วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รัฐบาลของนายทุนชอบหลอกให้คนไทยใช้เงิน !!






สังเกตไหมว่ารัฐบาลไทยทุกรัฐบาล ไม่เคยมีรัฐบาลไหนรณรงค์ให้คนไทยรู้จักการออมเงิน เห็นมีแต่รัฐบาลไทยทุกรัฐบาลพยายามจะกระตุ้นให้คนไทยใช้จ่ายเงิน โดยอ้างว่า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้หมุนเวียน

และเมื่อคนไทยที่โดยกมลสันดานมักเป็นพวกชอบเที่ยว ชอบสนุกสนาน แต่ไม่ชอบออมเงินอยู่แล้ว เมื่อได้แรงกระตุ้นทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนที่พยายามหาทางลด แลกแจก แถม ล่อหลอกให้คนไทยไปจับจ่ายซื้อของ ทั้ง ๆ ที่คนไทยไม่ค่อยมีเงินออม มีแต่หนี้ซะเป็นส่วนใหญ่

ซึ่งที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือ นายทุนร่ำรวย

ให้สังเกตว่า กิจการเงินด่วน กิจการนำรถมาแลกเงิน(กู้) ในประเทศไทยมันมีมากมายเต็มบ้านเต็มเมือง คนไทยเป็นหนี้นอกระบบมากที่สุดในโลก คนไทยเป็นหนี้บัตรเครดิตติดอันดับต้น ๆ ของโลก จนตอนนี้หนี้ภาคครัวเรือนของคนไทยก็เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์

เมื่อคนเป็นหนี้มาก ความเครียดก็ยิ่งมีมาก ความเห็นแก่ตัวก็จะยิ่งมากขึ้น ยิ่งรถติด เจอน้ำมันแพง ผู้คนก็ยิ่งเห็นแก่ตัวไร้น้ำใจกันบนท้องถนนมากขึ้น

หลายคนหาทางออกไม่ได้ ก็หาทางโกงบริษัทที่ตัวเองทำ ถ้าหาทางโกงไม่ได้ ก็อาจกลายเป็นโจรไปในที่สุด

ทั้ง ๆ ที่ในหลวงของเราทรงพยายามสอนให้พวกเราอดออม รู้จักใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ทรงสอนให้คนไทยหัดทำบัญชีครัวเรือน เพื่อควบคุมการใช้จ่ายได้แม่นยำ

แต่รัฐบาลไทยไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไรนัก รัฐบาลไทยโดยเฉพาะที่เป็นรัฐบาลที่มาจากพวกนายทุนทั้งหลาย พวกนี้หาทางเอาเงินภาษีชาติมากระตุ้นให้คนไทยใช้จ่ายทุกวิถีทาง เพื่อสุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์ก็คือพวกพ้องของตนเอง

อย่างเช่น โครงการรถคันแรก บริษัทรถญี่ปุ่นรับทรัพย์ ปตท.ขายน้ำมันได้เพิ่มขึ้นกำไรเพิ่มขึ้น จ่ายปันผลกลางปีก็เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน

แต่รายงานล่าสุด ปีนี้กำลังซื้อคนไทยลดลงอย่างมาก เพราะต้องเอาเงินไปผ่อนรถคันแรก บำรุงรักษารถคันแรก จ่ายค่าน้ำมันรถคันแรก จนแทบไม่เหลือเงินไปจับจ่ายสินค้าประเภทอื่น

แถมคนไทยใช้จ่ายในเรื่องค่ามือถือ ซื้อโทรศัพท์สมาร์ทโฟนมากขึ้น อีกทั้งจ่ายทั้งค่าโทร จ่ายทั้งค่าเน็ต เฉลี่ยค่าใช้จ่ายมือถือของคนไทยมากถึง 15 %ของรายได้ จนบริษัทบริการมือถือรวยถ้วนหน้า

นั่นเพราะนโยบายที่ผ่าน ๆ มาของรัฐบาลไทย ไม่สอนให้คนไทยรูัจักอดออม เน้นแต่สอนให้คนไทยจับจ่ายมากขึ้น ๆ

ถามว่า ทำไมคนสิงคโปร์รวย ? คนญี่ปุ่นรวย ?

ตอบว่า หัวใจสำคัญที่สุดที่คนสิงคโปร์รวย คนญี่ปุ่นรวย เพราะว่าคน 2 ชาตินี้รู้จักหา และก็รู้จักออม

แม้รัฐบาลญี่ปุ่นจะมีหนี้สาธารณะมาก แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นกลับแข็งแกร่งมาก เพราะคนญี่ปุ่นมีเงินออมมากนั่นเอง

คนญี่ปุ่นมีเงินออมมากถึง 200 % ของGDP ญี่ปุ่น 

ใคร ๆ ก็รู้ว่า ประเทศญี่ปุ่นมีGDP สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก (สูสีกับจีนที่เป็นที่2) โดยเมื่อปี 2012 ญี่ปุ่นมีGDP ที่ 5.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ถามว่า ทำไมคนญี่ปุ่นถึงออมเงินกันมาก ?

คำตอบคือ คนญี่ปุ่นเขาไม่ประมาทครับ เพราะประเทศของเขามีภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยมาก จึงทำให้คนญี่ปุ่นต้องเก็บออมไว้เพื่อเอาตัวรอดยามวิกฤติ

คลิกอ่านบทความคนสิงคโปร์รวยเร็วเพราะอะไร ?


ที่จริงมีคำอธิบายมากกว่านี้ แต่ผมอยากชวนให้คุณผู้อ่าน ไปฟังคำอธิบายจากคุณวิศาล ดิลกวาณิชย์ ในช่วงไขประเด็นดัง เรื่อง คนไทยกำลังซื้อหด หนี้สินเพิ่ม เอาเองดีกว่าครับ

คุณวิศาล อธิบายประมาณ 5นาทีได้เนื้อหาเชื่อมโยงครอบคลุมและเห็นภาพชัดเจน จนรู้สึกได้เลยว่า คนไทยเราตกเป็นเหยื่อพวกนายทุน(ด้วยความเต็มใจ) จริง ๆ

คลิกดูคุณวิศาล อธิบายที่นี่ !!

