วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คนไทยซื้อขายทองมากที่สุดอันดับ 3 ของเอเซีย แต่....







ประเทศในเอเซียที่มีการนำเข้าและซื้อขายทองคำแท้ ๆ ที่ไม่ใช่ทองคำในกระดาษจากการซื้อขายล่วงหน้า ประเทศที่ซื้อทองคำมากที่สุดอันดับ 1 คือ จีน อันดับ 2 คืออินเดีย และอันดับ 3 คือ ไทย

จากการจัดอันดับดังกล่าว คุณพอมองเห็นอะไรที่มันแปลก ๆ ไหมครับ ?

จีนทั้งซื้อทั้งขายทองคำปีละ 1,000 ตัน (จีนนำเข้าทองปีละประมาณ400กว่าตัน) ซึ่งแซงหน้าอินเดียที่เคยเป็นอันดับ 1 มาตลอดเล็กน้อย เพราะค่านิยมของคนจีน และคนอินเดียชอบซื้อทอง สะสมทอง แจกทอง และใส่ทอง เพื่อแสดงออกถึงความมั่งมี ร่ำรวย

ส่วนสาเหตุที่ คนอินเดียซื้อทองน้อยลง (ในตัวเลขอย่างเป็นทางการ) ก็เพราะทางการอินเดียเพิ่มภาษีทองคำขึ้นไปจากเดิมอีก 30 % ในทองคำแท่ง และเพิ่มอีก 37 % ในทองรูปพรรณ (ทำให้อินเดียมีการลักลอบนำเข้าทองหนีภาษีเพิ่มขึ้น)

สาเหตุเพราะค่านิยมซื้อทองคำให้เจ้าสาวใส่ในงานแต่งปริมาณมากเกินไป ทองส่วนนี้ก็จะเป็นสินสอดทองหมั้นแก่เจ้าบ่าวต่อไป ทำให้เกิดปัญหาว่าครอบครัวเจ้าสาวที่ยากจนที่ให้ทองคำน้อยเกินไปแก่เจ้าบ่าว ทำให้ทางฝ่ายครอบครัวเจ้าบ่าวรังเกียจลูกสะใภ้ และเกิดการทำร้ายร่างกายลูกสะใภ้



ชุดเจ้าสาวอินเดีย ที่ต้องประดับทองมากมาย

--------------------

แต่แค่จีนกับอินเดียรวมกัน ก็มีสัดส่วนการซื้อทองเป็น 60% ของตลาดทองทั้งโลกแล้ว

และในวันนี้ประเทศจีนก็มีทองคำสะสมในคลังหลวงมากที่สุดในโลก

ส่วนคนไทยในวันนี้ ไม่ได้ซื้อทองในรูปเครื่องประดับประเภทสร้อย กำไล มากเหมือนสมัยก่อน เพราะ 90% ของการซื้อขายทองคำในประเทศไทยคือ การซื้อขายทองคำแท่ง ซึ่งมีเจตนาเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นมากที่สุด ที่เหลือก็อาจทองคำเพื่อนำมาผลิตตบแต่งในเครื่องประดับชนิดอื่น ๆ ส่วนคนไทยที่รวยมากๆ จะซื้อมาทองคำแท่งเก็บเล่น ๆ มากกว่าเก็งกำไรระยะสั้น

และหากดูถึงในระดับโลกเฉพาะทองคำแท่ง ประเทศไทยซื้อทองคำแท่งมากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากจีน อินเดีย และเยอรมัน คือไทยมีการซื้อทองคำแท่งนำเข้าประมาณปีละ 92 ตันต่อปี

คนอินเดียที่มีฐานะระดับมหาเศรษฐี มีประมาณ 50-60 ล้านคน ต่อจำนวนประชากรทั้งประเทศ 1,273 ล้านคน

