วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

มโนเบื้องลึกเวทีมิสยูนิเวิร์ส 2015 สหรัฐอเมริกาใช้หวังผลการเมือง







เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า การประกวดมิสยูนิเวิร์ส หรือ ประกวดนางงามจักรวาล ได้อยู่ภายใต้การบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีคนดังของสหรัฐอเมริกามาหลายปีแล้ว

แต่ปีนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศลงสมัครชิงชัยเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน เพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

แล้วเมื่อเดือนกันยายน 2558 ที่ผ่านมานี้เอง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขายกิจการประกวดนางงามจักรวาลให้แก่กลุ่มธุรกิจที่ชื่อว่า William Morris Endeavor หรือ WME ไปแล้ว

ดังนั้นการประกวดนางงามจักรวาล 2015 จึงอยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่ม WME เป็นครั้งแรก

กลับเข้ามาในประเด็นที่ว่า ทำไมถึงได้เกิดความผิดพลาดในการประกาศผลผู้ชนะเลิศได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส 2015 ได้ ?

ในตอนแรกพิธีกรผิวสี นายสตีฟ ฮาร์วีย์   ซึ่งทำหน้าที่เป็นพิธีกรการประกวดนางงามจักรวาลเป็นครั้งแรก ได้ประกาศให้มิสโคลัมเบีย ได้เป็นมิสยูนิวเวิร์ส 2015 ซึ่งทำให้โคลัมเบียได้กลายเป็นประเทศที่ 2 ในโลกที่สามารถได้ตำแหน่งนี้ 2 สมัยติดต่อกัน ต่อจากประเทศเวเนซูเอลา ที่เคยทำได้เป็นชาติแรก

หลังจากมิสยูนิเวิร์ส 2014 ซึ่งเป็นชาวโคลัมเบียเหมือนกันได้นำมงกุฏมาสวมให้มิสโคลัมเบียแล้ว มอบสายสะพายแล้ว มีการมอบดอกไม้แล้ว มีน้ำตาไหลแล้ว และมิสโคลัมเบียก็เดินโบกมือให้ผู้ชมและเพื่อนางงามด้วยกันแล้ว

แต่จู่ ๆ พิธีกรก็เดินออกมาประกาศขอโทษต่อผู้ชมว่า มีความผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะที่ถูกต้องมิสโคลัมเบียคือรองอันดับ 1 ส่วนมิสฟิลิปปินส์ต่างหากที่เป็นนางงามจักรวาล แล้วพิธีกรก็ได้แสดงความโปร่งใสด้วยการโชว์ใบประกาศให้ผู้ชมได้เห็นว่า เขาได้ประกาศผิดพลาดจริง ๆ โดยในใบประกาศได้เขียนว่า มิสฟิลิปปินส์คือมิสยูนิเวิร์ส จริง ๆ

ช็อตนี้สร้างความงวยงงให้ผู้ชมทั้งในเวทีและงงกันไปทั้งโลก แล้วมิสยูนิเวิร์ส 2014 ก็ค่อย ๆ ไปถอดมงกุฏจากศีรษะมิสโคลัมเบีย มาสวมให้มิสฟิลิปปินส์แทน






ชมคลิปช็อตผิดพลาดในการประกาศตำแหน่งมิสยูนิเวืร์ส



---------------------------

ที่ผมตั้งข้อสังเกตว่า สหรัฐอเมริกาอาจใช้การประกวดนางงามจักรวาลครั้งนี้เพื่อผลทางการเมืองหรือไม่

มันมีข้อสังเกตตรง คำถามที่ถามมิสฟิลิปปินส์ในช่วง 5 คนสุดท้าย ที่ถามว่า คุณคิดอย่างไรที่สหรัฐอเมริกาจะขอตั้งฐานทัพในฟิลิปปินส์

ซึ่งมิสฟิลิปปินส์ ก็ตอบว่า "สหรัฐและฟิลิปปินส์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา เราเคยเป็นอาณานิยมของอเมริกัน และเรามีวัฒนธรรมของพวกเขาในประเพณีของเราจนถึงทุกวันนี้ ดิฉันคิดว่าฟิลิปปินส์พร้อมต้อนรับ และไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร"

ประเด็นนี้แหละครับ คือคำถามที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าให้มาถามมิสฟิลิปปินส์แบบนี้

ซึ่งมิสฟิลิปปินส์ก็ตอบเอาใจเจ้าภาพการประกวด คือ สหรัฐอเมริกา อย่างดี ทั้ง ๆ ที่ถ้าคนฟิลิปปินส์ที่มีความชาตินิยมสักนิดอาจมองได้ว่า เธอยอมรับการเป็นขี้ข้าสหรัฐอเมริกาอย่างภาคภูมิใจ

และจุดนี้แหละครับ ที่ผมตั้งข้อสังเกตว่า มิสฟิลิปปินส์จะต้องชนะการประกวดในวันนี้เท่านั้น ไม่งั้นถ้าเธอกลับไปฟิลิปปินส์ ก็อาจกลายเป็นประเด็นดราม่าในฟิลิปปินส์ต่ออีก เพราะกระแสต่อต้านฐานทัพสหรัฐอเมริกาก็ยังมีพอควร

ในเมื่อมิสฟิลิปปินส์ อุตส่าห์ตอบแบบเอาใจเข้าข้างสหรัฐอเมริกาเต็มที่แบบนี้ ก็จำเป็นต้องให้เธอได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส 2015 ล่ะครับ ไม่งั้นกองประกวดก็แล้งน้ำใจไปหน่อย

แต่กรรมการกองประกวดดันหยิบใบประกาศผิด ซึ่งใบประกาศคงเตรียมไว้ล่วงหน้า 2 ใบ คือ ใบแรกให้มิสโคลัมเบียชนะ กับ อีกใบให้มิสฟิลิปินส์ชนะ พูดง่าย ๆ ว่า มีการล็อคผลไว้ล่วงหน้าแล้ว

แต่ประเด็นที่จะให้ใครชนะ มันขึ้นอยู่ที่ว่า มิสฟิลิปปินส์จะตอบคำถามเรื่องฐานทัพสหรัฐอเมริกาในฟิลิปินส์ว่าอย่างไร

หากมิสฟิลิปปินส์ตอบทำนองแบ่งรับแบ่งสู้ ตอบไม่ชัดเจนว่า เธอเห็นด้วยกับการที่มีฐานทัพสหรัฐอเมริกาในฟิลิปปินส์หรือไม่

เธอก็คงแพ้ ได้แค่รองอันดับ 1 ไป

แต่เผอิญมิสฟิลิปปินส์เธอตอบเอาใจกองทัพสหรัฐอเมริกาเต็มที่ ฉะนั้น จะให้เธอแพ้ได้แค่รองอันดับ 1 กลับบ้านไป ก็เท่ากับส่งเธอกลับไปให้เกิดกระแสดราม่าทะเลาะกันในฟิลิปปินส์อีก

แต่ถ้าเธอตอบเอาใจสหรัฐอเมริกาแล้วเธอยังได้เป็นมิสยูนิเวิร์สด้วย กระแสต่อต้านเธอ รวมทั้งกระแสต่อต้านฐานทัพสหรัฐอเมริกาในฟิลิปปินส์ก็คงเงียบลง และชัยชนะก็อยู่ในมือสหรัฐอเมริกาต่อไป

พูดง่าย ๆ ว่า สหรัฐอเมริกาจะให้เธอเป็นกระบอกเสียงเรื่องการขอตั้งฐานทัพสหรัฐอเมริกาในฟิลิปปินส์ต่อไป


ะนั้นสรุปดื้อ ๆ เลยว่า ตอนแรกที่ให้มิสโคลัมเบียชนะ เป็นเพราะกรรมการกองประกวดหยิบใบประกาศผิดซองครับ 5555

ใบประกาศผลใบแรกที่หยิบผิด ได้ให้มิสโคลัมเบียนเป็นนางงามจักรวาล



ก็ดูสิครับ ใบประกาศเขียนชัดเจนถึงตำแหน่งรองอันดับ 1 รองอันดับ 2 และตำแหน่งนางงามจักรวาลแยกไว้เป็นสัดส่วนอย่างดีขนาดนี้ แล้วพิธีกรมันจะโง่อ่านผิดได้อย่างไร


ใบประกาศที่นายสตีฟ ฮาร์วีย์ นำมาอ้างตอนหลังว่าเขาอ่านผิด



http://imgur.com/a/qbrv1

-------------------

สหรัฐอเมริกา ยังต้องการคงฐานทัพในฟิลิปปินส์ต่อไป เพื่อคานอำนาจจีน และเพื่อไม่ให้จีนมายึดเกาะที่เป็นปัญหาพิพาทกับฟิลิปปินส์และอีกหลายประเทศแถบนี้ได้ง่าย ๆ