-------------------

ความต่างของการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น 

หลักการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่น คือ เพราะคนญี่ปุ่นมีเงินออมเยอะ ไม่ค่อยใช้จ่าย หาได้มาเก็บมากกว่าใช้ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงพยายามหาทางกระตุ้นให้คนญี่ปุ่นที่มีเงินเก็บเยอะๆ มาใช้จ่ายเพื่อการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ

หลักการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย คือ คนไทยชอบใช้เงินสุร่ยสุร่ายอยู่แล้ว เงินออมก็ไม่มี หนี้สินล้นพ้นตัว รัฐบาลไทยก็ยังชอบกระตุ้นหลอกล่อให้คนไทยใช้จ่ายเยอะ ๆ ทั้งปีทั้งชาติ

จึงเท่ากับว่า รัฐบาลไทยชอบกระตุ้นให้คนไทยเป็นหนี้ นั่นเอง


คลิกอ่าน สิ่งที่เจ้าสัวธนินท์สำรอก ล้วนเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง





วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โทษค่าเงินบาท กระตุ้นเศรษฐกิจแบบชั่ว ๆ ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์







ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทของไทยแข็งขึ้นไปถึง 29 บาทกว่า / ดอลล่าห์สหรัฐ ทำให้รัฐบาลเพื่อไทยพยายามกดดันให้แบงกค์ชาติและ กนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งผมได้อธิบายไปในหลายบาความแล้วว่า พวกรัฐบาลเพื่อไทยมันหวังผลอะไรแอบแฝง

แล้วรัฐบาลอีโง่ มันก็ยังโยนความผิดที่ข้าวไทยขายไม่ออกว่า เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

พวกผู้ส่งออกก็เห็นแก่ตัว ออกมากดดันรัฐบาลเพื่อไปกดดันธนาคารแห่งประเทศไทยอีกทอด ว่าผู้ส่งออกเดือดร้อน แถมอ้างแบบแถๆ ว่า ทำให้ไทยเสียเปรียบคู่แข่ง

จริง ๆ แล้ว สินค้าหลายชนิดมีการซื้อขายล่วงหน้า การที่ค่าเงินบาทแข็ง จึงไม่ได้ทำให้สินค้าส่งออกหลายชนิดแพงขึ้นเลยในรูปเงินดอลล่าห์ แต่มันมากระทบที่เวลาฝรั่งจ่ายเงินดอลล่าห์ให้ผู้ส่งออก ผู้ส่งออกมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท ก็เลยได้เงินน้อยลง !!

แต่หากนำดัชนีค่าเงินในประเทศคู่แข่งการค้าของไทยแล้ว ไทยเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากไปกว่าประเทศในกลุ่มอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ หรือมาเลเซียเลย



รูปจากเว็บ ธปท.

แต่รัฐบาลอีโง่กลับต้องการให้ลดดอกเบี้ยลง ทำให้ประชาชนที่ฝากเงินไว้ก็ต้องเดือดร้อน เพราะได้ดอกเบี้ยน้อยลง

แต่อย่างมาเลเซีย กับฟิลิปปินส์ มีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินของประเทศต่อค่าเงินดอลล่าห์มากกว่าไทยด้วยซ้ำ 

แต่เขากลับมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการส่งออกดีขึ้น ในขณะที่ไทยเราถดถอยลง และทั้ง 2 ประเทศนี้ ก็ยังมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังสูงกว่าไทย

ฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยของนายกฯ ยิ่งลักษณ์กระทำด้วยการโทษไปที่ค่าเงินบาทแข็ง มันจึงแฝงไว้ด้วยเจตนาชั่วนั่นเอง

หนี้ภาคครัวเรือนของคนไทยพุ่งสูง รัฐควรสนับสนุนให้คนไทยหันมาออมเงินมากขึ้น แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับไม่ส่งเสริมการออม และพยายามส่งเสริมให้คนใช้จ่ายเป็นหนี้มากขึ้น

และเมื่อ ธปท. ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงแล้ว ก็ไม่ได้ช่วยให้การส่งออกและเศรษฐกิจไทยดีขึ้นแต่อย่างใด คนออมเงินเลยซวยไป !!

แถมรัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังหาทางให้ประชาชนใช้จ่ายเพิ่มขึ้น อ้างไปลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาลง เพื่อคนจะได้มีเงินเหลือมาจับจ่ายมากขึ้น แต่แท้จริงแฝงประโยชน์แก่พวกพ้องตนเองมากกว่า ที่ได้ผลพลอยได้จ่ายภาษีคนรวยน้อยลง

ในขณะที่เมื่อปีที่แล้ว สิงคโปร์มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง แต่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กลับพอใจว่า เติบโตอย่างช้า ๆ และมั่นคงน่ะดีแล้ว (คลิกอ่านคำพูดของนายกฯสิงคโปร์ ที่ท้ายบทความนั้น)

ส่วนรัฐบาลเพื่อไทยน่ะเหรอ ไม่คิดถึงชาติมากกว่าพวกพ้องและผลประโยชน์ตัวเองหรอกครับ


--------------------------

การกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน 

แต่ควรไปกระตุ้นภาคการผลิต ให้มีผลผลิตมากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง

หากประชาชนยังรายได้น้อย หนี้สินเยอะ การไปกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่าย นั่นคือ หายนะ !!

--------------------------


ข่าวเดลินิวส์ หอการค้าแนะรัฐหยุดกระตุ้นประชาชนสร้างหนี้

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม 2556 เวลา 19:04 น.

เมื่อวันที่ 17 ก.ค. นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานกิตติมศักดิ์สภาหอการค้าไทยแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใดๆ เพิ่มเติมในการกระตุ้นภาคการบริโภคในประเทศช่วงครึ่งหลังของปี 56 เนื่องจากจะทำให้เกิดการบิดเบือนกลไกลเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาหนี้ภาคครัวเรือนมีอัตราสูงขึ้นต่อเนื่อง

ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหาคือต้องไม่เพิ่มหนี้ให้กับประชาชนอีก แต่ควรให้เวลาแก่ประชาชนในการชำระหนี้มากกว่า

“คาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่้งปีหลังจะชะลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากประชาชนลดการใช้จ่ายลง โดยภาพรวมหากเศรษฐกิจปีนี้เติบโตเฉลี่ยที่ 4% หรือต่ำกว่าเล็กน้อยก็อยู่ในระดับที่พอรับได้ เนื่องจากประเทศไทยในขณะนี้ยังมีอัตราการว่างงานต่ำ ภาคธุรกิจยังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ ส่วนการส่งออกที่ชะลอตัวลงมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังไม่ดี”

นายประมนต์ กล่าวต่อไปว่า "สำหรับการดูแลค่าครองชีพที่รัฐบาลอยู่ระหว่างดำเนินการอยู่ ควรปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด หากมีนโยบายที่จะช่วยเหลือควรช่วยประชาชนเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ก็ควรดำเนินการเพื่อให้มีรายเหมาะสมกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ควรเป็นการให้เปล่า ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องให้การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในครึ่งปีหลัง

ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมวงเงิน 2 ล้านล้านบาทนั้น มองว่า จะยังไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาสั้น แต่ละส่งผลดีต่อศักยภาพในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในอนาคต ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรทำคือ เน้นดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้จะเหมาะสมกว่าการเร่งโครงการลงทุนนี้ นายประมนต์ กล่าวในฐานะประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นแห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นฯ ได้ทำข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลให้มีบุคคลที่สามเข้าไปตรวจสอบการดำเนินโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาทเพื่อให้เกิดความโปร่งใส."


คลิกอ่าน โกร่ง โต้ง โกหกเรื่องดอกเบี้ยไทยสูงเกินจริง




วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สส.เพื่อไทยโง่ คิดว่ารัฐบาลขายข้าวขาดทุนแค่3พัน/ตัน







บทความนี้ต่อเนื่องจาก บทความเรื่อง โครงการรับจำนำข้าว 2 ปี ที่สุดแล้วจะขาดทุนเท่าไหร่ ?

