วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิกฤติพลังงานไฟฟ้าไทย กับนโยบายส่งเสริมการลงทุน






บอกตามตรงผมเสียใจกับข่าวที่ไทยจะเผชิญวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ที่จะถึงนี้จากการปิดซ่อมท้อแก๊สของพม่า

ผมไม่ได้เสียใจหรือหวาดกลัวว่า ไฟฟ้าจะดับ หรือจะตก แม้บ้านผมอยู่ในโซนที่เสี่ยงต่อไฟดับ ไฟตก ก็ตาม (บ้านผมอยู่เขตลาดพร้าว)

แต่ผมเสียใจที่นักการเมืองไทย รัฐบาลไทยหลายยุคหลายสมัยได้นำพาไทยให้กลายเป็นประเทศที่ไม่มีความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าเข้าแล้ว ทั้ง ๆ ที่ เรามีบริษัทพลังงานอย่าง ปตท. ที่มีกำไรสูงสุดเป็นอันดับที่ 95 ของโลก

แต่กำไรของปตท. กลับกลายเป็นเค้กที่พวกนักการเมืองและคนที่เกี่ยวข้องกับ ปตท. แบ่งเค้กผลประโยชน์กินกันมากกว่าผลประโยชน์จะตกสู่ประเทศไทยและคนไทยอย่างแท้จริง

แม้จะมีพวกควายโง่ ๆ ชอบนำเรืองกระทรวงการคลังถือหุ้น ปตท. 51 % ก็ตาม ใครอ้างเรื่องนี้แสดงว่า โง่มาก ซึ่งผมคงไม่ลงอธิบายให้พวกโง่รู้เรื่องอีก เพราะมันโง่เสียเวลาสอนเปล่า ๆ

คลิกอ่าน เค้กปล้นชาติ ของปตท.

-----------------

โรงไฟฟ้าชุมชน

จริงๆ แล้วไทยเรามีทรัพยากรมากมายที่สามารถแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ นอกเหนือจากแหล่งงานพลังงานเช่นน้ำมัน และแก๊ส ที่ถูกพวกนายทุนและนักการเมืองคว้าไปเสวยสุขกันไปแล้ว

นั่นคือเศษซากวัสดุทางการเกษตรต่างๆ เช่น ฟางข้าว แกลบ กากอ้อย และอื่นๆ มากมาย ที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยโรงงานไฟฟ้าชีวมวล

หรือขยะในชีวิตประจำวัน ที่มีมากมายในทุกชุมชน ทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ก็สามารถนำขยะไปแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าได้ทั้งสิ้น

ด้วยการสร้างโรงไฟฟ้าชุมชุนพลังงานชีวมวล โรงไฟฟ้าชุมชนพลังงานขยะ ก็สามารถทำให้แต่ละชุมชุนแก้ปัญหาขยะและได้พลังงานไฟฟ้าไปด้วย โดยใช้เทคโนโลยีที่สะอาด เช่นจากญี่ปุ่น ที่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าชุมชนที่สะอาดด้วยการดูแลจัดการของคนในชุมชนเอง อย่างไม่ก่อให้เกิดมลพิษในสิ่งแวดล้อม

แต่รัฐบาลไทยทุกยุคกลับไม่ส่งเสริมในเรื่องโรงไฟฟ้าชุมชุนอย่างจริงจัง แม้รัฐจะส่งชาวบ้านไปดูงานในต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้งก็ตาม แต่พอจะสร้างโรงไฟฟ้าชุมชนขึ้นมาทีไร สุดท้ายก็จะมีกลุ่ม NGO ที่ในหลวงทรงเคยเรียกว่า พวกโง่ มายุยงชาวบ้านให้ออกมาคัดค้านโรงไฟฟ้าชุมชนในที่สุด (ว่ากันว่ามี NGO หลายกลุ่มคือพวกรับเงินจากต่างชาติเพื่อขัดขวางความเจริญของไทยก็มีอยู่เยอะ)

นั่นเพราะภาครัฐไม่ส่งเสริมให้ชาวบ้านดูแลจัดการโรงไฟฟ้าเอง แต่รัฐบาลกลับไปให้นายทุนต่างถิ่นเข้ามาสร้างโรงไฟฟ้า ซึ่งพวกนายทุนต่างถิ่นก็ไม่เคยจริงใจต่อชุมชน จึงมักสร้างโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ก่อให้เกิดมลภาวะเป็นพิษแก่สิ่งแวดล้อมและชุมชนขึ้น

ดังที่ผมเคยเขียนในบทความเรื่อง ปัญหาโรงไฟฟ้าจากขยะ และโรงไฟฟ้าชีวมวล ว่าปัญหาแท้จริงเกิดจากอะไร ทำไมประเทศไทยถึงไม่มีโรงไฟฟ้าแบบนี้ให้ทั่วประเทศ

-----------------------

นโยบายส่งเสริมการลงทุน อีกตัวการวิกฤติไฟฟ้าไทย

เราจะเห็นมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยพยายามส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในไทยมากมาย และสิ่งหนึ่งที่คนไทยเราลืมคิดกัน ก็คือ

ยิ่งมีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมมากเท่าไหร่ ประเทศไทยก็ต้องจัดหาพลังงานไฟฟ้ามากมายเพื่อรองรับโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้

พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศ 42% หมดไปกับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมขนาดกลางและใหญ่

นักลงทุนที่มาสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในไทย ให้ค่าจ้างแก่คนไทย แต่คว้ากำไรส่วนใหญ่ออกนอกประเทศ ซ้ำ มีหลายโรงงานทิ้งมลภาวะไว้ในประเทศไทยให้คนไทยรับกรรมต่อไป 

นายทุนไทยที่ร่วมทุนกับนักลงทุนต่างชาติรวยอื้อ แต่ประโยชน์เล็กน้อยจากค่าแรงให้คนไทยส่วนใหญ่ไป

ผมขอถามหน่อยว่า แล้วประเทศไทยเราสามารถสร้างโรงไฟฟ้าง่ายๆ ได้ในทุกที่หรือไม่ ?