ตัวอย่างผลโพลจากสื่อต่างประเทศแห่งนึง ได้ถามความเห็นว่า คุณเชื่อหรือไม่ที่สตีฟ ฮาร์วี่ จะประกาศผลผิดจริง ๆ (มีสื่อหลายแห่งก็ทำโพลแบบนี้เช่นกัน ผลก็ใกล้เคียงกัน)

ซึ่งความเห็นคนส่วนใหญ่กลับไม่เชื่อว่า นายสตีฟ จะประกาศผิด



เมื่อเช้าวันที่ 21 ธ.ค. 58 ผมได้ดูประกวดมิสยูนิเวอร์ส 2015 ตั้งแต่ต้นจนจบ

บอกตรง มิสไทยแลนด์ น้องแนทของเรา สวยกว่ามิสฟิลิปปินส์ หุ่นก็ดีกว่าเยอะ

แต่สิ่งหนึ่งที่เราแพ้ คือ ลักษณะความเป็นผู้นำครับ มิสฟิลิปปินส์ดูมีพลังแฝง แบบ...แบบต่อไป สามารถไปเป็นประธานาธิบดีหญิงได้เลย ประมาณนั้น (ตอบคำถามยังแนวการเมืองเลย)

และที่สำคัญมิสฟิลิปปินส์ เธอเป็นเต็ง 1 มาตลอดในผลสำรวจว่าใครจะได้เป็นมิสยูนิเวิร์ส 2015 ครับ

ผมว่า ไม่แน่นะ นี่อาจคือ วิธีสร้างกระแสข่าวเรียกเรตติ้งทางอ้อมของการประกวดจากผู้จัดประกวดมือใหม่ เพราะหลัง ๆ คนที่มีกำลังซื้อสูงเริ่มสนใจพวกการประกวดนางงามน้อยลง

ยิ่งมิสเวิร์ล 2015 ก็เพิ่งจะประกวดไปก่อนหน้าไม่ถึงอาทิตย์เอง

ย้ำนะครับ ว่า บทความเขียนชื่อว่า มโน หมายถึง ลองคิดเล่น ๆ สนุก ๆ ครับ




วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แตกประเด็นต่อจาก อ.เจษฏา กรณีมะละกอไทยถูกญี่ปุ่นตีกลับ






ากกรณี มะละกอไทยถูกญี่ปุ่นตีกลับเพราะมีการปนเปื้อนจีเอ็มโอ จนเป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อนนั้น


ที่มาข่าว http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=3471


าจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก ก็ได้ออกมาชี้แจงว่า ที่ญี่ปุ่นตีกลับมะละกอไทยนั้น ไม่ใช่เพราะญี่ปุ่นห้ามการนำเข้าผลไม้จีเอ็มโอ แต่เป็นเพราะผู้ส่งออกมะละกอไทยแจ้งว่า เป็นมะละกอปกติ แต่ญี่ปุ่นกลับตรวจพบว่ามีจีเอ็มโอปนเปื้อน ก็เลยถูกตีกลับ

แถมอาจารย์เจษฎา ยังบอกอีกว่า ญี่ปุ่นอนุญาตให้นำเข้ามะละกอจีเอ็มโอจากฮาวายมานานแล้วด้วย


http://imgur.com/ZlrUVCU

ถามว่า จริง ๆ แล้ว ประเด็นข่าวตีกลับมะละกอคืออะไรกันแน่ ?

ตอบว่า ประเด็นคือ ประเทศไทยเราตั้งใจจะส่งออกมะละกอธรรมดาปกติทั่วไป แต่ดันมีจีเอ็มโอมาปนเปื้อนโดยที่ผู้ส่งออกก็คงไม่รู้ว่ามะละกอถูกปนเปื้อน นี่สิคือ ปัญหา

ปัญหาต่อมา ก็คือ แล้วมะละกอจีเอ็มโอมันหลุดออกจากการทดลองออกมาปนเปื้อนกับมะละกอที่เกษตรกรปลูกเพื่อขาย เพื่อให้มนุษย์กิน เพื่อการส่งออกได้อย่างไร ??


ถามว่า ความเสียหายแบบนี้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ ?

การที่อาจารย์เจษฎา บอกว่า ผู้ส่งออกไทยเราทำผิดกฎหมายเอง เพราะผู้ส่งออกดันไปแจ้งว่า ส่งออกมะละกอปกติ ไม่ใช่มะละกอจีเอ็มโอ นั้น

จึงทำให้ดูเหมือนว่าผู้ส่งออกไทย เกษตรกรไทยกลายเป็นฝ่ายผิดเสียเอง

ทั้ง ๆ ที่ ผู้ส่งออกมะละกอ และชาวสวนมะละกอ เขาคงไม่รู้หรอกว่า มะละกอที่เขาปลูกอยู่ดี ๆ นั้น จู่ ๆ จะมีเชื้อมะละกอจีเอ็มโอจากการทดลองของนักวิชาการไทยที่ทำงานรับใช้ให้ "มอนซานโต้" จะหลุดออกมาปนเปื้อนกับมะละกอของพวกเขา

ฉะนั้น ไอ้คนผิดตัวจริง  ก็คือ ไอ้คนทดลองปลูกมะละกอจีเอ็มโอนั่นแหละ ที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียหาย เสียเครดิต จากการส่งมะละกอปนเปื้อนจีเอ็มโอ


อนนี้รัฐบาลไทยเรา กำลังกำหนดนโยบายเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นครัวโลก เน้นขายอาหารปลอดสารพิษ เกษตรอินทรีย์ เกษตรวิถีธรรมชาติ เป็นจุดขาย

แต่การกระทำของหน่วยงานของรัฐบาลไทย และข้าราขการที่เป็นนักวิชาการของไทยเอง กลับทำเหมือนย้อนแย้งกันเองว่า ตกลงจะให้ไทยมีจุดยืนเรื่องเกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ แต่ดันสนับสนุนการทดลองพืชจีเอ้มโอที่เป็นอาหารของคนและสัตว์

ดูเหมือนไทยเราจะดำเนินนโยบายเหยียบเรือสองแคมซะมากกว่า



แล้วการอ้างว่า ญี่ปุ่นอนุญาตให้นำสินค้าจากพืขจีเอ็มโอเข้าประเทศได้นั้น ก็ต้องอธิบายให้ครบถ้วนว่า ญี่ปุ่นยังไม่อนุญาตให้มีการปลูกพืชจีเอ็มโอที่เป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์ในญี่ปุ่นเด็ดขาดนะครับ ขอบอก

แม้ญี่ปุ่นจะอนุญาตให้นำเข้าผลผลิตจากพืชจีเอ็มโอได้ แต่ก็ต้องระบุให้ชัดเจนว่า จีเอ็มโอ GMOs และต้องติดเครื่องหมายหรือฉลากที่สินค้าให้ชัดเจนว่า เป็นผลผลิตที่มีจีเอ็มโอ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคได้ตัดสินใจ

ในขณะที่ประเทศไทย ใครใช้พืชจีเอ็มโอมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสำเร็จรูป ก็ยังไม่ต้องระบุที่ฉลากว่า เป็นผลผลิตจากพืชจีเอ็มโอ




http://www.greenpeace.org/seasia/th/news/23470/

ถึงแม้ว่า ญี่ปุ่นจะมีการปลูกพืชจีเอ็มโอเพื่อการค้า และทดลองปลูกพืชจีเอ็มบ้างแล้วในประเทศตัวเอง แต่ก็เป็นเพียงพืชจีเอ็มโอที่มนุษย์และสัตว์ไม่ได้บริโภคเป็นอาหาร เช่น ดอกไม้ หรือ  หรือการทดลองตัดแต่งพืชใบที่ให้ใบมากสามารถเพิ่มปริมาณออกซิเจนในอากาศได้มากขึ้น เป็นต้น


ย้ำอีกทีครับ ญี่ปุ่นแม้จะอนุญาตให้นำผลไม้ หรือผลผลิตจากพืชจีเอ็มโอเข้าประเทศได้ก็ตาม แต่ญี่ปุ่นยังไม่อนุญาตให้ปลูกพืชจีเอ็มโอที่เป็นอาหารสำหรับมนุษย์และสัตว์ในประเทศญี่ปุ่นนะครับ จำไว้ !!