ในบทความที่แล้ว ผมคาดว่าไทยน่าจะขายข้าวตันละ 450 เหรียญUS แต่ล่าสุด ข่าวออกมาแล้วว่า รัฐบาลไทยขายข้าวสารได้แค่ตันละ 400 เหรียญหรือตันละ 12,000 บาท เท่านั้น

แต่จากข่าวล่าสุด พวก สส.เพื่อไทยมันโง่ มันเข้าใจว่า ขายขาดทุนแค่ตันละ 3 พันบาทเท่านั้น เพราะมันดันคิดว่า จำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท รัฐขายข้าวสารตันละ 12,000 บาท จึงขาดทุนแค่ 3 พันบาท ซึ่งมันคนละเรื่องเลย เสือกเอาราคาข้าวเปลือกมาลบราคาข้าวสาร ??

ซึ่งมันไม่ใช่ !! คลิกที่นี่อ่านข่าว สส.ไทยเฉ่งพาณิชย์ระบายข้าวขาดทุนตันละ 3พัน

เพราะต้นทุนข้าวสาร 1 ตัน มาจากข้าวเปลือก 1.51 ตัน

ข้าวสาร 1 ตันจึงมีต้นทุนตันละ 22,500 บาท (750เหรียญ) หากบวกค่าดำเนินการแค่พอคุ้มทุนต้องขายที่ 800 เหรียญต่อตัน (24,000บาท)

หากคิดที่ต้นทุนแท้จริงของข้าวสาร 1 ตัน คือ 800 เหรียญสหรัฐ หรือ 24,000 บาท

แต่รัฐบาลขายข้าวสารได้แค่ตันละ 400เหรียญ หรือ12,000 บาท ต้องเท่ากับว่าขายข้าวขาดทุนตันละ 400เหรียญ หรือ 12,000บาทต่อตัน

เมื่อมีข้าวค้าง 17-18 ล้านตัน ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะร่วม ๆ 18 ล้านตันจากการรับจำนำเพิ่มในปีนี้

เมื่อมีข้าว 18 ล้านตัน ขายขาดทุนตันละ 12,000 บาท ถ้าสามารถขายได้หมด ก็เท่ากับขาดทุนทั้งสิ้น

18 ล้านตัน คูณ 12,000 บาท = 216,000,000,000 ล้านบาท

-----------------

โครงการจำนำข้าวอาจขาดทุนมากถึง 4 แสนล้าน

ถ้าขายข้าว 18 ล้านตันได้หมด จะขาดทุนมากถึง 2.16 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้รวมตัวเลขขาดทุนที่มีอยู่แล้ว (อีกประมาณ 2.6แสนล้านบาท) ในตอนที่ยังไม่ได้ขายข้าวจำนวนนี้

เมื่อรวมกับตัวเลขขาดทุนที่มีอยู่แล้ว คาดว่า โครงการจำนำข้าว 2 ปีแรก น่าจะขาดทุนไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้าน ถึง 4 แสนล้านบาท แน่นอน

เพราะไม่มีทางขายข้าว 17-18 ล้านตันได้หมดหรอก ยิ่งขายไม่หมด ก็ยิ่งขาดทุนหนัก !!

--------------------

ต้องยอมรับว่า ทักษิณมันเก่งที่สุดในเรื่องเลว ๆ สามารถคิดแผนทำลายชาติไทยได้อย่างสุดยอด

โครงการจำนำข้าว อ้างช่วยชาวนา แต่พวกมันได้โกงกินสะบัด แถม ทำลายตลาดค้าข้าวของไทย แถมช่วยให้คนไทยเสี่ยงเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น

ชาติต้องขาดทุนหนักมหาศาล แต่ฟายแดงก็ยังหลงใหลไอ้เหลี่ยมต่อไป

แถมชาวนาก็ยังคิดว่าเป็นหนี้บุญคุณไอ้พวกชั่วอีกต่างหาก



วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ต้นเหตุที่คนไทยกลัวข้าวปนเปื้อนสารพิษตกค้าง







ตอนนี้คนไทยเริ่มหวาดระแวงข้าวสารบรรจุถุงที่ขายอยู่ในประเทศไทย กลัวว่าจะมีสารตกค้างอยู่ในข้าวสาร ทั้ง ๆ ที่ที่ผ่าน ๆ มา ก็มีการใช้สารพิษรมข้าวกันมาหลายสิบปีแล้ว

แต่ทำไมจู่ ๆ ปีนี้คนไทยกลับหวาดระแวงสารตกค้างในข้าวสารบรรจุถุงล่ะ ?

คำตอบก็คือ เพราะโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นแหละ คือตัวการทำให้คนไทยเกิดความหวาดระแวง

เดี๋ยวผมจะค่อย ๆ อธิบายให้เห็นภาพครับ

--------------------

ปกติไทยส่งออกข้าวปีละกี่ตัน ?

ก่อนจะมีโครงการห่วย ๆ รับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ ไทยเราส่งออกข้าวปีละประมาณ 10 ล้านตัน

คือไทยผลิตข้าวได้ปีละ 20-21 ล้านต้น เอาไว้กินในประเทศประมาณ 10 ล้านตัน ที่เหลือส่งออกอีกประมาณ 10 ล้านตัน

มีการเก็บสำรองเพื่อความมั่นคงทางอาหารอีก 2 ล้านตัน ตรงส่วนนี้ก็จะทยอยนำข้าวใหม่มาสับเปลี่ยนหมุนเวียนเรื่อย ๆ

แต่ตั้งแต่มีโครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ คือ ฤดูกาลปี 54/55 และ 55/56

ประเทศไทยเหลือข้าวค้างโกดังมากถึง 17 ล้านตัน นั่นแสดงว่า 2 ปีที่ผ่านมาไทยเราขายข้าวได้แค่ 3 ล้านตันเท่านั้น มันถึงได้เหลือบานเบอะขนาดนี้

คือปกติขายส่งออกปีละ 10 ล้านตัน แต่เฉพาะปี 54-56 เหลือข้าวมากถึง 17 ล้านตัน ก็แปลว่า ขายได้ปีละ 1.5ล้านตันเท่านั้น

ห่วยไหมล่ะโครงการนี้ ?

-----------------------

ข้าวค้างนาน ก็ต้องฉีดสารพิษหลายหน

ในเมื่อข้าวไทยขายไม่ออก ต้องเหลือค้างในโกดังข้าวในระยะเวลานานแสนนานขึ้น

ก็ต้องมีการฉีดสารพิษรมข้าวมากขึ้น เพราะต้องฉีดหลายหน เพื่อรักษาคุณภาพข้าว เพื่อป้องกันมอด แมลง หนู

และเพราะข้าวยิ่งค้างโกดังนานเท่าไหร่ คุณภาพข้าวก็จะยิ่งเสื่อมลงเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ประกอบกับมีการระดมฉีดสารพิษรมข้าวหลายหนมากขึ้น

ก็ย่อมทำให้ผู้บริโภคไทยไม่มั่นใจในข้าวที่วางขายในท้องตลาด เพราะกลัวว่า ข้าวที่วางขายจะมาจากข้าวเก่าค้างโกดังฉีดสารพิษหลายรอบในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลไงล่ะ