คนจีนก็เช่นกัน มีคนรวยระดับมหาเศรษฐีก็มีมากไม่ยิ่งหย่อนกว่าคนอินเดีย

ทั้งจีนและอินเดีย จัดเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก ที่สามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้ พัฒนาโครงการอวกาศของตนเองได้ มีเทคโนโลยีของตนเองที่ทันสมัยไม่แพ้ชาติใดในโลก

วันนี้อินเดีย ส่งรถยี่ห้อทาทามาขายคนไทย ส่งยานสำรวจดาวอังคารที่มีกำหนดลงจอดบนดาวอังคารในปีนี้

วันนี้จีนเปิดประเทศมา 20 กว่าปี จีนมีการคลังที่รวยอันดับ 1 ของโลก และส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์แล้ว

ส่วนเยอรมัน ก็คือชาติมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจของยุโรปและของโลก ประเทศนี้ไม่ต้องยกตัวอย่าง เพราะรวยที่สุดในยุโรปไปแล้ว

แล้วประเทศที่ซื้อทองคำแท่งเป็นอันดับ4 และ 5 ล่ะคือชาติไหน ?

คำตอบคือ อันดับ 4 สวิสเซอร์แลนด์ อันดับ 5 สหรัฐอเมริกา

อันดับ 4 สวิสเซอร์แลนด์ก็ถือเป็นประเทศที่ร่ำรวยชาติหนึ่ง ทองคำสวิสคือผลิตภัณฑ์ที่ทั้งโลกเชื่อถือ และหากมองว่า ธนาคารในสวิสฯ เป็นแหล่งที่มหาเศรษฐีและนักการเมืองของโลกชอบไปเปิดบัญชีทิ้งไว้ที่นั่น การที่สวิสเซอร์แลนด์จะแปลงเงินเป็นทองบ้าง ก็ไม่แปลก

และอุตสาหกรรมนาฬิกาสวิสฯ ก็มีการใช้ทองคำเป็นส่วนประกอบอยู่มากด้วย

ส่วนอันดับ 5 สหรัฐอเมริกา ก็คือมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก นวัตกรรมของโลกล้วนมาจากประเทศนี้มากที่สุด

พี่ไทยแลนด์ล่ะซื้อทองมากที่สุดเป็นอันดับ 3 มาโดยตลอด แล้วพี่ไทยแลนด์เราเป็นมหาอำนาจเรื่องอะไรดีนะ ?? 



เฉลย ไทยเป็นมหาอำนาจ เรื่องนักการเมืองโกงกิน แต่จับมาลงโทษได้แค่คนเดียว !! 555 (ที่จับได้คือนายรักเกียรติ สุขธนะ)

หรือไม่ก็ไทยแลนด์เป็นมหาอำนาจเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลกมั้ง ?


------------------

คนไทยเป็นมหาอำนาจในเรื่อง...

ทั้งเฟสบุ้ค ไลน์ อินสตาแกรม พี่ไทยใช้มากที่สุดติดอันดับต้น ๆ ของโลก

สยามพารากอน สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นสถานที่ ๆ คนไทยอัพรูปลงอินสตาแกรม และเฟสบุ้คมากที่สุดในโลก

นี่เราควรภูมิใจในความโดดเด่นเรื่องนี้ของคนไทยดีมั้ยเนี่ย ?

แต่ที่แน่ ๆ การที่มีคนไทยจำนวนถึง สี่ร้อยแปดพันเจ็ดหมื่นหกแสนห้าล้านคนลงมาเดินบนท้องถนน เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมาได้มากที่สุดในโลกขนาดนั้น

เหตุเพราะกระแสโซเชียลเน็ตเวิร์คของคนไทยล้วน ๆ นี่แหละครับ ^^


----------------------------

ส่งท้ายบทความ

บทความนี้ไม่ได้เขียนเพื่อเอาฮา แต่ถ้าใครได้อ่านบทความนี้ คุณลองพิจารณาให้ลึกซึ้งเถิดว่า

การที่คนไทยซื้อทองคำมากที่สุดในอันดับต้น ๆ ของโลก ซื้อมากกว่าญี่ปุ่น มากกว่าสิงคโปร์ มากกว่าอังกฤษ และมากกว่าอีกนับร้อยประเทศ จะซื้อไปทำไมเหรอ ?