ส่วนประเทศไทยก็เก่งเหลือเกิน อนุญาตให้ทดลองพืชจีเอ็มโอที่เป็นอาหารของมนุษย์หรือสัตว์ในประเทศตัวเองได้นานแล้วด้วย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีกฎหมายควบคุมเฉพาะมารองรับ


ส่วนสหภาพยุโรป แม้จะอนุญาตให้มีการนำเข้าสินค้าจีเอ็มโอได้แล้วถึง 49 ชนิดซึ่งโดยมากเพื่อเป็นอาหารสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช หรือพวกฝ้าย แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศในยุโรปที่ยังสงวนสิทธิไม่อนุญาตให้นำเข้าสินค้าจีเอ็มโอ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี ออสเตรีย รัสเซีย และประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออก เป็นต้น

http://www.moac.go.th/ewt_news.php?nid=11724



งสัยพวกนักวิชาการของฝรั่งเศส รัสเซีย อิตาลี โง่เน๊อะ ไม่ฉลาดเก่งเหมือนนักวิชาการไทยเลย 5555

ขนาดประเทศฝรั่งเศสมีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เต็มประเทศหลายสิบโรง แต่ดันกลัวพืชจีเอ็มโอซะงั้น !?? (มันเกี่ยวไหม?)


สำหรับประเทศที่อนุญาตให้นำเข้าผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอได้ ก็ไม่ได้แปลว่า จะยอมให้ปลูกพืชจีเอ็มโอในประเทศตัวเองได้

อย่างเช่น ในสหภาพยุโรป มีเพียง 5 ประเทศเท่านั้น ที่อนุญาตให้ปลูกพืชจีเอ็มโอในไร่เปิดตามปกติเพื่อการค้าได้ คือ สเปน โปรตุเกส โรมาเนีย สโลวาเกีย และ เชก เท่านั้น (ข้อมูลนี้ เฟสอาจารย์เจษ บอกเอง คลิกที่นี่)

ขนาดยุโรปยังกล้าปลูกพืชจีเอ็มโอ แค่ 5 ประเทศ แต่ไทยเราเจ๋งกว่า ปลูกมะละกอจีเอ็มโอในไร่เปิดนานแล้ว

แม้แต่อาจารย์เจษฎา ก็ยังสนับสนุนการปลูกพืชจีเอ็มโอในแปลงเปิดจริง ๆ

http://imgur.com/Kqtl3DY

---------------------

นายก ฯ รัสเซียประกาศแบน GMOs


นายกรัฐมนตรีรัสเซีย Dmitry Medvedev ประกาศเมื่อเร็วๆนี้ว่า รัสเซียจะห้ามการนำเข้าสินค้าGMO หรือสินค้าที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม เพราะว่ารัสเซียมีที่ดิน หรือทรัพยากรธรรมชาติมากเพียงพอที่ผลิตอาหารหรือเกษตรอินทรีย์

"ถ้าคนอเมริกันอยากจะกินอาหารGMO เชิญตามสบาย แต่รัสเซียไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะว่าเรามีที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติเหลือเฟือที่จะผลิตอาหารอินทรีย์" นาย Medvedevกล่าว

ที่มา http://www.collective-evolution.com/2014/04/15/its-official-russia-completely-bans-gmos/


ปธน. ปูติน ประกาศต้องการให้รัสเซียเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารปลอดจีเอ็มโอที่ใหญ่ที่สุดโลก



ที่มาข่าว https://www.rt.com/business/324605-russia-putin-healthy-food/


-------------------

ประเด็นสำคัญเรื่องจีเอ็มโอของไทยคืออะไร ?

มว่า ตอนนี้ประเด็นหลักในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บริโภคอาหารจีเอ็มโอปลอดภัย หรือไม่ ? เพราะบางทีกว่าเราจะรู้ว่า จะปลอดภัยหรือไม่นั้น อาจเป็นผลกระทบในรุ่นหลานเหลนโหลนภายหน้าอีก 30 ปีต่อจากนี้

คือ ไม่ได้กลัวว่ากินจีเอ็มโอแล้วจะตาย หรือจะป่วยในวันนี้พรุ่งนี้ปีนี้ปีหน้า

แต่มันอาจเป็นผลกระทบในระดับการเปลี่ยนแปลง DNA เช่น เกิดการกลายพันธุ์ของมนุษย์ จนถึงอาจกลายเป็นการสิ้นสุดของมนุษยชาติก็ได้ เพราะอาจกลายพันธุ์ไปเป็นพวกอมนุษย์ แทน 555 (ผมแค่คิดเล่น ๆ คุณผู้อ่านอย่ารีบซีเรียสล่ะ เอ๊ะ หรือทุกวันนี้มันก็กลายพันธุ์อยู่แล้ว)

"เผาพืชจีเอ็มโอเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง" อมนุษย์ตัวหนึ่งประกาศ


แต่ประเด็นสำคัญในปัจจุบันคือ ไทยเรายังไม่มี กฎหมายไทยเฉพาะเรื่องจีเอ็มโอ และที่กำลังจะมี ก็ดันเอื้อประโยชน์ให้บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเสียอีก

คุณผู้อ่านก็น่าจะรู้ว่า กฎหมายไทยมักเน้นบังคับใช้เฉพาะคนจน

ตัวอย่างเช่น กฎหมายควบคุมมลพิษ หรือควบคุมน้ำเสียจากโรงงาน ไทยเรามีกฎหมายควบคุมเรื่องมลพิษมานานแล้ว

แต่ถามว่า เราก็ยังเห็นข่าวโรงงานปล่อยน้ำเสียลงคูคลองสาธารณะ หรือข่าวลักลอบนำกากของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมมาทิ้งในที่สาธารณะมาโดยตลอด จริงไหม ?

แล้วเคยหาคนผิดมาลงโทษได้รึยัง หรือ เคยเห็นเจ้าของโรงงานที่ปล่อยมลพิษสู่ที่สาธารณะ ติดคุกบ้างไหม ? 

โดยมากประชาชน ชาวบ้านมักเป็นฝ่ายเสียเปรียบโรงงานที่ปล่อยมลพิษตลอดจริงไหม และบางคดีชาวบ้านอาจเอาชนะคดีกับโรงงานได้ แต่กว่าจะได้รับค่าเสียหายก็ได้ไม่คุ้มเสีย เช่น กรณีสารตะกั่วปนเปื้อนในลำห้วยคลิตี้ เป็นต้น

แต่โดยมากชาวบ้านมักต้องก้มหน้ารับกรรมฟรี ๆ ทั้งนั้น เพราะเรื่องก็มักเงียบหายไปกับสายลม โดยที่ข้าราชการก็ไม่เอาใจใส่ดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง

กรณีหากมีการปนเปื้อนจีเอ็มสู่ไร่ธรรมชาติของเกษตรกร มันก็เข้าอีหรอบเดียวกันนั่นแหละเชื่อผมไหม ? บางทีเกษตรกรอาจเป็นหนี้จนตายก่อนจะเอาชนะคดีกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้

ฉะนั้นป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าตามแก้ไขทีหลัง


แม้แต่เรื่องป่าไม้ ไทยเราก็มีกฎหมายป้องกันปกป้อง แต่เราก็ปกป้องป่าไม้ส่วนใหญ่เอาไว้ไม่ได้

ฉะนั้น เรื่องจีเอ็มโอ มันก็คล้าย ๆ เรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ นั่นแหละ ก็คือ ประชาชนไม่ไว้ใจว่าหน่วยงานของรัฐจะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนได้จริง

แล้วลองนึกในทางร้ายสุด ๆ ไว้ก่อนเช่น ถ้าต่อไป ข้าวไทย ถ้าพืชผัก และผลไม้ของไทยทุกชนิด มีการปนเปื้อนจีเอ็มโอจนหมด มันจะเกิดอะไรขึ้น !! ???


