาษีลงไปด้วย ปีละหลายสิบล้านบาทหรือ หลายร้อยล้านบาททีเดียว

สมมุติว่า โอ๊ค พานทองแท้ มีรายได้เดือนละ 10 ล้าน เคยจ่ายภาษีปีละ 44.4 ล้านบาท (37%)

แต่เมื่อลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาลงแล้ว โอ๊ค จะจ่ายภาษี 42 ล้านบาท/ปีเท่านั้น (35%) เท่ากับลดลงไปปีละ 2.4 ล้านบาท นี่แค่ตัวอย่างสมมุติของนายโอ๊คคนเดียวนะ

ซึ่งในความเป็นจริง โอ๊คมีรายได้ในแต่ละปีมากกว่าที่ผมยกตัวอย่างมาก เฉพาะแค่ดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคารไม่รวมเงินปันผลหุ้นจากหุ้นในบริษัท

ดอกเบี้ยแต่ละปี ที่โอ๊คและน้องสาวอีก 2 คนได้ แต่ละคนก็ได้ปีละหลายร้อยล้านบาทแล้วครับ

ในขณะที่ประเทศชาติกำลังมีหนี้เพิ่มขึ้น ทั้งหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน ส่งออกวูบ ขาดทุนจำนำข้าวปีละ 2 แสนล้าน รายได้ประเทศกำลังลดลง แต่รายจ่ายประเทศกำลังเพิ่มขึ้น

แต่วันนี้ไอ้รัฐบาลชั่วดันมาลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดา และเคยลดภาษีรายได้นิติบุคคล ซึ่งลดไปเมื่อปีที่แล้ว

อย่างเช่น ลดภาษีนิติบุคคล ลดจาก 30% เหลือ 20%

เช่น ถ้าบริษัทในเครือตระกูลชินวัตร มีกำไรปีละ 5 พันล้านบาท เคยจ่ายภาษีประมาณ 1,500 ล้านบาท/ปี ก็จะลดเหลือจ่ายแค่ 1,000 ล้านบาท/ปีเท่านั้น เท่ากับประหยัดไปปีละตั้ง 500 ล้านบาท !!

ซึ่งทั้งสองนโยบายลดภาษีนี้ พวกนายทุนคือผู้ได้ผลประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะตระกูลชินวัตรจะได้ประโยชน์มากที่สุด

คิดว่าอีกไม่นาน รัฐบาลอาจจะต้องมาเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มแทนแน่ ๆ ในไม่ช้านี้ เพราะเดี๋ยวไม่มีเงินไปโปะหนี้เก่า ใช้หนี้ใหม่

ถ้ารัฐบาลงัดนโยบายเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจริง ๆ มาใช้ ก็แปลความว่า "คนรวยได้ประโยชน์จากการลดภาษีรายได้ แต่ถ้ารัฐบาลหันไปขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งคนจน คนรวยซื้อของชนิดเดียวกันก็ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเท่ากัน"


------------------------

การลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาลง นับว่าเป็นการแก้เกมการเมืองที่ดีของรัฐบาล เพราะเทพเทือกได้ประกาศให้ประชาชนชะลอการจ่ายภาษี

รัฐบาลมันเลยรีบลดภาษีลงซะเลย

ผมถึงว่า เกมการเมืองมันต้องพวกสันดานขี้โกงน่ะ จะเก่งกว่า

ปชป. ตามเกมเพื่อไทย ไม่ทันเพราะเหตุนี้แหละครับ

การใช้สันดานพ่อค้า ใช้สันดานนักการตลาดในเกมการเมือง ทักษิณมันเก่งกว่าจริงๆ

เพราะคนไทยส่วนใหญ่เป็นพวกคิดตื้น ๆ ไม่เข้าใจว่า การที่รัฐบาลดำเนินนโยบายผิด ๆ จะมีผลกระทบกลับมาถึงตัวเองอย่างไร

ก็เพราะผลกระทบบางครั้งไม่ได้มาทางตรง แต่มันมาทางอ้อม แบบที่คนที่ไม่รู้จักคิดจะไม่รู้ตัวว่าโดนผลกระทบแล้ว เดือดร้อนไปแล้วโดยไม่รู้ตัว่า เป็นเพราะนโยบายผิด ๆ ของรัฐบาล

----------------------

กลยุทธรักษาฐานเสียง

เพราะช่วงนี้รัฐบาลเพื่อไทยกำลังเพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายตรงข้ามในหลายเรื่อง

ดังนั้นการที่รัฐบาลลดภาษีทั้งนิติบุคคล และภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ถือเป็นประชานิยมที่ใช้เงินภาษีรัฐมาแจกโดยอ้อมให้กับคนชั้นกลาง เพื่อหวังรักษาฐานเสียงที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้เอาไว้ไม่ให้เปลี่ยนใจไปเลือกพรรคอื่นง่าย ๆ

แถมพรรคพวกของรัฐบาลก็ได้ผลประโยชน์อย่างมากในนโบายนี้อีกด้วย

นี่ถ้าใกล้จะมีการเลือกตั้งจริง ๆ บางทีอาจงัดนโยบายขึ้นเงินเดือนข้าราชการและรัฐวิสาหกิจมาใช้อีกก็เป็นได้ (ซื้อเสียงข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ)

ขอย้ำอีกครั้งว่า หากคุณได้ประโยชน์จากการลดภาษี ก็ขออย่าให้คุณดีใจและไปชื่นชมรัฐบาลนี้

เพราะการที่เราได้ประโยชน์เพิ่ม แต่ประเทศชาติกลับสูญเสียประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอก

เพราะไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ฟรี ๆ โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรไปเลย

ยิ่งถ้าใครเข้าใจประโยคที่ว่า "เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว" ก็ย่อมเข้าใจเรื่องที่ผมอธิบายได้เป็นอย่างดีแน่นอน


-----------

อัพเดทข่าวล่าสุด

กิตติรัตน์ ณ.ระนอง รมว.คลัง ได้สัญญาว่าจะไม่ขึ้นภาษีvat แน่นอนผ่านทางเฟสบุ้ค

ซึ่งผมก็เลยเข้าไปตอบว่า "ท่านรมว. คุณสัญญาว่าจะไม่เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มแน่นอน
ผมจะบอกอะไรให้นะ ถ้าผมเป็นทักษิณแล้วคิดจะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจริง ๆ ผมก็แค่ปรับคุณออกจากครม. แล้วผมก็หา รมว. คนใหม่ มาอธิบายถึงเหตุจำเป็นที่ต้องขึ้น Vat ไง เพราะการเมืองมันเรื่องหมู ๆ ของสันดานนายทุน !! 555"





วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ดูจะจะ คำตัดสินศาลโลกรับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนให้เขมรแล้ว







ผมได้เห็นพาดหัวข่าวจากสื่อหลายสำนัก พาดหัวว่า "คนกันทรลักษณ์เฮ หลังคำตัดสินศาลโลก"

ผมล่ะเชื่อแล้วจริง ๆ ว่า คนกันทรลักษณ์เป็นพวกที่ ถ้าไม่โดนเขมรเยี่ยวรดหัวนอนไม่หลั่งน้ำตาจริง ๆ เพราะยังไม่ทันจะรู้เรื่องอะไรให้ถ่องแท้ ก็รีบเฮดีใจซะแล้ว

แต่ก็อย่างว่า ยังมีคนไทยอีกมากมายที่พาซื่อเชื่อคำพูดนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่า ไทยเราไม่เสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แน่นอน ก็เพราะท่านทูตวีระชัย ออกมาย้ำหลายครั้งว่า เขมรไม่ได้ 4.6 ตร.กม.ตามที่ร้องขอ

(ไม่ได้เสีย 4.6 ตร.กม.แน่นอน แต่จะเสียเกินกว่า 4.6 ตร.กม.น่ะสิ ใช่ไหม ?)

เฮ่อ.. เหนื่อยใจจริง ๆ แม้แต่ท่านทูตวีระชัยก็ยังปกปิดความจริง เพื่อเอาตัวรอดและเพื่อช่วยรัฐบาลชั่วหลอกคนไทยได้อีก

สังเกตได้จากทีมทนายฝรั่งที่ไทยจ้างมา ตอนนั่งฟังคำพิพากษาในศาลโลก หน้าตาเคร่งเครียดมาก ดูก็รู้ว่า แค่มองหน้าทีมทนายก็รู้ว่าไทยแพ้แน่นอน

ในขณะที่สื่อเขมรตีข่าวชัยชนะอีกครั้งของเขมรเหนือไทย ฮุนเซ็นก็ประกาศชัยชนะ สื่อทั้งโลกก็บอกเขมรชนะ

แต่รัฐบาลไทยโดยนายกยิ่งลักษณ์ และไอ้ปึ้ง สุรพงษ์ กลับบอกว่า ไทยไม่แพ้

---------------------

พื้นที่เล็ก ๆ กับการเจรจา

ตอนนี้ท่านทูตวีระชัย พยายามเกาะคำว่า พื้นที่เล็ก ๆ ที่ศาลโลกใช้ เพื่อจะสื่อว่าแค่เสียพื้นที่เล็กๆ นิดเดียวไม่เป็นไรหรอก เพื่อสันติภาพ เพื่อภราดรภาพ เพื่อมรดกโลกของเขมรฝ่ายเดียว

แต่เมื่อถามว่า พื้นที่เล็ก ๆ น่ะแค่ไหน ?

ทุกคนในรัฐบาล รวมทั้งท่านทูตวีระชัย ก็จะตอบไปในทิศทางเดียวกันว่า ต้องไปเจรจากับกัมพูชาก่อน ตามคำแนะนำของศาลโลก

แล้วรัฐบาลไทย นักวิชาการฝั่งรัฐบาล ก็จะอธิบายความเข้าข้างตัวเองว่า ไทยคงเสียพื้นที่แค่นิดเดียวเท่านั้น แต่นี่เป็นเพียงความคิดฝ่ายเดียวของไทยเท่านั้น

ซึ่งรัฐบาลกัมพูชามันคงไม่คิดเหมือนที่รัฐบาลไทยคิดแน่นอน เพราะตามสันดานเขมร มันได้คืบจะเอาศอก

ก็ถึงขนาดฮุนเซ็นได้ประกาศว่า ศาลโลกรับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาแล้ว มีหรือที่เขมรมันจะใจดีเอาแค่พื้นที่เล็กมาก ๆ เหมือนอย่างที่ฝ่ายไทยคิด

ไม่มีทางซะหรอก เพราะศาลโลกแนะนำว่า ให้ไทยไปเจรจากับเขมรและให้ฟังคำแนะนำจากยูเนสโก

สมมุติถ้าไทยกับเขมรเจรจาตกลงกันไม่ได้ในเรื่อง "บริเวณรอบปราสาท"

แล้วให้ยูเนสโกช่วยแนะนำตัดสิน ก็เท่ากับยิ่งเข้าทางเขมรทันที เพราะทั้งยูเนสโกและศาลโลกเอียงเข้าข้างเขมรอย่างชัดเจน

-----------------------

พลเอกประยุทธ ผบ.ทบ. ยกภูมะเขือให้เขมรไปแล้ว

ดูจากข่าว เมื่อนักข่าวถามบิ๊กตู่ว่า ศาลไม่ได้บอกว่า ภูมะเขือเป็นของเขมร ท่านจะผลักดันทหารเขมรออกจากภูมะเขือไหม ?