แล้วที่คนไทยไม่ใช่ผู้ผลิตเฟสบุ้ค ไม่ได้เป็นเจ้าของไลน์ หรืออินสตาแกรม หรือผลิตสมาร์ทโฟนได้เอง แต่ดันใช้แอพลิเคชั่นพวกนี้มากที่สุดในโลก ไปทำไมเหรอ ?

ฝากแค่นี้แหล่ะครับ





วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

นายชัยเกษม นิติศิริ ตัวอย่างอดีตอัยการสูงสุดในระบอบทักษิณ






ผมว่า ประเทศไทยต้องปฏิรูประบบการเมืองหลายอย่าง โดยเฉพาะตำแหน่ง อัยการสูงสุด (ทนายความแผ่นดิน) ที่ชอบทำตัวเป็นผู้พิพากษาเสียเอง หรือบางคนถึงกับบอกว่า อัยการสูงสุดทำตัวเหนือกว่าศาลเสียอีก

เพราะอัยการสูงสุดคือผู้ชี้ขาดว่า คดีของแผ่นดินคดีไหนควรส่งฟ้องศาล คดีไหนไม่สมควรส่งฟ้องศาล

และเราก็ได้พบว่า มีหลายคดีมากมายที่สังคมมองว่า จำเลยผิด แต่แล้วจู่ ๆ อัยการสูงสุดกลับมีความเห็นไม่สั่งฟ้องซะงั้น



นายชัยเกษม นิติศิริ เขาผู้นี้เป็นอดีตอัยการสูงสุด ผู้ซึ่งปัจจุบันนี้ดำรงตำแหน่งรมว.กระทวงยุติธรรม ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์


ผลงานอันอื้อฉาวในอดีตของนายนิติธรสมัยดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดก็คือ

(ขอยกมาจากวิกิพีเดีย)

มีการวิจารณ์จากสื่อมวลชนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พยายามที่จะตอบแทนตำแหน่งให้เนื่องจากในสมัยที่นายชัยเกษม นิติสิริดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (ค.ต.ส.) ฟ้องร้องพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและยังเป็นหนึ่งในฐานะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้ร่วมทำคำวินิจฉัยเรื่องเสร็จที่ 568-569/2549 เกี่ยวกับโครงการสลากพิเศษแบบเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว (หวยบนดิน) เนื่องจากเขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กรณีการทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจ จับวัตถุระเบิด CTX 9000

นายชัยเกษม นิติสิริ เคยถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(ค.ต.ส.) ฟ้องร้อง  ในคดีการทุจริตคอรัปชั่นการจัดซื้อเครื่องตรวจ จับวัตถุระเบิด CTX 9000 ในฐานะอดีตกรรมการบริหารบริษัท การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย จำกัด

ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐแยกสำนวนของเขาออกเป็นสำนวนต่างหาก ในวันที่ 27 มิถุนายน 2551 เพียง 3 วันก่อนหน้าที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐจะหมดหน้าที่

หลังจากที่ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ได้มีมติให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และได้ส่งเอกสารสำนวนให้อัยการสูงสุดแล้ว

อัยการสูงสุดในขณะนั้นได้แก่ ศาสตราจารย์พิเศษ ชัยเกษม นิติสิริสั่งไม่ฟ้องตัวเองรวมถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม


-----------

ผลงานล่าสุดของนายชัยเกษรม นิติธร ก็คือ 

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา นายชัยเกษม นิติศิริ รักษาการณ์ รมว.กระทรวงยุติธรรม ก็ได้มาแถลงการณ์ว่า ครม.ยิ่งลักษณ์ต้องรักษาการณ์ต่อไป ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 181 กำหนด

และแถลงว่า นายสุเทพได้กระทำการละเมิดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาโดยไม่มีกฎหมายรองรับ

