วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูปหลักประกันสุขภาพ คือต้องสอนคนไทยรู้ทันประชานิยมชั่ว ๆ






ตอนนี้กระแสที่กำลังเป็นปัญหาเกี่ยวกับระบบประกันสุขภาพของคนไทยก็คือ มีคนเสนอแนวทางว่า คนไทยน่าจะร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลบ้าง

ซึ่งพอผมได้ยินข่าวนี้ ผมรู้สึกจี๊ดเลยครับ เพราะไอ้คนที่เสนอนี่มันน่าเอาบาทาลูบหน้ามันนัก

ผมอยากจะถามว่า แล้วไอ้คนที่เสนอน่ะ คุณใช้สิทธิรักษาพยาบาลอะไร ? แล้วคุณต้องเสียค่ารักษาพยาบาลสมทบด้วยหรือไม่ ?

ถ้าคุณยังไม่ต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลสมทบ แล้วคุณเสนอมาทำไม แบบนี้เขาเรียกว่า การเสนอแนวคิดเลว ๆ บนความทุกข์ของคนส่วนใหญ่ แต่ตัวมันเองกลับรอด !!

ผมพอจะทราบมาภายหลังว่า ไอ้คนเสนอแนวคิดนี้ไม่ใช่ ปลัด สธ.

แต่เป็น นพ.ธวัชชัย กมลธรรม อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก คือผู้เสนอเรื่องนี้ ซึ่งเขาเป็นข้าราชการ ที่ได้รับสิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ ซึ่งเป็นสิทธิที่ดีกว่าและได้มากกว่าสิทธิของ สปสช. ของคนไทยส่วนใหญ่ใช้อีกด้วย

ถามว่า ข้าราชการกลายเป็นชนชั้นที่ไม่เท่าเทียมคนไทยใช่หรือไม่ ?

ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการต่อหัว เฉลี่ยหัวละ 12,000 บาทต่อปี (ปี2557)

ค่ารักษาพยาบาลคนไทยในระบบ สปสช. เฉลี่ยหัวละ 2,895 บาทต่อปี (ปี 2557)

คนไทยในระบบ สปชป. ได้แค่หัวละ 2,895 บาทต่อปี น้อยกว่าค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการตั้ง 4 เท่า แล้วก็ยังจะถูกเรียกให้ร่วมจ่ายอีกเหรอ ?

แล้วความยุติธรรมในความเท่าเทียมกันอยู่ที่ไหน ?

อยากจะบอกไอ้คนเสนอว่า ผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพของ สปสช. คือ คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้นะโว้ย !!

สิทธิของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศกลับได้รับการรักษาพยาบาลจากภาครัฐด้อยกว่าสิทธิของข้าราชการที่มีหน้าที่ต้องรับใช้ประชาชน 


แต่ในอีกแง่หนึ่ง แม้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเหมาจ่ายหัวละประมาณ 2,900 บาท ซึ่งทำให้โรงพยาบาลรัฐทุกโรงพยาบาลขาดทุน

แต่สิ่งที่มาจุนเจือให้โรงพยาบาลรัฐยังพอดำเนินกิจการต่อไปได้ก็คือ สิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการ ที่โรงพยาบาลรัฐส่วนใหญ่ยังพอจะมีกำไรบ้างจากค่ารักษาพยาบาลส่วนนี้มาจุนเจือกิจการครับ

และอีกส่วนที่ทำให้โรงพยาบาลยังพออยู่ได้แบบกระเบียดกระเสียนก็คือ มูลนิธิของแต่ละโรงพยาบาลที่พยายามหาเงินบริจาคมาจุนเจือ ถ้าคุณผู้อ่านเจอกล่องรับบริจาคของมูลนิธิโรงพยาบาลก็อย่าลืมหยอดทำบุญกันนะครับ

ตัวอย่างโฆษณามูลนิธิโรงพยาบาลภูมิพลฯ เงินบริจาค 100 บาทของคุณ ช่วยอะไรผู้ป่วยได้บ้าง


-----------------

ปฎิรูปหลักประกันสุขภาพคนไทยอย่างเท่าเทียมกัน ในมุมมอง ดร.อัมมาร 

ผมอยากจะเขียนเรื่องนี้ในหลายประเด็น แต่นับว่าเป็นโชคดีของผม ที่ผมได้มีโอกาสได้ดูข่าวโมเดิร์นไนน์ ที่ได้สัมภาษณ์ ดร.อัมมาร สยามวาลา เกี่ยวกับแนวคิดให้คนไทยร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล

ซึ่ง ดร.อัมมาร ได้พูดไว้ดีมาก และครอบคลุมเนื้อหาได้อย่างใจที่ผมอยากจะเขียนเลยครับ

ขอให้คุณผู้อ่านลองตั้งใจฟัง ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ จาก ทีดีอาร์ไอ พูดนะครับ ท่านพูดได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจริง ๆ

จากข่าวโมเดิร์นไนน์

17 ก.ค. 2557 ปัญหาร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลในโครงการหลักประกันสุขภาพ ผลักภาระไปให้ประชาชนส่วนหนึ่ง แม้ได้รับคำยืนยันจากปลัดกระทรวงสาธารณสุขว่าไม่มีแนวคิดในขณะนี้

แต่ในอนาคต ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เรียกร้องให้เพิ่มงบประมาณในส่วนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน เพราะถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์




เรามาอ่านคำสัมภาษณ์ของ ดร.อัมมาร ชัด ๆ ในประเด็นสำคัญจะจะเลย

ดร.อัมมาร กล่าวว่า

"การร่วมจ่ายไม่ควรจะมี เงินไม่เพียงพอมันมาจากงบประมาณให้ไม่เพียงพอ คำถามที่ถามก็คือว่า รัฐบาลให้ได้เพียงพอไหม

ผมดูพฤติกรรมของรัฐบาล ในระยะ10ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยเนี่ย เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย ปีนึงๆ งบประมาณสำหรับ สปสช. จะเพิ่มขึ้นประมาณต่ำกว่าหมื่นล้านบาท... 3พันล้านบาท 6 พันล้านบาท

แต่ถ้าถามว่า รัฐบาลสามารถจ่ายเงินควักกระเป๋า ทำโครงการใหม่ ๆ หรือทำประชานิยมได้ไหม ?

โครงการรถคันแรก 8 หมื่นล้านบาท นี่ตามตัวเลขของเขาเอง รายรับของรัฐบาลหายไป 8 หมื่นล้านบาท ทำไมทำได้ ?? ไปถามทีนะ

แล้วปีนั้นเขาไม่ขึ้นงบประมาณของ สปสช. เพราะฉะนั้นเนี่ย พวกเรา รวมทั้งบรรดาหมอทั้งหลาย บรรดาผู้ให้บริการทั้งหลาย ต้องตรวจสอบรัฐบาล!!

บอกว่า ทีอย่างนี้ขี้เหนียว แต่ที 8 หมื่นล้านบาทเนี่ย จ่ายไปหน้าตาเฉยเลย ก็เพราะไอ้ 8 หมื่นล้านบาท เนี่ย มันเป็นประโยชน์กับลูกของหมอบางคนด้วย อะไรด้วย แล้วแต่ผมไม่รู้ ...

เรามัวแต่ถูกมอมเมาด้วยประชานิยม โดยไม่มองว่า วิธีการเลือกใช้เงินของส่วนรวม เงินของรัฐบาล เงินหลวง มันใช้เหมาะหรือเปล่า การตรวจสอบมันเป็นเรื่องสำคัญ

อันนี้ผมพูดโดยยังไม่ได้พูดถึงจำนำข้าวนะ จำนำข้าวตกปีละ 2-3 แสนล้านนะ จ่ายไปได้ !!

แต่ไอ้ 8 พันล้านบาทสำหรับผู้ป่วยนี่สิ รู้สึกควักกระเป๋ายากจังเลย !

แล้ว สปสป. เขาพิถีพิถันมากเรื่องการขอเงินเพิ่มขึ้น เขาไม่ได้ขอพร่ำเพรื่อ เพราะฉะนั้น ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลของรัฐบาลจึงต่ำที่สุดประเทศนึงในโลก"

--------------

สิ่งที่ ดร.อัมมาร พูด ประเด็นสำคัญก็คือ ประเทศไทยเราสูญเสียงบประมาณไปกับประชานิยมเลว ๆ มากมาย กลับยอมเสียไปโดยง่าย ทั้งรถคันแรก ที่ลูกของหมอบางคนก็ได้ประโยชน์ด้วย

รวมทั้งโครงการรับจำนำข้าว ที่เสียหายไปหลายแสนล้าน  แต่กลับเงียบกันไปหมด

แต่พอเรื่องความเจ็บป่วยซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานของชีวิตคนไทยทุกคน กลับมา งก !!

--------------

สำหรับผม ผมอยากจะบอกท่านผู้มีอำนาจทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่เคยจน ไม่เคยไปโรงพยาบาลแล้วต้องจ่ายเงินค่ารักษาเองทั้งหมด ท่านคงไม่รู้ว่า มันแสนทุกข์ยากแค่ไหนสำหรับคนจน พวกข้าราชการอย่างพวกท่านไม่มีทางได้รู้หรอก

เมื่อหลายปีก่อน ก่อนจะมี สปชป. ผมเคยเห็นชาวนามาโรงพยาบาล หมอสั่งให้ไปเอ๊กซ์เลย์ ต้องเสียเงินขั้นต่ำ 50 บาทต่อใบ ถ้าต้องเอ็กซ์เลย์หลายใบก็หลายร้อยบาท หรือถ้ามีค่าตรวจเลือดด้วย ก็หมดอีกหลายร้อย

ผมเคยเห็นชาวนาเครียดมานั่งนับเงินที่ตัวเองติดตัวมา เห็นแล้วน่าสงสารมาก ๆ แล้วไหนจะมีค่ายา ค่าเจาะเลือด ค่าเดินทางอีก

ส่วนพวกหมอดี ๆ หลายท่านก็สงสารคนป่วยนะ แต่หมอก็ต้องทำใจว่า คงช่วยเขาไม่ได้ เพราะคนจนในประเทศนี้มีมากมายเหลือเกินที่มารักษาในแต่ละวัน

แม้ตอนนี้จะมี สปสช. แล้ว แต่คนที่เขาจนหรือเดือดร้อนจริง ๆ ก็ยังมีอีกมากมาย ไม่งั้นคนไทยจะมีปัญหาต้องไปกู้เงินนอกระบบจนมากมายเหรอ เพราะถ้าคนเขาไม่เดือดร้อนจริง ๆ ไม่มีใครอยากไปกู้เงินนอกระบบหรอก

แล้วถ้าเป็นหนี้นอกระบบ หรือหาแทบจะไม่พอกินอยู่แล้ว ถ้ายังต้องมาถูกซ้ำเติมด้วยค่ารักษาพยาบาล เช่น คนไข้ไปตรวจเบาหวาน และความดันสูงตามหมอนัด มีค่ายา ค่าเจาะเลือด อย่างน้อยเดือนละ 1,500 บาท ถ้าต้องร่วมจ่าย 30 % เขาก็ต้องจ่าย 450 บาท

เงิน 450 บาท นี่มากนะครับ สำหรับคนที่เขารายได้แทบไม่พอจะกิน

------------------

ควรนำเงินจากไหนมาใช้ใน สปสช.

จริง ๆ มันมีวิธีที่จะหาเงินมาใช้่ใน สปสช. ได้มากมายหลายวิธี ตัวอย่างเช่น ปฏิรูปภาษีที่ดินให้เป็นแบบก้าวหน้า สำหรับที่ดินรกร้างไม่นำมาใช้ประโยชน์ จะได้เก็บภาษีจากพวกเศรษฐีที่ชอบกักตุนที่ดิน มาช่วยคนป่วยได้อีกเยอะ แถมเป็นการลดความเหลื่อมล้ำและช่องว่างเรื่องฐานะได้อีกทาง

เพราะการกักตุนที่ดิน เป็นบ่อเกิดทำให้ที่ดินราคาแพงเว่อร์ จากการเก็งกำไร แถมเคยเป็นสาเหตุหนึ่งของวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 อีกด้วย

แล้วตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ก็ควรต้องมีตู้รับบริจาค ก็ให้นำตู้รับบริจาคมาเขียนว่า ตู้บริจาคช่วยผู้ป่วยยากไร้ (ก็มักจะมีอยู่แล้วตามโรงพยาบาล)

ตู้แบบนี้ก็จะมีคนมาบริจาคมาก เพราะคนไทยชอบบริจาคมากกว่าจะต้องมาถูกบังคับให้จ่ายเงิน เพราะเขาจะรู้สึกว่า เขาได้บุญและบุญก็จะมาคุ้มครองรักษาญาติพี่น้องของเขาที่มาโรงพยาบาลอีกที คนไทยมักจะเชื่ออย่างนั้น แถมจะได้มากกว่า 30 บาท ที่นโยบายยิ่งลักษณ์พยายามจะให้คนไทยจ่ายอีกด้วย

ส่วนในอนาคต เมื่อเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 10 % แล้ว รัฐก็ควรจะนำภาษีมูลเพิ่มอย่างน้อยสัก 1 % มาเป็นรัฐสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลคนไทยโดยเฉพาะ

และถ้ามีงบเหลือ ก็ควรนำงบไปสร้างโรงพยาบาลดี ๆ เพิ่มขึ้นในระดับอำเภอ เพื่อช่วยให้คนไทยเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกันได้ง่ายขึ้น

================

รักษาพยาบาลฟรี ไม่ใช่ประชานิยม

ผมขอบอกว่า ระบบประกันสุขภาพและค่ารักษาพยาบาลของประชาชน ไม่ใช่ประชานิยม !!