ผบ.ทบ.ตุ๊ดตู่ ก็ทำท่ายัวะใส่นักข่าว แล้วตอบว่า ทหารเขมรเขาก็อยู่ในที่ ๆของเขาแล้ว และศาลไม่ได้ตัดสินว่าภูมะเขือเป็นของใครกันแน่

ส่วนท่านทูตวีระชัย ก็ย้ำเหลือเกินว่า เขมรไม่ได้ภูมะเขือไป แต่ในความเป็นจริง ภูมะเขือทหารเขมรยึดครองไว้หมดแล้วครับ

และไม่มีทางที่ทหารไทยยุคนี้จะไปผลักดันให้ทหารเขมรออกจากภูมะเขือแน่นอน

---------------------------

พิรุธในการเลือกองค์คณะผู้พิพากษาศาลโลก

องค์คณะผู้พิพากษาศาลโลกมีทั้งหมด 15 คน โดยที่จะต้องไม่มีชาติที่ซ้ำกันเลย

แต่กัมพูชากับไทยมีสิทธิเลือกผู้พิพากษาได้ชาติละ 1 คน ซึ่งกัมพูชาได้เลือกผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสไปอีก 1 คน

ส่วนไทยก็ดันไปเลือกผู้พิพากษาเป็นชาวฝรั่งเศสอีก 1 คนเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ชาติฝรั่งเศสเปรียบเสมือนฝ่ายตรงข้ามกับไทยมาตั้งแต่คดีในปี 2505

ทำให้คณะผู้พิพากษาทั้ง 15 คน จึงมีผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสมากถึง 3 คน (เดิมมีผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสอยู่ในองค์คณะอยู่แล้ว1คน)

จึงเท่ากับว่า ผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสมีมากถึง 20% จากจำนวนผู้พิพากษา 15 คน

ทำให้โอกาสที่ผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสจะช่วยกันล็อบบี้คำตัดสินให้โน้มเอียงเข้าข้างกัมพูชาก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น

เราอย่าลืมว่า ศาลโลกนั้นมีการเล่นการเมืองภายในเช่นกัน

ถามว่า ทำไมฝ่ายไทยเสือกไปเลือกผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสด้วย ?!

-----------------------------

คำตัดสินศาลโลก จะทำให้กัมพูชายึด 4.6 ตร.กม.ได้ทั้งหมด

ทำไมฮุนเซ็นกล้าประกาศว่า ศาลโลกได้รับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนแล้ว ?

ในขณะที่ท่านทูตวีระชัย พยายามบอกว่าศาลโลกไม่ให้ความสำคัญกับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ?

ผมว่า ท่านทูตวีระชัยกำลังพยายามจะปกปิดความจริงข้อนี้ ทำเหมือนกับว่า มีท่านเพียงคนเดียวในประเทศไทยที่ตีความคำตัดสินของศาลโลกถูกต้องเพียงคนเดียว

ซึ่งในความจริง หลังจากจบคำตัดสินของศาลโลกแล้ว ผมกลับเห็นว่า ท่าทีของท่านทูตวีระชัยเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม เหมือนจะกำลังปกปิดความจริงกับคนไทยเพื่อเอาตัวรอด

ทีนี้มาดูส่วนหนึ่งในคำตัดสินของศาลโลกเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2556 ในหน้าที่ 28 ตามนี้





คำแปล

ประการที่ 2 .แผนที่ภาคผนวก 1 นั้น เป็นเหตุผลหลัในการที่ศาลพิพากษา หลังจากที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของแผนที่นั้น และดูผลความเกี่ยวเนื่องกับสนธิสัญญา ศาลได้กล่าวว่า ประเด็นที่แท้จริงที่มีต่อศาลคือว่า ซึ่งคือประเด็นหลักในคดีนี้คือ คู่ความได้รับรองแผนที่ภาคผนวก 1 และเส้นแบ่งเขตแดนในนั้น เป็นผลของคณะกรรมการปักปันเขตแดนในบริเวณปราสาทพระวิหาร และมีผลผูกพันหรือไม่

ศาลได้ดูพฤติกรรมของคู่ความในการเข้าไปเยี่ยมชมพื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะ พระยาดำรงเดชานุภาพ ในการเสด็จเยือนพื้นที่ดังกล่าวในปี 1930 เมื่อมีเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสต้อนรับ ศาลเห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวนั้น เหมือนกับเป็นการยอมรับโดยทางอ้อมของสยาม ในอธิปไตยของปราสาทพระวิหาร เหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งพฤติการณ์อื่นๆ ของประเทศไทยในเวลาต่อมา ก็ถือเป็นการยืนยันของการยอมรับของประเทศไทยในทุกเส้นแบ่งแดนในภาคผนวก 1 ศาลได้กล่าวว่า ประเทศไทย ในปี 1908 1909 ได้ยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 ให้ถือว่าเป็นผลของการทำงานของคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดน และได้ยอมรับเส้นแบ่งเขตแดนดังกล่าวว่า เป็นเส้นแบ่งเขตแดน ซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัยว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในกัมพูชา

การยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 โดยคู่ความทั้งสองนั้น ทำให้แผนที่ภาคผนวก 1 ถือส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา


------------------------

จากคำพิพากษาของศาลโลกคราวนี้ คุณเห็นแล้วรึยังว่า ศาลให้ความสำคัญกับแผนที่แอนเนก หรือแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนอย่างมาก ถึงขนาดศาลบอกว่า แผนที่1 ต่อ2แสน ถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา

เพียงแต่ศาลระบุเพียง จะใช้แผนที่นี้ในการพิจารณาเฉพาะพื้นที่คดีพิพาทเขาพระวิหารเท่านั้น ศาลไม่ได้ล่วงมากไปกว่าคำพิพากษาเดิม

ซึ่งก็แปลว่า กัมพูชายังสมารถนำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนไปใช้ในการปักปันเขตแดนกับไทยต่อได้ จริงไหม ?

แต่ท่านทูตวีระชัยพยายามโกหกว่า ไทยไม่เสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงกัมพูชาจะนำคำพิพากษาในเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนมาใช้ในการยึดครองพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แน่ ๆ

และแม้แต่ในการปักปันเขตแดนร่วมกันของไทย-กัมพูชา กัมพูชาก็จะนำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนมาใช้เจรจาอย่างแน่นอน นั่นจะทำให้ไทยเราอาจต้องเสียแผ่นดินอีก 1.8 ล้านไร่ในภาคอีสานใต้ รวมถึงอาจจะเสียปราสาทตาพรหม ปราสาทตาควาย เพราะอยู่ในเขตแดนเขมรตามแผนที่ 1 ต่อ 2แสน รวมไปถึงเสียผลประโยชน์ในอ่าวไทยในกาลต่อมาแน่นอน

ยิ่งถ้ามีรัฐบาลที่เป็นขี้ข้าของทักษิณ ก็ยิ่งสมประโยชน์กับฮุนเซ็น


-----------------------

ไทยจะเสียดินแดนจริงๆ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ




ส่วนคำแนะนำของสว.คำนูณ สิทธิสมาน ได้อภิปรายในสภาว่า ไทยจะต้องไม่พูดว่า เราจะไม่ทำตามคำสั่งศาลโลก หรือพูดว่าจะทำตามคำสั่งศาลโลก

หมายถึง ให้เราลืมเรื่องนี้ไปเลย เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครับ


สุดท้ายขอแนะนำว่าใครยังไม่ได้อ่านบทความเรื่อง ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารภาค 2 แล้ว กรุณากลับไปย้อนอ่านด้วยนะครับ

คลิกอ่าน ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารภาค 2 แล้ว







วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

นพดล ปัทมะ ผู้ยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้เขมรไปตลอดกาล






บทความนี้ผมจะอธิบายอย่างง่าย ๆ ว่า การแถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ได้ยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้เป็นของเขมรไปตลอดกาลอย่างไร

กล่าวคือ ในคำตัดสินของศาลโลกเมื่อพ.ศ. 2505 แม้ศาลโลกจะตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาก็ตาม

แต่ประเทศไทยก็ได้สงวนสิทธิในการที่จะในการหาหลักฐานใหม่ เพื่อฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ ย้ำ !! คดีใหม่ เพื่อทวงคืนปราสาทเขาพระวิหารคืน ซึ่งการสงวนสิทธินี้ไม่มีอายุความ

หมายถึง หากไทยได้หลักฐานใหม่ก็สามารถฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ในการทวงคืนปราสาทเขาพระวิหารได้

แต่นายนพดล ปัทมะ ดันไปเซ็นยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียวแล้ว

โดยนายนพดลได้อ้างว่า ได้ช่วยรักษาดินแดน 4.6 ตร.กม.ให้ไทย เพราะได้พยายามขอให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น นั่นแสดงว่า กัมพูชาได้ยอมรับว่า ตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทนั้นเป็นของไทย

แต่ !! ที่อ้างมาทั้งหมด นายนพดล ปัทมะ โกหก!!