คลิกอ่านข่าวนี้



ผมว่า ถ้าเราจะปฏิรูปการเมืองใหม่ ก็ต้องปฏิรูปที่ตำแหน่งอัยการสูงสุดก่อนเลยว่า อัยการสูงสุดห้ามกินเงินเดือนจากบริษัทเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ แม้จะไปนั่งเป็นคณะกรรมการในหน่วยงานเหล่านั้นก็ตาม  เช่น การที่อัยการสูงสุดไปนั่งในตำแหน่งคณะกรรมการ ปตท. เป็นต้น

และเมื่ออัยการสูงสุดเกษียณจากอายุราชการแล้ว หรือผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด ต้องห้ามรับตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ หลังจากออกจากราชการไปตลอดชีวิต

เพื่อป้องกันไม่ให้ในสมัยที่ยังรับราชการอยู่  จะคอยเอาแต่เลียนักการเมืองจนลืมไปว่า ตนเองเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนลืมทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ แต่กลับทำตัวเป็นข้าราชการของนักการเมือง ที่คอยแต่ปกป้องผลประโยชน์ให้นักการเมือง

แต่อย่างว่าล่ะนะ ถ้าห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มันก็อาจใช้วิธีรับถุงขนมใส่เงินแทนก็ได้ หรือให้โอนเงินสกปรกไปใส่ธนาคารในสวิสเซอร์แลนด์ก็ได้


--------------------------

ข้อมูลทรัพย์สินของนายชัยเกษม นิติศิริ

27 ส.ค.56 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 1/5 โดยพบว่า ในส่วนของนายชัยเกษม นิติสิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีรายได้รวม 7,898,668 บาท รายจ่าย 2,400,000 บาท รวมทรัพย์สิน 152,709,376.73 บาท ไม่มีหนี้สิน

โดยรายได้ของนายชัยเกษม ประกอบด้วย เงินเดือน 1,347,000 บาท เบี้ยประชุมราชการ/รัฐวิสาหกิจ 2,643,888 บาท ค่าสอนพิเศษ 25,000 บาท ค่าโบนัสรัฐวิสาหกิจ 2,250,000 บาท ดอกเบี้ยเงินฝาก 300,000 บาท เงินปันผล 300,000 บาท รวม 6,865,888 บาท ขณะที่ นางอัมพร นิติสิริ คู่สมรส มีรายได้จากเงินเดือน 562,780 บาท เบี้ยประชุมราชการ/รัฐวิสาหกิจ 240,000 บาท ดอกเบี้ยเงินฝาก 150,000 บาท เงินปันผล 80,000 บาท รวม 1,032,780 บาท

(คลิกดูข้อมูลรายละเอียดจากข่าวastv)


------------------

หมายเหตุ นายชัยเกษมไม่ใช่อัยการสูงสุดที่สั่งฟ้องทักษิณ คดีที่ดินรัชดา

ผมเห็นบทความในสื่อบางแห่งลงข้อมูลคลาดเคลื่อนว่า นายชัยเกษม นิติศิริ เป็นอัยการสูงสุดที่ฟ้องทักษิณในคดีที่ดินรัชดา ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด เพราะมันคาบเกี่ยวกันในช่วงเวลากับอัยการสูงสุดคนก่อนหน้านี้

เพราะอัยการสูงสุดที่สั่งฟ้องทักษิณในคดีที่ดินรัชดาคือ นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุดในขณะนั้น (หมายเลขคดีดำที่ อม.1/2550) ซึ่งนายพชร ได้เกษียณราชการในเดือนกันยายน 2550 แล้วนายชัยเกษม นิติศิริ คืออัยการสูงสุดคนต่อมา






วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ไอ้ทรราช ทักษิณ vs รัฐบุรุษ เนลสัน แมนเดลา








เนลสัน แมนเดลา คือผู้สร้างความสามัคคีของคนในชาติ ให้เลิกแตกแยกเพราะการแบ่งแยกสีผิว