------------------------

คลิป มอนซานโต้ ฟ้องเกษตรกรข้าวโพดสหรัฐอเมริกาโทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์

กรณี 1. เกษตรกรซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดมอนเซานโต้มาปลูกในรุ่นแรก แต่พอเกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์ที่เกิดขึ้นในไร่ตัวเองเพื่อไปปลูกในรุ่นต่อไป กลับถูกมอนซานโต้ฟ้องว่า เกษตรกรละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะเมื่อตรวจสอบเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดแล้ว เป็นพันธุ์เดียวกับที่มอนซานโต้ถือลิขสิทธิ์อยู่

เพราะกฎหมายสหรัฐอเมริกาเอื้อประโยชน์ให้มอนซานโต้


กรณีที่ 2. เกษตรกรคนหนึ่งปลูกถั่วเหลืองพันธุ์ปกติ แต่ไร่ข้าง ๆ ที่อยู่ติดกันปลูกข้าวโพดจีเอ็มโอของมอนซานโต้ แล้วละอองเกสรถั่วเหลืองจีเอ็มโอจากไร่อื่นลอยมาติดถั่วเหลืองพันธุ์ปกติของเขา จนเกิดการปนเปื้อน

เกษตรกรที่ปลูกถั่วเหลือง และ ข้าวโพดพันธุ์ปกติ ที่ถูกเกสรจีเอ็มโอลอยมาปนเปื้อน กลับถูกมอนซานโต้ฟ้องฐานละเมิดลิขสิทธิ์



กรณีเรื่องเกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดไปใช้ปลูกในรุ่นต่อไป โดยคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ดีจากข้าวโพดหลาย ๆ รุ่น แล้วนำไปทดลองปลูก จนคัดได้เมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สามารถนำไปปลูกเพื่อขายเมล็ดพันธุ์เพื่อการค้าได้

กลุ่มเกษตรกรไทยที่ขายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดให้เกษตรกรด้วยกัน ก็โดนบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยฟ้องร้องแล้วเช่นกันว่า ละเมิดลิขสิทธิ์

-----------------------

อาจารย์เจษฎา อวด มีเกษตรกรตั้ง 18 ล้านคนทั่วโลกปลูกพืชจีเอ็มโอแล้ว 

อ.เจษฏา อวดมีเกษตรกรตั้ง 18 ล้านคนปลูกพืชจีเอ็มโอแล้ว

เอ่อ.. ตอนนี้โลกเรามีประชากรประมาณ 7 พันล้านคน ถ้า 1 ใน 3 เป็นเกษตรกร ก็เท่ากับจะมีเกษตรกรในโลกประมาณ 2 พันล้านคน กะอีแค่จำนวนเกษตรกรปลูกจีเอ็ม 18 ล้านคนทำคุย !!

แถมยังอวดอีกว่า บังคลาเทศก็ปลูกมะเขือยาวม่วงจีเอ็มโอแล้วด้วยนะ ขอบอก !!



http://imgur.com/a/TawD0

แต่ !! ฟิลิปปินส์กลับเลิกปลูกมะเขือยาวม่วงจีเอ็มโอแล้ว แถมห้ามนำเข้า จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรมแล้วด้วย ทั้ง ๆ ที่ฟิลิปปินส์สนิทสนมกับสหรัฐอเมริกามากกว่าไทยนะเนี่ย !!!  



ที่มาข่าว http://goo.gl/KRKgKG



ในปี 2556 ยุโรปตรวจพบมะละกอส่งออกของไทยมีการปนเปื้อนจีเอ็มโอมากเป็นประวัติการณ์



ที่มาข่าว http://www.biothai.net/node/19954

หลายวันก่อน คุณวิฑูรย์ แห่งมูลนิธิชีววิถี บอกในรายการช่วยคิดช่วยทำ ช่อง 3 ว่า ในปี 2015 มะละกอไทยเหลือส่งออกไม่ถึง 500 ตันแล้ว ทั้ง ๆ ที่ในปี 2011 ไทยเรายังเคยส่งออกมะละกอมากถึง 995 ตัน


ถามว่า เกษตรกรมะละกอไปฟ้องร้องคนทำการทดลองจีเอ็มหลุดออกมาภายนอกได้ไหม ?

ตอบ ฟ้องน่ะฟ้องได้ครับ แต่ชนะคดียาก !!  เพราะยังไม่มีกฎหมายอาญาไทยมาตราไหนที่เขียนตรง ๆ ว่า การปล่อยให้มีพืชจีเอ็มโอจากที่หนึ่งไปปนเปื้อนพืชปกติของชาวบ้าน ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญา ฉะนั้น เมื่อในทางอาญายังเอาผิดยาก จะไปฟ้องร้องทางแพ่งต่อยากครับ แถมหน่วยงานรัฐเองด้วยที่ทดลองจีเอ็มโอ

มันก็เลยเป็นปัญหาในทุกวันนี้ ที่จะต้องมีกฎหมายเฉพาะมาควบคุมจีเอ็มโอ

-------------------------

อ.เจษฎา กลับไม่สนับสนุนการจีเอ็มข้าวไทย



อ้าว ไหงเป็นงั้น ?? 

ถ้าจีเอ็มแล้วได้ข้าวที่ต้านทานแมลงและโรค ทนน้ำท่วมก็ได้ ทนแล้งก็ยิ่งดี แถมปลูกอายุสั้นแต่ได้ปริมาณสารอาหารครบถ้วน มีคุณภาพดี กลิ่นหอมมะลิระบือไกล ไม่ดีเหรอ จารย์ ??


---------------------

อัพเดทข่าวล่าสุด นายกฯ สั่งยกเลิก พ.ร.บ.จีเอ็มโอแล้ว

นายกฯ ประยุทธ์ สั่งยกเลิกร่าง พ.ร.บ.จีเอ็มโอที่มีเนื้อหาสนับสนุนบริษัทยักษ์ข้ามชาติไปแล้ว

แต่ที่ประชาชนส่วนใหญ่อยากจะเรียกร้องจา่กท่านนายกฯ ต่อไปอีกสักนิด ก็คือ ใช้มาตรา 444 ออกกฎหมายไปเลยว่า การทดลองและการปลูกพืขจีเอ็มโอ เป็นสิ่งผิดกฎหมายในไทย และผลิตภัณฑ์ที่ใช้พืชจีเอ็มโอในการผลิตก็ควรระบุบนฉลากอย่างชัดเจนว่า มี GMOs ด้วย


คลิกอ่าน นักศึกษาปริญญาเอกวิจัยพันธุ์ข้าวโพดจากแคนาดา เตือนไทยเรื่องพืชจีเอ็มโอ




วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เฉลย พระพักตร์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า คือรูปใดกันแน่






ผมเห็นในหลายเว็บ ได้นำรูปวาดรูปหนึ่งมาแชร์ต่อ ๆ กัน จนเกิดความเข้าใจผิดต่อ ๆ กันไปอีกว่า นี่คือรูปพระพักตร์หรือรูปใบหน้าที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ

ตามรูปนี้ครับ



โดยหลายเว็บที่นำรูปนี้มาลงได้อ้างว่า รูปนี้วาดโดยอัครสาวก เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ 41 พรรษา และรูปนี้ปัจจุบันเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลอนดอน

ตอนผมเห็นรูปนี้ครั้งแรก ผมมั่นใจเลยว่า ต้องมีการเข้าใจอะไรผิดแน่ ๆ เพราะหน้าตาคนในรูป ออกแนวมองโกล เกาหลี หรือ ธิเบต หรือ ญี่ปุ่น เสียมากกว่า

ไม่น่าใช่รูปพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าของเรา หรือ พระโคตมพระพุทธเจ้า อย่างแน่นอน แถมมีจุดจับผิดได้หลายจุด

ผมเลยเสาะหาข้อมูลจนได้เจอบทความนึงในภาษาเวียดนาม เขียนโดย คุณ Binh Anson ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาและศิลปะด้านพุทธศาสนา ชาวเวียดนามได้เขียนไว้

ผมก็ลองใช้กูเกิ้ลแปลภาษาช่วยแปลให้ แม้จะได้ภาษาไทยที่อ่านเข้าใจยากสักนิด แต่ผมก็พอจะสรุปและเรียบเรียงภาษาอย่างคร่าว ๆ จากบทความของคุณบินฮ์ แอนสัน มาได้ดังนี้

"บ่อยครั้งที่ผมได้พบรูปนี้ที่แชร์กันบนอินเตอร์เน็ต ว่านี่คือรูปพระพักตร์ที่แท้จริงพระพุทธเจ้า โดยอ้างว่า  มีสาวกเป็นผู้วาดรูปนี้เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ 41 พรรษา และรูปนี้ถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ

ซึ่งผมเคยเห็นรูปนี้มาประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา โดยพี่ชายของผมที่อยู่ในอเมริกาใต้ได้ส่งสำเนารูปนี้มาพร้อมคำอธิบาย




แต่ต่อมาผมได้ไปเห็นรูปนี้ในหน้าสุดท้ายของหนังสือที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่ได้ตีพิมพ์ในเวียดนามเมื่อประมาณก่อนปี 1975 นั่นจึงแสดงว่า รูปนี้เคยถูกเผยแพร่ในเวียดนามนานมาแล้วอย่างน้อย 30 - 40 ปี เป็นอย่างน้อย (สังเกตรูปเล็กด้านบนขวา)