---------------

เพราะปราสาทเขาพระวิหาร ตอนนี้ยังเป็นแค่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกเท่านั้น แต่ยังไม่ได้เป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ

เพราะเขมรยังไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ร่วมในประวัติศาสตร์ พื้นที่เขตกันชน และพื้นที่บริหารจัดการรอบปราสาทให้แก่คณะกรรมการมรดกโลกได้

เขมรมันเลยต้องการพื้นที่รอบตัวปราสาทเขาพระวิหารอีก 4.6 ตร.กม. เพื่อให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้อย่างสมบูรณ์

ฉะนั้นที่นายนพดล ปัมทะ อ้างว่าเขมรขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น จึงเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ครับ

----------------

มาตรา 190 ไม่อาจยับยั้ง แถลงการณ์ร่วมนพด กับกัมพูชาได้

รธน. 2550 ในมาตรา 190 ที่ว่า สนธิสัญญาใด ๆ ที่เกี่ยวกับอาณาเขตแดน ที่ไทยจะทำกับต่างประเทศ ต้องผ่านสภาก่อน

แต่นายนพดล ปัทมะ ไปเซ็นแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา โดยไม่นำเรื่องเข้าสู่สภาตามมาตรา 190 ก่อน

แม้แถลงการณ์ร่วมของนายนพดลกับกัมพูชา จะขัดรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 190 ก็ตาม

แต่มาตรา 190 ก็ไม่อาจยับยั้งแถลงการณ์ร่วมในการที่กัมพูชานำไปใช้เป็นหลักฐานในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เลย เพราะคณะกรรมการมรดกโลกเขาไม่สนการเมืองภายในของไทย เขาสนแต่เอกสารที่รัฐบาลไทยประทับรับรองมาแล้วเท่านั้น

เพราะสุดท้ายกัมพูชาก็ยังนำแถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ไปประกอบเอกสารในการขอยื่นจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เพื่อให้คณะกรรมการมดกโลกเห็นว่า ไทยได้ยอมรับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารได้เพียงฝ่ายเดียวแล้ว

และกัมพูชา ก็กลับนำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนไปประกอบการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วย

ซึ่งกัมพูชาไม่ได้ใช้แผนที่ที่นายพดลอ้างเองว่า กัมพูชาจะใช้แผนที่ที่มีเพียงตัวปราสาทเท่านั้น

--------------

สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ กัมพูชาไม่ได้ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น ตามที่นายนพดลอ้าง

แต่กัมพูชาก็ยังใช้แถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ที่ยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว ไปใช้ร่วมกับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนแทนแผนที่ที่นายนพดลอ้างว่า เป็นแผนที่ที่กัมพูชาจะใช้ขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น

ฉะนั้นมี 2 เหตุผลที่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นก็คือ

1. นายนพดลมันโง่ โดนกัมพูชาหลอกใช้ ให้เซ็นยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว หรือไม่ก็

2. นายนพดลขายชาติ ยอมร่วมมือกับกัมพูชา ทำให้ไทยเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารไปตลอดกาล และไปเปิดช่องให้กัมพูชานำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนไปอ้างขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้

----------------------

คำแก้ตัวของนายนพดลเรื่อง อายุความการสงวนสิทธิของไทย

นายนพดล อ้างว่า การสงวนสิทธิของไทยได้หมดอายุความไปแล้ว เพราะการสงวนสิทธิมีอายุความเพียง 10 ปี

แต่นั่นเป็นการตีความที่ผิด ๆ ของนายนพดลกับนักวิชาการขายชาติบางคน

เพราะถ้าเป็นการสงวนสิทธิในการคัดค้านหรือให้ศาลทบทวนในคำพิพากษาเดิมพ.ศ. 2505 จะมีอายุความแค่ 10 ปีเท่านั้น

แต่.. การสงวนสิทธิในการฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ ด้วยหลักฐานใหม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำพิพากษาเดิมนั้น จะไม่มีอายุความ

ซึ่งเรื่องอายุความในการสงวนสิทธิฟ้องร้องคดีใหม่ไม่มีหมดอายุความนั้น ได้รับการยืนยันโดยนายสมปอง สุจริตกุล เอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ และเป็น 1 ในทีมทนายความของไทยเมื่อปี 2502-2505

ซึ่งมีแต่พวกโง่เท่านั้นที่เชื่อข้ออ้างของนายนพดล

-----------------------

ยิ่งเมื่อการตีความเรื่องอายุความของฝ่ายนายนพดล ปัทมะ กับ ทนายสมปอง สุจริตกุล ทนายความฝ่ายไทยในคดีนี้เมื่อปี 2505 ยังไม่ตรงกัน

ตามหลักการที่ถูกต้อง เรื่องแถลงการณ์ร่วมของนายนพล ยิ่งไม่ควรผลีผลามกระทำไปโดยพลการ เพราะนายนพดลจะเร่งรีบไปเซ็นให้เขมรไปขึ้นทะเบียนตัวปราสาททำไม ถ้าไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง

เพราะการยอมให้เขมรไปขึ้นทะเบียนแม้แค่ตัวปราสาท ก็เท่ากับว่า ไทยได้ยกตัวปราสาทให้เขมรไปโดยปริยาย

ซึ่งควรมาถกประเด็นเรื่องอายุความในการสงวนสิทธิให้ชัดเจนเสียก่อน และควรนำเรื่องนี้เข้าสู่สภาตามมาตรา 190

แต่นายนพดล กลับไปเซ็นแถลงการณ์ร่วมโดยพลการ แถมอ้างเองเออเองว่า การสงวนสิทธิของไทยหมดอายุความไปแล้ว

นี่เท่ากับว่า นายนพดล ได้ทำให้ไทยต้องเสียสิทธิในการสงวนสิทธิในการฟ้องร้องคดีใหม่ด้วยหลักฐานใหม่ไปแล้ว

จึงเท่ากับว่า นายนพดล ปัทมะ คือคนยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชาไปตลอดกาล ทำให้ไทยหมดสิทธิที่จะไปฟ้องร้องทวงคืนตัวปรราสาทด้วยคดีใหม่ หลักฐานใหม่ได้อีกแล้ว

------------------------

แปลความง่าย ๆ ว่า นายนพดล ปัทมะ ทำให้ไทยเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารไปตลอดกาล ไทยไม่มีสิทธิทวงคืนอีก

แถมการเซ็นแถลงการณ์ร่วมของนายนพดล คราวนั้น ทำให้เขมรมันฮึกเหิมไปเรียกร้องให้ศาลโลกตีความเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนอีกครั้ง เพื่อหวังยึดดินแดนไทยเพิ่มอีก


คลิกอ่าน จับผิดคำพูดนพดล ปัทมะ

คลิกอ่าน เขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลกสำเร็จเพราะนพดล





วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ระวังอันตราย!! ถ้าปล่อยให้สว.ยับยั้ง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย






ตอนนี้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านจากสภา สส.แล้ว ก็ต้องเข้าสภา สว. ต่อเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตีหน้าเศร้าชี้โพรงทำนองว่า ถ้า สว.จะยับยั้ง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ก็จะไม่ว่าอะไร และจะปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ตกไป หลังจากครบ 180 วัน ซึ่งผมได้อธิบายไปแล้วในบทความก่อน คลิกอ่าน

แต่ที่น่าห่วงคือ

1. ถ้า เสียง สว. เกิดไม่ยับยั้งพ.ร.บ.ฉบับนี้ตามที่ออกมาตั้งโต๊ะแถลงในวันก่อน แถมยังปล่อยให้ผ่านทั้ง 3 วาระ รวดเดียว ก็จะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์สามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ และนำไปประกาศใช้ได้ทันที

แถมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็จะอ้างได้ว่า ที่พ.ร.บ.นี้ผ่านเป็นกฎหมายมาได้ เป็นเพราะ สว. ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลเลย 

ที่สำคัญ คนไทยจำนวนมากยังไม่รู้ว่า สว.ชุดนี้กำลังจะครบวาระในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 นี้แล้ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า อาจมี สว.ขี้ข้าทักษิณ ยอมผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อช่วยทักษิณ ก็สามารถเป็นไปได้

2. หรือถ้า สภา สว. เกิดยับยั้งพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระที่ 1 จริง ๆ

พ.ร.บ.นี้ ก็จะถูกส่งคืนไปที่ สภา สส. โดยจะต้องรออีก 180 วัน ซึ่งระหว่าง 180 วัน ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย

แม้พรรคเพื่อไทยจะแถลงว่า ถ้าครบ 180 วัน จะยอมปล่อยให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ตกไป ถามว่า มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะทำตามคำพูดได้จริง ?

เพราะถ้าครบ 180 วันแล้ว อยู่ ๆ เสือกมี สส.ที่ยอมขี้ข้าทักษิณอย่างเต็มตัว เช่น จ่าประสิทธิ์ สัก 20 คน

แล้วอยู่ ๆ ไอ้สส.ขี้ข้าหน้าด้านพวกนี้ เกิดแหกฝูง เสร่อไปยกมือผ่านร่างนี้เลย โดยไม่สนที่วิปเพื่อไทยเคยแถลงไว้ แล้วจะว่าไงล่ะ ?

ก็เท่ากับว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย จะผ่านไปเป็นกฎหมายได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ

อย่าลืมว่า คำแถลงของวิปรัฐบาล ไม่ใช่มติของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ

--------------

หมายเหตุ

จ่าประสิทธิ ศิษย์นกเอี้ยง ได้ประกาศล่วงหน้าไว้แล้วว่า จะหาสส. 20 คน ไปยกมือผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ หลังจากครบ 180 วันแน่นอน



--------------------------

ถ้ารัฐบาลจริงใจ ก็ควรให้ สภา สว.แก้ไขร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้

เพราะสภา สว. ก็สามารถแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ โดยให้ สว.รับหลักการในวาระแรกไปก่อน แล้วไปแก้ไขให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กลับไปเป็นอย่างเดิมในวาระที่ 2 ที่ 3 ต่อไป คือให้เหลือนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น

พอผ่านครบ 3 วาระในสภา สว. แล้ว  ส่งกลับไปให้สภาสส. เห็นชอบ อีกครั้ง

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีก็นำไปทูลเกล้า ฯ เพื่อประกาศใช้เป็นกฏหมายนิรโทษกรรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น ไม่รวมคดีทุจริต ไม่รวมแกนนำ ไม่รวมผู้สั่งการ และไม่ต้องย้อนหลังไปถึงปี 2547

เพียงเท่านี้ ก็เท่ากับว่า รัฐบาลจริงใจกับประชาชนจริง ๆ ไม่หมกเม็ด

แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลยังแสดงท่าทีหมกเม็ด ไม่น่าเชือถือเหมือนเดิม เพราะดูเหมือนรัฐบาลจะพยายามทำทุกทางเพื่อหวังให้การชุมนุมต่อต้านยุติลงมากกว่าจะจริงใจในการแก้ปัญหาจริง ๆ