ทักษิณ ชินวัตร คือผู้สร้างความแตกแยกของคนในชาติ ด้วยวาทกรรม แบ่งแยกชนชั้น ให้เสื้อแดงถ่อยเป็นไพร่ ให้คนฉลาดมีศีลธรรมเป็นอำมาตย์

------------------------

เนลสัน แมนเดลา นักกฎหมายที่ช่วยเหลือประชาชน

ทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจที่ร่ำรวยจากสัมปทานของรัฐ ทำเพื่อตระกูลอย่างเห็นแก่ตัว ขูดรีดประชาชน มันจึงรวยเร็ว

-------------------------

เนลสัน แมนเดลา ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตด้วยข้อหาล้มล้างการปกครอง หรือ กบฏ แต่ติดคุกจริง 27 ปี

ทักษิณ ชินวัตร ถูกตัดสินจำคุกแค่ 2 ปี ด้วยข้อหาเป็นนายกรัฐมนตรีแต่กลับอนุญาตให้เมียไปประมูลซื้อที่ดินของรัฐ แต่ไม่ยอมมาติดคุกแม้แต่วินาทีเดียว ทั้ง ๆ ที่ติดคุกวันเดียวก็สามารถขอพระราชทานอภัยโทษได้แล้ว


-----------------

เนลสัน แมนเดลา ไม่กลัวคุก ไม่ทิ้งประชาชน

ทักษิณ ชินวัตร หนีคุก ทิ้งประชาชน แล้วหลอกเสื้อแดงไปตายแทน

"พี่น้องไม่ต้องห่วง ผมเอาตัวรอด เสียงปืนนัดแรกดังแล้ว ผมยังไม่ว่างจะกลับมาเดินนำขบวนนะ พี่น้องเสื้อแดงจงสู้ต่อไปเพื่อประชาธิปไตย ส่วนญาติพี่น้องลูกเมียของผม ขออนุญาตไปเที่ยวช้อปปิ้งเมืองนอกก่อนนะครับ"  (5555 อันนี้ผมแต่งล้อไอ้ทักษิณ)

------------------

เนลสัน แมนเดลา ให้อภัยผู้มีอำนาจและทุกฝ่ายที่ทำให้เขาติดคุก

ทักษิณ ชินวัตร คิดอาฆาตแค้นจองเวร จนถึงกับพูดว่า "ถ้าผมอยู่ไม่เป็นสุข ใครก็อย่าหวังจะได้เป็นสุข"

--------------------

เนลสัน แมนเดลา แต่งงาน 3 คร้้ง

ทักษิณ ชินวัตร แต่งงานครั้งเดียวหย่าแล้ว แต่ต่อจากนั้นซื้อมาเอา

-----------------------

เนลสัน แมนเดลา อยู่อย่างพอเพียง เรียบง่าย

ทักษิณ ชินวัตร กินอยู่หรูหรา อวดร่ำอวดรวย ไม่รู้จักคำว่าพอ โลภไม่สิ้นสุด โกงไม่บันยะบันยัง

----------------------

เนลสัน แมนเดลลา อ่อนน้อมถ่อมตน จึงยิ่งใหญ่

ทักษิณ ชินวัตร อวดเบ่ง หลงตัวเอง ยกหางตัวเองว่าตนเทียบเท่านายแมนเดลา และนางซูจี

------------

เนลสัน แมนเดลา เป็นรัฐบุรุษสันติภาพแห่งอาฟริกาใต้และของโลก ได้รับรางวัลโนเบลเพื่อสันติภาพ

ทักษิณ ชินวัตร เป็นทรราชแห่งไทยแลนด์ คอรัปชั่นติดอันดับโลก ได้รับการจัดอันดับเป็นผู้นำที่เลวที่สุด 1 ใน 5 ของโลก มันสมควรได้รับรางวัล NO LAND = จรจัดไม่มีแผ่นดินอยู่ เร่ร่อนไปเรื่อย ๆ 555