ผมมีข้อสังเกตเกี่ยวกับรูปนี้ดังต่อไปนี้

1. รูปนี้มีใบหน้าลักษณะเช่น คนจีน หรือ มองโกเลีย มากกว่า ไม่ดูเป็นชาวอินเดียเลย

2. ผมดก และมีหนวดเครายาว ซึ่งแตกต่างจากพระสงฆ์ในพุทธศาสนาซึ่งต้องโกนผม

(akecity ขอแทรกความเห็น แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ก็มีเส้นพระเกศายาวเพียง 2 องคุลี หรือ 2 นิ้วเท่านั้นและยาวเช่นนั้นตลอดพระชมน์ชีพ โดยไม่ต้องโกนอีก พระเกศาของพระพุทธเจ้าไม่ได้ยาวเฟื้อยเหมือนในรูปดังกล่าว

ส่วนที่ช่างปั้นพระพุทธรูป มักจะสร้างพระพุทธรูปให้มีมวยผมนั้น ก็เพื่อให้พระพุทธเจ้ามีลักษณะที่ดูแตกต่างจากภิกษุทั่วไปเพื่อการสังเกตได้ง่ายเท่านั้น)


http://imgur.com/1c2VWec


3. มีการสวมเครื่องประดับต่างหู ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของภิกษุในพุทธศาสนา

4. ในสมัยพุทธกาล อินเดียยังไม่มีการวาดรูปบนกระดาษ เพราะกระดาษกำเนิดขึ้นที่ประเทศจีน ซึ่งในอินเดียยุคพุทธกาลยังไม่มีกระดาษใช้

5. หลังจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าล่วงไปแล้ว 500 ปี ในช่วงเวลานั้น อินเดียก็ยังไม่มีประเพณีวาดรูปหรือปั้นรูปเหมือนพระพุทธเจ้า เพื่อระลึกหรือสักการะ แต่ยุคนั้นคนอินเดียจะใช้การแกะสลักที่ไม้หรือก้อนหินเป็นรูปสัญลักษณ์แทน

จนกระทั่งกองทัพกรีกได้ยกทัพบุกอินเดีย ศิลปะกรีกจึงได้เผยแพร่สู่อินเดีย ถึงได้เริ่มมีการปั้นรูปเหมือนพระพุทธเจ้า

6. ผมเคยค้นหาวัตถุจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ ก็ไม่พบภาพในยุคโบราณของพระพุทธเจ้าบนกระดาษหรือผืนผ้าใบที่นำมาจากประเทศอินเดียเลย

7.  หากรูปนี้ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษจริง ๆ แน่นอนจะต้องเป็นรูปหรือวัตถุโบราณที่สำคัญ ซึ่งจะต้องมีนักวิชาการชาวพุทธที่รู้จักและกล่าวถึงรูปนี้กันทั่วโลก

แต่จนวันนี้ ยังไม่เคยมีเอกสารทางวิชาการที่กล่าวถึงรูปนี้ ไม่มีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางด้านพุทธศาสนากล่าวถึงหรือเขียนวิเคราะห์วิจารณ์ถึงรูปนี้เลย

ดังนั้น ผมขอสรุปว่า ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานอ้างอิงชัดเจนที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับรูปดังกล่าว ยังไม่รู้ต้นกำเนิดของรูปดังกล่าว เราจึงไม่ควรแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ

ที่มาบทความ http://chuaadida.com/chi-tiet-day-co-phai-hinh-anh-duc-phat-thich-ca-mau-ni-khong/




ผู้ชายคนกลางก็คือ คุณ Binh Anson ซึ่งเขาชอบมาเยี่ยมชมศิลปะทางพุทธศาสนา เช่นวัด และพระพุทธรูป รวมทั้งชอบพบปะพูดคุยกับพระภิกษุในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

เฟสบุ๊คของคุณ Binh Anson ก็ตามลิงค์นี้ครับ https://www.facebook.com/binh.anson.3

--------------------



ใหม่เมืองเอก สรุป

คือ ถ้าได้เห็นรูปที่อ้างว่าเป็นรูปพระพุทธเจ้าของแท้ในเว็บต่าง ๆ ทั้งเว็บภาษาอังกฤษด้วย เขาจะอ้างว่า รูปวาดนี้อยู่ในพิพิธภัณฑ์อิมพีเรียล ในประเทศอังกฤษ

แต่เมื่อหาข้อมูลพิพิธภัณฑ์อิมพีเรียลในอังกฤษแล้ว เราก็จะรู้ว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านสงคราม Imperial War Museums ซึ่งมีแต่อาวุธสงครามตั้งแต่อดีตมาจัดแสดงทั้งสิ้น

ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับพุทธศาสนาได้เลย โดยผม ใหม่เมืองเอก ได้ลองเข้าไปเว็บของพิพิธภัณฑ์อิมพีเรียลดูแล้ว เขาจะมีหน้าเว็บสำหรับค้นหาวัตถุที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

ซึ่งผมได้ลองค้นหาดูแล้ว ก็ไม่พบรูปพระพักตร์พระพุทธเจ้าที่ถูกแอบอ้างในพิพิธภัณฑ์นี้แต่อย่างใด


ทีนี้คุณผู้อ่านลองดูรูปด้านล่างนี้สิครับ รู้ไหมรู้ใคร ?? แล้วลองทายเล่น ๆ กันดู

ใบ้ให้ว่า เป็นบุคคลสำคัญที่คนไทยเรารู้จักกันดี



คำตอบคือ รูปบนนี้เป็นรูปของอิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญาตัวจริง ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นไงครับ

ผมว่า หน้าของอิคคิวซังตัวจริง ๆ ของแท้ ยังจะเหมือนกับรูปที่กล่าวอ้างว่า เป็นรูปพระพุทธเจ้ามีหนวดรูปนั้นซะมากกว่า จริงไหม ?  เพียงแต่อิคคิวซังไม่มีผมยาวเฟื้อยและใส่ต่างหู

ส่วนรูปชายสวมหมวกในชุดขาว ก็คือ เจงกิสข่าน มหาจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งอาณาจักรมองโกล  ซึ่งไว้หนวดยาว และใส่ต่างหูด้วย

โดยสรุปคือ บุคคลสำคัญ 2 คนนี้ ยังมีความละม้ายใกล้เคียงกับรูปที่ถูกแอบอ้างว่าเป็นรูปพระพักตร์พระพุทธเจ้ามากกว่า

-----------------------

รูปต่างหากนี้น่าจะเป็นรูปพระพุทธเจ้าของแท้

ก่อนอื่นเราต้องรู้ประวัติพระพุทธเจ้าพอสังเขปก่อนว่า พระพุทธเจ้าเป็นชาวเนปาลและอินเดียโบราณ หรือที่เรียกว่า ชาวอารยัน (หรือชาวเปอร์เซียโบราณ ปัจจุบันก็คือ ชาวอิหร่าน) คือชาวอินเดียโบราณที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ

พระพุทธเจ้าทรงอยู่ในสกุลศากยวงศ์ ทรงเป็นพระโอรสแห่งแคว้นสักกะ โดยมีเมืองหลวงชื่อ กรุงกบิลพัสดุ์ พระพุทธเจ้าทรงไปประสูติที่ลุมพินีวัน ในเขตประเทศเนปาล ในขณะที่พระนางสิริมหามายา พระมารดาเสด็จกลับไปเยี่ยมแคว้นบ้านเกิด เพื่อทรงคลอดบุตรตามประเพณี

ส่วนการตรัสรู้ การปฐมเทศนา และปรินิพพาน ทุกเหตุการณ์ล้วนเกิดขึ้นในแผ่นดินอินเดีย

แต่ในอดีตโบราณยังไม่มีการแบ่งเส้นเขตแดนเป็นประเทศเหมือนปัจจุบัน ไม่มีแบ่งเป็นประเทศเนปาล หรือ ประเทศอินเดีย แต่สมัยก่อนรับรู้ว่า ดินแดนในแถบนี้ เรียกกันว่า ชมพูทวีป




แม้ที่มาของรูปนี้ออกจะพิสดารและเหลือเชื่อไปเยอะ แต่ผมก็พร้อมที่จะเชื่อ เพราะครั้งแรกที่ผมเห็นรูปนี้ ผมรู้สึกปลื้มปิติในทันที เพราะชายในรูปนี้มีลักษณะสมกับเป็นลักษณะมหาบุรุษ ที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก (ตาม คห.ส่วนตัวผู้เขียน)

ตามที่ผมจำได้นะ เพราะผมได้ยินประวัติของรูปนี้เมื่อนานมาแล้ว จึงขอเล่าคร่าว ๆ หากจะมีข้อมูลผิดพลาดไปบ้าง ก็ขออภัยไว้ก่อน

ว่ากันว่า รูปนี้เกิดจากช่างภาพชาวอังกฤษคนนึง ได้ไปเยี่ยมชมต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่อินเดีย แล้วเกิดอยากลองของ เลยท้าทายไปว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเคยมีพระองค์จริงบนโลกนี้ ก็ขอให้แสดงปาฏิหาริย์ในขณะที่เขาถ่ายรูปต้นพระศรีมหาโพธิด้วย

แล้วเมื่อเขาถ่ายรูปต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้ว ก็บังเกิดติดรูปชายที่น่าจะเชื่อว่า เป็นพระพุทธเจ้าในฟิลม์ของเขา จนได้รูปนี้นำมาเผยแพร่ไปทั่วโลก

ผมไม่อธิบายอะไรต่อนะ เพราะนี่คือความเชื่อส่วนบุคคล ... 