คำตอบคือ ไม่!! การสร้างโรงไฟฟ้าขนาดกลางและขนาดใหญ่ ก็จะต้องมีคนในชุมชนออกมาต่อต้านคัดค้านมากมาย เพราะกลัวเรื่องมลภาวะเป็นพิษในชุมชน

แต่คนไทยที่ออกมาต่อต้านโรงไฟฟ้า ก็ชอบที่จะใช้ไฟฟ้าทั้งทุกคน มันแปลกไหม ?

ในเมื่อประเทศไทยมีปัญหาในเรื่องสร้างโรงไฟฟ้า ก็เลยทำให้ไทยเราต้องหันไปซื้อพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะจากลาว

----------------------

โรงไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ

หรืออย่าง โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจากเขื่อน ที่เป็นพลังงานไฟฟ้าที่ถูกที่สุด และไม่ก่อให้เกิดมลพิษในสิ่งแวดล้อม ก็จะมีคนออกมาต่อต้านการสร้างเขื่อนมากมาย ด้วยข้ออ้างที่ว่า เขื่อนทำลายป่าไม้

ทั้งๆ ที่ ถ้าในวันนี้ประเทศไทยไม่มีเขื่อนหลายแห่ง ป่านนี้คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ก็จะไม่มีน้ำกินน้ำใช้ น้ำอุปโภคบริโภค หรือมีน้ำเพื่อการเกษตรอย่างในทุกวันนี้หรอกครับ

และไอ้พวกโง่ หรือ NGO ทั้งหมดส่วนใหญ่เสวยสุขในกรุงเทพฯ แทบทั้งสิ้น

เขื่อนทั้งหมดในไทยตอนนี้ กินพื้นที่ป่าไม้จริงๆ ไม่ถึง 1 % จากป่าของไทยที่เคยมีอยู่เมื่อ 60 ปีที่แล้ว

และเขื่อนก็ไม่ได้สร้างได้ทุกที่ ทุกแห่งตามใจชอบ มันต้องมีภูมิประเทศเอื้ออำนวยเท่านั้นจึงจะสร้างเขื่อนได้

เชื่อหรือไม่ ? ต่อให้ประเทศไทยไม่เคยสร้างเขื่อนเลยสักเขื่อน ป่าไม้ในประเทศไทยก็ต้องหมดไปอยู่ดี เพราะปัญหาป่าไม้ไทยสูญสิ้นเกือบทั้งหมดไม่ได้เกิดจากการสร้างเขื่อน แต่เกิดจากคนไทยเลวๆ และการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ และนักการเมืองนายทุนที่มีอำนาจในการสั่งชาวบ้านทำลายป่าต่างหากครับ

เพราะไม่มีนายทุน และนักการเมืองท้องถิ่นคนไหน เดินถือเลื่อยเข้าไปตัดไม้เองหรอก มีแต่จ้างชาวบ้านให้ไปตัดไม้ในป่าให้ทั้งนั้น

แต่กฎหมายไทยไม่กล้าลงโทษชาวบ้านที่รับใช้นายทุนค้าไม้ให้รุนแรง เพราะอ้างว่า ชาวบ้านแค่รับจ้างมาตัดเท่านั้น และสุดท้ายก็ไม่สามารถสาวไปถึงนายทุนและนักการเมืองที่สั่งตัดไม้ทำลายป่าได้สักที

ที่สำคัญ พวกNGO ชั่วๆ ต่อต้านกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรง พวกNGO ไม่ต้องการให้ลงโทษคนตัดไม้รุนแรง แต่พวกNGOกลับออกมาต่อต้านการสร้างเขื่อน สุดท้ายเขื่อนก็สร้างไม่ได้ และป่าไม้ไทยก็หมดไป เพราะไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมายลงโทษการตัดไม้ทำลายป่า

ในขณะที่ประเทศลาว กำลังจะสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อขายไฟฟ้าให้ไทย เวียตนาม เขมร และจีน อีก 20 เขื่อน !!

แล้วพวก NGO ต่อต้านเชื่อนเสร็จ พวกมันก็กลับไปเสวยสุขใน กทม.กันต่อไป และรับเงินต่างชาติขัดขวางไม่ให้ไทยมีพลังงานไฟฟ้าราคาถูกจากเขื่อน และไทยต้องไปซื้อน้ำมันและแก๊สจากต่างชาติมาผลิตไฟฟ้าแทน

โดยเฉพาะ ปตท. คือผู้ผูกขาดการขายแก๊สและน้ำมันให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยทั้งหมด แถม ปตท. ขายแก๊สและน้ำมันให้การไฟฟ้าฯ ในราคาที่แพงกว่าราคาตลาดโลกด้วยซ้ำ พวกคุณเคยรู้กันหรือไม่?

และสุดท้ายเมื่อ ราคาแก๊สและน้ำมันที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยต้องซื้อจากปตท. ในราคาแพง ภาระราคาต้นทุนไฟฟ้าที่แพงก็จะตกมาที่ประชาชนคนไทยอยู่ดี

เจ็บปวดไหมครับ ?

แล้วที่ไทยเราต้องไปซื้อแก๊สจากพม่านั้น จริงๆ แล้วคนไทยไม่ได้ประโยชน์เท่ากับนักการเมืองและนายทุนการเมืองเขาได้หรอกครับ !!

ที่สำคัญ ไทยเราพึ่งพาแก๊สในการผลิตไฟฟ้ามากเกินไป มากถึง 68 % จากวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด

ทำไมรัฐบาลไทยถึงปล่อยให้ประเทศไทยต้องไปพึ่งพาแก๊สมากเกินไปขนาดนี้ ทำไมรัฐบาลไทยไม่ให้ประชาชนพึ่งพาตนเองในการผลิตไฟฟ้าใช้เอง ?