เพราะการรักษาพยาบาล ถือเป็นรัฐสวัสดิการเพื่อประชาชนทุกคนในประเทศ ที่ทุกประเทศจำเป็นต้องมี เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องให้ประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับได้เขียนไว้

ส่วนนโยบายประชานิยมจริง ๆ คือ นโยบายที่ใช้ล่อหลอกให้คนชอบของฟรี แจกของฟรี (ที่ไม่ใช่ฟรีจริง) อย่างไม่เท่าเทียมกัน เช่น

นโยบายจำนำข้าว ก็ทำให้ชาวนาเป็นเกษตรกรที่ได้รับความช่วยเหลือมากเกินไป เกิดความไม่เท่าเทียมกับอาชีพเกษตรกรประเภทอื่น ๆ และทำให้รัฐต้องขาดทุนเป็นเงินหลายแสนล้านบาท แทนที่จะนำเงินส่วนนี้ไปพัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ ได้อีกมาก

นโยบายแจกแท็บเล็ต เด็ก ป.1 ก็เกิดความไม่เท่าเทียมกันกับนักเรียนชั้นอื่น ๆ จนทำให้นักเรียนในชั้นอื่น ๆ ต้องพลอยอดงบประมาณเพื่อซื้อหนังสือใส่ห้องสมุดโรงเรียนทั่วประเทศไปด้วย เพราะนำเงินไปใช้กับแท็บเล็ตจนหมด แถมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เด็ก ได้วิจัยพบว่า แท็บเล็ตกับเด็กป. 1 มีผลเสียต่อพัฒนาของเด็กป.1 มากกว่าเป็นผลดี

นโยบายคืนภาษีรถคันแรก ก็ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมแก่คนนั่งรถเมล์ที่ต้องมาทนรถติดมากขึ้นก็ต้องทนรับมลภาวะเป็นพิษมากขึ้นนานขึ้น แต่รัฐกลับได้ภาษีน้อยลงจากนโยบายนี้  ทั้ง ๆ ที่มลภาวะเพิ่มขึ้น เพราะรถติดเพิ่มขึ้น ทำให้คนไทยป่วยมากขึ้น ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลมากขึ้น


แต่รัฐสวัสดิการ คือ นโยบายที่ให้ประชาชนมีสิทธิในการเข้าถึงการใช้ประโยชน์สาธารณะขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกันทุกคน ทุกกลุ่มอาชีพ ทุกฐานะ ได้มีสิทธิใช้สิ่งนั้นได้อย่างเท่าเทียมกัน เว้นแต่ใครอยากจะเลือกใช้สิทธินี้หรือไม่


-----------

ฝากถึง พลเอกประยุทธ์ ประธาน คสช. 

หลักประกันสุขภาพเกิดขึ้นในสมัยทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญที่ทำให้คนไทยจำนวนมาก หลงใหลและรักทักษิณมากที่สุด

แม้ความจริงผู้คนเหล่านั้น ไม่รู้หรอกว่า เบื้องหลังความสำเร็จมันเกิดจากหน่วยงานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขช่วยปรับปรุงใด้ระบบ สปสช.ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างยากเย็นมากกว่า

เมื่อทักษิณโยนนโยบายมาให้ข้าราชการแล้ว ก็ไม่ตามรับผิดชอบปรับปรุง เพราะมัวแต่รอตักตวงแพทย์และพยาบาลที่ต้องลาออกจากระบบราชการ เพื่อไปซบโรงพยาบาลเอกชนต่าง ๆ และโรงพยาบาลในเครือทักษิณมากมาย จนโรงพยาบาลเอกชนของไทยหวังให้ไทยกลายเป็นฮับทางการแพทย์เพื่อรองรับผู้ป่วยต่างชาติมารักษาหาเงินเข้าโรงพยาบาลเอกชน ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยยังแพทย์มีไม่เพียงพอกับคนไทยเลย !!!

เพราะในช่วงแรกของ ระบบประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือบัตรทอง ในยุคแรกเริ่มของทักษิณมันชั่งห่วยสิ้นดี แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่มีอะไรรองรับเลย ชาวบ้านเขาคิดอย่างนั้น

ซึ่งในรัฐบาลยุคต่อมาหลังจากนั้น โดยเฉพาะยุครัฐบาลสุรยุทธ กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ได้ปรับปรุงพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้ดีกว่ายุคเริ่มแรกของทักษิณอย่างมาก โดยเฉพาะโรคเรื้อรังหลายโรคที่ตอนแรก 30 บาทไม่รับเข้าระบบ

ผมเชื่อว่า พลเอกประยุทธ์ และ คสช. คงไม่นำแนวคิดให้ประชาชนร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลมาใช้ เพราะนี่จะทำให้เข้าทางพวกระบอบทักษิณและพวกเสื้อแดง ที่กำลังปล่อยข่าวโจมตี คสช. ในหลาย ๆ เรื่อง เพื่อดิสเครดิต คสช. เพื่อให้ระบอบทักษิณยังเป็นที่รักของพวกเสื้อแดงต่อไป

แต่ที่ผมเขียนบทความนี้ ก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเตือน ช่วยคิด เพื่อให้ คสช. ได้ตัดสินใจได้ถูกต้อง เพราะเห็นว่า วันนี้ 31 ก.ค. 57 คสช. กำลังจะมีการประชุมในเรื่องการปฏิรูปหลักประกันสุขภาพ

--------------------

ก่อนจบขอฝากบอกคุณหมอเมธี วงษ์ศิริสุวรรณ ผู้ช่วยนายกแพทยสภา ที่ยกตัวอย่างเรื่อง ค่าเฉลี่ยอายุคนไทยต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ในรายการเถียงให้รู้ ตอนร่วมจ่าย นั้น

แล้วคุณหมอเอามาสรุปว่า การรักษาฟรีไม่ได้ช่วยให้คุณสุขภาพคนไทยดีขึ้นนั้น

แค่นี้คุณหมอก็พลาดแล้วครับ คุณหมอคงไม่รู้หรอกว่า ที่อัตราเฉลี่ยอายุคนไทยต่ำกว่าญี่ปุ่นหรือประเทศเพื่อนบ้าน สาเหตุหลัก ๆ คือ คนไทยตายเพราะอุบัติเหตุและตายเพราะอาชญากรรมสูงที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลกครับ

ถ้าเอาเฉพาะตัวเลขการตายจากโรคภัยไข้เจ็บ จากก่อนมี สปสช. กับ หลังมี สปสช. แล้ว คุณภาพชีวิตคนไทยดีขึ้นมาตลอดครับ


คนไทยจำนวนมาก ก็มีพฤติกรรมแย่เอง จนต้องกลายเป็นภาระของรัฐ




คลิกอ่าน 30 บาทรักษาทุกโรค ยุคทักษิณห่วยที่สุด

คลิกอ่าน จากลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก สู่ 30 บาทรักษาทุกโรค

คลิกอ่าน เศรษฐาใหญ่ยาว จนยิ่งลักษณฺน้ำแตก (บทความเกี่ยวกับโรงพยาบาล)





วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

facebook fan page ใหม่ของ ก้อยรุ่งระวี สำนึกผิด บนความตอแหล






เมื่อหลายวันก่อน ก้อย รุ่งระวี ได้ลบเฟสบุ๊คส่วนตัวของเธอที่ชื่อว่า Kueiikoy Kurasa ไปแล้ว

แต่เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา ก็ได้มีเฟสบุ๊คที่เป็นเพจสาธารณะ ที่ชื่อว่า KueiiKoy ขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้อ้างตัวเองว่า คือ I'm Koy rungravee (ฉันคือ ก้อย รุ่งระวี)

ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะว่า เป็นก้อยรุ่งระวี ตัวจริงมาเปิดเฟสบุ๊คแฟนเพจใหม่เองหรือไม่ ซึ่งอาจจะใช่ก็ได้ หรือ ไม่ใช่ก็ได้

คงต้องหน่วยงานทางด้าน ICT เท่านั้น ที่จะตรวจสอบได้ว่า เป็นก้อยรุ่งระวี ตัวจริงมาโพสหรือไม่

แต่ที่แน่ ๆ ลักษณะการโพสของเธอนั้น เมื่อได้อ่านทุก ๆ โพสแล้ว ก็เป็นเพจที่ยึดธีม ในเรื่อง การต่อต้านการทำร้ายผู้หญิงด้วยความแรุนแรง ด้วยการอาศัยเรื่องราวของก้อยรุ่งระวี เป็นพื้นฐาน

ผมมองว่า คนที่เป็นเจ้าของเฟสบุ๊คนี้ ถ้าไม่ใช่ก้อยรุ่งระวี ก็ฉลาดที่จะเกาะกระแสก้อยรุ่งระวี เพื่อทำให้เพจสาธารณะนี้โด่งดังอย่างรวดเร็ว

ซึ่งก่อนหน้าที่ ก็มีเพจสนับสนุนก้อยรุงระวีมาแล้วเพจนึง แต่คนก็เข้าไปด่าเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหลายคนเดาว่า ต้องเป็นคนสนิทของก้อยทำเพจนั้นขึ้นมาแหงๆ

แต่สำหรับเพจ KueiiKoy อันนี้ ออกตัวตรง ๆ ว่า เป็นก้อยรุ่งระวี เลยทีเดียว

ถ้าเพจสาธารณะนี้ไม่ใช่ก้อย ทำขึ้นมา ก้อยก็ควรจะออกมาแถลงว่า เธอไม่ใช่แอดมินเพจนี้

ซึ่งเราก็พิสูจน์ไม่ได้หรอกว่าจะใช่ก้อยทำเองจริงหรือไม่ แต่ก็ยังดีกว่า ปล่อยให้คนเชื่อว่าเป็น ก้อยรุ่งระวี ตัวจริงโพส

คือผมว่า จะใช่เพจของก้อยจริงหรือไม่ ก็ไม่สำคัญเท่า ถ้าก้อยไม่ออกมาปฏิเสธ ก็ให้ตีความว่า เธอเห็นด้วยกับแนวทางเพจนี้ และเธอก็คงชอบเพจนี้เช่นกัน

ต่อไปนี้ ผมจะนำโพสทในเพจ KueiiKoy มาให้ดูว่า ชั่งไม่ได้สำนึกในความผิดของตัวเองเลยจริง ๆ (ถ้าเป็นก้อยรุ่งระวี ตัวจริงโพสนะ)

ก่อนอื่นดูรูประจำตัวล่าสุดของเพจ Kueiikoy ก่อน ซึ่งเป็นรูปใส่หน้ากากยิ้ม แต่ภายใต้หน้ากากเหมือนมีน้ำตาไหลริน



ต่อไปนี้ผมจะเรียงลำดับโพสของเธอ ตั้งแต่โพสเก่าตั้งแต่ 21 กรกฎาคมจนมาถึงโพสล่าสุดของเธอในวันที่ 23 กรกฎาคม


โพสแรก เธอเปรียบเทียบกรณีครูตีนักเรียนรุนแรงเกินเหตุ





















โพสนี้คือในวันที่ 22 กรกฎาคม ที่เธอกำลังจะไปขอโทษโค้ชเช แต่ดูเธอโพสสิ ประหนึ่งทำให้มันจบ ๆ ไป




ถ้าก้อยได้เหรียญ ก็เพื่อครูทัก !!





ทีนี้มาดูโพสในวันที่ 23 กรกฎาคม วันที่เธอไปขอโทษโค้ชเช








ดูโพสทุกอันแล้ว คุณคิดกันอย่างไร ?