คลิกอ่าน กม.นิรโทษกรรมสุดซอยช่วยทักษิณแค่เป้าหลอก




วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มาดูมาตรา 3 ที่มา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย







เพราะมีการแก้ไข มาตรา 3 ในพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนายวรชัย ในชั้นกรรมาธิการ วาระ2 จนทำให้กม.นิรโทษกรรมแค่ประชาชน กลายเป็นพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ในที่สุด

ซึ่งมาตรา 3 มีเนื้อหาดังนี้

มาตรา 3 การกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือมีความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด โดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รวมถึงองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว สืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวกลาง ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำนั้นพ้นจากความผิดโดยสิ้นเชิง 
โดยร่างของกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ ไม่รวมถึงการกระทำผิดในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

(เพราะกม.นิรโทษกรรมสุดซอย ไม่รวมคดีละเมิดมาตรา 112 คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปด้วย จึงทำให้พวกล้มเจ้าและพวกนิติราษฎร์ไม่พอใจ)

----------------

กรรมาธิการ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ตอบคำถามไม่ได้

สส. บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ถามกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ แก้ไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยว่า

ถ้านิรโทษกรรมให้ผู้ที่แสดงออกทางการเมืองทุกคน ถามว่า แล้วอดีตตำรวจที่ขี่มอเตอร์ไซค์แหกด่านแล้วถูกจับได้ พบว่าพกระเบิด M79 อ้างว่ากำลังจะไปร่วมชุมนุมเสื้อแดง

ถามว่า กม.นิรโทษกรรม รวมไอ้ผู้ต้องหาคนนี้หรือไม่ ?

เพราะถ้ารวมมันไปด้วย ต่อไปใครจะไปชุมนุมก็พกระเบิด พกอาวุธกันไปได้อย่างสบาย เพราะต่อไปก็จะไม่มีความผิดเป็นบรรทัดฐาน

สรุป ไอ้พวกกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ แม่ง ตอบไม่ได้สักตัว !!

สส.บุญยอด สุขถิ่นไทย ยังถามต่ออีกว่า แล้วพวกที่ไปเผาศาลากลางจังหวัด เหตุเพราะไม่พอใจสถานการณ์ทางการเมือง จะได้รับนิรโทษกรรมด้วยใช่หรือไม่ ?

เพราะถ้าใช่ ต่อไปใครประท้วงอะไรทางการเมือง ก็เผาบ้านเผาเมืองได้ใช่หรือไม่ ?

สรุป พวกกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ แม่ง ตอบไม่ได้สักตัว เหมือนเดิม

คลิกที่รูปเพื่ออ่านข่าว


--------------------------

ถามว่า ทำไมผมไม่ค่อยเดือดร้อนกับ กม.นิรโทษกรรม เหมือนคนอื่น ๆ เท่าไหร่นัก

ตอบง่ายมากคือ

1 โอกาสที่ กม.นิรโทษกรรมฉบับนี้จะรอด ศาล รธน. มีค่อนข้างน้อยครับ เพราะมีความแตกแยกหนักในบ้านเมือง รวมทั้งในฝ่ายแดงถ่อยก็แตกแยก จะยิ่งทำให้ ศาล รธน. พิจารณาง่ายขึ้น ในการล้ม กม.นิรโทษกรรมฉบับนี้

เพราะ กม.นิรโทษกรรมฉบับนี้ มันผิดหลักการครับ เพราะหลักการในร่าง กม. นี้ตอนแรก คือ ไม่สุดซอย แต่ดันมาแก้หลักการในชั้นกรรมาธิการ นี่จึงกลายเป็นเหตุให้ขัดหลักการตัวมันเอง ถือว่าบิดเบือนหลักการ หลอกลวงประชาชน โอกาสที่ศาล รธน. จะตัดสินกฎหมายนี้ล้ม เป็นไปได้สูงมาก

2 แถม อีโอ๊ค ก็ไม่สนับสนุนร่างนี้เหมือนกัน เพราะอีโอ๊ค ขอแค่ให้พ่อมันมาสู้คดีใหม่ โดยไม่ใช่คำร้องของ คตส. เพราะอีโอ๊คไม่ต้องการให้อภิสิทธิ์ กับ สุเทพ ลอยนวล

3 ถ้าสมมุติ กม.นิรโทษกรรม มันผ่านออกไปได้จริง ๆ อภิสิทธิ์ กับ สุเทพ ก็จะรอดทุกคดี นั่นยิ่งทำให้เสื้อแดงมันแตกแยกกันเองมากขึ้นแน่นอน

4. แถม ถ้าทักษิณมันรอดทุกคดี กลับมาไทยแล้ว มีโอกาสตายสูงกว่าอยู่ต่างประเทศครับ

ฉะนั้นที่ต่อต้านกันน่ะ ก็ทำไป แต่ไม่ต้องใจร้อนหรอก เพราะ กม.นิรโทษกรรมจะคืนสนองทักษิณและพวกแดงถ่อยเอง นั่นคือดีที่สุด

----------------

ขออธิบายเสริม 

ในประชุมวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการของกม.นิรโทษกรรม สภาล่างได้ลงมติรับหลักการ คือนิรโทษเฉพาะประชาชน ไม่รวมแกนนำทุกสี และคนสั่งการฆ่าประชาชน

แต่ในวาระ 2 ชั้นกรรมาธิการ กลับแก้ไขหลักการของวาระแรก นี่คือบิดเบือนหลักการ หลอกลวงประชาชนครับ โอกาสไม่ผ่าน ศาล รธน. จึงสูงมาก ถ้าศาลให้ผ่านไปได้ ศาลก็จะซวยเองครับ

เพราะถ้าคิดจะนิรโทษกรรมสุดซอยตั้งแต่แรก ก็ควรไปใช้ฉบับที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เคยเสนอ 

แต่เจตนาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และสส.ขี้ข้า มีเจตนาหลอกลวง จึงได้ใช้กม.นิรโทษกรรม ฉบับของนายวรชัย มาใช้แทน

แบบนี้เขาเรียกว่า หมกเม็ด หลอกลวง ครับ

----------------

มีเพื่อนในเฟสบ้คถามมาว่า "สงสัยอีโอ๊ค ทำไมไม่อยากให้พ่อมันกลับหรอ ในเมื่อเป็นความต้องการของพ่อ?"

ผมขอตอบว่า "เขาเรียก เหยียบเรือ 2 แคม ไง ถ้าไม่ผ่าน อีโอ๊คก็ได้ใจพวกแดง แต่ถ้าผ่าน อีโอ๊คก็ยังได้ใจพวกแดงอยู่ดี แต่พ่อมันรอดทุกคดี
แล้วพอทักษิณมันรอด อีโอ๊คนี่แหละ จะเป็นทายาททางการเมือง ที่อ้างได้ว่า ผมไม่ได้สนับสนุน กม.นิรโทษสุดซอยนะ"

----------------

ตัวผมตาสว่างเลิกสนับสนุนทักษิณ ก็เพราะ การขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก แล้วเลี่ยงภาษี

อ้อ อย่ามาอางว่า กายหุ้นในตลากหลักทรัพย์ไม่ได้การยกเว้นในการเสียภาษีล่ะ เพราะใครอ้างแบบนั้น แสดงว่า โง่ ไม่รู้จริง

แล้วพวกเสื้อแดงล่ะ จะตาสว่างเลิกคลั่งทักษิณ เมื่อใด หรือว่า ต้องตายเสียก่อนถึงหายโง่ !

astv ตูน


เมื่อหลายเดือนก่อน อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ เคยปราศัย ก่อนที่ กม.นิรโทษกรรมจะเข้าสภาว่า "งั้นพวกเราไปเผาบ้านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ กันเลยดีไหม เพราะต่อไปก็จะไม่มีความผิด เพราะจะได้นิรโทษรกรรมไปด้วย"


คลิกอ่าน ระวังอันตราย ! ถ้าปล่อยให้ สว. ยับยั้งพ.ร.บ.นิรโทษกรรม




วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กองทุนมั่งคั่ง ทุนสำรองเงินตรา รัฐบาลถังแตกกับประชานิยม







ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ไม่ใช่เป็นเงินของไทยไปทั้งหมด แต่มีเงินที่นักลงทุนนำเงินต่างประเทศเข้ามาในไทยอยู่ด้วย แล้วไทยก็พิมพ์เงินบาทแลกให้นักลงทุนใช้ในการลงทุนในประเทศไทย

ถ้ามีเงินเข้ามาในไทยมากกว่านำเงินไหลออกนอกประเทศไป ไม่ว่าจะเกิดจากเงินจากภาคการส่งออกและการนำเข้า หรือเงินจากการลงทุน เงินที่กู้จากต่างชาติ หรือเงินที่ได้มาจากการท่องเที่ยวก็ตาม

รวม ๆ แล้ว ถ้าเงินเข้าประเทศมีมากกว่าเงินออกนอกประเทศ ไทยก็จะได้กำไรจากการเคลื่อนไหวของเงินตรา เป็นผลให้ทุนสำรองเงินตราเพิ่มขึ้น เราจึงเรียกว่า กำไรจากดุลบัญชีเดินสะพัด

แต่ถ้าหากรัฐบาลคิดเอาเงินทุนสำรองมาใช้แบบไม่คิด ไปใช้ในประชานิยมแบบผิด ๆ ที่ไม่สร้างผลกำไร เช่นนำไปใช้ในโครงการรับจำนำข้าวหรืออื่น ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

ระวัง !นักลงทุนต่างประเทศเกิดแห่ถอนทุนคืน !!