---------------------------

ช่วงพม่าหยุดส่งแก๊ส ไทยจะซื้อน้ำมันเพิ่มขึ้น

โปรดทราบ พม่าหยุดส่งแก๊สคราวนี้ จะมีผู้ได้กำไรมหาศาลจากการนำเข้าน้ำมันเพื่อผลิตไฟฟ้ามากขึ้นแน่นอน และค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นแน่นอน

เพราะพลังงานคือกำไร ที่หอมหวลของพวกนักการเมืองและนายทุนการเมืองนั่นเองครับ

--------------------------

พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์

เมื่อหลายวันก่อน สว.รสนา บอกว่า รัฐบาลไทยคิดจะสร้างโรงงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสว.รสนา ติงว่า นั่นมีต้นทุนสูงกว่า ส่งเสริมให้บ้านเรือนประชาชนแต่ละหลังมีโซล่าเซลติดตั้งบนหลังคาในแต่ละบ้าน ซึ่งจะมีต้นทุนถูกกว่า อย่างเช่นที่ญี่ปุ่นได้ส่งเสริมให้บ้านเรือนประชาชนติดแผงโซล่าเซล มากกว่าสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงขนาดใหญ่

แต่รัฐบาลไทยกลับไม่ชอบที่จะส่งเสริมให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าในบ้านได้เอง !!

เพราะรัฐบาลและนายทุนไม่ได้ประโยชน์และกำไรมาก เหมือนปล่อยให้ ปตท. ขายวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ

-----------------------

พลังงานไฟฟ้าจากแก๊สชีวภาพ

พวกมูลสัตว์จากคอกปศุสัตว์ จะได้แก๊สมีเธน ซึ่งสามารถนำแก๊สพวกนี้นำมาผลิตไฟฟ้าได้เช่นกัน แต่รัฐบาลก็ไม่สนับสนุนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง

หรือน้ำเสีย ก็ทำให้เกิดแก๊สมีเธนได้เช่นกัน เราสามารถนำน้าเสียมาผลิตไฟฟ้าได้เช่นกัน แต่รัฐบาลไทยก็ไม่สนับสนุนเรื่องเหล่านี้ ? เพราะอะไร ?

ผมขอเขียนสั้นๆ ว่า เพราะผลประโยชน์จากการขายไฟฟ้ามันมีคนได้ผลประโยชน์เยอะ หากให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าเองได้ แล้วกำไรก็ไม่ตกถึงมือพวกนักการเมืองและนายทุนการเมืองมากๆ เหมือนเดิมน่ะสิครับ


------------------------

สุดท้ายผมขอทิ้งท้ายด้วยคลิปละ 10 นาที 2 คลิปนี้ ของมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค

เพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นครับ ว่าทำไมรัฐบาลไทยมันถึงได้ต้องการให้ประชาชนจน นักการเมืองและนายทุนการเมืองรวย ?

เรามาดูความเลวของรัฐบาลไทย เกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้า !!











วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หลายคนซื้อรถคันแรกตามนโยบายรัฐ แต่กลับบาปหนัก !!







แม้จะจบโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปแล้ว แต่ผมขอมาบอกให้พวกคุณหลาย ๆ คน ให้ทำใจยอมรับกรรมที่อาจจะเกิดกับพวกคุณก็ได้

ก่อนอื่น ผมมีตัวเลขมาให้คิดเล่นๆ กันก่อน

เมื่อปีที่แล้ว ปี2555 มีคนซื้อรถในโครงการรถคันแรก 1.3 ล้านคัน ซึ่งหมายถึงรถยนต์นั่งจำกัดไม่เกิน 1500 cc และรถกระบะราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่ผลิตในประเทศเท่านั้น

แต่ผู้บริหารโตโยต้าคาดว่า ปี 56 นี้ ตลาดรถใหม่รวมในประเทศทั้งหมดจะมีประมาณ 1 ล้านคัน

แปลกไหม ? รถใหม่ทุกชนิด ไม่ว่าจะรถคันที่เท่าไหร่ ก็มีแค่ 1 ล้านคันเท่านั้น แต่ปีที่แล้ว ดันมีรถคันแรกประเภทเดียวมากถึง 1.3 ล้านคัน

ขอบอกก่อนนะครับว่า ใครซื้อรถคันแรกด้วยชื่อคนอื่น ใช้ชื่อคนอื่นมาเป็นนอมินีแทน บาปกรรมนะครับ เพราะเท่ากับโกงภาษีชาติเหมือนกัน

ทฤษฎีของผมคือ ถ้าเราโกงคนอื่นแค่คนเดียว เราก็บาปเท่ากับ 1 บาป

แต่ถ้าคุณโกงชาติ ก็ให้เอา 65 ล้านคน คูณเข้าไป เท่ากับทำบาปมากกว่าปกติ 65 ล้านเท่าครับ ใช้บาปไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์เลย กว่าบาปส่วนนี้จะหมด ถ้าปริมาณเงินที่โกงมีมากก็ยิ่งบาปหนักมาก (บาปหนักเลยนะนี่)

-------------------------

วิธีแก้กรรม!! หากคุณใช้นอมินี่ซื้อรถคันแรกแทนคุณ คุณก็ควรนำเงินภาษีที่รัฐคืนให้คุณ คืนแก่รัฐบาลไทยเถอะ ไปแจ้งที่กรมสรรพสามิตก็ได้ ว่าคุณต้องการคืนภาษีส่วนนี้กลับสู่ประเทศชาติ

------------------------




คนที่มีรับประโยชน์จากโครงการรถคันแรก ย่อมมองไม่เห็นโทษและผลเสียจากโครงการนี้

หรืออาจจะมีคนบอกว่า ทำไมผมจะไม่รู้ว่าข้อเสียคืออะไร (แต่กูไม่เข้าใจโว้ย เพราะกูไม่ต้องการเสียสิทธิ บาปมีจริงเปล่าไม่รู้)

คนไทยเป็นพวกชอบเรียกร้องสิทธิ แต่ไม่ชอบทำหน้าที่ และชอบใช้สิทธิที่ตนเองได้ประโยชน์ จนไม่สนว่าจะมีผลเสียต่อชาติและส่วนรวมอย่างไร

เอาเถอะ ใครได้ประโยชน์ไป ผมก็มุทิตาด้วย

แต่บาปกรรมในวันนี้ พวกคุณอาจมองไม่เห็น หรือไม่เชื่อ แต่สำหรับผม ผมเชื่อว่า มีแน่ ๆ

โดยเฉพาะรัฐบาลยิ่งลักษณ์นี้รับบาปกรรมไปเต็ม ๆ

และแทนที่รัฐบาลมันจะคืนภาษีรถคันแรก ให้กับคนที่ซื้อเงินสด หรือคนที่ผ่อนรถหมดแล้ว มันดันรีบแจกเงินคืน ทั้ง ๆ ที่คนซื้อรถยังผ่อนไม่หมด ไอ้คนคิดนโยบายนี้มีแค่โง่กับชั่วเท่านั้นที่จะคิดได้

เมื่อวันก่อน ผมดูข่าวทางทีวี ได้รายงานว่า ในปี 54-55 ที่ผ่านมา รัฐบาลไม่มีงบให้โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อซื้อหนังสือใหม่เข้าห้องสมุดโรงเรียน

รู้ไหมครับ เพราะสาเหตุอะไร ?