ถ้าเป็นก้อยรุงระวี มาโพสเองจริง ๆ ก็ต้องเรียกว่า ไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดอะไรเลย

ฉะนั้น ทางสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ต้องสืบหาความจริงให้ได้ว่า เพจ KueiiKoy เป็นเพจของก้อยรุ่งระวี จริงหรือไม่ ?
เพราะถ้าเป็นก้อยรุงระวี ตัวจริงมาโพสจริง ๆ ผมว่า ตัดทิ้งเธอไปจากสมาคมเถอะครับ  
ไม่รู้จะไปง้อให้เธอมาขอโทษโค้ชเชทำไม


รูปประจำตัวรูปแรกที่เพจ KueiiKoy ใช้ สังเกตว่า ที่กระเป๋าเดินทางจะมีเขียนไว้ว่า KueiiKoy



สมาคมเทควันโด โปรดทราบไว้ด้วยว่า ตอนนี้พวกท่านได้ก่อให้เกิดกระแส คนไทยเชียร์ชาติอื่นดีกว่าเชียร์ก้อยแล้ว

ลองคิดดู ถ้าก้อย ลงสนาม แล้วมีคนไทยโห่ไล่ หรือ เฮดีใจเมื่อก้อยแพ้ แล้วจะเป็๋นยังไง ลองไปคิดดูนะ


แต่ที่แน่ ๆ วิธีการสอนและการลงโทษนักกีฬาของโค้ชเช จะไม่เหมือนเดิมแล้วล่ะ ส่วนผลที่จะตามมาถ้าโค้ชเช ช่วยให้ทีมเทควันโดไทยดีขึ้นได้หรือรักษามาตรฐานดี ๆ ไว้ได้เหมือนเดิม ก็นับว่าโชคดีไป


คลิกอ่าน มารยาทใหม่ เมื่อก้อยรุงระวี ซบไหล่ขอโทษ โค้ชเช 





วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์ความเก็บกดของโค้ชพิทักษ์ โค้ชเก่าผู้บ่มเพาะ ก้อยรุ่งระวี







ก่อนจะไปอ่านจิตวิเคราะห์ความเก็บกดของโค้ชพิทักษ์ เรามาดูการสัมภาษณ์สดๆ ร้อนๆ โค้ชเช ในเรื่องเล่าเช้านี้ เมื่อกี้นี้ก่อนครับ

จะได้รู้ถึงความแตกต่างระหว่างฟ้ากับเหวได้อย่างชัดเจน ว่าระหว่างโค้ชที่เป็นสุภาพบุรษ กับโค้ชที่เห่ยและมีปมด้อยนั้น แตกต่างกันขนาดไหน

คลิปเรื่องเล่าเช้านี้ สัมภาษณ์โค้ชเช




คลิปช่วง 2 สรยุทธพยายามชงให้โค้ชเชขอโทษพ่อแม่ก้อยออกสื่อจนได้ !??




ที่คนเขาลือว่า สรยุทธเข้าข้างก้อย ก็คงจริง !!


หลังจากดูคลิปนี้จบ ถ้าผมเป็นก้อยนะ ผมจะสำนึกผิด แล้วรีบไปกราบขอขมาลาโทษกับโค้ชเชเลย

โค้ชเชดีขนาดนี้ โค้ชเชขอโทษก้อยก็แล้ว ขอโทษพ่อแม่ก้อยออกสื่อก็แล้ว แล้วก้อยล่ะที่ใส่ร้ายโค้ชเชว่า ต่อยก้อยนับสิบ ๆ หมัด จะไม่ยอมรับผิดบ้างหรือ ?

และขอไว้อาลัยแก่สรยุทธ ที่พยายามชงให้โค้ชเชขอโทษพ่อแม่ก้อยออกสื่อ ทั้ง ๆ ที่เสธ.โตไม่อยากให้ทำ

และขอนับถือน้ำใจและจิตใจของโค้ชเชสุด ๆ ที่เป็นลูกผู้ชายเป็นสุภาพบุรุษ เคยขอโทษก้อยทั้งที่เกาหลีใต้แล้ว และยังขอโทษพ่อแม่ก้อยในรายการที่สรยุทธพยายามจะชงอีก

เห็นแบบนี้แล้ว ใครยังเกลียดโค้ชเช มันก็เหี้ยแล้วครับ นะไอ้ทักษ์


-----------------

ทีนี้มาวิเคราะห์จิตเก็บกดและปมด้อยของโค้ชพิทักษ์บ้าง


ถามว่า ทำไม ก้อยรุ่งระวี ถึงยอมรับการลงโทษแบบวิธีการของโค้ชเชไม่ได้ ?

ที่มาที่ไปก็น่าจะมาจากเธอคุ้นชินกับวิธีการสอนและลูกยุของโค้ชคนเก่าของเธอมาแน่นอน


การที่ ก้อยรุงระวี กล้าที่จะออกมาแฉโค้ชเช ผมมั่นใจว่า ก้อยคงจะได้ลูกยุจากโค้ชพิทักษ์ ไม่งั้นเธอย่อมไม่มีทางกล้าทำเรื่องนี้ให้อื้อฉาวโดยลำพังแน่นอน

และที่ก้อยรุ่งระวี มีทัศนะคติไม่ยอมรับการวิธีการสอนและการลงโทษของโค้ชเช ก็คงเพราะโค้ชพิทักษ์นี่แหละที่ยุให้ไม่ยอมรับ เพราะโค้ชพิทักษ์มองว่า นี่ไม่ใช่การลงโทษ แต่นี่คือการทำร้ายร่างกาย

แน่นอนก้อยก็ย่อมต้องเชื่อโค้ชเก่าว่า นี่ไม่ใช่การลงโทษเพื่อสั่งสอน แต่คือการทำร้าย!!




ถ้าโค้ชพิทักษ์ พยายามพูดในอีกแบบหนึ่งเช่น พูดให้ก้อยยอมรับว่า นี่คือวิธีที่เกาหลีใต้เขาฝึกกัน ถ้าอดทนได้ ผ่านไปได้ ก้อยจะเก่งขึ้นและจะก้าวไปสู่ระดับโลกได้

ถ้าโค้ชพิทักษ์เลือกที่จะพูดปลอบใจก้อยแบบนี้ เรื่องอื้อฉาวก็คงไม่เกิด แต่เมื่อโค้ชพิทักษฺมีแนวคิดตรงข้ามกับโค้ชเชโดยสิ้นเชิง หรืออาจเพราะเหตุผลลึก ๆ ในใจของโค้ชพิทักษ์เองด้วย มันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ !!

ทั้งหมดมันขึ้นอยู่ที่วิธีคิดและวิธีพูดของโค้ชพิทักษ์ ว่าจะเลือกปลอบใจและให้กำลังใจก้อยให้ทำใจยอมรับ หรือจะยุก้อยส่ง เพื่อหวังจะใช้ให้ไปทำลายโค้ชเช ??

----------------

โค้ชพิทักษ์ ประชดโค้ชเชว่า เป็นโค้ชเทวดา

แล้วยังประชดอีกว่า เอาวิธีต่อยแบบนี้ไปจดลิขสิทธิ์เลยดีไหม ให้ทุกยิมสอนนักกีฬาแบบที่โค้ชเชสอน นักเทควันโดไทยจะได้ครองโลกและได้เหรียญทองโอลิมปิคทุกรุ่นทุกน้ำหนัก





แล้วโค้ชพิทักษ์ก็ประชดสำทับอีกว่าว่า โค้ชเทวดาผู้มีบุญคุณกับบ้านเมืองนี้

การประชดโค้ชเชว่ามีบุญคุณกับบ้านเมืองนี้ นี่แหละครับ เข้าลักษณะคนที่อิจฉาตาร้อนชัดเจน ไม่งั้นจะไม่โพสทำนองนี้หรอก แสดงว่า โค้ชพิทักษ์นอกจากขี้อิจฉาแล้ว ยังแสดงถึงความเป็นคนใจแคบอย่างมากอีกด้วย

ที่จริงแกก็น่าจะคิดได้นะว่า ทำไมนักเทควันโดไทยถึงขึ้นไประดับโลกได้ในยุคโค้ชเช มาคุมทีมชาติไทย

ทำไมวงการกีฬาเทควันโดไทยที่มีมานานกว่า 40 ปี ทำไมไทยไม่เคยได้เหรียญในเอเชียนเกมส์เลย จนมีน้องวิวเยาวภา เป็นคนแรกที่ได้เหรียญเงินจากเอเชี่ยนเกมส์ แล้วต่อด้วยเหรียญทองแดงโอลิมปิค

คิดสิคิด ทำไม ?

คำตอบคือ ที่นักเทควันโดไทยไม่ได้ไปถึงระดับโลก ก็เพราะวิธีการสอนแบบโอ๋ลูกศิษย์หรือเปล่า ?

ที่ญี่ปุ่น เกาหลี จีน เขาไประดับโลกได้เพราะอะไร ? คิดสิคิด

ลองไปหาการ์ตูนญี่ปุ่นเกี่ยวกับกีฬาการต่อสู้อ่านดู จะได้ฉลาดขึ้น

------------

ความอิจฉา อาจเป็นสาเหตุให้ยุศิษย์เก่าทำลายโค้ชเช

ถ้าให้ผมเดาเหตุการณ์ว่า ทำไมมันถึงเกิดกรณีอื้อฉาวระหว่าง ก้อยรุ่งระวี กับ โค้ชเช

ผมว่า มันคงจะเริ่มจากการที่เธอเคยโดนโค้ชเชต่อยที่ท้องจากการแข่งขันคราวก่อน

ซึ่งก้อยรุงระวี ก็บอกเองว่า ก่อนการแข่งขันที่เกาหลี เธอเคยโดนต่อยท้องมาครั้งนึงแล้ว ซึ่งเธอก็รับวิธีการลงโทษแบบนี้ไม่ได้

ผมขอเดาเหตุการณ์ก่อนหน้าจะเกิดคดีนี้ว่า ก้อยคงเคยเอาไปเล่าให้โค้ชพิทักษ์ฟังกับเหตุการณ์ในครั้งก่อนนั้นแน่นอน ว่าเธอเคยโดนโค้ชเชต่อยท้อง

ซึ่งหลังจากนั้นโค้ชพิทักษ์ก็อาจจะการวางแผนเขี่ยโค้ชเชออกจากโค้ชทีมชาติไทย

ด้วยการบอกให้ก้อยแกล้งทำตัวไร้ระเบียบวินัยให้มากผิดปกติ เพื่อยั่วให้โค้ชเช โกรธ และลงโทษเธอในแบบเดิมหรือมากกว่าเดิมอีก

โดยโค้ชพิทักษ์อาจแนะนำก้อยว่า ถ้าก้อยนำเรื่องการลงโทษนักกีฬาแบบโค้ชมาแฉออกสื่อ ว่าโค้ชเชใช้วิธีการลงโทษทารุณต่อนักกีฬา โค้ชเชต้องหลุดจากการเป็นโค้ชทีมชาติไทยแน่นอน เพราะตอนนี้กระแสสิทธิมนุษยชนในไทยมาแรง การลงโทษนักกีฬาแบบนี้ย่อมเข้าข่ายการทำร้ายร่างกาย

ถ้าก้อยทำสำเร็จจนสามารถทำให้โค้ชเชอยู่ไทยต่อไม่ได้ จากวิธีการสอนและการลงโทษนักกีฬาแบบนี้

โค้ชพิทักษ์ก็อาจมีโอกาสได้ไปเป็นโค้ชทีมชา่ติแทนโค้ชเช แล้วโค้ชเก่ากับศิษย์รักจะได้มาร่วมงานกันอีกครั้ง แฮปปี้ๆๆๆๆๆ กันระหว่างโค้ชเก่ากับศิษย์สาว 555

ฉะนั้น ต้องกำจัดโค้ชเชให้พ้นทางให้ได้ เราสองคนจะได้มาเป็นศิษย์เป็นโค้ชกันอีกครั้ง

------------


คือเมื่อผมไปดู ๆ โพสของโค้ชพิทักษ์ ดูเหมือนแกจะเก็บกดทำนองว่า ที่นักกีฬาเก่งได้นั้น คนที่บุญคุณมากที่สุดคือ โค้ชคนไทย อย่างแก ไม่ใช่โค้ชเช

เพราะในเฟสบุ้คของโค้ชพิทักษ์ มีเพื่อนของแกคนนึงแสดงความเห็นในทำนองนี้ ซึ่งโค้ชพิทักษ์ก็กดไลค์ด้วย




การที่โค้ชไทยปลุกปั้นเด็กมาเป็นสิบ ๆ ปี แต่กลับไม่ได้รับการยกย่องเชิดชูยกย่องเท่าโค้ชเช จึงอาจทำให้โค้ชพิทักษ์รู้สึกอิจฉาโค้ชเช ทำนองว่า โค้ชเชเป็นคนมาขโมยซีนความดังในตอนจบ ในความสำเร็จของนักกีฬา ทำนองนั้น

นี่คือความคิดที่ค่อนข้างขี้อิจฉาริษยาของโค้ชพิทักษ์ ในความเห็นผมนะ


ลองดูโพสนี้ของโค้ชพิทักษ์



โค้ชเช กลับมาแล้ว แล้วโค้ชพิทักษ์ล่ะ จะว่าไงต่อ

ถ้าโค้ชพิทักษ์ไม่ยุให้ก้อย พยายามทำข่าวให้ฉาวเว่อร์จนเกินไป ประเภทโดนต่อยรัวนับกว่าสิบหมัด เพราะเจตนาจ้องทำลายโค้ชเชนะ เรื่องมันคงไม่บานปลายแบบนี้่หรอก

----------------

เรื่องนี้ จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องของก้อยรุ่งระวี ไม่ยอมรับวิธีการสอนและการลงโทษของโค้ชเช

และไม่อยากฝึกและเรียนกับโค้ชเชอีกต่อไปนั่นแหละ จึงได้เกิดแผนการนารีพิฆาตนี้ขึ้นมา

ลองคิดดูจะมีโค้ชหรือครูสักกี่คน ที่ลงโทษลูกศิษย์แรง ๆ แล้วจะมีลูกศิษย์รักและเคารพมากมายเท่าโค้ชเช ?

คิดสิคิด ถ้าโค้ชเชไม่ได้ทำเพราะรัก คงไม่มีนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากมายเคารพและศรัทธาโค้ชเชมากขนาดนี้หรอก จริงไหม ?