แล้ววิกฤติ 40 จะกลับมาอีกครั้งแน่นอน

ดังนั้น ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ จึงต้องมีสำรองให้พอกับการไหลออกของเงินไว้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในยามเกิดวิกฤติ

-----------------------

ที่ผมพูดถึงทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ สืบเนื่องจาก รัฐบาลอีโง่มันจะตั้ง กองทุนมั่งคั่ง เพื่อจะนำเงินจากทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศมาใช้ครับ

เพราะตอนนี้รัฐบาลอีโง่ มันกำลังถังแตกจากโครงการจำนำข้าว ทำให้เป็นหนี้ ธกส. กว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้จ่าย รัฐบาลอีโง่มันเลยหาหนทางจะนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้

(จำไว้ว่า ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ไม่ใช่เงินคงคลังนะครับ)

ซึ่งถ้าหากไทยขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวมาก ๆ ก็อาจทำให้ประเทศไทยเกิดสภาวะไม่มั่นคงทางการเงินในท้องพระคลัง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความไม่มั่นใจไปด้วย

และหากเกิดการแห่ถอนทุนคืนจากนักลงทุนต่างชาติจะเป็นอย่างไร ? เช่นแห่ขายคืนพันธบัตรและตราสารหนี้ของไทย ถอนหุ้นเพื่อเอาเงินคืนจากตลาดหุ้น

คำตอบคือ ก็จะเหมือนไทยเราโดนโจมตีค่าเงินบาทเลยครับ นั่นคือ ไทยเราก็ต้องคืนเงินในรูปเงินดอลล่าห์ให้แก่นักลงทุน นั่นก็คือ นำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจ่ายคืนนักลงทุน

ซึ่งถ้าไทยมีทุนสำรองไม่มากพอ เพราะเสือกเอาไปใช้ในทางที่ผิด ไทยก็ต้องนำเงินดอลล่าห์ในท้องพระคลังไปจ่ายคืน ถ้ามีไม่พอก็ต้องนำทองคำในท้องพระคลังไปแลกเป็นเงินดอลล่าห์มาเพื่อคืนเงินแก่นักลงทุน

หรือจะนำเงินบาทจำนวนมากไปซื้อเงินดอลล่าห์ก็ตาม ก็จะทำให้เงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง เพราะความต้องการเงินบาทในตลาดการเงินจะต่ำลง แต่ความต้องการเงินดอลล่าห์จะสูงขึ้น

ทีนี้พอทองคำในท้องพระคลัง(คลังหลวง)ของไทยร่อยหรอ ซึ่งหมายถึง เงินคงคลังร่อยหรอไปด้วย

พอนักลงทุนแห่เอาเงินดอลล่าห์กลับไป เงินบาทที่ไทยเคยพิมพ์ให้นักลงทุนใช้ลงทุนในประเทศไทยก็จะเหลือบานเบอะ ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินบาทตกอย่างรุนแรง!!

ทีนี้แหละ ใครกู้เงินจากต่างประเทศ ซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศ หรือเป็นหนี้ต่างประเทศ ก็จะซวยแบบวิกฤติปี 40 ครับ

กรณีที่ผมยกตัวอย่างนี้ ก็คล้ายกับที่ได้เกิดขึ้นในกรีซมาแล้ว จนทำให้กรีซเกิดภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ เนื่องจากกรีซใช้เงินเกินตัว จนเกิดหนี้สาธารณะมากมาย แต่รายรับของกรีซกลับลดลง ๆ จนนักลงทุนเกิดความไม่เชื่อมั่นว่า กรีซจะมีเงินมากพอใช้หนี้หรือ ? และกลัวว่าจะไม่มีเงินคืนแก่นักลงทุน

ทำให้นักลงทุนจึงแห่กันถอนทุนคืนจากกรีซ แห่ขายคืนพันธบัตรกรีซ จนกลายเป็นกระดาษที่ไร้ค่า เพราะไม่มีใครอยากจะซื้ออีก

------------

เช่นเดียวกัน หากไทยมีรายได้น้อยลง แถมขาดทุนจากประชานิยมมากขึ้น ๆ แถมรัฐบาลยังหน้าใหญ่กู้เงินจำนวนมาก ๆ มาลงทุนเกินตัว

ทำให้ค่าความเสี่ยงด้านการเงินและการชำระหนี้ของไทยก็จะมีสูงขึ้นเรื่อย ๆ (ค่าความเสี่ยงยิ่งสูงมากเท่าไหร่ นักลงทุนก็จะเกิดมั่นใจในเครดิตประเทศไทยลดลง)

ฉะนั้นจงจำไว้ว่า นักลงทุนต่างชาติเขาไม่ได้โง่เหมือนพวกฟายแดงนะครับ ต้องระวังเรื่องนี้ไว้ให้ดี

ในเมื่อรายได้น้อยลง แถมถูกต่อต้านจากหลายฝ่ายในเรื่อง การตั้งกองทุนมั่งคั่ง

ทำให้รัฐบาลชั่วก็เลยหาทางออกด้วยการคิดจะมาขูดรีดกับประชาชนด้วยการคิดที่จะไปขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแทน 

ด้วยการเริ่มจาก กลยุทธโยนหินถามทาง 


คลิกอ่าน นาฬิกาหนี้สาธารณะ





วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นาฬิกาหนี้สาธารณะของทุกชาติ






หลังจากกฎหมายงบประมาณประจำปี 2014 ของสหรัฐอเมริกา ไม่ผ่านสภาคองเรส ก็ทำให้สหรัฐอเมริกากำลังจะพบอีกวิกฤตินึงก็คือ วิกฤติหนี้ชนเพดาน

หรือภาวะเบี้ยวนัดชำระหนี้สาธารณะครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติ หากรัฐสภาไม่ผ่านกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้ ทันในวันที่ 17 ต.ค.56 นี้ ซึ่งถือเป็นวันเส้นตาย

เราเคยสงสัยกันไหมว่า สหรัฐอเมริกามหาอำนาจของโลก มีหนี้สาธารณะมากเท่าไหร่ ?

คำตอบในเวลาที่ผมเขียนนี้ คือ ประมาณ 17,272,483,000,000 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขศูนย์ 6 ตัวท้ายนั้นจะมีการเคลื่อนไหวในอัตราเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

ซึ่งไปดูการเคลื่อนไหวหนี้สาธารณะของสหรัฐได้ที่เว็บ nationaldebtclocks คลิก !!

ที่สหรัฐเขามีนาฬิกาหนี้สาธารณะ ติดไว้หน้าตึกหลายแห่ง ซึ่งจะมีตัวเลขหนี้สาธารณะแบบเรียลไทม์ กับค่าเฉลี่ยว่าแต่ละครอบครัวมีหนี้สาธารณะเฉลี่ยครอบครัวละเท่าไหร่



ในขณะที่สหรัฐมี GDP หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ ที่ 16,004,500,000,000 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ

ซึ่งเมื่อคิดจำนวนหนี้สาธารณะสหรัฐเทียบกับGDPของสหรัฐแล้ว หนี้สาธารณะของสหรัฐ คิดเป็น 107.92%

แปลง่าย ๆ ว่า สหรัฐมีหนี้สาธารณะสูงกว่า GDP

----------------

หนี้สาธารณะของประเทศไทย

ส่วนหนี้สาธาณะของไทย มีประมาณ 3,958,722,000,000 ล้านบาท (ตัวเลขศูนย์หกหลักสุดท้ายจะมีการเปลี่ยนแปลงในการเพิ่มขึ้นตลอดเวลา)

คลิกดู นาฬิการหนี้สาธารณะของไทย

เท่ากับคนไทยเรามีหนี้สาธารณะเฉลี่ยคนละประมาณ 60,000 กว่าบาท/คน ซึ่งจะเพิ่มขึ้นตลอดเวลาเช่นกัน

ส่วน GDP ของไทยมีประมาณ 10,157,915,913,878 บาท

เมื่อเทียบหนี้สาธารณะของไทยต่อ GDP คือ 38.97%

ซึ่ง ณ. เวลานี้หนี้สาธารณะของไทยเทียบกับจีดีพียังถือว่าน้อย แต่ถ้าบริหารจัดการไม่ดี แม้หนี้สาธาณะไม่มาก แต่ก็ทำให้ประเทศเจ๊งได้เหมือนกัน หากทุนสำรองระหว่างประเทศโดนชาวต่างชาติแห่ถอนทุนกลับหมด

เพราะจะทำให้ไทยขาดสภาพคล่องทางการเงิน เหมือนยุควิกฤติต้มยำกุง พ.ศ. 2540 ได้

และตอนนี้โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังทำให้ไทยสูญเสียเงินจากการขาดทุนไปแล้วไม่น้อยกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป

ไทยเราอาจโดนโจมตีค่าเงินบาทอีกครั้งก็เป็นได้ 

ระวัง! กันไว้ให้ดีครับ โดยเฉพาะพวกแมงเม่าทั้งหลาย

---------------

เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท กับเงินกู้ 2.2ล้านล้านบาท

ตอนนี้ไทยเรามีหนี้สาธารณะประมาณ 3.9 ล้านล้านบาท หากรัฐบาลไทยกู้เงินอีก 3.5 แสนล้านบาท + 2.2ล้านล้านบาท (ยังไม่รวมดอกเบี้ย)

ก็จะทำให้ตัวเลขหนี้สาธารณะของไทยเพิ่มเป็น 3.9ล้านล้านบาท + 2.55 ล้านบาท ก็จะได้เท่ากับ 6.45 ล้านล้านบาท หรือคนไทยจะมีหนี้สาธาณะเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นคนละ 1 แสนบาท/คน

ซึ่งจะทำให้ตัวเลขหนี้สาธารณะของไทยเทียบกับจีดีพีทะลุเป็น 64% โดยประมาณครับ (แล้วยังจะมีหนี้จากโครงการจำนำข้าวอีกหลายแสนล้านบาท ที่จะกลายเป็นหนี้สาธารณะในอนาคต)

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ข้าวไทยก็ขายไม่ออก ยางพาราก็ราคาตก ส่งออกในภาคอื่น ๆ ทั้งหมดก็เข้าสู่สภาวะถดถอย

พูดง่าย ๆ ว่า รายได้น้อย แต่ความกระสันอยากของรัฐบาลสูง !!