แต่ความจริง... !!!

----------------------

ภาพพระุพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ความจริงเป็นภาพวาดสีน้ำมัน

หลังจากผมปล่อยบทความนี้ไปได้แค่ครึ่งวัน ผมก็ได้รับข้อมูลจากแฟนเพจของผมชื่อคุณอมร ได้ส่งข้อมูลมาให้ผมได้รู้ว่า แท้จริงแล้วรูปพระพุทธเจ้าที่ผมเชื่อมานานว่า เกิดจากช่างภาพชาวอังกฤษถ่ายรูปต้นพระศรีมหาโพธิ์ จนติดรูปชายที่มีลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้านั้น

ปรากฏว่า สิ่งที่ผมเชื่อ ย้ำ! เป็นความเชื่อของผมมาตั้งแต่เด็กที่ได้รับฟังต่อ ๆ มา กลับกลายเป็นความเชื่อที่ผิดพลาด !!!

เพราะรูปพระพุทเจ้าที่สวยงามรูปนี้ กลับเป็นภาพวาดจากจิตรกรชาวสเปน ที่ชื่อว่า Eduardo Chicharro ได้วาดภาพนี้ขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1916-1921 (พ.ศ. 2459-2464)

ภาพนี้มีชื่อเป็นภาษาสเปนว่า Las tentaciones de Buda เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผ้าใบขนาดกว้าง 290 ซม. ยาว 366 ซม



ปัจจุบันภาพนี้แขวนอยู่ที่ Real Academia de Bellas Artes de San Fernando (The Academy of fined arts of St. Ferdinan) กรุงมาดริด ประเทศสเปน

ซึ่งชื่อภาพก็หมายถึง การผจญกิเลส (ปราบกิเลส) (เอาชนะมาร) ของพระพุทธเจ้า (มาร = กิเลส)

รายละเอียดของภาพนี้ อ่านได้ที่ http://www.mryuse.com/?p=1919

แต่มีคนหัวหมอได้นำรูปนี้มาใช้เพื่อการค้า ตัดแค่บางส่วนของภาพแล้วทำให้เป็นสีขาวดำเพื่อดูขลัง แล้วสร้างประวัติภาพขึ้นมาใหม่ว่า เป็นภาพถ่ายที่เกิดจากปาฏิหาริย์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จนขายไปทั่วโลก

แล้วก็มีผมคนนึงที่หลงเชื่อเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปี ครับ



-------------------

ข้อคิดทิ้งท้าย

หลักกาลามสูตร ของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะที่ใช้ได้ในกรณีนี้อย่างมาก

เพราะผมเองก็เชื่อในสิ่งที่เชื่อผิดมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะหลงในรูปที่สวยงามรูปนี้ จนรีบเชื่อว่า นี่คือรูปของพระพุทธเจ้ามาแสดงปาฏิหาริย์จริง ๆ

แต่เมื่อได้รับรู้ความจริงแล้ว ก็ช่วยให้เราได้ข้อคิดสอนใจเราได้มากว่า อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรเร็วเกินไป โดยเฉพาะเรื่องที่แอบอ้างปาฏิหาริย์


คลิกอ่าน พระพุทธเจ้าตอนประสูติเดินได้ 7 ก้าวจริงหรือ

คลิกอ่าน ปาฏิหาริย์เจดีย์ตรัสรู้ กึ่งพุทธกาล




วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ถ้าอธิบายง่าย ๆ แบบนี้ อุทยานราชภักดิ์ก็อาจไม่มีการโกง







ถ้าอธิบายแบบนี้  เรื่องพวกนี้ก็ไม่น่าจะใช่การโกง

1. กรณีต้นปาล์มที่สวนนงนุชบริจาคให้อุทยานราชภักดิ์ แต่ทำไมถึงมีข่าวการจัดซื้อต้นปาล์ม

ตอบ ต้นปาล์มต้นละ 1 แสนบาท ที่สวนนงนุชเขาบริจาคมาให้นั้น แต่ถ้าใครบริจาคเงิน 3 แสนบาท ก็จะนำชื่อผู้บริจาคไปติดที่หน้าต้นปาล์ม

แล้วทางมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ก็นำเงินบริจาคต้นปาล์มนั้น มาใช้ในกิจกรรมของอุทยานราชภักดิ์ต่อไป

ถ้าผมอธิบายแบบนี้ พอเข้าใจไหมครับว่า นี่ไม่ใช่การทุจริต ก็แค่นำต้นปาล์มของสวนนงนุช มาใช้หาเงินบริจาคเพิ่มขึ้นจากบรรดาเศรษฐีที่อยากได้หน้าได้ตาไงครับ

ซึ่งผมคาดว่า สวนนงนุชเขาก็คงรับรู้เรื่องนี้อยู่เล้ว เพราะสวนนงนุชต้องมาจัดสวน และต้องมาดูแลสวนในช่วงต้นอีกหลายเดือน

เว้นแต่ เงินบริจาคส่วนนี้ไม่ได้เข้าบัญชีมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ นั่นแหละถึงจะเรียกว่า มีการทุจริต

หรือถ้าการบริจาคซื้อต้นปาล์ม ถือเป็นการทุจริตจริง ๆ ผู้ที่เป็นเจ้าทุกข์ตัวจริงก็คือ ผู้บริจาคเงิน 3 แสนบาทซื้อต้นปาล์ม และสวนนงนุชที่เป็นผู้บริจาคต้นปาล์ม เท่านั้น

ถ้าผู้บริจาคเงิน และ สวนนงนุช ไม่แจ้งความร้องทุกข์เอาผิด ก็ถือว่า ไม่มีคดีทุจริตในส่วนนี้

ล่าสุด 10 ธ.ค. 58 เจ้าของสวนนงนุชได้ออกมาพูดเรื่องการบริจาคต้นไม้และจัดสวนแล้วว่า สวนนงนุชได้บริจาคต้นไม้ ต้นปาล์มให้อุทยานราชภักดิ์จริง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ขนส่ง และอื่น ๆ รวมเป็นเงินกว่า 4 ล้านบาท ซึ่งสวนนงนุชได้เบิกค่าใช้จ่ายส่วนนี้จากมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์

ในความเห็นส่วนตัวของผม akecity ขอแสดงความเห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่สวนนงนุชเบิกไปใช้ในการดำเนินงานจัดสวน รวมทั้งค่าขนส่งต้นไม่ ก็อาจมาจากเงินที่ทางมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ได้นำต้นปาล์มไปประมูลก็เป็นได้




2. กรณีหักหัวคิวค่าก่อสร้างพระบรมรูป ฯ

ขอสมมุติตัวอย่างก่อนนะ เช่น ถ้าผมเป็นมหาเศรษฐีอยากจะสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ถวายวัดสัก 9 วัด แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องทางด้านนี้เลย ผมก็ไปหาผู้รู้ทางด้านนี้หรือเป็นเซียนพระ ให้ช่วยแนะนำเป็นธุระจัดการแทนผมให้หน่อย

แล้วเซียนพระก็จัดหาโรงหล่อให้ผม 9 โรง เพื่อหล่อพระพุทธรูป 9 องค์ให้ แล้วก็มาเบิกเงินค่าหล่อพระกับผม

ซึ่งต่อมาเซียนพระก็ไปหักค่าหัวคิวที่หางานใหญ่ไปให้โรงหล่อ โดยถือเป็นค่าดำเนินงาน และค่านายหน้า

ถามว่า แบบนี้เซียนพระได้โกงผมหรือไม่ ? หากราคาการสร้างพระก็เป็นราคาที่มาตรฐานไม่แพงกว่าราคาหล่อมาตรฐานตามปกติ เพียงแต่โรงหล่ออาจได้กำไรลดลง เพราะต้องนำกำไรส่วนหนึ่งมาจ่ายค่านายหน้าให้เซียนพระ

ในวงการธุรกิจทั่วไป การติดต่อซื้อขายหรือการติดต่อจ้างงานต่าง ๆ ผ่านตัวแทน ย่อมต้องมีผลตอบแทนให้ตัวแทนที่เป็นธุระจัดการแทนเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเราอยากจะได้ที่ดินสวย ๆ สักแห่งนึง เราก็ต้องติดต่อนายหน้าที่เชี่ยวชาญด้านที่ดินเป็นผู้ไปทำธุระจัดหาที่ดินแบบที่เราต้องการมานำเสนอให้เราจริงไหม ?