ถ้าผมเป็นลูกศิษย์โค้ชเชนะ ผมรับได้ เพราะผมชอบวิถีแบบนี้แหละ ใครชอบสิทธิมนุษยชนแบบฝรั่งก็ไม่ว่า แต่ผมชอบวิธีแบบโค้ชเช คือ ถ้ารับไม่ได้ ก็อย่าไปฝึกกับเขาสิ ก็จบ

------------

โค้ชพิทักษ์กระแนะกระแหน แบบไม่เป็นลูกผู้ชาย

โพสที่สุดท้ายของโค้ชพิทักษ์ ที่ผมจะนำมาให้ดูนี้ คือ การแสดงออกถึงความไม่เป็นลูกผู้ชายอย่างชัดเจน

ยิ่งตอนนี้คนกำลังจับตามองการโพสของคุณ แต่โค้ชพิทักษ์ยังโพสแบบโง่ ๆ แบบในโพสนี้





การที่เกลียดโค้ชเชคนเดียว อยากจะแขวะโค้ชเชเรื่องต่อย แต่ไปกลับแขวะคนเกาหลีทั้งประเทศเรื่องศัลยกรรมว่าที่ต้องทำศัลยกรรมเพราะชอบการลงโทษด้วยการต่อยหน้า ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยตอนนี้คนไทยก็ทำศัลยกรรมมากรองมาจากคนเกาหลีใต้แล้ว

นี่ยิ่งแสดงถึงกมลสันดานในจิตใจความเป็นคนอิจฉาตาร้อนของโค้ชพิทักษ์ได้อย่างชัดเจนที่สุด

เห็นว่า โค้ชพิทักษ์จะมาให้แชมป์ พีระพล สัมภาษณ์ในเย็นวันจันทร์ที่ 21 ก.ค. 57 นี้ ในไตเติ้ลรายการบอกว่า โค้ชพิทักษ์ เคยเป็นโค้ชผู้ช่วยของโค้ชเชในทีมชาติมาก่อน

ด้วยเหตุนี้แหละมั้ง ถึงได้อิจฉาโค้ชเช เพราะเคยร่วมงานกันมา ความอิจฉาตาร้อนจึงบังเกิด !!







คลิกอ่าน โค้ชพิทักษ์ เนื้อร้ายน่ารังเกียจในวงการเทควันโด





ภาพแสดงจุดที่เท้าสัมพันธ์กับอวัยวะภายในร่างกาย







กดจุดหยุดโรค การกดจุดหรือนวดเท้าสัมพันธ์กับอวัยวะต่าง ๆ ของร่ายกาย

ดูได้จากรูปนี้ ศึกษาไว้เพื่อรักษาตนเองกันนะครับ







วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โค้ชเช แฉ มีขบวนการทำลายโค้ชเช พ้นโค้ชเทควันโดทีมชาติไทย







และแล้วข่าวลือที่ว่า มีขบวนการทำลายโค้ชเช ให้หลุดออกจากโค้ชเทควันโดทีมชาติไทย ตามที่นักสืบพันทิพตั้งข้อสงสัย น่าจะมีมูลซะแล้ว (ข้อมูลนี้คลิกที่นี่ย้อนอ่านบทความที่แล้วครับ)

เพราะแม้แต่โค้ชเช เอง ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตามที่โมเดิร์นไนน์นิวส์ได้รายงานไปเมื่อข่าวภาคค่ำที่ผ่านมา

โดยโค้ชเช ปฏิเสธเรื่องการต่อยหน้าของก้อยรุ่งระวี โค้ชบอกแค่ต่อยที่ท้องเท่านั้น


เอ่อ.. ผมว่า งานนี้สงสัยต้องนำนักกีฬาตัวปัญหาไปเข้าเครื่องจับเท็จแล้วล่ะมั้ง ?


ก้อย รุ่งระวี กับแผนนารีพิฆาต !!



----------------------

ข่าว สื่อเกาหลีใต้ เผย โค้ชเช อาจกลับไทย


เช ยอง ซอก โค้ชเทควันโดทีมชาติไทย ให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลี เผยมีคนพยายามจัดฉากใส่ความตน และยังพร้อมกลับมาทำงานให้ทีมชาติไทย หากเคลียร์ปัญหาได้ (มีคลิปข่าวด้านล่าง)


เว็บไซต์เนเวอร์ดอทคอม ซึ่งเป็นเว็บไซต์ชื่อดังของเกาหลีใต้ นำเสนอบทสัมภาษณ์ เช ยอง ซอก โค้ชเทควันโดทีมชาติไทย ที่ถูก “น้องก้อย” รุ่งระวี ขุระสะ นักเทควันโดทีมชาติไทย กล่าวหาว่าทำร้ายร่างกายเธอถึงขั้นชกหน้า เพราะเธอไม่พร้อมแข่งขันและพ่ายแพ้คู่ปรับชาวเกาหลีใต้ ในศึกโคเรีย โอเพ่น ว่า

เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยตนแค่ตีไปที่หน้าท้องและผลักเท่านั้น พร้อมระบุว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะความขัดแย้งในวงการเทควันโดไทย เพราะมีโค้ชบางคนอิจฉาและอยากเข้ามาทำหน้าที่แทนตน โดยให้ “น้องก้อย” ออกมาให้ข่าวดังกล่าว ซึ่งครั้งแรกที่ได้ทราบข่าวนี้ ตนรู้สึกเครียดมาก เพราะเกรงว่าชาวเกาหลีจะไม่เข้าใจและคิดว่าตัวเองทำให้ชื่อเสียงของประเทศและกีฬาเทควันโดเสียหาย

แต่ตอนนี้ทุกคนเข้าใจดีแล้ว และเมื่อตนสบายใจขึ้นก็พร้อมที่จะกลับมาทำงานเหมือนเดิม อีกทั้งยังขอบคุณชาวไทยและสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ที่เชื่อใจและคอยเป็นกำลังใจให้ตนมาตลอด


ด้าน “น้องจิ๊บ” ธัญนันท์ เปรมแหวว อดีตเจ้าของเหรียญทองแดงชิงแชมป์โลก ที่ร่วมงานกับ “โค้ชเช” มานานถึง 12 ปี ซึ่งปัจจุบันผันตัวไปเป็นโค้ชเทควันโดในต่างประเทศ เผยว่า ตนไม่เชื่อว่า “โค้ชเช” จะทำร้ายร่างกาย “น้องก้อย” พร้อมฝากข้อความถึงรุ่นน้อง และฝากกำลังใจถึง “โค้ชเช”


ธัญนันท์ เปรมแหวว อดีตนักเทควันโดทีมชาติไทย

ส่วน ยูเลียส เฟอร์นันโด อดีตนักเทควันโดทีมชาติอินโดนีเซีย สามีของ “น้องจิ๊บ” กล่าวว่า

"รู้สึกเสียใจกับข่าวนี้ ซึ่งโค้ชชาวเกาหลีจะฝึกฝนแบบเข้มงวดเหมือนกันหมด บางครั้งอาจทำโทษด้วยการตีบ้าง เตะบ้าง แต่ก็มีขอบเขต ซึ่งตนเองก็เคยโดนมาแล้ว และยอมรับในการฝึกที่เข้มงวดจนประสบความสำเร็จ"


ขณะที่นายปรีชา ต่อตระกูล อุปนายกสมาคมเทควันโดแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า คืนนี้ “โค้ชเช” จะยังไม่เดินทางกลับมาไทยพร้อมกับนักกีฬา โดยตนเองและนายพิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดฯ เตรียมเดินทางไปเกาหลีใต้ ภายในวันเสาร์นี้ เพื่อไปพูดคุยและทำความเข้าใจกับ “โค้ชเช” และครอบครัว ซึ่งที่ผ่านมาทางสมาคมฯ กับ “โค้ชเช” ไม่เคยทำสัญญาร่วมกันตั้งแต่จบโอลิมปิกเกมส์ 2008 ปักกิ่งเกมส์ โดยจะเดินทางไปขอร้องให้ “โค้ชเช” กลับมาช่วยทีมชาติไทยสู้ศึกยูธโอลิมปิกเกมส์ ที่เมืองหนานจิงของจีน และเอเชียนเกมส์ “อินชอนเกมส์” ที่เกาหลีใต้ นอกจากนี้ยังวิงวอนให้คนในวงการหันหน้าเข้าหากัน เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

ส่วนความคิดเห็นของผู้ใหญ่ในวงการกีฬาไทยอย่าง พล.ต.ต.สุรพงษ์ อาริยะมงคล เลขาธิการสมาคมกรีฑาแห่งประเทศไทย และนายพรชัย ประชานิยม ผู้จัดการทั่วไป สมาคมรักบี้ฟุตบอลแห่งประเทศไทย ต่างมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในของสมาคมเทควันโดฯ โดยการลงโทษแต่ละกีฬาแตกต่างกันไป ซึ่งอยากให้ปัญหานี้ยุติโดยเร็ว


คลิปข่าว แฉขบวนการทำลายโค้ชเชพ้นทาง !!


----------

ฤา งานนี้ต้องถึงประยุทธ์ !! (555)


เอาล่ะครับงานนี้ พลิกมีคดีซะแล้ว ผมว่า สมาคมเทควันโดจะปล่อยให้เรื่องนี้ปรองดอง แล้วเงียบลงไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้แล้ว

นี่มันคือการใส่ความ ใส่ร้าย และเป็นการทำลายวงการกีฬาไทยชัด ๆ ภาพลักษณ์มาตรฐานนักกีฬาไทย และภาพลักษณ์วงการกีฬาไทยโดนสื่อต่างประเทศเขาจวกเละแล้ว ทั้งในเกาหลีใต้และที่ญี่ปุ่น ตีข่าวนี้จนดัง

ถ้า ก้อย รุ่งระวี อยู่ในขบวนการให้ร้ายทำลายโค้ชเช จริงๆ แบบนี้มันต้องมีบทลงโทษรุนแรงครับ


----------

แถมความเห็น วิว เยาวภา เมื่อไปออกรายการเจาะข่าวเด่น กับ สรยุทธ


ด้าน "วิว" เยาวภา บุรพลชัย  ได้ออกมาเปิดใจเล่าถึงประสบการณ์ผ่านรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" ทางช่อง 3 จากกรณี ที่ "น้องก้อย" รุ่งระวี ขุระสะ เผยว่า ถูก "โค้ชเช" เช ยอง ซอก เฮดโค้ชเทควันโดทีมชาติไทย ชาวเกาหลีใต้ ลงโทษเกินกว่าเหตุ

โดย "วิว" เยาวภา อดีตเหรียญทองแดงโอลิมปิกปี 2004 เล่าว่า "ยอมรับว่าเครียดมาก เพราะติดตามข่าวมาตั้งแต่น้องก้อย โพสต์เฟซบุ๊กถึงปัญหาในเรื่องนี้ จนเรื่องได้บานปลาย แต่วิวยังเชื่อมั่นโค้ชเชเนื่องจากอยู่ด้วยกันมานานจนเกิดความศรัทธาในตัวโค้ชคนนี้

วิวก็โดนลงโทษเยอะแยะ สารพัดจะเจอเหมือนกัน วิวฝึกเตะกับโค้ชเชทุกวัน หนักมากๆ โดนเตะหัวบ่อยๆ จนเลือดอาบก็มี แต่วิวเข้าใจในตัวโค้ชเช เนื่องจากวิวเป็นคนที่เตี้ย เค้าอยากให้วิวเลิกกลัวคนสูง ในความจริงวิวก็โกรธโค้ชเชมากๆ เหมือนกัน และเจ็บใจมาก ทำไมเราเป็นผู้หญิงถึงสู้ผู้ชายไม่ได้ แต่อีกมุมหนึ่งก็คิดว่าเขาหวังดี อยากให้เราได้ดี

พ่อของวิวก็เคยจะไปต่อยโค้ชเชด้วย เนื่องจากทนไม่ไหวเห็นลูกโดนหนักมาก แต่วิวเองที่เป็นคนไปห้าม แล้วเรื่องมันก็ผ่านไปได้ ทำให้ในที่สุดความฝันก็เป็นจริงในเวลาแค่ 3 ปี สิ่งที่เคี่ยวเข็ญ กดดัน ความมุ่งมั่นที่มีของโค้ช ทำให้วิวประสบความสำเร็จได้เหรียญโอลิมปิกมาได้"


--------------------

ข่าวดี โค้ชเช จะกลับมาถึงไทยวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ค.57 นี้

ข่าว 3 มิติ โค้ช ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ "ได้ทำโทษ ก้อย เพียงเล็กน้อยเท่านั้น"





คลิกอ่าน วิเคราะห์ความเก็บกดของโค้ชพิทักษ์ โค้ชเก่าของก้อนรุงระวี





วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เมื่อ ก้อยรุ่งระวี โพสถาม ? วิวเยาวภา เลยมาช่วยตอบให้







กรณีปัญหานักกีฬาเทควันโดหญิงคนหนึ่ง จะเอาเรื่อง โค้ชเช ที่ไปต่อยเธอ

แถมพ่อแม่ของนักกีฬาคนนี้ ก็ยังบอกอีกว่า โค้ชเช ต้องมาขอโทษครอบครัวของนักกีฬาคนนี้ออกสื่อด้วย

ทีนี้เรามาดูการโพสเฟสบุ้คของนักกีฬาคนนี้ ว่า เธอนั้นมาจากพื้นฐานครอบครัวเยี่ยงไร


รูปแรกที่ผมนำมาให้ดู เป็นช่วงก่อนเกิดเรื่อง ในขณะที่ทีมชาติไทยกำลังไปแข่งที่เกาหลีใต้



ชั่งดีจังเลยนะ พรุ่งนี้จะชั่งน้ำหนัก ดันกินซะพุงกาง !?? ถ้าใครเป็นนักกีฬาประเภทที่ต้องชั่งนำหนักก่อนแข่งจะเข้าใจดีว่า ที่ผมโพสหมายถึงอะไร ซึ่งการแข่งขันเทควันโด้จะชั่งน้ำหนักก่อนแข่ง 1 วัน




รูปที่ 2 เกิดเรื่องขึ้นแล้ว และดูจากการโพสของเธอว่า เธอตั้งใจเอาเรื่องโค้ชเช อย่างถึงที่สุด 



(โพสนี้ออกทำนองแค้นนี้ต้องชำระเลยนะ)



และเมื่อเธอได้โพสตั้งคำถามไปว่า ถ้าคุณมีลูกอายุ 23 ปี ที่เลี้ยงอย่างทะนุถนอมขนาดปากร้อนในยังพาไปหาหมอ คุณจะรับได้ไหม

ซึ่งคำถามทำนองนี้ เธอได้นำไปถามในรายการเจาะข่าวเด่น กับ สรยุทธด้วย

จากเท่าที่ดูการโพสของเธอ แค่ปากร้อนในแม่ยังพาไปหาหมอ ก็พอจะบอกอะไรหลาย ๆ อย่างได้แล้วครับ คุณผู้อ่านว่ามะ ?