----------------

ที่สหรัฐอเมริกา มีสำนักงานหนี้สาธารณะของชาติ 

สำนักงานหนี้สาธารณะของสหรัฐ เขาจะมีสำนักงานสาขาไปทั่วประเทศ ซึ่งสังกัดกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง

ชาวอเมริกันคนไหนอยากจะร่วมบริจาคเงินเพื่อช่วยลดหนี้สาธารณะของประเทศก็ไปบริจาคได้ ซึ่งเมื่อปี 2011 คนอเมริกันได้บริจาคเงินช่วยประเทศรวมทั้งสิ้น 7 ล้านดอลล่าห์

ที่ประเทศไทยน่าจะมีสำนักหนี้สาธารณะเป็นการเฉพาะบ้างนะ เผื่อใครอยากทำบุญให้ประเทศชาติ ก็จะได้ไปบริจาคโดยตรงได้ง่าย ๆ


คลิกอ่าน กรณีศึกษาเมื่องบประมาณสหรัฐปี 2014 ไม่ผ่านสภา





วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ที่ญี่ปุ่น ใครจะซื้อรถก็ต้องมีที่จอดรถของตัวเองด้วย






ผมอยากจะเขียนเล่าเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่ได้เขียนสักที พอได้ยินข่าวว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินฯ เสนอว่า ต่อไปใครจะซื้อรถก็ต้องแสดงสถานที่จอดรถส่วนตัวมาแสดงในการจดทะเบียนรถกับกรมขนส่งด้วย เลยทำให้ผมนึกถึงเรื่องการซื้อรถในญี่ปุ่นอีกครั้ง

ที่ประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่เป็นเจ้าตลาดรถยนต์ของโลก และเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ในเมืองไทย รวมทั้งมีโรงงานผลิตรถยนต์ในเมืองไทยนั้น เขากลับไม่อยากส่งเสริมให้คนญี่ปุ่นมีรถส่วนตัวเท่าไหร่นัก

สาเหตุเพราะระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟ เขามีรองรับเพียงพอ อีกทั้งประเทศญี่ปุ่นมีขนาดเล็กราว 3 ใน 4 ของประเทศไทย แต่มีประชากรมากกว่าไทยกว่า 2 เท่า ทำให้เนื้อที่สำหรับประชากรของญี่ปุ่นก็ยิ่งน้อยลงไปด้วย

อีกทั้งประเทศญี่ปุ่นยังสามารถรักษาป่าไม้อุดมสมบูรณ์ได้มากกว่า 70 % ของเนื้อที่ประเทศ ก็ยิ่งทำให้เนื้อที่สำหรับประชากรอยู่อาศัยก็ยิ่งน้อยลงไปอีก

แล้วยิ่งกรุงโตเกียวที่ได้ชื่อว่า มีราคาที่ดินสูงที่สุดในโลกแล้วด้วย การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ก็ต้องให้คุ้มค่าที่สุด อยู่ ๆ จะปล่อยให้รถยนต์ส่วนตัวมาจอดทิ้งกันบนถนนสาธารณะฟรี ๆ ก็ยิ่งไม่สมควร

ทำให้กฎหมายญี่ปุ่นจึงได้กำหนดว่า หากใครจะซื้อรถก็ต้องนำโฉนดที่จอดรถ หรือนำโฉนดที่ดินของบ้านพร้อมรูปถ่ายที่จอดรถมาแสดงในการจดทะเบียนรถยนต์ หรือถ้าใครอยู่คอนโด อพาร์ทเมนต์ ก็ต้องไปเช่าที่จอดรถแบบรายปี แล้วนำรูปที่จอดรถและเอกสารการเช่าที่จอดรถมาแสดงด้วย

หากไม่มีหลักฐานมาแสดงตามที่ว่า คุณก็ไม่มีสิทธิซื้อรถส่วนตัวในญี่ปุ่น

เพราะญี่ปุ่นเขาไม่ยอมให้คนที่มีรถนำรถมาจอดบนถนนสาธารณะเด็ดขาด เพราะนั่นแสดงถึงการเอาเปรียบคนอื่น ๆ เพราะถนนสาธารณะเป็นของทุกคนร่วมกันใช้ ไม่ใช่มีไว้ให้ใครนำรถส่วนตัวมาจอดเกะกะการจราจร


To own a car in Japan, you need to provide documents that prove you have a space to park the car. Most apartments and mansions dont usually come with parking so you would usually pay on average 30,000 yen per month for a parking space.

Our house came with space to park a car so obviously we dont need to pay this extra cost.

คลิกที่รูปเพื่อขยาย



-------------------------

เมืองไทยใครใคร่ซื้อรถซื้อ ใครใคร่จอดที่ไหนก็จอด


หากเปรียบในบ้านเรา คุณคงเคยเห็นพวกร้านค้าตึกแถว มีรถส่วนตัวแต่ไม่มีที่จอดรถในบ้านตัวเอง แล้วก็นำโต๊ะเก้าอี้มาวางบนถนนเพื่อจองที่จอดรถเอาไว้ก็มี

หรือตามทาวเฮ้าส์ บางบ้านใช้เนื้อที่ที่จอดรถไปทำอย่างอื่นหมดแล้ว ก็เลยนำรถมาจอดบนถนนในหมู่บ้านแทน แล้วก็ขวางการจราจรในหมู่บ้านให้เข้าออกยาก

หรือในซอยแคบ ๆ หลายแห่งใน กทม. หลายบ้านไม่มีที่จอดรถก็นำรถมาจอดในซอยแทน ก็ยิ่งทำให้ซอยมันยิ่งคับแคบไปอีก

อย่างคอนโดมิเนียมบางแห่งที่ตั้งริมถนนแถวถนนไปโรงเรียนสตรีวิทย์ 2 ไม่มีที่จอดรถให้คนในคอนโดเลย ผู้อาศัยเลยต้องนำรถมาจอดริมถนนกันยาวเหยียด ใครเคยผ่านไปคงนึกออก

นี่แหละเมืองไทย อยากมีรถแต่ไม่ต้องมีที่จอดรถ ไปหาจอดบนนถนนหน้าบ้านแทน คือมูลเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้รถในกรุงเทพฯ มีมากเกินไปนั่นเอง


รูปประกอบด้านล่างจากคุณ Noi Noi

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

รูปแรกถนนใหญ่ขนาดนี้ ยังหน้าด้านเอามาเป็นที่จอดรถส่วนตัวได้ ทำป้ายซะด้วย 



คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

รูป 2 ในซอยแคบ ๆ มีเหล็กกั้นสำหรับลูกค้าคอนโดจอด


คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!



ส่วนที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอว่า ถ้ารถใครเสียกลางถนนให้ปรับนาทีละ 100 บาทนั้น

ผมว่าผู้ตรวจการแผ่นดินแกคิดแบบเศรษฐีเกินไป เพราะไม่มีใครอยากรถเสียหรอก ปรับนาทีละ100 บาทมันก็แพงเกินไป

แต่ถ้าปรับแบบเหมาจ่ายไปเลย 500 บาทสำหรับรถเสียบนถนน ผมว่าเออ.. ยังพอทนครับ ^^

นี่เห็นว่าในอดีตของไทย ใครจะซื้อรถต้องซื้อเงินสดเท่านั้น ไม่มีมาผ่อน ไม่มีไฟแนนซ์ทั้งสิ้น จริงหรือเปล่า ? เห็นแม่ผมเคยเล่าว่าอย่างนั้น

หรือถ้าปัจจุบันนี้ลองออกกฎหมายว่า ใครจะซื้อรถต้องดาวน์อย่างน้อย 50% ของราคารถ ก็คงช่วยลดอัตราการซื้อรถของคนไทยในแต่ละปีลงได้บ้าง

แต่อย่างว่าล่ะนะ นักการเมืองไทยมันขี้ข้าบริษัทรถยนต์ทั้งนั้น มันคงไม่ออกกฎหมายที่ทำให้บริษัทรถยนต์ต้องขายรถได้น้อยลงมาง่าย ๆ หรอก จริงไหม

ส่วนพรรคการเมืองชั่ว ๆ ก็เอาภาษีรถมาแจกคืนคนซื้อรถคันแรก แม่งกระตุ้นส่งเสริมให้รถติดมากขึ้นแท้ ๆ พรรคอะไรนะ แม่งเลวแท้ 555


(*เท่าที่ทราบที่จีน ที่สิงคโปร์ ก็ใช้วิธีซื้อรถต้องมีที่จอดเช่นกัน ส่วนญี่ปุ่น ราคารถยนต์จะถูกกว่าราคารถยนต์บ้านเรา แต่ภาษีรถในแต่ละปีแพงมาก และจะแพงขึ้นตามอายุการใช้งานของรถ)


คลิกอ่าน ความโง่ของรอง ผบช.น. กับการห้ามรถเกิน 7 ปีวิ่งในกทม.





วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

พวกแดกชาเขียวหวังโชค โง่ไม่แพ้พวกฟายแดง







อย่าไปว่าประเทศไทยไม่เจริญเพราะฟายแดงเลย

เพราะไอ้พวกแดกชาเขียวหวังลุ้นของรางวัลจากไอ้เสี่ยอบายมุข แม่งก็โง่ไม่แพ้ไอ้พวกฟายแดงหรอก

แถมยังโง่ไปเทิดทูนไอ้เสี่ยอบายมุขนี้เสียอีก ทั้ง ๆ ที่ แม่งทำบุญเพื่อการตลาดทั้งนั้น

ไอ้เสี่ยอบายมุข ทำการตลาดร่วมกับไอ้สรย้วยหน้าเงิน ด้วยการทำเรื่องดราม่าน้ำท่วมโรงงาน แถมตอนหลังลากเอาไอ้โน้ส ศิษย์lสมีไชยบูลย์มาร่วมกันทำการตลาดเพื่อหลอกคนโง่และโลภให้หลงใหล

สุดท้ายไอ้พวก 3 ตัวเนี่ยแม่งรวยเอา ๆ

เห็นว่าแม่งกำลังดึงเถ้าแก่น้อยมาร่วมวงหลอกแดกคนไทยโง่ ๆ อีกนะ

ระวังให้ดี สาหร่ายแม่งเค็มจะตาย เคยอ่านข้างซองบ้างไหม ??