------------------

เนลสัน แมนเดลลา วีรบุรษของชาติ เมื่อจากไปคนทั้งโลกต่างอาลัย และยกย่อง

ทักษิณ ชินวัตร โจรขายชาติ ถึงตายห่าไป ก็มีแต่คนสมน้ำหน้า หัวเราะ 5555


---------------------

ส่งท้ายบทความ

อาร์คบิชอฟ เดสมอน ตูตู เคยกล่าวว่า "คนที่ต้องติดคุกเป็นเวลายาวนาน จะมี 2 ทางให้เลือกเดิน คือ 1 เขาจะทุกข์ทรมานและอาฆาตแค้นมากขึ้น หรือ 2. เขาจะสงบเยือกเย็นลง และมีเมตตาธรรมมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีที่แมนเดลา เขาเลือกทางเดินในแบบที่ 2"





วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

พระราชวังไกลกังวล กับสิ่งคณะราษฎร์มอบให้







ตอนแรก ในหลวง ร.7 ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญตามที่คณะราษฎร์ต้องการ แต่รัชกาลที่ 7 ทรงเน้นว่า พระราชทานให้ปวงชนชาวไทย ไม่ใช่พระราชทานให้แก่กลุ่มบุคคลคณะหนึ่งคณะใดเท่านั้น

แต่สุดท้าย ในพวกคณะราษฎร์ก็เกิดการแย่งชิงอำนาจกันเอง ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง (มีสมาชิกคณะราษฎร์บางคนต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปตายเยี่ยงยาจกในต่างประเทศก็มี)

"ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของ ข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดย สิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร"


ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ในหลวง ร. 7 จึงทรงเสียพระราชหฤทัย แล้วจึงทรงสละพระราชสมบัติในระหว่างเสด็จไปรักษาพระเนตรที่อังกฤษ และในหลวงก็ทรงประทับที่อังกฤษ จนกระทั่งสวรรคต

ฉะนั้นการกระทำของพวกคณะราษฎร์ จึงไม่ได้น่าชื่นชมยกย่องมากมายอะไรมากนักตามที่แบบเรียน สปช. เขียนยกย่องให้นักเรียนสมัยผมเรียน

เพราะยังไง ๆ แม้ไม่มีคณะราษฎร์ ในหลวงของเราก็ทรงเตรียมมอบประชาธิปไตยให้คนไทยอยู่แล้ว เพราะในหลวงได้เตรียมการเรื่องประชาธิปไตยมาตั้งแต่ ร.5 ร.6 และ ร.7

โดยเฉพาะเนื่องในการฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี ในหลวงรัชกาลที่ 7 เคยมีพระราชปรารภว่า จะทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้คนไทย (เปลี่ยนแปลงการปกครอง) แต่ถูกทักท้วงจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่

------------

แม้ถ้าจะได้ประชาธิปไตยมาช้าหน่อย แต่ถ้าได้มาอย่างที่ประชาชนพร้อมแล้ว นั่นแหละดีที่สุด

อย่างเช่น ประเทศภูฏาน ก็เพิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง แต่ภูฏานเขาได้ประชาธิปไตยที่ชาญฉลาดแล้ว

ไม่ใช่ได้ประชาธิปไตยแบบโง่ ๆ เหมือนที่คณะราษฎรเร่งยัดเยียดให้คนไทย

จนกระทั่งวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเลยว่า ประชาธิปไตยที่ถูกต้องคืออะไร ?

เพราะคนไทยส่วนใหญ่รู้จักแค่ว่า การเลือกตั้งชนะคือประชาธิปไตย แค่มีเสียงที่มากกว่าคือประชาธิปไตย



-----------------

พระราชวังไกลกังวล สร้างในสมัยรัชกาลที่ 7 และในช่วงที่รัชกาลที่ 7 เสด็จแปรพระราชฐานไปพักผ่อนที่พระราชวังไกลกังวล

และในช่วงนี้เองที่คณะราษฎร์ถือโอกาสก็ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง


คลิกอ่าน ฤา ประชาธิปไตยไม่เหมาะกับคนไทย กับคำสารภาพของปรีดี !!