ทีนี้มาดูน้องวิว เยาวภา บูรพลชัย อดีตนักเทควันโด้เหรียญทองแดงโอลิมปิคคนแรกของไทย อดีตลูกศิษย์ของโค้ชเช ได้โพสตอบคำถามนี้ครับ




--------------

แล้วมาดู อดีตลูกศิษย์ของโค้ชเช รุ่นแรก โพสถึงเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นบ้าง




ผมจะไม่ขอฟังความข้างเดียว จึงไม่อยากนำคลิปรายการเจาะข่าวเด่นกับ ของสรยุ..ที่สัมภาษณ์นักกีฬาคนนี้มาแปะในบทความ

แต่มีประเด็น 2 ประเด็นที่ผมตั้งข้อสังเกตคือ เธอพูดกับสรยุทธว่า เคยโดนโค้ชเช ต่อยที่ท้องมาแล้วครั้งนึง ในการแข่งขันคราวก่อน ซึ่งครั้งนั้นเธอก็รับไม่ได้ ?? (แต่ยังอยู่ในทีมต่อไป คงคิดในใจว่า ถ้าคราวหน้ามึงต่อยกูอีก กูเล่นงานมึงแน่ !!)

ประเด็นอีกอันคือ เธอบอกว่า การทำโทษมีหลายวิธี เช่นวิ่ง ซิตอัพ หรือไล่ออก ไม่ใช่การต่อยนักกีฬาแบบนี้ ??? (ถ้าชอบมาตรฐานแบบนี้ งั้นกลับไปแข่งกีฬาสีที่หมู่บ้านเถอะจ้ะ)


ส่วนพ่อแม่ของเธอ ยังยืนยันจะให้โค้ชเช ควรขอโทษครอบครัวเธอผ่านสื่ออีกด้วย ย้ำ !โค้ชเชต้องขอโทษพวกเขาออกสื่อ !! (อยากจะประจานโค้ชเช นักเหรอไง ? เจตนาคล้ายหวังจะทำลายให้สิ้นซากกันชัด ๆ )

เหอะ ๆ โค้ชเช คงจะกลับมาขอโทษพวกคุณมังครับ พวกคุณทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของโค้ชเชจนหมดสิ้น ด้วยการนำความในออกมาเผยจนเป็นข่าวฉาวไปทั้งไทยและทั้งเกาหลีใต้ ไปแล้ว


ที่สำคัญที่สุด พอเรื่องนี้ออกไปเป็นข่าวในตอนแรก โค้ชเชก็ได้ขอโทษนักกีฬาคนนี้ที่เกาหลีใต้ไปแล้วก่อนที่นักกีฬาคนนี้จะเดินทางกลับ

แต่ว่า ทางครอบครัวของนักกีฬาคนนี้ยังไม่พอใจ โดยอ้างว่า ถ้าไม่เป็นข่าว โค้ชเช ก็คงไม่ขอโทษ


--------------

ผมวิจารณ์เรื่องนี้ไปแล้ว ในบทความตามลิงค์ข้างล่างนี้ จึงไม่ขอวิจารณ์มากอีก

แต่รายงานข่าวล่าสุดจากช่อง 7 สีตอนเย็น โดยวีระศักดิ์ นิลกลัด ว่า แม่ได้พาลูกชายของโค้ชเช เดินทางออกจากประเทศไทยกลับไปเกาหลีใต้แล้วครับ 


(**ขอแก้ไขเรืองแม่ของโค้ช คือผมเพิ่งทราบมาว่า แม่ของโค้ชเช เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว คาดว่า คุณวีระศักดิ์ คงอ่านวรรคตอนผิด ผมก็ลอกตามที่คุณวีระศกดิ์รายงานนั่นแหละ ซึ่งความจริงน่าจะหมายถึงแม่ของลูกของโค้ชเช นั่นก็คือเมียกับลูกโค้ชเชได้เดินทางออกจาประเทศไทยแล้ว**)


คลิกอ่าน เอาโค้ช เช คืนมา !! เอาความเหลาะแหละไร้วินัยของนักกีฬาไทยคืนไป



-------------


ลองมาส่องความเห็นคนที่เคยข้องเกี่ยวกับโค้ชเช อีก 4 คน











ภาพโค้ชเช ประท้วงกรรมการในการแข่งที่คาซัคสถาน รูปโดยคุณ Uttawut Kangwantrakool













(คห.สุดท้ายนี้ เจ้าของเขาตั้งเป็นส่วนตัวแต่มีคนไปแคปมาให้อ่านในเว็บพันทิพ)



เออจริง !!

พอดี ผมได้ไปเห็นความเห็นของเพื่อนของเพื่อนคนนึง เขาได้โพสไว้ว่า

"โค้ชเช ยังออกมารับแล้วว่าได้ทำผิดจริง แต่ที่ก้อยทำผิด ทำไมไม่ยอมรับ"

อธิบายได้ชัดเจนเลยโพสของท่านผู้นี้

เอ๊ะ หรือว่า นักกีฬาคนนี้เธอจะมีแผนอะไรแอบแฝง ??


ลองมาดูนักสืบพันทิพ เขาโพสกระทู้นี้ในพันทิพครับ




ถ้าอยากอ่านกระทู้นี้ที่พันพิพ ก็ไปตามหากระทู้ชื่อ "ถึงเวลานักสืบพันทิป!! โค๊ชเช vs ก้อย ...เรื่องนี้อาจจะมีคนอยู่เบื้องหลัง ..." ในห้องศุภชลาสัยกันเอาเองนะครับ


------------

อัพเดทข่าวล่าสุด วันที่ 17 ก.ค. 57 เมื่อเวลา 08.45 น.



พิมล ศรีวิกรม์ เผย โค้ชเช ไม่กลับไทยพร้อมทีมนักกีฬาเทควันโดวันนี้ ด้านครอบครัวบินกลับเกาหลีใต้แล้ว เตือน"รุ่งระวี"ทำอะไรไตร่ตรองให้ดี

กรณี “น้องก้อย” รุ่งระวี ขุระสะ นักเทควันโดสาวทีมชาติไทย ระบุว่า ถูก “โค้ชเช” เช ยอง ซุก หัวหน้าผู้ฝึกสอนไทยชาวเกาหลีใต้ ลงโทษเกินกว่าเหตุ  ระหว่างทำศึกเทควันโด โคเรีย โอเพ่น 2014 ที่เมืองกองจู ประเทศเกาหลีใต้ ทำให้เกิดเรื่องราวบานปลาย

มีรายงานว่า หลังเกิดเหตุ โค้ชเช ยอง ซอก เสียกำลังใจอย่างมาก ไม่ได้ลงมาคุมทีมซ้อมเหมือนปกติ และเก็บตัวอยู่ภายในห้องพัก และ มีแนวโน้มสูงว่าโค้ชชาวเกาหลีใต้ ที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยมากกว่า 10 ปี จะไม่ได้เดินทางกลับเมืองไทยอีกแล้ว

นาย พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมเทควันโดฯ เปิดเผยผ่านทางช่อง 3 ว่า ทาง โค้ชเช  จะไม่เดินทางกลับมาเมืองไทยพร้อมนักกีฬาเทควันโดในวันนี้ อีกทั้งครอบครัวของโค้ชเชก็เดินทางกลับเกาหลีใต้แล้ว

"อยากให้โค้ชเชกลับมาคุยให้เรียบร้อยเพื่อสานงานต่อ แต่ล่าสุด แมกซ์ (ชัชวาล ขาวละออ) บอกโค้ชไม่กลับแล้ว ครอบครัวโค้ชเชกลับเกาหลีแล้ว ลูกลาเรียน" นายพิมล กล่าว


นายพิมล  กล่าวอีกว่า ในอนาคตต้องคุยกับ โค้ชเช เพื่อให้กลับมาทำงานต่อไม่ว่าจะวิธีการใดก็ตาม เพราะเป็นคนมีฝีมือสร้างผลงานไว้มาก โค้ชคือครอบครัวของเรา

นายพิมล กล่าวถึงความผิดของนักกีฬาจากการสอบถามโค้ชทั้ง 4 คน พบว่า นักกีฬา ผิดจริง ไม่เตรียมความพร้อม ไม่เอาถุงมือ ไม่เอาไอดีการ์ดมา และเป็นไปไม่ได้ที่ โค้ชจะบอกว่า ไม่ต้องเตรียมตัว เพราะในความจริงนักกีฬาต้องเตรียมความพร้อม ต้องวอร์มอัพด้วยการใส่อุปกรณ์ให้ครบ แต่นักกีฬาซึ่งในขณะนั้นไม่ได้ฟัง หรือไม่ได้ใส่ใจไม่ได้ใส่อุปกรณ์

ทั้งนี้จากการสอบถามคนในเหตุการณ์ ยืนยันว่า โค้ชเช ลงโทษน้องก้อย รุ่งระวี ด้วยการทุบจริง แต่ไม่ได้รุนแรงอย่างที่เป็นข่าว ทั้งยังทำไปเพราะรัก และ หวังดี


ขณะผลการตรวจร่างกายของนักกีฬาที่มีความบอบช้ำ นายพิมลบอกว่า การแข่งขัน ที่แพ้ถึง 6 ต่อ 12ย่อมมีร่องรอยจากการแข่งขัน ไม่ใช่จากการทำร้ายร่างกายของโค้ชแน่นอน

นายพิมล ยังได้กล่าวฝากถึง น้องก้อย รุ่งระวี  ด้วยว่า ไตร่ตรองพฤติกรรมว่าอะไรถูกผิด จะทำทีมชาติเพื่อชีพหรือไม่  การเรียกร้องให้โค้ชเชออกมาขอโทษเหมาะสมหรือไม่ ระวังอาจเป็นนักกีฬาคนแรกที่คนไทยไม่เชียร์

(ข่าวโพสทูเดย์)

-------------

เกิดเป็น ลูกแก้ว ลูกเทวดา มั้ง


เห็นว่า นักกีฬาคนนี้ได้ย้อนถามกับสังคมว่า ถ้าไม่มีโค้ชเช เป็นความผิดของตัวเธอเหรอ ?

ผมขอแสดงความเห็นว่า ลูกที่พ่อแม่เลี้ยงแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไม่เคยตี ทะนุถนอมสุด ๆ มักเป็นแบบนี้ คือ ขาดภูมิต้านทานทางอารมณ์

เธอจึงไม่เข้าใจว่า เธอผิดอย่างไร เธอคงจะใช้พื้นฐานความคิดที่ว่า ก็ขนาดพ่อแม่กูก็ยังไม่เคยตีกูสักครั้ง แล้วมึงเป็นใครมาต่อยกู ประมาณนั้นครับ

ซึ่งถ้ายึดตามหลักสิทธิมนุษยชนแบบฝรั่งชอบอ้าง มันก็ถูกของเธอ

แต่ถ้ามองในบริบททางประเพณีวัฒนธรรมเอเซียเช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และไทย มันก็กลายเป็นอีกเรื่องนึงไปเลย


ขอจบบทความ ด้วยการแถมความเห็นของนักเทควันโดหญิงทีมชาติไทยอีกสักคน

เล็ก ชนาธิป ซ้อนขำ เหรียญทองแดงโอลิมปิค2012 ลอนดอนเกมส์





แถมข่าวล่าสุด เรื่องขบวนการทำลายโค้ชเช น่าจะมีมูลซะแล้ว !!