คลิกอ่าน ตัน อิชิตัน เจ้ามือหวยออกเบอร์






วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กรณีศึกษา งบประมาณแผ่นดินสหรัฐไม่ผ่านสภา






และแล้วงบประมาณแผ่นดินปี 2014 ของสหรัฐอเมริกาก็ไม่ผ่านสภาคองเกรส โดยเฉพาะสภาล่างที่มีพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ทำให้ทางการสหรัฐฯ ต้องปิดหน่วยงานราชกาชกลางของรัฐทั้งหมดทั่วประเทศ เพราะไม่มีงบจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการ

ซึ่งความจริงตอนนี้ก็คล้ายสถานการณ์ที่เกิดในไทย คือ งบประมาณปี 2557 ของไทยก็ยังค้างอยู่ที่ศาล รธน. เช่นกัน แต่หน่วยราชการไทยไม่ต้องถูกปิดตัวเหมือนหน่วยงานราชการของสหรัฐฯ เพราะของไทยให้ใช้นำแผนงบประมาณปี 2556 มาปรับใช้ชั่วคราวก่อน

ส่วนปัญหาที่งบประมาณแผ่นดินของสหรัฐไม่ผ่านสภาคองเกรส เพราะสส.พรรครีพับลิกันคัดค้านกฎหมายประกันสุขภาพของประธานาธิบดีโอบามานั่นแหละ

เพราะโอบามาอยากจะออกกฎหมายช่วยคนจนในเรื่องการรักษาพยาบาล ก็คล้ายแบบที่ไทยเรามี 30 บาทรักษาทุกโรคนั่นแหละ เพราะพรรคเดโมแครตของสหรัฐอเมริกา เขามีฐานเสียงจากคนจน ชนรากหญ้าเยอะกว่ารีพับลิกัน

ส่วนพรรครีพับบลิกัน จะมีชนชั้นกลางและค่อนไปทางเศรษฐีที่สนับสนุนพรรค ไม่เห็นด้วยกับนโยบายประกันสุขภาพของโอบามา

เพราะประชาชนชนชั้นกลางที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน มักเป็นผู้มีงานการทำและเสียภาษีให้ประเทศทุกปี แสดงความไม่เห็นด้วยที่โครงการประกันสุขภาพของโอบามาจะมาบังคับให้ผู้ที่มีงานทำและเสียภาษี ต้องถูกบังคับให้จ่ายค่าประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น เพื่อนำเงินไปเฉลี่ยช่วยคนยากจนที่ยากไร้ตกงาน

ชาวรีพับลิกัน หลายคนบอกว่า มันไม่ยุติธรรมที่พวกเขาทำงานมาอย่างเหนื่อยยากถูกบังคับให้ต้องเสียเงินมากขึ้น เพื่อที่รัฐจะนำเงินนี้ไปช่วยคนขี้เกียจเพื่มขึ้น

--------------------

ถาม-ตอบเรื่องวิกฤติงบประมาณสหรัฐ โดยเดลินิวส์




สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ว่าในที่สุดรัฐบาลสหรัฐภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ต้องเข้าสู่ภาวะ "โกเวอร์นเมนท์ ชัทดาวน์" หรือภาวะที่รัฐบาลกลางต้องปิดหน่วยงานบางส่วนชั่วคราว สืบเนื่องจากสภาคองเกรสมีความเห็นไม่ลงรอยกันในเรื่องแผนงบประมาณปี 2557

เพราะเหตุใดรัฐบาลสหรัฐต้องเข้าสู่ภาวะ "โกเวอร์นเมนท์ ชัทดาวน์"
รัฐธรรมนูญสหรัฐระบุเอาไว้ชัดเจนว่า หนึ่งในหน้าที่สำคัญของสภาคองเกรส คือการอนุมัติงบประมาณสำหรับรัฐบาลกลางให้ทันตามกำหนด คือก่อนวันที่ 1 ต.ค. หากไม่สามารถทำได้ หน่วยงานภายใต้การดูแลของรัฐบาลกลางเกือบทุกแห่งจะต้องระงับให้บริการโดยปริยาย

เพราะเหตุใดสภาคองเกรสต้องประชุมกันเรื่องงบประมาณในช่วงกลางปี
ปีงบประมาณของรัฐบาลคลุมระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ถึง 30 ก.ย.

อุปสรรคของการอนุมัติงบประมาณครั้งนี้คืออะไร
สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีพรรครีพับลิกันครองเสียงข่างมาก ต้องการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายประกันสุขภาพ หรือ "โอบามาแคร์" ออกไปอีก 1 ปี แต่วุฒิสภาซึ่งเสียงส่วนใหญ่เป็นพรรคเดโมแครตไม่เห็นด้วย

"โอบามาแคร์" เกี่ยวกับงบประมาณของรัฐบาลอย่างไร
โอบามาแคร์ไม่เกี่ยวข้องกับงบประมาณโดยตรง แต่ทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างใช้กฎหมายประกันสุขภาพฉบับนี้เป็น "เครื่องต่อรอง" ทางการเมือง

"โอบามาแคร์" คืออะไร
The Patient Protection and Affordable Care Act ( PPACA ) คือชื่ออย่างเป็นทางการของกฎหมายประกันสุขภาพที่มาจากแนวคิดของโอบามา จึงมีชื่อเรียกแทนเสมือนเป็นชื่อเล่นว่า โอบามาแคร์ มีสาระสำคัญให้ชาวอเมริกันทุกคนต้องมีประกันสุขภาพ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องชำระค่าปรับ ทั้งนี้รัฐจะนำเงินที่ได้ไปเป็นงบประมาณช่วยเหลือผู้มีฐานะยากจน ซึ่งไม่สามารถซื้อประกันดังกล่าวเองได้ ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่เห็นด้วย เนื่องจากถือเป็นการละเมิดเสรีภาพ

เจ้าหน้าที่รัฐจะได้รับผลกระทบจากภาวะ "โกเวอร์นเมนท์ ชัทดาวน์" อย่างไร
เจ้าหน้าที่ราว 3.3 ล้านคน ซึ่งมีตำแหน่งหรือรับผิดชอบงานที่ "สำคัญ" จะได้ทำงานต่อ แต่อาจได้รับค่าตอบแทนช้ากว่าปกติมาก แต่เจ้าหน้าที่อีกเกือบ 800,000 คนจะต้องหยุดงานโดยไม่รับค่าตอบแทน ขณะที่พิพิธภัณฑ์ทุกแห่ง อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ รวมถึงอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ จะต้องปิดให้บริการ

ภาวะ "โกเวอร์นเมนท์ ชัทดาวน์" เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อใด
ในสมัยของประธานาธิบดีบิล คลินตัน ระหว่างปลายปี 2538 ถึงต้นปี 2539 สืบเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างคลินตันกับสภาคองเกรสเกี่ยวกับกฎหมายประกันสุขภาพ "เมดิแคร์" สำหรับผู้มีอายุเกิน 65 ปี รวมถึงผู้พิการ หรือมีภาวะทุพพลภาพทางกาย

เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับว่า ภาวะดังกล่าวจะกินระยะเวลานานแค่ไหน ถ้าเพียง 3-4 วัน เศรษฐกิจก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ถ้านาน 3-4 สัปดาห์ มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส หนึ่งในบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลกประเมินว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) ของสหรัฐในไตรมาสที่ 4 อาจลดลงราว 1.4%

ประธานาธิบดีสหรัฐได้รับเงินเดือนในช่วงนี้หรือไม่
โอบามายังคงได้รับเงินเดือนตามปกติ เดือนละ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 12.6 ล้านบาท )

ชาวอเมริกันคิดอย่างไรกันบ้าง
ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนโดยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ร่วมกับสำนักวิจัยโออาร์ซี ระบุ 46% มองว่าเป็นความผิดของพรรครีพับลิกัน 36% คิดว่าโอบามาต้องรับผิดชอบ ขณะที่ 13% มองว่าทั้งโอบามาและสภาคองเกรสต้องรับผิดชอบร่วมกัน


-----------------------

ยุคนี้ประเทศสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันเขาเลือก สส.ส่วนใหญ่มาจากพรรครีพับลิกัน แล้วเลือกประธานาธิบดีที่มาจากพรรคเดโมแครต

นั่นเพราะคนอเมริกันเขาเชื่อในเรื่องหลักการคานอำนาจ

แล้วสภาไทยล่ะ สว. กับ สส. กำลังจะมาจากผู้ร่วมนอนเตียงนอนเดียวกันแล้ว


------------------

สกู๊ปจาก VOA voice of america

ผลกระทบการปิดทำการรัฐบาลสหรัฐฯ Government Shutdown VOA









วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

ในหลวงทรงสนับสนุนสร้างเขื่อนแม่วงก์ จริงหรือ ?







ในช่วงเวลานี้ มีการต่อต้านคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ จากประชาชนหลายฝ่าย และในช่วงเดียวกันนี้ ไอ้พวกล้มเจ้า นำโดยไอ้หงอก สมศักดิ์ เจียมธีรสถุล และเว็บไทยอีนิวส์ได้อ้างว่า โครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ในหลวงก็ทรงสนับสนุน โดยพวกล้มเจ้ามันยกข้อมูลจาก สรุปพระราชดำริของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาใช้อ้างตามนี้




ดูโพสของหงอกเจียม !!



-------------------

คำถาม ในหลวงทรงสนับสนุนสร้างเขื่อนแม่วงก์ จริงหรือ ?

ตอบ ไม่จริงครับ แต่เป็นการกล่าวอ้างมั่วนิ่มขึ้นมาเองของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยต้นสายปลายเหตุของข่าวลือนี้ เกิดจากเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2554 รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายธีระ วงศ์สมุทร พร้อมข้าราชการกรมชลประทานได้เข้าเฝ้าในหลวงที่โรงพยาบาลศิริราช



ซึ่งต่อมา กระทรวงเกษตร ได้สรุปพระราชดำริในข้อ ๓.๓ ไว้ว่า

๓.๓ มีรับสั่งถึงประโยชน์ของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีส่วนในการบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างตั้งแต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาลงมา ในการนี้ได้พระราชทานพระราชดำริให้เร่งก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำในที่ราบภาคกลาง โดยเร่งรัดการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ปิดกั้นลำน้ำสะแกกรัง ขนาดความจุ ๒๔๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ที่กรมชลประทานมีแผนจะก่อสร้างเขื่อน"



ซึ่งเอกสารสรุปพระราชดำริของกระทรวงเกษตรในวันที่ 19 กันยายน 2554 ตามเอกสารนี้ คลิกอ่านเอกสาร !!