คำตอบคือ รัฐบาลนี้มันเอางบซื้อหนังสือให้ห้องสมุดโรงเรียน ไปซื้อแท็บเล็ตแจกนักเรียน ป. 1 หมดแล้ว!!


akecity





คลิกอ่าน โครงการรถคันแรก ในสายตาคนรวยผิดไหม ?




วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทำไม ราตรี วีระ ไม่ควรโดนจับ ?








ก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อนว่า เรื่องเขาพระวิหาร ผมนั้นเชื่อข้อมูลจาก ศาสตราจารย์อาจารย์อดุลย์วิเชียรเจริญ เป็นหลัก และผมก็เชื่อข้อมูลของคุณสมปอง สุจริตกุล อดีตทนายความร่วมในคดีเขาพระวิหาร เป็นสำคัญ

กรณีที่ 7 โดนจับนั้น ความจริงไม่ควรเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด เพราะอะไรรู้ไหมครับ ?

เพราะบริเวณนั้นเดิมคือ บ้านหนองจาน เป็นเขตที่ไทยเคยให้ผู้อพยพเขมรหนีสงครามเข้ามาพักอาศัยตั้งเป็นศูนย์อพยพ เป็นพื้นที่ของไทยแท้100% และมีโฉนดไทยด้วย

แต่เอาเถอะ ผ่านตรงนั้นไปก่อน



(คลิกอ่าน ความเป็นมาค่ายอพยพบ้านหนองจาน)

---------------------

ในเมื่อรัฐบาลไทยได้ไปเซ็น MOU43 กับเขมร เพื่อจะมาร่วมปกปันเขตแดนกันใหม่

ซึ่งในMOU43 ได้กำหนดไว้ว่า ห้ามคนทั้งสองชาติ และทหารทั้งสองชาติเข้าไปในพื้นที่ที่ยังพิพาทเรื่องเขตแดนกันอยู่ หรือที่เรียกว่า ต้องเป็น โนแมนแลนด์ no man's land

ซึ่งฝ่ายรัฐบาลไทยกลับชอบโง่ ชอบที่จะเรียกพื้นที่ทับซ้อน อยู่เสมอ

ในขณะที่เขมรไม่เคยเรียกพื้นที่ทับซ้อนเลย เพราะเขมรถือว่าเป็นดินแดนเขมร100% ทั้งๆ ที่ความจริงเขมรมันเข้ามาโมเมเอาแท้ๆ

-----------------------

ผมขอถามว่า ถ้ารัฐบาลไทยยึดถือเรื่อง MOU43 ไว้อย่างเหนียวแน่น

แล้วทำไมรัฐบาลไทยถึงได้ปล่อยปละละเลยให้เขมรเข้ามาสร้างชุมชนบ้านเรือน วัด และถนน รวมทั้งทหารเขมรเข้ามายึดครองในพื้นที่4.6ตร.กม.ได้ในเวลานี้ ?

แค่คำถามนี้คำถามเดียว ก็ไม่มีรัฐบาลไทยชุดไหนตอบได้สักรัฐบาล !!??

เพราะMOU43 ได้กำหนดไว้ว่า ห้ามคนไทย คนเขมร และทหารทั้งสองชาติเข้ามาในพื้นที่ ?

ฉะนั้น การกอดMOU43 ไว้จึงไม่เห็นได้ประโยชน์ตรงไหน แต่กลับทำให้ฝ่ายเขมรย่ามใจเข้ามารุกล้ำตั้งชุมชนในพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารจนเต็มไปหมด จนคนไทย ทหารไทยก็ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่นั้นได้อีก ถ้าเขมรไม่อนุญาต

นี่เท่ากับในทางพฤตินัย ไทยเราเสียดินแดนไปแล้วใช่หรือไม่ ?

--------------------------

นMOU43 ข้อ 5 หน้า4 กำหนดว่า

ข้อ 5 
เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผลหน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้น จะงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน

ข้อ 8
ให้ระงับข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดจากการตีความหรือบังคับใช้ความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาและการเจรจา

-----------------------------

ทำไมราตรี และวีระ ไม่ควรโดนจับ ?

เพราะตามหลักกฎหมายทั่วโลกแล้ว ไม่เคยมีคนในประเทศใดๆ ต้องโดนจับเข้าคุกในพื้นที่ที่ยังเป็นปัญหาพิพาทในเรื่องเขตแดนอยู่

เช่น ถ้าบ้านผม กับบ้านคุณ ยังมีปัญหาพิพาทในที่ดินว่า เป็นของใครแน่ ตามหลักถ้าใครรุกล้ำไปในพื้นที่นั้นๆ ก็ไม่มีทางที่ตำรวจจะจับไปเข้าคุกหรอก เพราะพื้นที่ตรงนั้นยังไม่มีบทสรุปชัดเจนว่า เป็นพื้นที่ของใคร ? จึงไม่สามารถใช้กฎหมายบุกรุกได้

แล้วทำไมกรณี 7 คนไทยเดินเข้าไปในพื้นที่ที่อ้างสิทธิกันทั้งสองฝ่าย คนไทยกลับถูกทหารเขมรจับตัวไปได้ ?