คลิกอ่าน โค้ชเช แฉ มีขบวนการทำลายโค้ชเชให้พ้นจากโค้ชทีมชาติไทย


คลิกอ่าน ก้อยรุ่งระวีหน้าใสฟรุ้งฟริ้ง รีบสำนึกผิดซะ สังคมยังพอให้อภัย





วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความโง่ของพวกล้มเจ้า เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง






คือพวกล้มเจ้ามันโง่ ตอนแรกจะมีพวกล้มเจ้าหน้าโง่มันตีความว่า ความพอเพียง คือ ความล้าหลัง ไม่พัฒนา ต้องอยู่แบบอดอยากยากจน ปฏิเสธเทคโนโลยี นั่นคือการตีความแบบโง่ ๆ

พวกล้มเจ้ามันโง่ แปลคำว่า พอเพียง คือ อดอยาก ??

อดอยาก บ้านมึงสิ แปลว่า พอเพียง

คำว่า พอเพียง คือ พอมี พอกิน พอเก็บ พอใช้ พอดี พอมีเหลือก็เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โว้ยไอ้พวกโง่

และความพอเพียงของมหาเศรษฐี ก็ไม่เท่ากับ ความพอเพียงของคนจน

----------------------

เศรษฐกิจพอเพียง กับ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 

อย่างปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงของเรานั้น ไม่เคยปฏิเสธเรื่องความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

ซึ่งผลงานหลาย ๆ อย่างของในหลวงที่ได้ปรากฏ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ในหลวงของเราทรงสนใจความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ทั้งฝนเทียม หรือที่เราเรียกตอนหลังว่า ฝนหลวง (หรือฝนของในหลวง) เพราะในหลวงทรงทำพระราชทานให้คนไทยทุกปี

อย่างเช่น กังหันน้ำชัยพัฒนา หรือ แนวคิดแกล้งดิน หรือ คลองลัดโพธิ์ ที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำจากกระแสน้ำไหลได้ หรือ เรื่องปรับปรุงดินทรายด้วยหญ้าแฝก หรือ การพัฒนาไบโอดีเซล หรือการพัฒนาปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ต่อยอดมาจากแบคทีเรีย EM ของญี่ปุ่น

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ แม้บางอย่างในหลวงอาจไม่ได้ทรงลงไปค้นคว้าวิจัยเอง แต่พระองค์ก็ทรงสนับสนุน ส่งเสริม และแนะนำให้นักวิชาการไทยไปศึกษาเพื่อพัฒนาต่อยอด ด้วยเงินส่วนพระองค์ที่มาช่วยสนับสนุน

สิ่งเหล่านี้คือการคิดค้นพัฒนาต่อยอดจนประสบความสำเร็จของในหลวงเราทั้งสิ้น ซึ่งยังมีอีกมากมาย ที่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า แนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ไม่ได้ปฏิเสธวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

แต่แนวเศรษฐกิจพอเพียง คือ การพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด หรือนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาปรับใช้อย่างชาญฉลาด อย่างลงตัว อย่างพอดี โดยไม่ตกเป็นทาสเทคโนโลยี

อย่างเช่นเรื่อง ฝนเทียม ซึ่งแม้ในหลวงจะไม่ได้ทรงเป็นผู้คิดค้นคนแรกของโลกก็จริง แต่คนแรกที่คิดค้นฝนเทียมในโลก ก็ยังไม่สามารถมาปรับใช้ได้จริง ยังเป็นเพียงการทดลองเบื้องต้นเท่านั้น

ส่วนในหลวงคือผู้ที่นำเรื่องฝนเทียมมาต่อยอด มาคิดค้นคว้าวิจัยพัฒนาเพื่อหาวิธีการที่ดีขึ้น สูตรผสมที่ดีขึ้นหรืออาจจะดีที่สุดเพื่อให้การทำฝนเทียมได้ผลสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย ใช้ประโยชน์ได้ง่ายขึ้น ที่แม้หลายประเทศที่เจริญกว่าไทยยังต้องขอมาเรียนรู้เทคนิคการทำฝนหลวง

ในหลวงเป็นเพียงผู้นำฝนเทียมมาใช้ในไทยเป็นพระองค์แรก มีเว็บบางเว็บจะอยากจะยกย่องในหลวงว่า เป็นบิดาของฝนเทียม จะเขียนสั้น ๆ แบบนี้ไม่ได้ แต่ต้องเขียนเต็ม ๆ ว่า พระบิดาแห่งฝนหลวงไทย จะต้องมีคำว่า ไทย ต่อท้ายด้วยเสมอ

ในหลวงทรงจดสิทธิบัตรการเทคนิคการทำฝนหลวงทั้งในประเทศ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

หนังสือสิทธิบัตรฝนหลวง จดที่สหภาพยุโรปเลขที่ EP 1 491 088 A1


หากอยากรู้รายละเอียดเรื่องสิทธิบัตรฝนหลวง เชิญอ่านได้ที่นี่ คลิก!!

เหมือนเช่นที่เราเคยยกย่องพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น ๆ เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  ทรงเป็นพระบิดาแห่งกฎหมายไทย หรือเช่น รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย เป็นต้น




เปรียบเสมือน โธมัส อันวาเอดิสัน ผู้คิดค้นประดิษฐ์หลอดไฟอันโด่งดังนั้น ก็ไม่ได้คิดเรื่องหลอดไฟเป็นคนแรก แต่ผู้คนต่างก็ยกย่องเอดิสันอย่างมาก เพราะเอดิสันต่อยอดให้หลอดไฟใช้ได้จริง ใช้ได้ง่ายขึ้นในชีวิตประจำวัน นั่นเพราะวิทยาศาสตร๋และการค้นคว้าวิจัย ย่อมไม่มีคำว่าสิ้นสุด

ดังนั้นเราก็ต้องยกย่องทั้งผู้ที่คิดค้นคนแรก และผู้ที่นำไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติเช่นกัน

หรืออย่างบิลเกตต์ สตีฟจ๊อบส์ หรือ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ก็ไม่ได้เป็นคนคิดคอมพิวเตอร์เป็นคนแรก ไม่ได้เป็นคนคิดโทรศัพท์มือถือคนแรก ไม่ได้เป็นคนคิดอินเตอร์เน็ตคนแรก แต่คนทั้งโลกต่างก็ยกย่องทั้งสามคนว่า เป็นคนสำคัญที่สร้างประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

----------------

หลักการพึ่งพาตนเอง

คือ เมื่อพวกล้มเจ้าพอหาทางทำลายแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงไม่ได้ ก็เปลี่ยนแนวใหม่คือ ไปขุดหาว่า ใครคือคิดค้นเรื่องความพอเพียงเป็นคนแรก ซึ่งพวกล้มเจ้าได้อ้างว่า นายจอร์น ซีมัวร์ ชาวอังกฤษ ว่าเป็นคนที่คิดค้นเรื่องทฤษฎีพอเพียงเป็นคนแรก ในหนังสือชื่อ Self-sufficiency ในปี 1961 ซึงที่จริงจะต้องแปลว่า "การพึ่งตนเอง"




ซึ่งจริง ๆ แล้ว ถ้าเราไปหาความหมายคำว่า Self-sufficiency ในวิกิพีเดีย ก็มีคนที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดการพึ่งพาตนเองก็มีอยู่ด้วยกันหลายคนมากมาย และมีมาก่อน นายจอห์น ซีมัวร์ เสียอีก

ตามนี้

ผู้ที่มีอิทธิพลในแนวคิดการพึ่งพาตนเอง



เห็นที่ผมขีดเส้นใต้สีแดงไหมครับ จะเห็นมีชื่อนายจอห์น ซีมัวร์ และมีพระนามในหลวงของเราอยู่ด้วย และมีอีกหลาย ๆ คน ที่รู้จักแนวการพึ่งพาตนเองมาเป็นร้อยปีแล้ว ถ้าสนใจก็ลองไปหาอ่านที่วิกิพีเดียได้ครับ

ที่จริงเรื่องความพอเพียงนั้นก็มีอยู่แล้วในหลักการพระพุทธศาสนา นั่นคือ หลักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน หลักทางสายกลางหรือหลักความพอดี นั่นเอง

ซึ่งจริง ๆ แล้วหลักการพึ่งพาตนเอง ก็มีอยู่ในคำสอนเกือบทุกศาสนาในโลกนั่นแหละ และก็เป็นวิถีชีวิตของผู้คนมาตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว

แต่ที่คนเรายุคนี้มาเพี้ยน ก็เพราะไปหลงเป็นทาสเทคโนโลยีมากไปโดยไม่รุ้จักประมาณตน หรือที่เกษตรกรในโลกทุกวันนี้ที่มาเพี้ยนทีหลัง ก็เพราะไปหลงเชื่อเรื่อง การปฏิวัติสีเขียว ของสหรัฐอเมริกา จนทำให้พึ่งพาแต่ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าศัตรูพืช หลงลืมแนวคิดการพึ่งพาตนเองในการทำเกษตรกรรมไปหมด

--------------

พระราชดำรัสความหมายของ เศรษฐกิจพอเพียง เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 2541

"... คนชอบเอาคำพูดของฉัน เศรษฐกิจพอเพียงไปพูดกันเลอะเทอะ เศรษฐกิจพอเพียงคือทำเป็น Self-Sufficiency ม้นไม่ใช่ความหมายแบบที่ฉันคิด

ที่ฉันคิดคือเป็น Self-Sufficiency of Economy เช่น ถ้าเขาต้องการดูทีวี ก็ควรให้เขามีดู ไม่ใช่ไปจำกัดเขาไม่ให้ซื้อทีวีดู เขาต้องการดูเพื่อความสนุกสนาน ในหมู่บ้านไกลๆ ที่ฉันไป เขามีทีวีดูแต่ใช้แบตเตอรี่ เขาไม่มีไฟฟ้า

แต่ถ้า Sufficiency นั้น มีทีวีเขาฟุ่มเฟือย เปรียบเสมือนคนไม่มีสตางค์ไปตัดสูทใส่ และยังใส่เนคไทเวอร์ซาเช่ อันนี้ก็เกินไป...”






---------------

“อันนี้ก็ความหมายอีกอย่างของเศรษฐกิจ หรือ ระบบพอเพียง เมื่อปีที่แล้วตอนที่พูดพอเพียง แปลในใจ แล้วก็ได้พูดออกมาด้วย ว่าจะแปลเป็น SELF-SUF-FICIENCY (พึ่งตนเอง) ถึงได้บอกว่าพอเพียงแก่ตนเอง แต่ความจริงเศรษฐกิจพอเพียงนี้กว้างขวางกว่า SELF-SUFFICIENCY คือSELF-SUFFICIENCYนั้น หมายความว่า ผลิตอะไร มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอซื้อคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง (พึ่งตนเอง)”
พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541

ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ถ้าหลักการพึ่งพาตนเอง ในภาษาอังกฤษ คือ Self-sufficiency ที่ฝรั่งเขียนนั้น เป็นแนวคิดที่จะแคบลงมาหน่อย เป็นแนวคิดเฉพาะตัว เฉพาะบุคคลมากกว่า

จะว่าไปแล้ว การพึ่งตนเอง ถ้าในภาษาไทยก็เป็นแค่สับเซ็ตหนึ่งของ ความพอเพียง เท่านั้น เพราะการพึ่งตนเอง บางทีคนที่พึ่งพาตนเองก็อาจยังไม่เข้าใจความพอเพียงก็ได้ หมายถึง รู้จักพึ่งตนเอง แต่กลับไม่รู้จักพอเพียง

ส่วนแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงของเรา ภาษาอังกฤษคือ Sufficiency Economy หรือ Philosophy of Sufficiency Economy เห็นไหมครับว่า แค่ภาษาอังกฤษก็แตกต่างกันแล้ว


เพราะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์มหภาค เป็นแนวคิดดระดับประเทศที่สำหรับใช้สอนคนจำนวนมาก เป็นผลในวงกว้างกว่า หรือเป็นเสมือนแผนพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่แค่เรื่องเฉพาะตนเท่านั้น ซึ่งในหลวงของเรานำมาสอนคนไทยทั้งประเทศให้ทำตาม ตั้งแต่ปี 2517 เป็นครั้งแรก

ซึ่งในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ได้เน้นคำว่า "ทางสายกลาง" ซึ่งทางสายกลาง ก็คือแนวทางในพุทธศาสนานั่นเอง

สรุปง่าย ๆ นะครับ ในหลวงเราคือผู้คิดเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่ก็คิดขึ้นในลักษณะต่อยอด มาจากหลักทางสายกลางในพระพุทธศาสนาอีกทีหนึ่ง



-------------

ความเป็นมาของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาตั้งแต่ปี 2517 โดยเริ่มต้นจากพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตร เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517

“...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศหลายประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้…”   
(พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม   2517)


และพระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2517 พระองค์ทรงได้เน้นย้ำ “พอควร พออยู่ พอกิน มีความสงบ”

แม้จะได้ทรงมีพระราชดำรัสในเรื่อง “พอมี พอกิน” มาตั้งแต่ปี 2517 และได้ทรงพระราชทานแนวคิดเรื่อง “ทฤษฎีใหม่” ตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา แต่ก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของรัฐบาลหรือภาคธุรกิจเอกชน ก็มิได้ตระหนักในคำเตือนของพระองค์ 