แม้จะอ้างว่า ไม่มีสารตกค้างแน่นอน แต่นั่นมันไม่อาจทำให้คนไทยเลิกหวั่นเกรงได้หรอก

เพราะสารพิษ ขึ้นชื่อว่าสารพิษ ต่อให้ตรวจไม่เจอ แต่พอรู้ว่าข้าวโดนฉีดสารพิษซ้ำๆ หลายหน ก็ไม่มีใครอยากจะกินหรอกครับ

และมาตรฐานสารตกค้างในข้าวที่ไทยกำหนด สูงถึง 50 มก./กก

ในขณะที่หลายประเทศกำหนดค่าน้อยกว่านั้น เช่นไต้หวันกำหนดแค่ไม่เกิน 1 มก./กก จีนไม่เกิน5 มก./กก อินเดียไม่เกิน 25มก./กก. เป็นต้น

ฉะนั้นคำว่าไม่มีสารตกค้าง ไม่ได้แปลว่า มีค่าเป็น 0 แต่หมายถึง ยังมีสารตกค้างเหลืออยู่ แต่มีค่าไม่เกินกำหนดเท่านั้น

ข้าวไทยที่ส่งออกน่ะ ไม่มีใครเขาห่วงหรอก เพราะผู้ส่งออกก็ต้องกลัวต่างชาติเขาจะตรวจเจอ ก็จะเสียชื่อเสียงข้าวไทย

แต่ที่คนไทยเขากลัวน่ะ คือข้าวที่ขายในประเทศไทยว่า ทุกยี่ห้อมันได้มาตรฐานเหมือนกันหมดจริงเหรอ ?

ระบบราชการไทย แค่ยัดเงินก็เงียบได้ทุกเรื่อง สมมุติว่าเจ้าหน้าที่รัฐไปตรวจเจอ เจ้าของข้าวก็แค่จ่ายใต้โต๊ะให้สักนิด ไอ้ที่ว่าเกินก็ไม่เกินได้ทันที มีให้เห็นในหลายกรณี เช่นค่าน้ำเสียที่ออกจากโรงงานอุตสาหกรรมน่ะ

น้ำเน่าซะขนาดนั้น แต่พอเจ้าหน้าที่ไปตรวจก็ยังช่วยเหลือโรงงานว่า ไม่มีน้ำเสียออกมาจากโรงงานได้เลย ชาวบ้านก็ทนทุกข์กันไป

ก็ดูง่าย ๆ แค่ตัวเลขขาดทุนจำนำข้าว พวกมันยังพยายามปิดบังข้อมูลต่อประชาชน แล้วเรื่องสารตกค้างในโครงการจำนำข้าว จะให้คนไทยมั่นใจได้อย่างไร ?

เกิดเป็นคนไทย เชื่อใจข้าราชการไทยได้เหรอ ก็แม่ง.. กินทุกระดับประทับใจนายทุนซะขนาดนั้น 5555



คลิกอ่าน แนะวิธีผู้ผลิตข้าวถุงเรียกความเชื่อมั่นผู้บริโภค





วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เพราะเหตุใดข้าวตราฉัตรกับข้าวเบญจรงค์ถึงได้มาตรฐาน ?






เกิดเรื่องดราม่า ระหว่างพิธีกรฅนฅ้นฅน กับ ข้าวตราฉัตร ไปแล้ว บอกตามตรงผมไม่ได้ตามรายละเอียดข่าวระหว่างพวกเขาสักเท่าไหร่

รู้คร่าว ๆ แค่พิธีกรคนค้นคน หลุดพิมพ์ยี่ห้อข้าวตราฉัตรลงไป ทำให้เกิดความเสียหายแก่ข้าวยี่ห้อนี้ของเครือซีพี

เอาเป็นว่า เอกชนยักษ์ใหญ่อย่างซีพี เขาย่อมต้องปกป้องผลประโยชน์ของเขาเป็นหลักอยู่แล้ว ใครมาทำให้สินค้าเขาเสียชื่อเสียง แถมคน ๆ นั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในประเทศไทย ก็ย่อมต้องโดน C.P. ฟ้องร้องแน่นอน

ผมไม่รู้หรอกนะว่า ข้าวตราฉัตรของซีพีดีแค่ไหน เพราะผมจน ผมเลยไม่ได้เลือกซื้อยี่ห้อนี้ เพราะข้าวตราฉัตรมันแพงกว่าข้าวที่ผมซื้อกินอยู่มาก

ซึ่งผมไม่สนหรอกว่า ผมจะตายเพราะสารเคมีตกค้างในข้าวหรือไม่ ?

เพราะคนจนย่อมมีทางเลือกไม่มาก หรือแทบไม่มีทางเลือกเลยก็ว่าได้กับสังคมยุคแพงทั้งแผ่นดินเช่นนี้

ส่วนข้าวตราฉัตร เขามั่นใจข้าวของเขาได้มาตรฐาน ปลอดภัย ไร้สารเคมีตกค้าง เพราะเขาบอกว่า โรงงานของเขาได้มาตรฐานระดับโลก มีการบรรจุหีบห่อที่ปิดสนิททันสมัย และมี อย. ด้วย

ตามรูปข้างล่างนั่นแหละ

ใครอยากได้รู้มาตรฐานของเขาก็คลิกที่รูปไปอ่านเอาเอง



แต่ที่ผมสนใจว่า ทำไมข้าวตราฉัตรถึงได้มั่นใจนักว่า ข้าวตราฉัตรไม่มีสารเคมีตกค้าง ไร้สารรมควันพิษข้าวตกค้าง ??

เอ.. หรือเป็นเพราะ..??

ใช่แล้วครับ ข้าวตราฉัตรไม่ได้ใช้ข้าวที่มาจากโกดังข้าวของโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาบรรจุถุงขายเลย

ตามข้อมูลนี้

นอกจากข้าวตราฉัตรจะให้ความสำคัญด้านคุณภาพสินค้าแล้ว นายสุเมธ เหล่าโมราพร ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ (รับผิดชอบธุรกิจข้าวและอาหาร) เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า ข้าวตราฉัตร ได้ใส่ใจ และให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพ และความบริสุทธิ์ของพันธุ์ข้าว การให้ความสำคัญตั้งแต่ “ต้นน้ำของการผลิตข้าว” โดยทางบริษัทฯ ได้จัดทำโครงการส่งเสริมการปลูกข้าวหอมมะลิ ใน 4 จังหวัดพื้นที่ภาคอีสาน

ซึ่งเราเชื่อว่า เป็นแหล่งพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิ ที่ดีที่สุดของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้เป็นแหล่งวัตถุดิบข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพภายใต้แบรนด์ตราฉัตร ซึ่งเป็นการรับวัตถุดิบจากชาวนาโดยตรง 

อีกทั้งยังส่งเสริม แนะนำการเพาะปลูกข้าวอย่างถูกวิธีให้กับเกษตรกร โดยเน้นไปที่การให้ความรู้ และลงพื้นที่จริงร่วมกับเกษตรกร เพื่อให้ได้ข้าวหอมมะลิที่มีคุณภาพ ซึ่งจะเกิดการพัฒนาร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน

นอกจากนี้แล้ว บริษัท ซี.พี.อินเตอร์เทรด จำกัด ยังมีโรงสีข้าวของบริษัทฯ อีก 3 แห่งตั้งอยู่ที่ จังหวัดบุรีรัมย์, จังหวัดสุพรรณบุรี, จังหวัดกำแพงเพชร และโรงสีเครือข่ายอีก 40 โรงสีทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีโรงงานปรับปรุงคุณภาพข้าว อีก 2 แห่ง ตั้งอยู่ที่ อำเภอวังแดง และ แห่งใหม่ตั้งอยู่ที่ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีความพร้อมสูงด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ในการปรับปรุงคุณภาพวัตถุดิบ เพื่อให้ได้ข้าวตราฉัตร ข้าวที่มีคุณภาพ บริสุทธิ์ สะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐานสากล และเป็นที่ยอมรับ จนมียอดขายเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย และวางจำหน่ายแล้วกว่า 170 ประเทศทั่วโลก

ในส่วนการประมูลข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในปี 2555 นั้น ซี.พี.อินเตอร์เทรดได้เข้าร่วมประมูลในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2555 และสามารถประมูลปลายข้าวขาวจำนวน 1,800 ตัน ปลายข้าวหอมมะลิจำนวน 6,800 ตัน ซึ่งข้าวที่ประมูลได้มานั้นมีคุณภาพได้มาตรฐาน โดยทางบริษัทฯ ได้นำไปใช้เพื่อการส่งออกเท่านั้น

เนื่องจากสินค้าที่ประมูลได้จากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ไม่เป็นที่นิยมในการบริโภคของคนไทย และข้าวตามจำนวนดังกล่าวก็จำหน่ายจนหมดสต็อกแล้วในปัจจุบัน

(ข้อมูลจาก เว็บข่าวซีพี)

-----------------

สรุปง่าย ๆ ว่า

ข้าวตราฉัตรไม่ได้นำข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวมาใช้ในการบรรจุข้าวถุงขายให้คนไทยบริโภคเลย แม้แต่เมล็ดเดียว

จึงให้มั่นใจได้ว่า ข้าวตราฉัตรไม่มีข้าวจากโครงการรับจำนำข้าว จึงปลอดภัยต่อผู้บริโภคไทยแน่นอน เข้าจั๋ย 555555

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


ข้าวตราฉัตร มาตรฐานทุกถุง คุณภาพเหมือนกันทั่วโลก แตกต่างจากข้าวที่รัฐบาลเอาไปแจก เอาไปขายในร้านถูกใจ และร้านธงฟ้า ที่มีทั้งการบรรจุถุงโหลยเท่ย จนมีข้าวเน่าขึ้นรา มาตรฐานไม่เท่ากันทุกถุง 555




ส่วนข้าวเงค์ก็เหมือนข้าวตราฉัตร เพราะโรงงานข้าวเบญจรงค์ก็ได้มาตรฐานGMP*HACCP เหมือนโรงงานข้าวตราฉัตร

ที่สำคัญคือ ข้าวเบญจรงค์ ยืนยันเข้มแข็งว่า ไม่เคยประมูลข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์เลย ตามนี้

นายถาวร ทองพิทักษ์ถาวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย อินเตอร์ ไรซ์ กล่าวว่า ข้าวบรรจุถุงเบญจรงค์ไม่เคยเข้าประมูลข้าวจากโครงการรับจำนำของรัฐ แต่ซื้อข้าวจากโรงสีที่ จ.ฉะเชิงเทรา ชัยนาท สุพรรณบุรี

----------------

สรุปว่า 

เมื่อข้าวยี่ห้อดัง 2 ยี่ห้อเขายืนยันขนาดนี้ว่า ข้าวของพวกเขาไม่ได้ใช้ข้าวที่มาจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเลย จึงทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าปลอดภัยจากสารพิษรมข้าวแน่นอน

หรือจะสรุปง่าย ๆ ว่า เพราะข้าวตราฉัตรกับข้าวเบญจรงค์ไม่ได้ใช้ข้าวรับจำนำของรัฐบาล จึงมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง เด้อ !! 555

-----------------

ท่านนายกเคยกินข้าวในโครงการรับจำนำข้าวบ้างรึเปล่าครับ ?

"ปูไม่ต้องกินเองหรอกค่ะ แต่มอบให้พี่แดงสวาปามแทน"




คลิกอ่าน จำนำข้าวจะถูกหรือแพง เจ้าสัวซีพีก็ตีกินได้หมด


วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ฟ้าหญิงเล็กเจตนาดีเรื่องข้าวไทยต่อคนไทยในต่างประเทศ





ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ทรงยกมือไหว้ขอบคุณประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จและอุดหนุนซื้อสร้อยเพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้ของโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ระหว่างเสด็จเยือนราชอาณาจักรสวีเดน

บทความนี้ ผมเขียนเพื่อจะวิเคราะห์ว่า ที่ฟ้าหญิงเล็กทรงมีรับสั่งเกี่ยวกับข้าวไทยไร้สารพิษแก่คนไทยในต่างประเทศ ในขณะที่ทรงเสด็จเยือนสวีเดนนั้น

ผมคาดว่า ฟ้าหญิงทรงห่วงคนไทยในต่างประเทศจะตื่นตระหนกหวั่นเกรงข่าว ข้าวไทยมีสารตกค้างปนเปื้อน ซึ่งจะทำให้คนไทยในต่างประเทศจะไม่กล้าซื้อข้าวไทยกิน พระองค์จึงทรงรับสั่งเพื่อให้คนไทยมั่นใจในข้าวไทยต่อไป

ซึ่งตามหลักแล้ว คนไทยในต่างประเทศคงไม่ต้องห่วงเรื่องข้าวไทยที่วางขายในต่างประเทศมากนัก เพราะมาตรฐานการส่งออกข้าวไทย ผู้ส่งออกข้าวไทยต้องส่งออกข้าวให้ได้มาตรฐานตามที่แต่ละประเทศกำหนดไว้

(ฟ้าหญิงทรงเตือนให้ควรระวังข้าวต่างชาติแอบอ้างเป็นข้าวไทยจะดีกว่า)

และที่มีข่าวลือเรื่องสารตกค้างในข้าวไทยนั้น มันเป็นเรื่องที่น่าห่วงเฉพาะข้าวที่ขายในประเทศไทยต่างหาก

เพราะมาตรฐานและความน่าเชื่อถือของระบบราชการไทย และอิทธิพลทางการเมืองอาจบิดเบือนข้อมูลที่แท้จริงแก่คนไทยได้ รวมทั้งพ่อค้าข้าวในไทยเชื่อถือได้แค่ไหน?