แต่จากข่าวในพระราชสำนักทุกสื่อ ทุกช่อง ที่ผมได้ตามเช็คดูแล้ว ไม่มีสื่อไหนลงข่าวว่า ในหลวงทรงตรัสให้เร่งสร้างเขื่อนแม่วงก์เลย เพราะจากทุกข่าว ในหลวงทรงตรัสชมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามพระราชดำริเพียง 5 โครงการเท่านั้น คือ

1.โครงการเขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก

2.โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.นครศรีธรรมราช จ.พัทลุง จ.สงขลา

3.โครงการพัฒนาลุ่มน้ำก่ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.สกลนคร จ.นครพนม

4.โครงการเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก

และในตอนท้ายในหลวงก็ทรงตรัสชมการสร้างเขื่อนขุนด่านปราการชล เท่านั้น

“ครั้งแรกที่ไปเขตนั้นได้คุยกับชาวบ้าน ชาวบ้านเขาก็ยินดีมาก เขาสนับสนุนโครงการนี้อย่างยิ่ง ตามปกติโครงการแบบนี้จะมีการคัดค้านมาก เพราะว่าจะต้องมีปัญหาเรื่องที่ดิน มีปัญหาเรื่องที่ของชาวบ้าน แต่นี้ไม่มีปัญหาเขาเห็นด้วย และคนในท้องที่นั่นเอง ก็เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำโครงการ และโครงการมีประโยชน์จริงๆ การที่ท่านทั้งหลายได้เห็นผลงานของเขื่อนขุนด่านปราการชลนี้ มหัศจรรย์เป็นเขื่อนที่สูง เป็นเขื่อนที่สร้างด้วยวิธีที่ก้าวหน้า ผู้ที่อยู่ในท้องที่ ในท้องที่ของการสร้างเขื่อนก็ทราบดี และเขาเข้าใจเห็นความสำคัญของเขื่อนนี้ จึงอยากจะทราบ ท่านทั้งหลายนี้เขา ได้อธิบายว่าคนที่เข้าไปดูในท้องที่ว่าได้ ท่านมีความสามารถอย่างไร และก็ท่านมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างไร อธิบายก็ต้องใช้เวลานาน เพราะว่าเป็นแบบใหม่จริงๆ แต่ผลประโยชน์ของโครงการนี้ ชาวบ้านในท้องที่ก็อธิบายได้ ตั้งแต่วันแรกที่ไปท้องที่ของโครงการนี้ ชาวบ้านสนับสนุนเต็มที่”

ที่ชื่อว่าขุนด่าน เพราะว่าที่ตรงนั้นเป็นที่ที่บุคคลที่อยู่ที่นั่นตั้งแต่แรกชื่อ ขุนด่าน ได้สนับสนุนโครงการเหล่านี้ และรู้สึกว่าท่านขุนด่านก็ดีใจที่ทำได้สำเร็จเรียบร้อย ท่านขุนด่านอยู่ที่นั่นตั้งแต่แรกนานแล้ว เป็นคนที่ได้ช่วยประชาชน เรียกว่าขุนด่าน หมายความท่านได้อยู่ที่ที่เป็นด่านของประเทศ ได้ดูแลประชาชนในที่นั้นมาตั้งแต่ตน และเป็นที่รู้จักดีของประชาชน ประชาชนก็สนับสนุนท่าน เรียกว่าเทิดทูนท่าน และยกย่องท่านมาก ก็เป็นที่ที่น้ำผ่านมามาก และโครงการได้สร้างขึ้นมาโดยไม่มีความเดือดร้อนกับชาวบ้าน บางคนไม่รู้ก็โกรธเกิดเอะอะนิดหน่อย เพราะว่าเป็นที่ที่ก็น่าจะมีปัญหา แต่แท้จริงก็ไม่มีปัญหา ไม่ได้มีสิ่งใดที่จะเป็นจะขัดขวางโครงการ

ในระยะแรก ก็ได้ไป ข้าพเจ้าเองก็ไปตรวจในเขตของโครงการ ซึ่งเป็นที่ที่คนเขาถามว่ามี ทรัพยากรอะไร ก็มีทรัพยากรนั่นนี่ โดยมากก็เป็นต้นกล้วยป่า กล้วยป่า ปีนขึ้นไปก็เห็นป่ากล้วย ที่อยู่ในเขตเข้าไปจนสุดเขตของเขื่อน แล้วก็น่าสนใจมาก เพราะว่าคนที่รู้จักกัน ศึกษาพื้นที่ที่จะทำเขื่อนว่าเข้าไปได้สุดโครงการเลย แต่ว่าน่ากลัวเหมือนกันเพราะไปเฮลิคอปเตอร์ ไปจนสุดเฮลิคอปเตอร์ไม่ยอมขึ้นเพราะว่าที่มันมีลมตก แล้วก็ไปถึงสุดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะออกมายังไง ว่าไปก็น่ากลัวเหมือนกัน ผู้ที่เคยไป ก็เห็นด้วยกันก็ว่าน่ากลัวไปถึงสุดก็ไม่รู้จะลง ไม่รู้จะขึ้นอย่างไร เพราะว่ามีแต่ลมดูดลงไปในที่ ก็จะขึ้นมาไม่ได้ ขึ้นก็ไม่ได้ลงก็ไม่ได้ แต่นักบินเฮลิคอปเตอร์ดีมีความสามารถพ้นจากเหตุนั้น สามารถกลับมาได้ ไม่อย่างนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นที่ที่ออกมายาก เพราะเป็นที่ที่ขึ้นก็ไม่ได้ ลงก็ไม่ได้ ถือว่าเป็นโครงการตัวอย่างเหมือนกัน ได้สร้างชลประทาน ได้เข้าไปพัฒนาให้มีโครงการชลประทานที่ใหญ่และน่าสนใจ แต่ที่นี่คนที่ไปก็สามารถก็จะไปดูว่า ความดีของช่างชลประทาน ได้ประสบผลสำเร็จอย่างไร เพื่อที่จะบริเวณของจังหวัดนครนายกได้มีความก้าวหน้าอย่างมาก ภายในเวลาอันเร็วมาก ได้สร้าง 3 เขื่อนที่สูงและสมัยใหม่"


ในหลวงไม่มีการตรัสถึง เอ่ยถึง เขื่อนแม่วงก์ เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเขื่อนแม่วงก์ ไม่ใช่โครงการตามแนวพระราชดำริ

ผมจึงขอสรุปตรงนี้ไว้ก่อนเลยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บิดเบือนพระราชดำริของในหลวงครับ

ย้ำ !! กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีนายธีระ วงศ์สมุทร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ บิดเบือนข้อมูลอ้างพระราชดำริในหลวง เพื่อมาสนับสนุนโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์

ถ้าใครอยากดูคลิปข่าวพระราชสำนักย้อนหลังในวันที่ 19 กันยายน 2554 ของทุกช่อง ไปหาดูได้ที่เว็บข่าวในพระราชสำนักอย่างเป็นทางการ เลือกดูย้อนหลังตามปฏิทิน ได้ที่ คลิก !!

ไปฟังในหลวงตรัสชัด ๆ ว่า ไม่มีเอ่ยถึงเขื่อนแม่วงก์เลย

ซึ่งมีข่าวในพระราชสำนักเลือกดูได้ทั้งช่อง 3 5 7 9 11 ทีวีไทย พร้อมมีเอกสารข่าวด้วย ถ้าอยากจะอ่าน

คลิกอ่านข่าวไทยรัฐ นายธีระ วงศสมุทรเข้าเฝ้าฯ 19 กันยายน 54

-----------------

คำถาม เขื่อนแม่วงก์ เป็นโครงการพระราชดำริ หรือไม่ ?

ตอบว่า ไม่ใช่ครับ โครงการเขื่อนแม่วงก์ ริเริ่มโดยสำนักเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือราชการ เลขที่ สร.0107 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2521 มอบหมายให้กรมชลประทานศึกษาการสร้างเขื่อนแม่วงก์ จนปี พ.ศ.2525 สมัยอธิบดีกรมชลประทาน ร.อ.สุนทร เรืองเล็ก กรมชลประทานศึกษาแล้ว จึงกำหนดว่า บริเวณเขาสบกก เหมาะที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์ที่สุด

จนกระทั่งปี พ.ศ.2537 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบาย และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ก็มีมติให้กรมชลประทานศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม บริเวณพื้นที่ที่จะใช้ในการก่อสร้างและพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบ จนเวลาล่วงเลยมาถึงปี พ.ศ.2541 มติที่ประชุม คชก.เมื่อวันที่ 23 มกราคม สรุปว่า "ไม่เห็นชอบกับการสร้างเขื่อนแม่วงก์"....

เมื่อไม่ใช่โครงการในพระราชดำริ ก็ไม่มีเหตุอันใดที่ในหลวงต้องทรงเอ่ยถึง

ผมขอประณามกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่บิดเบือนพระราชดำริ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม ทั้งยังเปิดโอกาสให้พวกชั่วหนักแผ่นดินอย่างนายสมศักดิ์ เจียมธีรสถุล และสาวกมาบิดเบือนใส่ร้ายพระองค์


-----------------

ปลอดประสพ เคยคัดค้านเขื่อนแม่วงก์

ที่สำคัญเมื่อ พ.ศ. 2542 นายปลอดประสพ สุรัสวดี สมัยเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ ก็เคยคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์เช่นกัน

"การตัดสินใจไม่อนุญาตให้เข้าไปสร้างเขื่อนในป่าแม่วงก์นั้น เป็นการตัดสินใจของตนเองเพียงคนเดียวในฐานะอธิบดีกรมป่าไม้ หลังจากพิจารณาข้อมูลรอบคอบแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการรักษาผืนป่าไว้ หากปล่อยให้ใช้อย่างฟุ่มเฟือยไปเรื่อยต่อไปคงไม่มีป่าเหลืออย่างแน่นอน...." นายปลอดประสพ สุรัสวดี กล่าว

จนเมื่อปี พ.ศ.2555 ยุคสมัยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ความชัดเจนในโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ก็เริ่มปรากฏ เมื่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 10 เม.ย. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ ในงบประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ใช้เวลาสร้าง 8 ปี

ส่วนรายละเอียดของมติที่ประชุมครั้งนี้นั้น นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นผู้ออกมาแถลงหลังการประชุม ครม.ที่รัฐสภาเสร็จสิ้น โดยนายปลอดประสพกล่าวว่า

"ครม.อนุมัติหลักการให้มีการจัดสร้างเขื่อนแม่วงก์ อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ เพื่อใช้ในการคุมปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรัง แม่น้ำคลองโพธิ์ และห้วยทับสะเดา ปริมาณ 1.3 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีที่อยู่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท โดยในฤดูฝนจะมีปริมาณน้ำสูงถึง 1 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีจะเป็นประโยชน์กับการคุมปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้เขื่อนเจ้าพระยาสามารถรองรับน้ำได้มากขึ้น"

นายปลอดประสพกล่าวต่อว่า "การตัดสินใจสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้น เริ่มคิดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 แต่เพิ่งจะมามีความชัดเจนในรัฐบาลนี้ โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1.3 หมื่นล้านบาท ก่อสร้าง 8 ปี เสร็จภายในปี 2562 ซึ่งหลังจากนี้จะมีการเร่งรัดการสำรวจผลกระทบต่อชุมชน เร่งรัดการอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพรรณพืชต่อไป".

(ที่มาข่าวไทยรัฐ)

----------------

คลิปประวัติโครงการเขื่อนแม่วงก์