ทั้งๆ ที่แผ่นดินตรงนั้น หากนำแผนที่1:50,000 ของไทยและแผนที่ 1:200,000ของเขมรมาตรวจดู ก็จะพบว่า ต่างฝ่ายต่างยังอ้างกรรมสิทธิบนแผ่นดินตรงจุดนั้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ตามปกติ ในอดีตเวลามีคนไทยโดนทหารเขมรจับตัวไปในพื้นที่ๆ ยังเป็นปัญหาพิพาทเขตแดน หากทหารไทยรู้ข่าวก็จะต้องรีบบุกเข้าไปเจรจาให้ทหารเขมรปล่อยตัวคนไทยทันที

เพราะตรงจุดนั้นยังเป็นพื้นที่พิพาทในเรื่องดินแดนกันอยู่ ซึ่งที่ผ่านๆ มาทหารเขมรไม่กล้าหือกับทหารไทยมาตลอด ก็มักจะยอมปล่อยตัวคนไทยโดยดี

แต่เดี๋ยวนี้ทหารไทยไม่ทำหน้าที่ปกป้องดินแดน กลับปล่อยให้เขมรเข้ามายึดพื้นที่บ้านหนองจานตรงจุดนั้นไว้ได้ ก็เท่ากับทหารไทยละเว้นหน้าที่

ส่วนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็กลับไม่แสดงท่าทีให้ชัดเจนว่า คนไทยไม่ได้รุกล้ำแผ่นดินเขมร และควรแถลงการณ์ให้เขมรต้องปล่อยตัวคนไทยทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข

แถมรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังมีท่าทีไปยอมรับด้วยซ้ำว่า คนไทยไปรุกล้ำแผ่นดินเขมรจริง เพราะพยายามจะให้คนไทยทัั้ง 7 คนยอมรับผิด เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ แต่คุณวีระ และคุณราตรีไม่ยอม

ทั้งๆ ที่ แผ่นดินตรงนั้น มันอยู่ในแผ่นดินไทยแท้ๆ คนไทยจึงไม่ควรถูกจับข้อหารุกล้ำดินแดนอย่างเด็ดขาด เว้นแต่รัฐบาลไทยไปยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของเขมรแล้วนั่นแหละ คนไทยถึงจะรุกล้ำแผ่นดินเขมร !!

--------------------------

ทีคนเขมรหลบหนีเข้าไทยอย่างผิดกฎหมายเป็นแสนๆ คน ไทยก็แค่ผลักดันกลับออกไปเท่านั้น

แต่พอคนไทยเดินไปในที่ๆ ยังพิพาทกันอยู่ เขมรกลับยัดข้อหาจารกรรมและรุกล้ำแผ่นดิน จนยัดคนไทยขังคุก !!

ไทยเราแทบไม่เหลือศักดิ์ศรีที่น่าเกรงขามดั่งในอดีตอีกแล้ว เพราะทุกวันนี้รัฐบาลไทยกลัวเขมร !!

akecity


ย้อนอ่าน ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ คุณคือวีรสตรีแห่งไทย





วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เศรษฐศาสตร์นายทุน ชอบหลอกคนจน







ข่าวธุรกิจมักชอบเสนอข่าวการจับจ่ายเงินของผู้คน เสนอข่าวกระตุ้นให้ผู้คนยิ่งใช้จ่ายมาก แสดงว่า เศรษฐกิจดี

แต่นั่นมันดีสำหรับนายทุนมากกว่าประชาชน ต่างหาก

สำหรับผม ผมกลับไม่เคยหลงใหลได้ปลื้มกับตัวเลขคนใช้จ่ายมากมายอะไรเลย เหมือนดั่งที่นักเศรษฐศาสตร์ขี้ข้านายทุนชอบใช้อวดอ้าง

เพราะการที่ประชาชนใช้จ่ายเยอะ ในแง่นักธุรกิจและพ่อค้าเขาย่อมชอบใจ เพราะมันคือหนทางร่ำรวยและสร้างกำไรของพ่อค้า แต่นั่นคือการมองแบบที่นายทุนชอบด้านเดียว

ที่จริงแล้ว การที่เศรษฐกิจดีในแบบเศรษฐศาสตร์ตะวันตกมอง มันมักจะสร้างหายนะ ทำลายโลก สอนคนฟุ้งเฟ้อ สุขนิยม เพราะมองแต่ตัวเลขที่ประชาชนใช้จ่ายเท่านั้น

การที่มองว่า ช่วงเทศกาลต่าง ๆ มีเงินสะพัดเพิ่มขึ้น เราต้องมองด้วยว่า เงินทีสะพัดนั้น มันมาจากเงินเฟ้อเท่าไหร่ ? มาจากของราคาแพงขึ้นเท่าไหร่ มาจากเงินที่ประชาชนมีอยู่ในกระเป๋าจริงๆ เท่าไหร่ หรือมาจากเงินที่ประชาชนไปสร้างหนี้เพื่อใช้จ่ายกันแน่ ?

รัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัย สนใจที่ตัวเลข GDP สนใจแต่ว่า ประชาชนใช้เงินยิ่งมากยิ่งดี แต่กลับไม่ค่อยจะรายงานตัวเลขเรื่องประชาชนมีเงินออมเพิ่มขึ้นหรือลดลงแค่ไหน?

ถามว่า แต่ละปี คนไทยมีเงินออมมากขึ้น หรือน้อยลง ? คำตอบคือ ไม่รู้ครับ เพราะไม่ค่อยมีใครมาบอก ?

รัฐบาลไทยชอบที่จะกระตุ้นให้คนไทยใช้จ่ายมากกว่าจะสอนให้คนไทยรู้จักอดออม ทำให้คนไทยเลยเป็นพวกชอบใช้เงิน ชอบเป็นหนี้เพื่อสนองกิเลสความอยาก มากกว่าจะออมเงินไว้ใช้จ่ายในคราวจำเป็น

เราจึงสังเกตได้เลยว่า คนไทยจึงเป็นหนี้นอกระบบสูงมากติดอันดับโลก คนไทยส่วนใหญ่เกิน 80 % หรือร่วมๆ 90% มีเงินออมไม่ถึงคนละ 1 ล้านบาท

ผมถึงอยากให้ทุกท่านจำไว้เลยว่า ตัวเลขการใช้จ่ายนั้น ประโยชน์ที่เกิดขึ้นเกินร้อยละ 80 จะไปตกแก่นายทุนและเศรษฐีทั้งนั้น ส่วนประชาชนส่วนใหญ่น่ะเหรอ ก็จนต่อไปครับ