การที่ฟ้าหญิงรับสั่งถึงข้าวไทยนั้น ทรงหมายถึง ข้าวไทยมาตรฐานส่งออก ซึ่งไม่เกี่ยวกับข้าวที่ขายในประเทศแต่อย่างใด

ที่สำคัญฟ้าหญิงทรงรับสั่งถึงเรื่อง สารหนูในธรรมชาติที่ปนเปื้อนในขั้นตอนการปลูกข้าว ซึ่งไม่เกี่ยวกับขั้นตอนการรมสารเคมีเพื่อป้องกันแมลง มอด ในโกดังข้าวโครงการรับจำนำแต่อย่างใด

ฉะนั้น ข่าวเรื่องฟ้าหญิงจุฬาภรณ์รับสั่งเรื่องข้าวไทยไร้สารพิษนั้น จึงไม่เกี่ยวกับข้าวในโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล ที่มีข่าวรมสารเคมีจำนวนมาก

(เพราะมาตรฐานสารตกค้างในข้าวที่ขายในไทย กำหนดค่าไว้สูงกว่าต่างประเทศ หมายถึง อนุญาตให้มีสารตกค้างในข้าวมากกว่าที่ต่างประเทศกำหนด)

หากพวกเสื้อแดงนำรับสั่งของฟ้าหญิงไปใช้สนับสนุนเรื่องข้าวในโครงการจำนำข้าวล่ะก็ ผมว่าเสื้อแดงกำลังบิดเบือนเจตนาของพระองค์

คลิกอ่าน ผมไม่เชื่อข้าวไทยไร้สารพิษ ตามที่ฟ้าหญิงเล็กตรัส

คลิกอ่าน ข้าวรมควันพิษ คืออะไร ?

------------------------

โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทำลายโอกาสข้าวไทยอย่างไร ?

เพราะข้าวไทยแพงขึ้นกว่าข้าวของคู่แข่งในตลาดโลกอยู่มาก จึงทำให้ชาวต่างชาติจึงไปทดลองซื้อข้าวคู่แข่งของไทยไปทดลองกินดู

ซึ่งหากชาวต่างชาติ เกิดถูกปากถูกใจข้าวต่างชาติ หรือแม้แค่ชาวต่างชาติรู้สึกว่ารสชาติและคุณภาพข้าวไทยกับข้าวคู่แข่งของไทยต่างกันไม่มาก แต่ราคากลับต่างกันมาก ก็จะทำให้ต่อไปไทยจะเสียลูกค้าเหล่านี้ไป

กระแสข่าว ข้าวไทยเหลือค้างโกดังจำนวนมาก ย่อมทำให้ชาวต่างชาติอาจหวั่นเกรงคุณภาพข้าวไทยก็เป็นไปได้

และที่สำคัญ ข้าวที่อร่อยที่สุดในโลกประจำปี พ.ศ.2554 เป็นข้าวพม่า และข้าวที่อร่อยที่สุดในโลกประจำปี พ.ศ.2555 ก็เป็นข้าวเขมร

ยิ่งมีข่าวว่า ญี่ปุ่นหันไปซื้อข้าวพม่าแทนข้าวไทย เพราะญี่ปุ่นเชื่อว่า ข้าวพม่าใช่สารเคมีน้อยกว่าไทย ก็ย่อมทำให้ภาพลักษณ์ข้าวไทยในสายตาญี่ปุ่นเสียไปด้วย

แถมล่าสุด ก็มีข่าวว่าบรูไน หันไปซื้อข้าวหอมของเขมรเหมือนกัน นี่แหละ ตลาดข้าวไทยเริ่มเจอคู่แข่งมากขึ้นแล้วครับ


คลิกอ่าน โครงการจำนำข้าว 2 ปีแรก ที่สุดแล้วจะขาดทุนมากแค่ไหน


วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โครงการจำนำข้าว 2 ปีแรก ขาดทุนถึง 4 แสนล้าน







ถ้าขายข้าวขาดทุนได้ ก็ยังดีกว่า ปล่อยให้เน่าคาโกดัง

แต่ถ้าถามว่าจะขาดทุนแค่ไหน ?

ก็ขนาด รมว.พาณิชย์คนใหม่ นายนิวัฒน์ธำรง เพิ่งบอกเองว่า เรื่องของราคาขายต้องปิดเป็นความลับ !!

อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ คือ ต้องขายขาดทุนแน่ ๆ เพราะไม่งั้นคงไม่มีชาติไหนเขาโง่มาซื้อ ข้าวเก่าค้างโกดัง สารเคมีเพียบในราคาแพง ๆ หรอก

ที่นายนิวัฒน์ธำรง ไม่กล้าเอ่ยเรื่องราคาขาย มันก็อีหรอบเดียวกับยุคที่นายบุญทรง เป็น รมว.พาณิชย์ นั่นแหละ

ชาติอื่น ๆไม่ว่าเวียดนาม อินเดีย เขาไม่มีปกปิดราคาขายจึทูจี มีแต่ไทยเท่านั้นที่ปกปิดทุกอย่าง

เพราะโครงการจำนำข้าวมันชั่วมากไง เพราะถ้าเปิดเผยหมด ก็ยิ่งเห็นความล้มเหลว ความเหลวแหลกของโครงการนี้

----------------------

ขอยึดประเด็นที่ นางสุภา รองปลัด ก.คลังฯ บอกตัวเลขข้าวในโกดังเหลืออยู่ที่ 18 ล้านตัน

ผู้ส่งออกข้าวไทย เคยบอกว่า ถ้าราคาจำนำข้าวเปลือกที่ตันละ 15,000 บาทต่อตัน ถ้าจะให้ขายข้าวสารแบบไม่ขาดทุนในตลาดโลกก็ต้องขายที่ราคาตันละ 800 เหรียญต่อตัน

ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะขายในราคาดังกล่าว เพราะข้าวสารของเวียดนามราคาเฉลี่ยไม่ถึง 400 เหรียญต่อตันด้วยซ้ำ

ข้าวเปลือก 1 ตัน สีเป็นข้าวสารได้ 660 กิโลกรัม

ถ้าข้าวสาร 1 ตัน ต้องใช้ข้าวเปลือกทั้งสิ้น 1.51 ตัน

เท่ากับว่า ข้าวสาร 1 ตัน มีต้นทุนจากข้าวเปลือกที่ราคา 22,500 บาทเข้าไปแล้ว (หรือ 750 เหรียญ)

นี่ยังไม่รวมค่าดำเนินการต่าง ๆ เช่นค่าสี ค่าจัดเก็บ ค่าขนส่งอีกนะ

ฉะนั้นจึงเป็นความจริงที่ ผู้ส่งออกข้าวบอกว่า ถ้าราคาจำนำข้าวเปลือกอยู่ที่ 15,000บาทต่อตัน ก็ต้องขายข้าวสารที่ในตลาดโลกแบบไม่ขาดทุนก็อย่างน้อยต้องที่ 800 เหรียญต่อตัน

แต่ถ้าเอาไปขายจริง ๆ ในวันนี้ ผมคาดว่า รัฐบาลไทยต้องขายข้าวสารที่ 450 เหรียญต่อตัน เพื่อให้พอแข่งขันกับคู่แข่งได้

เพราะตอนนี้ใคร ๆ ก็รู้ว่า ข้าวไทยเหลือบานเบอะ ไม่มีชาติไหนโง่ยอมซื้อข้าวไทยแพง ๆ อีกต่อไปแล้ว

--------------------

ถ้าราคาข้าวสารไทยที่ความเป็นจริงไม่ขาดทุนคือ 800 เหรียญต่อตัน

แต่รัฐบาลไทยอาจต้องยอมขายที่ตันละ 450 เหรียญเพื่อเร่งระบายข้าวค้างโกดัง 18 ล้านตันให้หมด

ก็เท่ากับว่า ไทยจะต้องขาดทุนที่ตันละ 350 เหรียญต่อตัน หรือเท่ากับขาดทุน 10,500 บาทต่อตัน

ถ้าข้าวสารในโกดัง 18 ล้านตันสามารถขายได้หมด ไทยก็ต้องขาดทุนทั้งหมด 189,000,000,000 บาทครับ

เดิมตัวเลขขาดทุนทั้ง 2 ปี มีอยู่แล้วที่ 2.6แสนล้านบาท (ขาดทุน1.3แสนล้านต่อปี)

ถ้านำตัวเลขขาดทุน 2.6แสนล้านบาท มารวมกับราคาขายขาดทุนอีก 1.89แสนล้านบาท ก็เท่ากับแค่ 2 ปีแรก คือ ฤดูกาลปี 54-55 และฤดูกาลปี 55-56 ไทยต้องขาดทุนร่วม ๆ 4.49 แสนล้านบาท !!