โดยในปี 2539 ก็ได้ทรงเตือนอีกครั้งหนึ่งให้มี “ความรอบคอบ”และ “อย่าตาโต” แต่ก็ไม่ได้เกิดผลในการนำไปปฏิบัติ

จนกระทั่งเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจในปี 2540 จึงเป็นที่มาของพระราชดำรัสที่คนไทยจำใส่เกล้ากันได้จนถึงปัจจุบันที่ว่า “การเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน  แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่าอุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง”

ซึ่งนับได้ว่าเป็นที่มาของเศรษฐกิจพอเพียงในปัจจุบัน


--------------


ระดับของเศรษฐกิจพอเพียง
(จาก http://www.sufficiencyeconomy.com)

จนถึงวันนี้ ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง ก็ยังเข้าใจว่า พอเพียง คือ การพึ่งตนเอง ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Self-sufficiency

แต่คำว่า พอเพียง ในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งตรงกับคำว่า Sufficiency Economy นั้น มีความหมายกว้างกว่าแค่การพึ่งตนเองได้ เศรษฐกิจพอเพียงในระดับที่เลี้ยงตัวเองได้บนพื้นฐานของความประหยัดและการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน

ส่วนเศรษฐกิจพอเพียงในระดับที่มีการรวมตัวกัน เพื่อร่วมกันดำเนินงานในเรื่องต่างๆ มีการสร้างเครือข่ายและการขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ โดยประสานความร่วมมือกับภายนอก เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า 

ดังนั้น เศรษฐกิจพอเพียงจึงมิใช่แค่เพียงเรื่องของการพึ่งตนเองโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับใคร และมิใช่แค่เรื่องของการประหยัด แต่ยังครอบคลุมถึงการข้องเกี่ยวกับผู้อื่น การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน 
แท้จริงแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงสามารถจำแนกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

(1) เศรษฐกิจพอเพียงระดับที่หนึ่ง เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน ที่เน้นความพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัว คือ การที่สมาชิกในครอบครัวมีความเป็นอยู่ในลักษณะที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ สามารถสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน เช่น ความต้องการในปัจจัยสี่ของตนเองและครอบครัวได้ มีการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีกลมเกลียว และมีความพอเพียงในการดําเนินชีวิตด้วยการประหยัดและการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น จนสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขทั้งทางกายและใจ

(2) เศรษฐกิจพอเพียงระดับที่สอง เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ที่เน้นความพอเพียงในระดับกลุ่มหรือองค์กร คือ เมื่อบุคคล/ครอบครัว มีความพอเพียงในระดับที่หนึ่งแล้ว ก็จะรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ เพื่อร่วมกันดำเนินงานในด้านต่างๆ ทั้งด้านการผลิต การตลาด ความเป็นอยู่ สวัสดิการ การศึกษา สังคมและศาสนา โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยราชการ มูลนิธิ และเอกชน

(3) เศรษฐกิจพอเพียงระดับที่สาม เป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ที่เน้นความพอเพียงในระดับเครือข่าย คือ เมื่อกลุ่มหรือองค์กร มีความพอเพียงในระดับที่สองแล้ว ก็จะร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกเพื่อการสร้างเครือข่าย มีการติดต่อร่วมมือกับธนาคารและบริษัทต่างๆ ทั้งในด้านการลงทุน การผลิต การตลาด การจำหน่าย และการบริหารจัดการ เพื่อการขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งในด้านสวัสดิการ การศึกษา สังคมและศาสนา ให้สมประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย



การจำแนกเศรษฐกิจพอเพียงใน 3 ระดับข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่เริ่มต้นจากหลักของการพึ่งตนเอง โดยเปลี่ยนจากการพึ่งพาตนเองไม่ได้หรือต้องคอยอาศัยผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา (Dependent) เป็นการพัฒนาตนเองให้มีความเข้มแข็ง เป็นอิสระ (Independent)

แล้วจึงค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาเป็นการแลกเปลี่ยน การรวมกลุ่มช่วยเหลือกัน จนนำไปสู่การพึ่งพิงอิงกัน (Inter-dependent) สงเคราะห์เกื้อกูล ร่วมมือกัน และประสานกับโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี


(รายละเอียดเรื่องปรัชาญาเศรษฐกิจพอเพียง ไปอ่านได้อีกหลายเรื่องที่ http://www.sufficiencyeconomy.com/ )

----------------

บทสรุปถึงความโง่ของพวกล้มเจ้า

แล้วไอ้พวกล้มเจ้ามันยังเปรียบเทียบเรื่องแนวคิดพอเพียงว่า คนคิดค้นคนแรกที่เปรียบเสมือนพระพุทธเจ้า ส่วนคนเผยแพร่ เปรียบเสมือนแค่พระสงฆ์ 

ซึ่งพวกล้มเจ้ามันอ้างว่า มันจะขอยกย่องพระพุทธเจ้า แล้วมันยังกล่าวหาว่า ในหลวงเราแอบอ้างทำเป็นว่าเป็นคนคิดค้นความพอเพียง


จากรูป พวกล้มเจ้าคือ ความเห็น 3 คนล่าง


ผมขออธิบายประเด็นแรกว่า พวกล้มเจ้าอ้างว่าให้เครดิตแก่พระพุทธเจ้านั้น แต่ไม่ค่อยให้เครดิตพระสงฆ์นั้น นี่คือการคิดแบบพวกไม่นับถือศาสนาพุทธโดยแท้ เพราะถ้าพวกนี้นับถือศาสนาพุทธ จะไม่แสดงความเห็นเยี่ยงนี้

และที่สำคัญผู้ที่ศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนา ศรัทธาในพระพุทธศาสนาจริง ๆ ล้วนแต่จะรักในหลวงทั้งสิ้น โดยเฉพาะพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมากมาย ต่างยกย่องในหลวงของเราทั้งสิ้น


ประเด็นต่อมา ที่แสดงว่า พวกล้มเจ้ามันรู้ไม่จริง  เพราะในหลวงของเราไม่เคยแอบอ้างว่า พระองค์ทรงคิดค้นหลักความพอเพียง แต่ทั่วโลกต่างยกย่องในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติก็ได้ยกย่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงไปแล้ว

และจริง ๆ การนำมาทฤษฎีต่าง ๆ นำมาเปรียบเทียบกับธรรมะของพระพุทธองค์ คงมาเปรียบกันไม่ตรงเท่าไหร่นัก

เพราะธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือสิ่งที่เป็นที่สุดแล้ว ไม่ต้องมีการพัฒนาต่อยอดมากกว่านี้ แตกต่างจากวิทยาศาสตร์หรือทฤษฎีของนักปรัชญาต่าง ๆ ที่ต้องค้นพบในสิ่งที่วิทยาศาสตร์สงสัยต่อไปได้เรื่อย ๆ วิทยาศาสตร์ต้องต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุด

อย่างในพุทธศาสนา เราจะมีพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ต่างนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามานำเสนอ มาอธิบายในแนวทางต่าง ๆ ของพระแต่ละรูปเอง เพื่อให้ลูกศิษย์ของท่านได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ทั้งหมดก็ยังยึดอยู่ในหลักเดิมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมาทั้งสิ้น

เราจึงได้ยกย่องพระอีกหลาย ๆ รูปเช่นหลวงปู่มั่น ท่านพุทธทาส เป็นต้น

อีกอย่าง ถ้ามีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่ทรงประกาศศาสนา ก็จะไม่มีพระสงฆ์มาเผยแพร่คำสอนต่อ ๆ ไปอีก  เราจะเรียกว่าพระพุทธเจ้าประเภทนี้ว่า  พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ใช่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะถ้าไม่มีพระสงฆ์คอยเผยแพร่คำสอน ก็จะไม่มีศาสนาพุทธมาให้พวกเราได้รู้จักในวันนี้ พวกที่คิดว่าจะไม่ยกย่องพระสงฆ์ที่เผยแพร่คำสั่งสอน แบบที่พวกล้มเจ้ามันพยายามจะบอก นั่นคือความโง่โดยแท้



ส่วนเรื่องแนวทางความพอเพียง กินง่าย อยู่ง่าย เรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ อยู่อย่างสมถะนั้น อย่างเช่นในพุทธศาสนานิกายเซนก็ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติมาเป็นพันปีแล้ว นั่นก็คือแนวคิดพอเพียงในพุทธศาสนาเช่นกัน

ฉะนั้น ไม่มีใครคิดค้นความพอเพียงเป็นคนแรกหรอก ก็อย่างที่ผมบอก ความพอเพียงมีอยู่แล้วในแทบทุกศาสนา มีอยู่แล้วในวิถีชีวิตบรรพบุรุษของผู้คนทุกชาติเคยปฏิบัติมานั่นแหละ

แต่เพราะความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุและเงินตรา รวมถึงเทคโนโลยีที่มาเร็วมาก ก็เลยทำให้ผู้คนหลงลืมหรือละทิ้งหลักความพอเพียงที่มีแต่ดั้งเดิมไป

การที่ในหลวงนำเรื่อง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาทรงแนะนำคนไทย เจตนาพระองค์ไม่ได้ต้องการอวดอ้างความเก่ง แต่พระองค์ทรงทำเพราะหวังดีต่อประชาชนของพระองค์ทุกคน

แต่ที่เห็นเด่นชัดมากที่สุด ก็คือเรื่อง เกษตรทฤษฎีใหม่ ที่ในหลวงทรงแนะนำให้แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ

เกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เกี่ยวกับการจัดพื้นที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและมีชีวิตอย่างยั่งยืน โดยมีแบ่งพื้นที่เป็นส่วน ๆ ได้แก่ พื้นที่น้ำ พื้นที่ดินเพื่อเป็นที่นาปลูกข้าว พื้นที่ดินสำหรับปลูกพืชไร่นานาพันธุ์ และที่สำหรับอยู่อาศัยและเลี้ยงสัตว์ ในอัตราส่วน 3:3:3:1 เป็นหลักการในการบริหารการจัดการที่ดินและน้ำ เพื่อการเกษตรในที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้

1.มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็ก ออกเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกร ซึ่งไม่เคยมีใครคิดมาก่อน

2. มีการคำนวณโดยหลักวิชาการ เกี่ยวกับปริมาณน้ำที่จะกักเก็บให้พอเพียง ต่อการเพาะปลูกได้ตลอดปี

3. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบ สำหรับเกษตรกรรายย่อย 3 ขั้นตอน เพื่อให้พอเพียงสำหรับเลี้ยงตนเองและเพื่อเป็นรายได้

และเพราะในหลวงทรงส่งเสริมและพัฒนาการใช้ดินและการเกษตรแก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน จึงทำให้สหประชาชาติ ได้กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็น "วันดินสากล" เพื่อยกย่องเชิดชูในหลวงของเรา

ถามว่า การจัดโซนพื้นที่ในทฤษฎีใหม่ เคยมีมาก่อนหรือไม่ ?

ความจริงเรื่องแบ่งพื้นที่ในการเกษตรมีมานานแล้วตั้งแต่บรรพบุรุษไทย หรือที่เราเรียกว่า เกษตรประณีต เกษตรสวนผสม เพียงแต่ยังไม่มีใครมาขบคิดให้ชัดเจนว่า แบ่งพื้นที่แบบไหนจะได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับพื้นที่เกษตรที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ได้ประโยชน์สูงสุด

ซึ่งต่อมา ก็มีนักวิชาการเกษตรแนวพอเพียงได้นำหลักคิดในเรื่องนี้ไปต่อยอด เป็น นา 1 ไร่ ได้ 1 แสน เป็นต้น


คลิกอ่าน ที่นี่คือต้นกำเนิด เกษตรทฤษฎีใหม่ โครงการแรก

คลิกอ่าน พวกไม่จงรักภักดี ตอน 7 เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง


----------------

(อัพเดทบทความเพิ่มเติม 22 ต.ค. 57)

จะเรียกในหลวงว่า พระบิดาแห่งเศรษฐกิจพอเพียงได่ไหม ?

โดยส่วนตัวในบทความนี้ผมจะไม่เรียกในหลวงว่า พระบิดาแห่งเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งผมก็ไม่เคยได้ยินใครเรียกในหลวงแบบนั้นด้วย

ซึ่งใน คห.ส่วนตัวของผม คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ทำชีวิตให้พอเพียง เพราะมีแต่คนชอบฟุ้งเฟ้อ ใช้เงินเกินตัวทั้งสิ้น จนหนี้ครัวเรือนไทยพุ่งสูงมากเป็นประวัติการณ์ในช่วง 2-3ปีมานี้ จนถึงัจจุบัน

ดังนั้นผมคิดเองว่า ในหลวงก็ทรงไม่อยากให้ใครมาเรียกพระองค์เช่นนั้นเหมือนกัน เพราะทุกวันนี้ประเทศไทยยังล้มเหลวในเรื่องความพอเพียง

แต่พอดีเกิดมีคนถามว่า แล้วถ้าจะเรียกพระบิดาแห่งเศรษฐกิจพอเพียง ได้ไหม ?

ในเมื่อมีคนถาม ผมก็ต้องตอบ..