นั่นจึงทำให้ พวกบรรดานายทุน และนักเศรษฐศาสตร์รับใช้นายทุน ชอบที่จะอวดตัวเลขในการใช้จ่ายของประชาชนว่า ยิ่งจ่ายมากแสดงว่า เศรษฐกิจดี แต่ไอ้ที่ว่าเศรษฐกิจดีนั้นคือ นายทุนรวยขึ้น ประชาชนจนลง ครับ

และถ้านำตัวเลขของหนี้ประชาชนมาเปิดเผย เราจะรู้ได้ทันทีว่า คนไทยเป็นหนี้เพิ่มขึ้น ทั้งในระบบ และนอกระบบ

ให้สังเกตได้ว่า กิจการ ธุรกิจ ประเภทคาร์ฟอร์แคช หรือ รถแลกเงินสด หรือกิจการเงินด่วนทั้งในระบบและนอกระบบ มันเติบโตขึ้นมากมายเพียงไร

ตอนนี้หนี้ภาคครัวเรือนกำลังเพิ่มขึ้น หนี้เสียหรือเอ็นพีแอล ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างน่ากลัว หนี้สาธารณะของคนไทยก็เพิ่มสูงขึ้น จากประชานิยมมือเติบของรัฐบาล

ประเทศไทยในวันนี้ยังไม่เจ๊งง่ายๆ หรอกครับ แต่ถ้ารัฐบาลยังแจกไม่อั้น ใช้เงินมือเติบ สอนประชาชนให้ใช้จ่ายมากเกินไป หรือที่เรียกว่า กระตุ้นเศรษฐกิจทั้งปีทั้งชาติ

แถมรัฐบาลคิดจะลดดอกเบี้ยเงินฝากลง เพื่อลดการไหลเข้าของเงินต่างชาติ แต่จะกลายเป็นส่งเสริมให้คนไทยยิ่งออมเงินน้อยลง

ซึ่งการที่คนไทยออมเงินน้อยลงเท่าไหร่ นักธุรกิจและนายทุนก็ยิ่งรวยมากขึ้นเท่านั้น

ถ้ายังคงสภาพแบบนี้ต่อไป อีกไม่นาน คนไทยที่ไม่รู้จักอดออม จะเจ๊งในจำนวนมหาศาลแน่นอนครับ


(ปล. ผมไม่ได้ห้ามการใช้จ่าย เพราะเมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือ ภาพมายาที่รัฐบาลและนายทุนชอบสร้างให้ประชาชนหลงเชื่อว่า ใช้จ่ายยิ่งมากยิ่งดี นั่นก็เพื่อหลอกเงินจากประชาชนเข้ากระเป๋านายทุนต่างหากครับ และคนในรัฐบาลก็พวกนายทุนทั้งนั้น) 


-------------------------

เก็บข่าวมาให้คิด

นักวิชาการเตือนปัญหาหนี้สาธารณะ ระเบิดเวลาโครงการประชานิยม เศรษฐกิจไทยไม่โตตามเป้ายุ่งแน่ เทียบสเปน ปี 51 หนี้แค่ 40% ฟองสบู่แตกพุ่งกระฉูด

นายวิมุต วานิชเจริญธรรม อาจารย์ประจำภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานเสวนาเรื่อง "หนี้สาธารณะ : ระเบิดเวลา หรือ ยากระตุ้นเศรษฐกิจ?" ที่จัดโดยภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าหนี้สาธรณะสุดท้ายคนที่รับภาระก็คือประชาชน ปัจจุบันคาดว่าคนไทยมีหนี้โดยเฉลี่ยประมาณ 72,000 บาทต่อคน แต่ต้องไม่ลืมว่าตัวเลขจะมากกว่านี้มาก เพราะคนไทยที่เสียภาษีจริงๆ มีไม่กี่คนเท่านั้นไม่ใช่คนไทยทั้งประเทศ

ประเด็น คือ รัฐใช้จ่ายเงินได้มีประสิทธิภาพเพียงไหนด้วย แล้วอยากให้รัฐมองไปข้างหน้าถึงอนาคตด้วย เพราะความเสี่ยงในโลกยังมีอยู่และไม่มีใครู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

ตัวอย่างกรณีของสเปนเองในช่วงปีค.ศ.2008 หนี้สาธารณะต่อ GDP ประมาณ 40% เท่านั้น เพราะรัฐมีรายได้ภาษีที่เก็บได้มากจากภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งกำลังเป็นฟองสบู่ในขณะนั้น จึงนำมาสนับสนุนรายจ่ายของภาครัฐในช่วงนั้นได้ จนเกิดวิกฤติฟองสบู่แตกรายรับภาษีของรัฐก็ลดลง แต่รายจ่ายยังคงอยู่เพื่อช่วยเหลือคนที่ตกงาน สุดท้ายหนี้ก็ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายมาเป็นปัญหาในที่สุด

"ดังนั้นจึงอยากให้รัฐมองไปถึงอนาคตไกลๆ ด้วย ว่าจะประชานิยมหรืออะไรในปัจจุบัน ต้องนึกถึงตอนจะเลิกทำด้วยว่าจะมีปัญหาตามมาหรือเปล่า เพราะไม่มีใครรู้อนาคตถ้าเกิดวิกฤติขึ้นเศรษฐกิจไทยไม่โตตามเป้าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ไม่อยากให้ไปมองแค่เรื่องของตัวเลขว่ามากหรือน้อยเพียงอย่างเดียว หนี้เยอะ รายได้เยอะก็สามารถดูแลหนี้ได้ แต่ถ้าหนี้เยอะแล้วรายได้น้อยจะเป็นปัญหาตามมาได้เป็นต้น"


กรุงเทพธุรกิจ 19 ธ.ค. 55


akecity





วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อย่าเห็นแก่เงินผู้สูงอายุ 1,200 บาท ของพงศพัศ







เมื่อเย็นผมไปตลาดนัด ก็มีรถหาเสียงของพรรคเพื่อไทยจอดปราศัยหาเสียงให้พงศพัศ โดยประเด็นที่ผมได้ฟังพอดีก็คือ นโยบายเพิ่มเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็น 1,200 บาท ย้ำ!! ด้วยนะว่าสำหรับผู้สูงอายุในกรุงเทพฯเท่านั้น