(ถ้าหักค่ารำข้าว ปลายข้าวแล้ว ตัวเลขขาดทุนก็จะลดลงมาอีกนิดหน่อย)

แต่ถ้าขายข้าวทั้ง 18 ล้านตันได้ไม่หมด ตัวเลขขาดทุนก็จะยิ่งมากกว่าที่ผมลองคิดเล่น ๆ ขึ้นไปอีก

------------------

ย้ำว่า นี่แค่ความเสียหายแค่ 2 ปีแรกที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้นโยบายเลว ๆ นี้ เท่านั้น ก็ขาดทุนปาเข้าไป 4.49 แสนล้านบาทเข้าไปแล้ว

ซึ่งถ้าในฤดูกาลปี 56-57 ยังคงรักษาความฉิบหายเฉลี่ยปีละ 2.24 แสนล้านบาทอีกล่ะก็

ก็เท่ากับว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำความเสียหายในโครงการจำนำข้าวเพิ่มเป็น 4.49+2.24 = 6.73 แสนล้านบาท

แล้วถ้าข้าวยังเหลือค้างคาโกดังนานมากเท่าใด ข้าวก็ยิ่งเสื่อมมากขึ้นเท่านั้น ความเสียหายย่อมเกิน 7 แสนล้านบาทแน่นอน

นี่ยังไม่รวมดอกเบี้ยที่รัฐบาลกู้จาก ธกส. และค่าดำเนืนการต่าง ๆ เช่น ค่าเช่าโกดัง ค่าจ้างสี ค่าบริหารอื่น ๆ จิปาถะนครับ






วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รู้ทัน เซียนหุ้นหลอกฟันแมงแม่า







ผมเห็นหนังสือที่กำลังขายดีในเวลานี้ คือหนังสือประเภท รวยด้วยหุ้น เล่นหุ้นอย่างไรให้รวย กลยุทธ์เซียนหุ้น

หรือแม้แต่หนังสือที่วัยรุ่นเขียนเองเช่น สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ ก็เป็นหนังสือที่วัยรุ่นสาวคนนึงที่เล่นหุ้นจนรวยเขียน

ผมอยากจะบอกว่า การเล่นหุ้นแล้วได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ มันเป็นแค่คนส่วนกระจิริดเท่านั้น เปรียบเสมือนคนที่ถูกหวยมักคุยว่าเก็งตัวเลขเก่ง หรือไม่ก็ได้เลขดีมาจากไหน ก็เอามาคุยอวดกัน

แต่พอหวยแดก ก็มักเงียบ หน้าจ๋อย ไม่คุยอวด

หรืออย่างคนที่เล่นหุ้นจนรวย ที่เอามาบอกต่อคนอื่น นั่นคือในปมลึกแล้ว คนพวกนี้เขาอยากอวดว่าเขาเก่ง เขาฉลาด เขาจึงเล่นหุ้นจนรวย แล้วก็เขียนหนังสือเพื่อขายหาเงินอีกรอบ แถมได้ชื่อเสียงอีกด้วย ว่าผมนี่เก่ง ฉันก็เก่ง และฉันก็ได้ดังเพราะมีคนโลภโง่มาซื้อหนังสือฉันอ่าน

ซึ่งคนที่ซื้อหนังสือประเภทนี้ไปอ่าน ก็มักฝันหวานไปตามคนเขียนไปด้วยว่า เราน่าจะลองเล่นหุ้นบ้างนะ เผื่อเราก็มีโอกาสรวยกับเขาเหมือนกัน สุดท้ายคนส่วนใหญ่ที่คิดแบบนี้คือขาดทุนจากหุ้น กลายเป็นแมงเม่าที่ถูกหลอกให้เข้ามาในวังวนของตลาดแห่งการเก็งกำไร

ซึ่งก็ไม่ต่างกับพวกนักพนันที่หวังรวย ไม่ต่างกับคนเล่นหวยที่ฝันว่าจะรวย

ผมขอบอกเลยว่า การเล่นหุ้นให้รวย มันก็เหมือนเราเรียนหนังสือได้ที่ 1 ในชั้นนั่นแหละครับ แล้วคุณคิดว่า คุณเคยเรียนได้ที่ 1 ในชั้นเรียนหรือไม่ล่ะ ? (ที่1 ในชั้น ไม่ใช่ที่ 1 ในห้อง)

เหมือนที่ทุก ๆ คน ซื้อคู่มือวิชาคณิตศาสตร์ คู่มือฟิสิกส์มาอ่าน แล้วคิดว่าเดี๋ยวฉันอ่าน ฉันก็จะเก่งตามทีคู่มือสอน แต่สุดท้ายคนที่จะประสบความสำเร็จเหมือนที่คู่มือสอนจริงๆ มีแค่ไม่กี่คน

ส่วนคนที่สอบตกคณิตศาสตร์ สอบตกฟิสิกส์มีเพียบ

จากสถิติผู้ที่คร่ำหวอดในตลาดหุ้นไทยคนนึง เคยพูดไว้ว่า คนที่รวยจากตลาดหุ้นมีไม่ถึง 5 %

อย่างกรณีวัยรุ่นผู้เขียนหนังสือ สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ ประวัติพื้นฐานครอบครัวของเธอ ก็มีพ่อแม่ที่ร่ำรวยและลงทุนในหุ้นมานานแล้ว นี่เขาเรียกว่า มีครอบครัวเป็นแบ็คอัพที่ดี มีเงินเย็น ๆ ที่กล้าทิ้งไว้ในหุ้นได้นาน ๆ ไม่กำไรก็ไม่ต้องขาย

ผมสังเกตการจัดสัมมนาสอนเทคนิคการเล่นหุ้น แทบทุกคอร์สจะมีผู้คนมาสมัครเข้ากันเพียบ ซึ่งทุกคนจะหลงละเมอคิดว่า ตัวเองคือคนฉลาดที่มาเรียนรู้การเล่นหุ้น เพื่อจะไปประสบความสำเร็จและร่ำรวยในตลาดหุ้นต่อไป

แต่เวลาผมมองคอร์สพวกนี้ ผมกลับมองกลับกัน เพราะผมมองว่า นี่คือแมงเม่าที่หลงแสงไฟเท่านั้น แล้วส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นเหยื่อให้รายใหญ่เชือด

-------------

เงินทุนที่ไหลเข้าไหลออกในตลาดหุ้นเป็นเพียงภาพมายาแห่งการลงทุน

เพราะกำไรจากการเล่นหุ้นส่วนใหญ่มันคือเงินที่เกิดจากการเก็งกำไร

มันไม่ใช่เงินที่นำมาสร้างโรงงาน ตั้งฐานการผลิตในประเทศที่แท้จริง แต่เป็นเพียงเงินที่หวังทำกำไรจากภาพมายาการลงทุนเท่านั้น

สังเกตได้ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยแย่ลงทุกด้าน แต่ตลาดหุ้นกลับไม่แย่ตาม นั่นเพราะอะไร ??