ส่วนกรณีหล่อพระบรมรูปกษัตริย์ 7 พระองค์ ในอุทยานราชภักดิ์

เมื่อมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ต้องการหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ ก็เลยหาผู้รู้ทางด้านนี้มาช่วย ซึ่งก็อาจเป็นเซียนพระตามที่เป็นข่าว

แล้วเซียนพระคนนั้นก็ไปจัดการติดต่อประสานงานกับโรงหล่อทั้ง 7 โรง จนงานสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย แล้วทางมูลนิธิก็จ่ายเงินตามที่ทำสัญญาไว้กับโรงหล่อ

ซึ่งในประเทศไทยก็มีโรงหล่อที่หล่อพระบรมรูปขนาดใหญ่แบบนี้เพียงไม่กี่โรง

ถามว่า การที่เซียนพระจะไปหักค่าหัวคิวกับโรงหล่อ โดยถือเป็นค่านายหน้าจัดหางานมาให้ แบบนี้ถือว่า เป็นการทุจริตหรือไม่ ?

ถ้าค่าหล่อพระบรมรูปก็ถือเป็นราคามาตรฐาน เพียงแต่โรงหล่อจะได้กำไรน้อยลง เพราะต้องหักค่านายหน้าให้เซียนพระไป

แบบนี้ต้องถือว่า มันเป็นเรื่องของเอกชน (เซียนพระ) ที่ดำเนินการและติดต่องานกับเอกชน (โรงหล่อ) ด้วยกันที่รับงานไปทำ

ถ้าจะกล่าวหาว่ามีการทุจริต ผู้กล่าวหาก็ต้องหาหลักฐานมาว่า ค่าหล่อองค์พระมหากษัตริย์ทั้ง 7 พระองค์แพงเกินจริงกว่าราคามาตรฐาน ไม่ใช่แถปาว ๆ ว่าโกง แต่ไหนล่ะหลักฐานที่ว่า โกง ??


ซึ่งต่อมาจากข่าวที่ พลเอกอุดมเดช อดีต ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นอดีตประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์โดยตำแหน่ง ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า ค่าหัวคิวที่โรงหล่อจะต้องจ่ายให้เซียนพระเป็นค่านายหน้าจัดหางานมาให้ สุดท้ายก็ไม่ได้ให้เงินค่านายหน้าแก่เซียนพระ แล้วทางโรงหล่อได้นำเงินส่วนนั้นมาบริจาคให้มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ในเวลาต่อมาแทน เพื่อจะได้ไม่มีข้อครหาอีก

(หมายเหตุ แม้แต่ค่านายหน้า เซียนพระก็ตั้งใจจะเสียภาษีในส่วนค่านายหน้าเอง สำนักข่าวอิศรารายงานมาแบบนี้ จึงแสดงว่า เรื่องนี้มีการตกลงอย่างถูกต้องกับโรงหล่อ)

แต่ถ้าเป็นกรณีเจ้าหน้าที่ทหารหักค่าหัวคิวเอง ก็จะกลายเป็นอีกประเด็นคือ ทุจริตในหน้าที่ ครับ



3. กรณีจัดโต๊ะจีน โต๊ะละล้าน หาเงินบริจาค

กรณีแทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย เพราะถือว่า เป็นเรื่องปกติ ก็เหมือนงานการกุศลต่าง ๆ ที่เขาจัดโต๊ะจีนเพื่อหาเงิน หรือเหมือนที่พรรคการเมืองจัดโต๊ะจีนเพื่อหาเงินสนับสนุนพรรคนั่นแหละครับ แถมโต๊ะจีนนักการเมืองแพงกว่าด้วย โต๊ะละ 5 ล้าน 10 ล้าน ถือเป็นเรื่องธรรมดา

---------------------

จากกรณีที่เป็นข่าวใหญ่ทั้ง 3 กรณี หากผมอธิบายแบบนี้ ก็อาจมองได้ว่า ไม่มีการทุจริตเกิดขึ้นจริงไหมครับ

ผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากกว่าที่เป็นข่าวออกมา แต่เมื่อเราฟังข่าวก็ต้องวิเคราะห์อย่างไม่มีอคติ แล้วไตร่ตรองดูว่า อะไรเป็นอะไรกันแน่

เพราะหากฟังข่าวอย่างผิวเผิน ย่อมเข้าใจผิดในเรื่องเดียวกันได้ง่ายจริงไหมครับ

แต่จะมีทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์จริง ๆ หรือไม่ ผมไม่ขอฟันธง เพราะผมก็รู้เท่าที่คุณผู้อ่านรู้นั่นแหละครับ ผมก็อธิบายไปตามที่ได้รับรู้จากข่าวเท่านั้น

แต่หากมีอะไรที่มากกว่านี้ มากกว่าที่เป็นข่าว อันนี้ก็ต้องมาว่ากันใหม่


---------------------

คำถามที่แฟนเพจของผมฝากถามมา

ผมขอตอบตามความเข้าใจของผมนะครับ เพราะผมก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องใด ๆ

คำถาามแรก ทำไมรูปแบบการแถลงข่าวจึงต้องทำอย่างมิดชิด มีการปิดห้องและห้ามถ่ายทอดสด

ตอบ คงเพราะ ผบ.ทบ. ท่านไม่ใช่นักตอบคำถามมืออาชีพ ท่านไม่ใช่มืออาชีพในการพูด ท่านคงไม่สะดวกในการให้ถ่ายทอดสด เพื่อให้นักข่าวไทยที่ชอบถามคำถามโง่ ๆ ได้ถามออกอากาศสด ๆ (เหมือนกรณีนักข่าวถามเรื่องอาการป่วย ปอ ทฤษฎี) แต่ท่าน ผบ.ทบ. ก็อนุญาตให้สื่อได้เข้าไปทำข่าวและตั้งคำถามแล้ว ซึ่งแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว 

และเรื่องนี้เป็นเรื่องของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ไม่ใช่เรื่องของกองทัพบกโดยตรง คงไม่ต้องทำเรื่องเล็กและเรื่องที่เป็นแค่ข้อกล่าวหาให้ใหญ่โตเกินความจริง

ก็คงต้องให้อภัย ผบ.ทบ.คนนี้ เพราะท่านพูดไม่เก่งเลย ทำเอาคนมึนทั้งประเทศ ถ้าไม่ค่อย ๆ คิดตามที่ท่านพูดให้ดี ๆ เรียกได้ว่า ทักษะการพูดท่าน ผบ.ทบ. ยังสอบไม่ผ่าน จัดเป็น มือใหม่หัดแถลงข่าว


คำถามที่ 2 ผบ.ทบ. ยินดีเปิดเผยเรื่องเงินบริจาค

ตอบ ผบ.ทบ. ก็ได้ตอบไปแล้วว่า ยอดเงินบริจาคมีประมาณพันกว่าล้านบาท มีบัญชีรายรับรายจ่ายถูกต้อง ไม่พบการทุจริต


คำถามที่ 3 นักข่าวขอดูรายได้รายจ่ายของโครงการราชภักดิ์ ผบ.ทบ. กลับพูดทำนองปฏิเสธ ทำให้สังคมแคลงใจ

ตอบ พวกสื่อชั่ว ๆ บางรายของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ทำเอกสารราชการปลอมที่มีพิรุธว่า ผิดรูปแบบเอกสารทางราชการชัดเจน อยู่ ๆ ทำเอกสารปลอมขึ้นมา เพื่อจะล่อให้กองทัพออกมาเปิดเผยข้อมูลที่ไม่มีความจริง ซึ่งวิธีการทำเอกสารปลอมแบบนี้ ไม่ควรได้รับการยอมรับและยอมทำตามข้อเสนอ

ส่วนที่นักข่าวจะขอดูบัญชีรายรับรายจ่ายนั้นก็เช่นกัน เนื่องจากบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ไม่ใช่การดำเนินงานของกองทัพบกโดยตรง ถ้าใครอยากจะดูบัญชีของมูลนิธิ ฯ ก็ต้องทำเรื่องขอมาให้เป็นกิจจะลักษณะ เป็นทางการ ไม่ใช่ขอดูกันง่าย ๆ ดื้อ ๆ

ซึ่งการเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายของมูลนิธิฯ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการมูลนิธิ ฯ เสียก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ จะมาเอ่ยปากขอดูกันง่าย ๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

โดยเฉพาะสื่อไทยมักทำข่าวชุ่ย ๆ ใส่ร้ายดื้อ ๆ ทำไมมูลนิธิ ฯ ต้องบ้าตามกระแสนักข่าวเห่ย ๆ พวกนี้ด้วย ??