ตัวอย่างเช่น โธมัส อันวา เอดิสัน เป็นบิดาแห่งหลอดไฟ เพราะเขาคือผู้คิดค้นหลอดไฟที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันของผู้คนได้อย่างสะดวกสบายเจ้าแรกในโลก

แต่ยุคปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นเจ้าของรางวัลโนเบลชาวญี่ปุ่นผู้คิดค้นหลอด LED ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งหลอดไฟสมัยใหม่ หรือบิดาแห่งหลอกแอลอีดี

บิดาแห่งหลอดไฟสมัยใหม่ คลิกลิงค์นี้
หรือบางคนก็เรียกว่า บิดาแห่งหลอดไฟ LED คลิกลิงค์นี้


คลิกอ่าน รู้ให้จริงเรื่องโครงการของในหลวง

คลิกอ่าน คนไทยอย่าเป็นลูกที่ดื้อของในหลวง

คลิกอ่าน ใครคือตัวต้นเหตุที่ทำให้เกษตรกรไทยยากจน






วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กลยุทธ์ ทำบุญสร้างภาพของคุณตัน ภาสกรนที







คุณตัน ภาสกรนที เจ้าของชาอิชิตันอันโด่งดัง ซึ่งตอนนี้คุณตัน อิชิตัน ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 34 ของไทย ประจำปี 2557 ซึ่งจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์ไทยแลนด์ ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 20,860.80 ล้านบาท

ซึ่งคุณตัน เริ่มต้นจากการใช้ตัวเองเป็นพรีเซ็นเตอร์ในการโฆษณาสินค้า แทนการใช้เงินจำนวนมากไปจ้างดาราดัง ๆ เพราะคุณตันคิดว่า ถ้าเขาดังได้เอง มันจะมีประโยชน์ต่อตัวสินค้าของเขาในระยะยาวมากกว่า

คุณตันเลยใช้ กลยุทธ์แรก คือ ให้เจ้าของสินค้าเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าเสียเอง เพราะจะทำให้คนจดจำสินค้าได้ง่ายกว่าใช้ดาราหรือนายแบบเสียอีก แถมไม่เปลืองด้วย เพราะตัวคุณตันก็มีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นเหมือนเป็นโดเรมอนใจดีอยู่แล้ว

และเมื่อคุณตัน วางภาพลักษณ์ให้ดูเหมือนคุณลุงใจดี หรือเป็นโดเรมอนใจดีแล้ว ก็ต้องตามมาด้วยการบริจาคเพื่อการกุศลต่าง ๆ ช่วยเหลือเด็กบ้าง ช่วยเหลือนักเรียนบ้าง เพื่อให้ตรงตามคอนเซปต์ คุณลุงใจดี หรือ โดเรมอนแมน ประมาณนั้น

แต่ดูเหมือนคุณตัน ใจจริงคงอยากใจให้ตัวเองดูเหมือนป๊อบอายมากกว่า เพราะอยากให้ดูภาพลักษณ์สินค้าของเขาไปในแนวที่ว่า กินชาเขียวแล้วแข็งแรง เหมือนที่ ป๊อบอายแดกผักขมแล้วแข็งแรง ประมาณนั้น

คุณตันเลยไปเอาหมวกกัปตันเรือนั่นแหละ มาใส่ไง เห็นมะ แถมมันก็พ้องกับชื่อ ตัน ของแกด้วย


ป๊อบอายก็แค่กลาสี ส่วนคุณตันเป็นถึงกัปตัน


และเมื่อไม่ต้องจ้างดาราดังมาโฆษณา ก็สามารถเอาเงินที่ไม่ต้องจ้างดาราดังๆ ไปใช้ในการทำบุญเพื่อสร้างภาพลักษณ์ดี ๆ ให้กับตัวเองและสินค้าได้อีก

พอเมื่อตัวคุณตันมีภาพลักษณ์ที่ดีเลิศประเสิรฐศรีแล้ว ภาพลักษณ์ของเครื่องดื่มใส่น้ำตาลหวาน ๆ ก็จะดูดีไปด้วย เพราะตามนิสัยคนไทยมักจะชอบชื่นชมคนรวยอยู่แล้ว ยิ่งถ้าคนรวยใจบุญด้วยล่ะก็ ยิงพากันถึงขนาดคลั่งไคล้กันได้เลยทีเดียว

--------------

ข้อดีของกลยุทธ์ทำบุญสร้างภาพของคุณตันคือ

1. ได้ทำบุญ ทำทานช่วยเหลือสังคมและผู้ด้อยโอกาส

2. ได้บุญ ได้หน้า

3. ได้ภาพลักษณ์ดี ว่าเป็นคนดี คนใจบุญ

4. ไม่เปลืองเงินไปกับโฆษณามากมายโดยใช่เหตุ สู้เอาเงินโฆษณาตรงนั้น มาทำบุญให้เข้าตาสื่อแทนดีกว่า เพราะประหยัดกว่าทำโฆษณาทีวีตั้งเยอะ

อย่างเช่น โฆษณาทีวีช่วงไพร์มไทม์นานทีละ 2 แสนกว่าๆ สู้เก็บเงินตรงนั้นมาทำบุญแล้วโฆษณาผ่านรายการเรื่องเล่าเช้านี้ของสรยุทธ ดีกว่า ดังกว่า จริงไหม

เขาเรียกกลยุทธ์ "ตันพึ่งยุทธ ยุทธพึ่งตัน ยุทธกับตัน เลยชวนกันไปชวนโน้สอุดมมาร่วมผนึกกำลังด้วยกัน" เรียกว่า การผนึกกำลังของคนดัง เพื่อขยายฐานแฟนเพจและสาวกซึ่งกันและกัน ทำให้พวกกูยิ่งรวย!!

5. ทำให้ดังสุด ๆ มีคนรักมากมาย

6. เงินที่ทำบุญเพื่อสร้างภาพลักษณ์ผสมการตลาดไปนั้น จะเห็นผลเร็วกว่าทำบุญชนิดอื่น ๆ เพราะจะเห็นผลในชาตินี้ทันตาเห็น บุญจะช่วยส่งเสริมกิจการให้รวยติดอันดับมหาเศรษฐีของไทยได้เลย

7. ทำให้มีสาวกมากมาย ตามอนุโมทนาบุญ  แถมคอยปกป้องคุณตัน ประหนึ่งมีสุนัขที่ซื่อสัตย์ เอ้ย !! มีบริวารหรือที่เรียกในยุคนี้ว่าแฟนคลับ หรือแฟนเพจมากมายที่คอยปกป้องคุณตัน และปกป้องสินค้าของคุณตัน

คือ ผมว่า กลยุทธ์ทำบุญสร้างภาพนี้ดีมากเลยนะคุณตัน ผมขอสนับสนุนให้คุณตันทำต่อไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนอย่างที่ทุกคนเชื่อก็คือ อย่างน้อยคุณตันก็ยังคืนกำไรให้กับสังคม !!


เอ.. ทำไมมหาเศรษฐีคนอื่น ๆ เขาทำไมไม่ใช้กลยุทธ์แบบนี้เหมือนคุณตันกันเยอะ ๆ นะ ทำไมแอบไปทำบุญโดยไม่บอกใครล่ะ พวกมหาเศรษฐีพวกนั้นคงไม่ฉลาดเลยนะ เพราะบอกบุญให้คนอนุโมทนาบุญด้วยเนี่ย จะได้บุญเพิ่มขึ้นอีกนะ

หรือว่า เศรษฐีคนอื่นเขาแอบทำบุญมากกว่าคุณตันก็มี แต่เขาไม่อยากโฆษณากันเอง

ว้า.. แบบนั้นก็ไม่เผื่อแผ่บุญน่ะสิ สู้คุณตันก็ไม่ได้ ทำบุญทุกครั้งต้องรีบประชาสัมพันธ์ทุกครั้ง คนที่เขาร่วมรับรู้ เขาจะได้อนุโมทนาชื่นชม และจะได้แห่กันไปซื้อชาเขียวเพื่อลุ้นโชคที่คุณตันแจกกันอีกเยอะ ๆ

ลองดูตัวอย่าง ความเห็นของสาวกคุณตันสิครับ ขนาดลูกสาวแดก เอ้ย! ขนาดลูกสาวกินชาเขียวมากจนกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ก็ยังขอชอบคุณตันต่อไป





ส่วนสาวกคุณตันอีกราย กินชาเขียวทุกวัน เพราะคิดว่า ได้ลุ้นโชค หรือถ้าไม่ได้โชค ก็ถือว่าได้ช่วยคุณตันทำบุญ หรือได้ทำบุญร่วมกับคุณตัน



โอว..ว้าว ผมเพิ่งรู้นะนี่ การกินชาเขียวคุณตัน คือการทำบุญ !! 555

ศาสนาชาเขียว ที่มีคุณตัน เป็นศาสดา นี่มันเลิศจริง ๆ 


------------

จากความเห็นของสาวกคุณตัน นี่เป็นแค่ตัวอย่างว่า ถ้าลองทำให้คนศรัทธาได้แล้ว ต่อให้คุณตันตด สาวกคุณตัน เขาก็ว่า ตดคุณตันหอม !!

การตลาดด้วยกลยุทธ์ทำบุญสร้างภาพ พรีเซนเตอร์คุณลุงใจดีใจบุญ หรือโดเรมอนผู้แจกควักกระเป๋าแจกเงินล้านไปจนถึงแจกรถปอร์เช่ถึงบ้าน นับเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสุโค่ยโออิชิจริง ๆ

หรือล่าสุดคุณตัน ได้จัดกิจกรรมด้วยการให้ซื้อสินค้าแล้วถ่ายรูปตัวเองพร้อมกับสินค้าส่งมา ก็มีสิทธิลุ้นโชคไอโฟน5 วันละเครื่องทุกวัน

มีคนซื้อกินวันละเป็นล้านขวด แต่แจกไอโฟนแค่วันละเครื่อง นี่แหละสุดยอดกลยุทธ์ที่เพอร์เฟค !!

กลยุทธ์นี้จะทำได้ก็เฉพาะคนที่มีภาพลักษณ์ดีเลิศ หรือ คนที่ทำบุญสั่งสมสร้างภาพลักษณ์มาเยอะ ๆ จนมีแฟนเพจเป็นล้านคนเท่านั้น ถึงจะทำได้

แบบนี้เขาเรียกว่า กุศลได้ส่งให้คุณตันรวย ๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป ส่วนแฟนเพจที่ดื่มชาเขียวก็พยายามกันตั้งใจกินกันต่อไปเยอะ ๆ นะ เผื่อจะได้ไอโฟนสักเครื่องนึง แถมยังจะได้่ช่วยให้คุณตันไต่อันดับมหาเศรษฐีไทยขึ้นไปอีกจนถึงอันดับ 1 ใน 10 ในอนาคตอีนใกล้นี้

เอ้า ช่วย ๆ กันนะ เพราะกินชาเขียวของคุณตันได้บุญเยอะนะจ๊ะ 555




ส่วน ผมหวังว่า สักวันจะมีมหาเศรษฐีไทยที่กล้าบริจาคทรัพย์สิน 90 % ของตัวเองให้กับการกุศลเหมือนที่วอเรน บัฟเฟต หรือ บิล เกตต์ ทำมาแล้ว

ซึ่งบางทีคุณตัน อาจเป็นมหาเศรษฐีใจบุญคนแรกของไทยคนนั้นก็ได้

----------

ถาม ไอ้ akecity ที่มึงไปกระแนะกระแหนคุณตันเขาน่ะ มึงเคยทำอะไรดี ๆ คืนให้สังคมบ้างได้สัส !!

ตอบ ผมก็แค่เดินข้ามสะพานลอย(ถ้ามี) เวลาผมข้ามถนน ผมไม่ยึดทางเท้าเป็นที่ค้าขายไปชั่วชีวิต ผมไม่ทิ้งขยะในที่สาธารณะ ผมคงทำได้แค่นี้เองครับ T T

------------

กลยุทธ์ส่งชิงโชค ต่างจาก กลยุทธ์หวยเบอร์อย่างไร ?

กลยุทธ์ชิงโชค คือ ส่งสลากไป แล้วรออีกหลายเดือนกว่าจะจับสลากเพื่อลุ้นโชค ไม่ค่อยมีผลกระตุ้นความโลภของคนมากเท่าไหร่ บางทีคนซื้อสินค้าก็ขี้เกียจจะส่งสลากไปชิงรางวัล หรือไม่ก็ถึงส่งไปก็ส่งไปแบบงั้น ๆ อาจโชคดีก็ได้

ส่วนกลยุทธ์หวยเบอร์ คือ ล่อให้คนซื้อแม่งทุกวัน เพื่อหวังเอารหัสในแต่ละวัน เพื่อลุ้นโชค คือไป ๆ มา ๆ หวังลุ้นโชคมากกว่าต้องการใช้สินค้า กระตุ้นความโลภของคนมากกว่า

หรือเรียกอีกอย่างว่า

คุณตันมีอาชีพขายฝาขวดพร้อมรหัสชิงโชค ส่วนไอ้น้ำในขวด มันคือของแถม


กลยุทธ์หวยเบอร์ จึงเป็นอบายมุขที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง

ข่าวน่าสน มหาเศรษฐีจีน ฉายา "ตัน ภาสกรนที เมืองจีน" โดนจับ

คลิกที่รูปเพื่ออ่านข่าว


คลิกอ่าน กลยุทธ์รวยหลอกแดก ของ ตัน อิชิตัน