กกต.ยุคนี้ มันละเลยการทำหน้าที่จริงๆ การหาเสียงด้วยการบอกว่า จะเพิ่มเบี้ยยัง
ชีพผู้สูงอายุกรุงเทพฯทุกคน เป็น 1,200 บาทต่อคนต่อเดือนนั้น มันเข้าข่ายการซื้อเสียงชัดๆ อย่างที่ผมเคยเขียนในบทความความเรื่อง พรรคการเมืองสัญญาว่าจะให้ ผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ก่อนอื่นเรามาดู

พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา57 กันก่อนครับ



---------------

มาตรา 57 ข้อ 1) สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด

ซึ่งจะมีความผิดฐานชี้นำเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี

----------------------

การสัญญาว่าจะให้เงินผู้สูงอายุ 1,200 บาท นี่จึงเข้าข่ายการซื้อเสียงชัดๆ แต่พวกชั่วยุคนี้มันฉลาดและเลวกว่าเดิม

คือสมัยก่อนผู้สมัครอาจใช้เงินตัวเองซื้อเสียง แต่เดี๋ยวนี้มันใช้เงินภาษีชาติมาซื้อเสียงแทน

แปลความง่ายๆ ว่า ตัวเองไม่ควักสักบาท แต่ซื้อเสียงด้วยเงินของคนทั้งประเทศ เพราะงบกทม.ก็มาจากงบที่รัฐบาลจัดสรรมาให้

แถมการที่ให้เฉพาะผู้สูงอายุในกรุงเทพ ก็เท่ากับเสริมสร้างความไม่เท่าเทียมกันให้เกิดขึ้นในประเทศ

เพราะหากผู้สูงอายุในต่างจังหวัดไม่ได้เงินในส่วนนี้เท่ากับผู้สูงอายุในกรุงเทพฯ โดยพร้อมเพรียงกัน ก็เท่ากับว่า เป็นการสร้างความไม่เท่าเทียมกันแท้ๆ

ไหนว่า พรรคเพื่อไทยเน้นความเท่าเทียมกันไง ฉะนั้นทุกอย่างที่พวกชั่วทำไป ก็เพื่อซื้ออำนาจและหวังผลประโยชน์ภายหน้าทั้งนั้น

หากคนกรุงเทพฯ คนใด คนชราท่านใด เห็นแก่ประโยชน์ที่พวกชั่วนี้เอามาล่อ ผมขอบอกเลยว่า พวกคุณได้ร่วมทำบาปไปพร้อมๆ กับพวกชั่วนี้ด้วย

เพราะนี่คือการซื้อเสียง โดยอาศัยความโลภของคนมาล่อหลอกแท้ๆ

แม้ผมจะมีญาติผู้สูงอายุหลายคนที่ได้รับผลประโยชน์นี้ด้วย แต่ผมจะไม่ขอเลือกพรรคเพื่อไทยเด็ดขาด เพราะผมเชื่อว่า นี่คือการทำบาปด้วยการเห็นแก่อามิสสินจ้างที่พวกชั่วนำเงินของประเทศมาซื้อเสียงครับ

และผมก็จะบอกญาติผู้ใหญ่ของผมด้วยว่า อย่าไปเห็นแก่อามิสของคนพวกนี้ อย่าไปเลือกคนพวกนี้เด็ดขาด ถึงแม้คนพวกนี้อาจจะชนะ แล้วต่อมาญาติของผมจะได้รับผลประโยชน์ก็ตาม แต่ตอนนั้นมันคงเป็นนโยบายไปแล้ว ซึ่งถ้ารับตอนนั้นก็คงรับได้ไม่ผิดแต่อย่างใด

แต่สำหรับช่วงนี้นั้น ถ้าใครไปเลือกคนพวกนี้เพียงเพราะเห็นแก่เงินที่พวกนี้นำมาซื้อเสียง นั่นคือการร่วมทำบาป สนับสนุนพวกซื้อเสียงครับ


----------------------

ถามว่า ทำไม กกต. จึงละเลยหน้าที่ ?

ตอบง่ายๆ เลยว่า เพราะย่อหย่อนมาตลอด พอพรรคใหญ่ทำได้ พรรคอื่นๆ ก็ทำตาม สุดท้ายเลยไม่กล้าเอาผิดใคร หรืออาจเพราะกกต.มันรับใช้ พรรครัฐบาลก็เป็นได้





วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ คุณคือวีรสตรีแห่งไทย






ขอย้อนความสักนิดว่า ส่วนตัวผมเองเคยต่อต้านโพธิรักษ์ และสันติอโศกมาแบบสุดๆ แต่นั่นคือในสมัยผมยังเด็ก

และแม้แต่ตอนนี้ เมื่อผมได้ฟังโพธิรักษ์ทางทีวีเมื่อไหร่ บอกตามตรง ผมก็ยังไม่เคยเชื่อถือและรู้สึกศรัทธาโพธิรักษ์ เลย ผมยังมองว่า โพธิรักษ์ก็ยังไม่มีความน่านับถือในสายตาผมเหมือนเดิม เรื่องนี้มันอธิบายยาก และผมไม่ขออธิบายแล้วกัน

แต่สำหรับในส่วนสำนักสันติอโศก ผมกลับไม่ได้คิดต่อต้านหรือรังเกียจพวกเขาเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว เพราะผมมองว่า อย่างน้อยสำนักสันติอโศกก็มีส่วนช่วยเผยแพร่แนวคิดอนุรักษ์ธรรมชาติ แนวคิดพอเพียง ไม่เอาเปรียบโลกและสังคม

การเกษตรแบบสันติอโศกได้พิสูจน์ด้วยการกระทำจริงของพวกเขาว่า ยั่งยืนและเหมาะสมกับการอนุรักษ์โลกใบนี้ของเรา

ส่วนแนวคิดที่คัดแย้งในเรื่องพุทธศาสนา ที่ผมยังเห็นต่างกับแนวสันติอโศกอยู่บ้าง ก็ช่างมันเถอะ ไม่สำคัญแล้ว  เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่เบียดเบียน ในเมื่อสันติอโศกอาจจะมีการตีความทางพุทธศาสนาที่ผมไม่เห็นด้วยหลายอย่างก็ตาม