ก็เพราะมีเงินจากมาตรการ QE ที่สหรัฐอเมริกา (รวมทั้งยุโรป) พิมพ์แบงก์กงเต็กเข้ามาเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยไงครับ

ดังนั้น ผมจึงไม่ชื่นชมคนที่ออกมาเขียนหนังสือรวยจากหุ้น หรือแม้แต่วัยรุ่นคนที่เขียน สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ ที่เธอรวยจากหุ้นเพราะเธอมีพ่อแม่เป็นแบ็คที่ดี

แต่ถ้าวัยรุ่นมาอ่าน อาจฝันอยากรวยแบบเธอ ขอบอกเลยว่า คนที่อยากรวยจากหุ้น มีแค่ 1 ใน 100 หรือใน 1,000 เท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จจนกลายเป็นเซียนหุ้นผู้ร่ำรวย

แต่ทุกคนมักคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ ว่า ฉันคงจะรวย !!

จำไว้เลยว่า เงินที่เราได้กำไรจากการขายหุ้นเก็งกำไร ก็คือเงินที่ขาดทุนของคนอื่น

และที่เราขาดทุน ก็คือกำไรของคนอื่นเช่นกัน



อาการนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนเกิดฟองสบู่แตกในปี 2015 

-------------

ใครรวยแล้วต้องหลอกเหยื่อรายใหม่เข้าตลาดมาให้เชือด

การเล่นหุ้นนั้น ถ้าเวลาราคาหุ้นตก ตราบใดที่เรายังไม่ขายหุ้น และเราใช้เงินเย็นมาซื้อ เราก็ไม่มีทางขาดทุน เว้นแต่เราถือหุ้นของบริษัทที่มีแต่ภาพลวงตา แล้วบริษัทนั้นมันเกิดเจ๊งขึ้นมาดื้อ ๆ

สำหรับคนที่มีสายป่านยาว เขาจะเล่นหุ้นแบบทิ้งหุ้นไปสักพักก็ได้ หรือไม่สนใจเลยก็ได้ คนเล่นหุ้นแบบนี้แหละ ส่วนใหญ่มักไม่ขาดทุน เพราะยังไง ๆ เศรษฐกิจมันต้องโตขึ้นไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว

อย่างมหาเศรษฐีรวยหุ้นอันดับ 1 ของโลก วอเรน บัฟเฟต เขาเคยบอกว่า เขาจะเลือกซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ซื้อแล้วก็จะแกล้งลืมหุ้นตัวนั้นไปเลยสัก 1-3 ปี แล้วค่อยกลับมาดูอีกทีว่า จะทำอะไรกับมันต่อดี

เหตุที่หนังสือรวยจากหุ้นมันขายดี ก็เพราะสันดานคนไทยจำนวนมากชอบงานสบาย แต่หวังจะได้ค่าตอบแทนเยอะ ๆ ง่าย ๆ และรวยเร็ว ๆ แต่ไม่อยากทำงานหนัก

สุดท้ายก็กลายเป็นเหยื่อให้พวกโบรกเกอร์และเซียนหุ้นหลอกให้แมงเม่ามาสู่วังวนอันหลอกลวง

แต่โบรกเกอร์กลับรวยเอา ๆ จากค่าต๋ง หรือที่เรียกว่า คอมมิชชั่น จาการซื้อและการขายหุ้นของลูกค้า

ส่วนคนที่ประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้น หรือ เซียนหุ้น ก็จะกลายเป็น ปลาใหญ่ ที่ไล่กิน ปลาเล็ก

นาน ๆ จะมีปลาเล็กที่เก่งฉกาจกระโดดขึ้นไปเป็นปลาใหญ่ได้สักตัวนึง

และเมื่อใครได้เป็นปลาใหญ่แล้ว ก็ต้องไปชักชวนพวกโลภมากหน้าใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดเพื่อให้พวกปลาใหญ่ได้หลอกกินปลาเล็กหน้าใหม่ ๆ ต่อไป

คนที่ขาดทุนหรือหมดตัวจากการเล่นหุ้น ไม่มีใครออกมาเขียนหนังสือ "ฉิบหายจากหุ้น" กันเลยสักคน จริงไหม ?

มีแต่พวกที่รวยจากการเชือดแมงเม่า ที่มักออกมาเขียนหนังสือเพื่อล่อแมงเม่ารายใหม่ ๆ เพื่อเข้ามาให้เขาเชือดเพิ่มขึ้นอีก

แล้วคุณผู้อ่านคิดว่า พวกเซียนหุ้นเขาใจดีจริง ๆ เหรอครับ ที่เขาเปิดสัมนาสอนเทคนิครวยจากหุ้น หรือออกหนังสือรวยด้วยหุ้น ?

ทั้งหมดนั้น คือ การหลอกให้มีเหยื่อรายใหม่ ๆ หลงเข้ามาในตลาดหุ้นนั่นเอง

เพราะพวกแมงเม่าจะโลภมาก จึงอยากจะบินเข้าหากองไฟแห่งตลาดหุ้น ที่พวกเซียนหุ้นจุดไฟแห่งความโลภล่อไว้

ภายใต้ตึกหรูใหญ่โตของตลาดหลักทรัพย์ มีเล่ห์เหลี่ยมและวิธีสกปรกซ่อนอยู่มากมายที่ไว้หลอกกินเหยื่อผู้โลภมากหน้าใหม่ ๆ

ถ้าคุณผู้อ่านเชื่อเนื้อหาในบทความนี้ของผม ผมอยากจะแนะนำอ่าน 2 บทความตามลิงค์ข้างล่าง เพื่อจะได้เข้าใจยิ่งขึ้น

แนะนำอ่าน การเก็งกำไรในตลาดหุ้น คือการพนัน เป็นอบายมุขตอน 1

แนะนำอ่าน การเก็งกำไรในตลาดหุ้น คือการพนัน เป็นอบายมุขตอนจบ


ถ้าคุณได้อ่านบทความข้างบนนี้ทั้งสองบทความคุณจะเข้าใจที่ผมเตือน

และสุดท้ายขอฝากว่า อย่าเชื่อถือ และเชื่อใจ กลต. เพราะบริษัทที่มีภาพลวงตาในตลาดหุ้นมีมากมาย ที่เจ๊งแล้ว ผู้ถือหุ้นก็ซวยเอง อย่าง บ.แคลิฟอร์เนีย ว้าว นั่นไง