แต่สิ่งที่เห็นจริงอย่างน้อยๆ ก็คือ พวกสันติอโศกเขารักแผ่นดิน เขารักในหลวง เขารักธรรมชาติ เขาไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แค่นี้ก็นับว่าดึที่สุดแล้ว ดีกว่าพระในวัดที่ถูกต้องตามกฎหมายมากมายที่กลับสอนให้คนเบียดเบียนทั้งตัวเอง และสังคม ครับ

ซึ่งคุณราตรี ก็เป็นศิษย์สำนักสันติอโศก

----------------------------------------

ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ เธอคือวีรสตรีไทย

ตั้งแต่ที่คุณราตรี โดนจับไปพร้อมกับคนไทยอีก 5 คน รวมทั้งสส. ประชาธิปัตย์ ชื่ออะไร ผมไม่อยากจะเอ่ยถึง

คุณราตรี สามารถกลับออกมาพร้อมคนไทยอีก 5 คนก็ได้ แต่คุณราตรีเลือกที่จะไม่ทำ เพราะต้องการอยู่เป็นเพื่อนคุณวีระ สมความคิด ต่อไป

เพราะแค่เพียงยอมรับว่าตนได้บุกรุกเข้าไปแผ่นดินกัมพูชาจริงเท่านั้น ก็จะได้กลับบ้าน แต่คุณราตรี เลือกที่จะไม่ทำ

ในสถานการณ์ตอนนั้น ทั้งคุณวีระ และคุณราตรี หากยอมรับว่าตัวเองผิด ว่าได้รุกล้ำดินแดนกัมพูชา โอกาสที่จะได้ขอรับการพระราชทานอภัยโทษ ย่อมจะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก ช่วงนั้นจะมีข่าวลืออกมาตลอดว่า คุณวีระ และคุณราตรีจะได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว

เพราะการจะขอรับการพระราชทานอภัยโทษ ไม่ว่าที่ไทย หรือที่เขมร ก็ไม่ต่างกันคือ นักโทษต้องติดคุกและสำนึกผิด ยอมรับผิด จึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้

แต่ทั้งสองคนเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น ขอยอมติดคุกดีกว่า ไปยอมรับว่า แผ่นดินที่ตนได้เดินเข้าไป จนถูกทหารเขมรจับได้นั้น เป็นแผ่นดินกัมพูชา

เพราะทั้งสองคนยืนยันด้วยชีวิตว่า พวกเขาไม่ได้บุกรุกแผ่นดินกัมพูชา พวกเขาเดินอยู่ที่ๆ เป็นแผ่นดินไทย แต่กลับถูกพวกเขมรรุกรานเข้ามายึดแผ่นดิน เพราะความอ่อนแอของรัฐบาลไทยตั้งแต่ปี 2543 ที่ผ่านมา

--------------------------

คุณราตรี ไม่ได้ขอพระราชทานอภัยโทษเอง !!

การที่คุณราตรีได้รับการพระราชทานอภัยโทษ จนได้รับการปล่อยตัวนั้น

ผมขอย้ำ !! ว่า คุณราตรี ไม่ได้เป็นฝ่ายร้องขอพระราชทานอภัยโทษจากกัมพูชาเองนะครับ

แต่เป็นทางการกัมพูชาโดยฮุนเซ็นเองต่างหาก ที่ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษให้เอง ซึ่งเราก็รู้นี่คือเกมการเมืองของฮุนเซ็นกับทักษิณ โดยนำเรื่องพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จสีหนุ มาอ้างบังหน้าในการปล่อยตัวคุณราตรีเท่านั้น

เพราะคุณราตรีจะไม่มีทางเซ็นยอมรับว่าตัวเธอได้รุกล้ำเข้าไปในแผ่นดินกัมพูชาเด็ดขาด เพราะนั่นคือการทรยศแผ่นดินเกิดเพื่อเอาตัวรอดอย่างคนขลาด!!

นี่แหละครับ วีรสตรีไทย แม้ไม่มีอาวุธในมือ ไม่มีอำนาจในมือ แต่กล้ายืนหยัดเพื่อรักษาแผ่นดินเกิ

บอกตามตรง ผมเขียนถึงตรงนี้ ผมน้ำตาซึมครับ

คุณราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ และคุณวีระ สมความคิด พวกคุณคือวีรสตรี วีรบุรษ ทีปกป้องแผ่นดินไทยครับ

--------------------------



คุณราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ หัวใจเธอน่ากราบจริงๆ

คุณผู้อ่านลองอ่านข่าว ในวันที่คุณราตรีมาถึงแผ่นดินไทยสิครับ และดูที่นักข่าวเอียงแดง อย่างฐาปนีย์ ถามคุณราตรี แล้วดูว่าคุณราตรีได้ตอบไปอย่างไร

นางสาวราตรี เปิดเผยความรู้สึกภายหลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษและได้รับอิสระภาพ ว่า

"ตอนนี้ยังไม่รู้สึกดีใจ เพราะนายวีระ สมความคิด ยังอยู่ที่เรือนจำเปรซอว์ ส่วนตัวยังไม่อยากออกมาพูดอะไร อย่างแรกที่อยากทำคือกราบเท้าพ่อแม่ แต่ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติที่ให้ตนเองมีกำลังใจและเข้มแข็งมากขึ้น ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ถูกจำคุกในเรือนจำเปรซอว์ ตนได้ทำทุกอย่างที่ถูกต้อง"

ขณะเดียวกัน นางสาวฐาปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 ได้ถามนางสาวราตรีว่า "ครั้งก่อนมีโอกาสได้รับการปล่อยตัวพร้อมกับ 5 คนไทย แต่ทำไมเลือกที่จะไม่ออกมา ?"

นางสาวราตรีจึงตอบกลับว่า "รู้ได้อย่างไรว่าจะถูกปล่อยตัวเหมือนอีก 5 คน สิ่งที่ตนยืนยันต่อสู้มาตลอดคือ ไม่ได้ทำผิดหรือรุกล้ำแผ่นดินกัมพูชา

เมื่อผู้สื่อข่าวคนอื่นถามว่า นายวีระได้ฝากอะไรถึงประชาชนคนไทยหรือไม่

นางสาวราตรี กล่าวว่า "ขอให้ทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไป"


คลิกอ่าน ทำไม ราตรี วีระ ไม่ควรโดนจับ ?