---------------------

อัพเดทข่าว

เงินหลายร้อยล้านบาทที่ใช้ในการสร้างอุทยานราชภักดิ์เป็นเงินบริจาคของประชาชน จะมีงบประมาณตั้งต้นจากรัฐประมาณส่วนหนึ่งเท่านั้น

ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ออกมาให้ข่าวว่า อุทยานราชภักดิ์ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินไป 63 ล้านบาท

ดังนั้น สตง. จึงมีอำนาจเข้าตรวจสอบการใช้งบดังกล่าวได้

กรณีผม akecity ขออธิบายว่า เงินงบประมาณ 63 ล้านบาทที่ใช้ในอุทยานราชภักดิ์ ก็คือ เงินเริ่มต้นโครงการ เพราะในตอนเริ่มต้นยังไม่มีเงินบริจาคจากประชาชนเข้ามา

หาก สตง. อ้างว่ามีอำนาจตรวจสอบงบประมาณแผ่นดิน 63 ล้านบาท สตง. ก็จะมีอำนาจตรวจสอบเฉพาะเงินจำนวนนี้เท่านั้น

หรือถ้ามีหน่วยงานราชการใดบริจาคเงินให้โครงการอุทยานราชภักดิ์ด้วย สตง.ก็สามารถตรวจสอบงบของหน่วยราชการที่บริจาคได้เช่นกัน

--------------------------

ล่าสุดผลสอบของ สตง. ออกมาแล้วว่า ไม่พบการทุจริต




ลิกอ่าน พลเอกอุดมเดช ลาออกเถอะ

คลิกอ่าน ความโง่ของพวกร่านประชาธิปไตย กับ กรณีการโกงในอุทยานราชภักดิ์




วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เมื่อทหารไปถ่ายรูปบ้านแม่สมศักดิ์ เจียม จนหงอกเจียมธาตุไฟแตก






สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ต้องหามาตรา 112 ที่ลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศส วัน ๆ ก็มีอาชีพหาเรื่องมโนใส่ร้ายสถาบันฯ ทุกวัน วันละหลาย ๆ รอบ

บรรดาเหล่าสาวกต่างเชื่อว่า สมศักดิ์ เจียม ไม่ได้ใส่ร้ายสถาบันฯ นั่นเพราะ เพราะไม่มีใครมาเถียงกับหงอกเจียม เพื่อแก้ต่างให้สถาบันฯ

สาวกหงอกเจียม ควรใช้สติปัญญานึกดูดี ๆ ว่า ที่ไม่มีคนมาเถียงกับหงอกเจียม ไม่ใช่เพราะเขาเถียงสู่ไม่ได้ หรือที่หงอกเจียมมโน คือความจริง


แต่เพราะเขาไม่ต้องการเถียงในเรื่องโกหก และจะกลายเป็นการหมิ่นสถาบันฯ เสียเอง


เมื่อไม่มีใครไปแก้ต่างให้สถาบัน เหล่าสาวกเจียม ก็เลยเชื่อกันใหญ่ว่า สิ่งที่หงอกเจียมเขียน คือ ความจริง

ผมเองเคยเข้าไปแสดงความเห็นในเฟสหงอกเจียมบ้าง แต่ผมก็คงแสดงความเห็นอะไรได้ไม่มาก เพราะจะกลายเป็นผมหมิ่นสถาบันฯ เสียเอง

ผิดกับหงอกเจียมที่หนีหางจุดตูดไปฝรั่งเศสแล้ว อยากจะพูดชั่วคิดชั่วแล้วกลบเกลื่อนด้วยภาษาสุภาพแบบนักวิชาการคงแก่เรียน ก็ย่อมทำได้โดยไม่มีความผิดแล้วในฝรั่งเศส

วันนี้ 11 พ.ย. 58 นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้โพสเรื่อง ทหารไปถ่ายรูปบ้านแม่ของหงอกเจียม

ตามนี้




ต่อมา มีผู้หวังดีท่านนึงได้เข้าไปแสดงความเห็นในเฟสของหงอกเจียม อย่างสุภาพตามนี้





จากการโพสของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ทั้งสองโพส เรามองเห็นอะไร ??

1. สมศักดิ์ เจียม รู้สึกโกรธมาก ที่แม่ของตนเองถูกทหารคุกคาม ด้วยการไปถ่ายรูปบ้าน

2. โดยที่สมศักดิ์ เจียม ไม่รู้สึกและไม่เข้าใจว่า คนไทยเองก็ถูกสมศักดิ์ เจียม คุกคามสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่รักของคนไทย

เพราะสมศักดิ์ เจียม มักอ้างแบบพวกร่านหนักแผ่นดินว่า ในหลวง พระราชินี พระบรม เป็นแค่บุคคลสาธารณะ เพราะกินภาษีชาติ จึงสามารถวิจารณ์ได้

3. สมศักดิ์ เจียม อ้างว่า แม่ของตนไม่ใช่บุคคลสาธารณะ เจ้าหน้าที่มีสิทธิอะไรไปรบกวนเขา

---------------------

ส่วนที่นายสมศักดิ์ เจียม โกรธที่ทหารไปถ่ายรูปบ้านแม่นั้น ผมจะเฉลยให้ว่า ทหารเขาไปถ่ายรูปบ้านแม่เจียมทำไม ?

คำตอบคือ ทหารเขาคงอยากรู้มั้งว่า ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอนนั้น พ่อแม่มันมีหน้าตาอย่างไร ลูกมันถึงได้หน้าตาน่าเกลียดและคิดชั่วสร้างความแตกแยกได้ปานนี้


ในบทความนี้ผมไม่อยากเขียนอะไรมาก เพราะนายสมศักดิ์ เจียม เขาเกิดมาหนักแผ่นดินเกินเยียวยาแล้ว

เพราะนายสมศักดิ์ เขามองว่า สถาบันกษัตริย์ ไม่ใช่สถาบันที่คนไทยควรเคารพเทิดทูน

นายสมศักดิ์ เจียม มองเห็นในหลวง พระราชินี พระบรม เป็นเหมือนบุคคลสาธารณะทั่วไป เหมือนพวกนักการเมือง เหมือนพวกดารา ฯลฯ ที่วิจารณ์ได้ แถมจะแช่งก็ยังได้เหมือนที่หงอกเจียมโพสในเฟสบุ๊คทำนองนี้หลายต่อหลายหน

นายสมศักดิ์ เจียม มันไม่เข้าใจเพราะแกล้งโง่ที่ คนไทยรักและเคารพในหลวงเสมือนพ่อ หมายถึง แม้ในหลวงจะไม่ใช่พ่อของเราแท้ ๆ  แต่เราก็รักพระองค์ประดุจพ่อแท้ ๆ

นายสมศักดิ์ เจียม มันชั่วเกินเยียวยาแล้วจริง ๆ  ทีแม่ของตนโดนคุกคามยังรู้สึกโกรธได้ แต่เมื่อพ่อของแผ่นดินถูกนายสมศักดิ์คุกคาม จะห้ามไม่ให้คนไทยรู้สึกโกรธได้อย่างไร

แล้วพอมีผู้หวังดีได้เข้ามาโพสเตือนหงอกเจียมว่า

"พ่อแม่อาจารย์ก็แก่ อาจารย์ยังรู้สึกเลย ประสาอะไรกับข้อความที่สุภาพของอาจารย์ไปกระทบกระเทียบคนที่เป็นที่รักของพวกเรา อาจารย์ยังรู้สึกเหมือนกันนะ นึกว่าอาจารย์ตายด้านไปเสียแล้ว"



คำเตือนอย่างสุภาพ พร้อมประชดท้ายประโยคนิดนึงของผู้หวังดีท่านนี้ ทำเอานายสมศักดิ์ เจียม ธาตุไฟแตก จนเก็บอาการไม่อยู่ ถึงกลับโกรธเกรี้ยวถามกลับว่า "คุณเป็นลูกในหลวง พระบรมฯ หรือครับ เพิ่งทราบนะ"

แถมหงอกเจียม ยังด่าสิ่งที่ผู้หวังดีท่านนี้เขียนมาว่าเป็น ข้อความอีเดียต !!

นี่หรือข้อความอีเดียต ของหงอกเจียม ??

แต่กลายเป็นว่า หงอกเจียม ต่างหากที่อีเดียต !!

และทั้ง ๆ ที่ ท่านผู้หวังดีท่านนี้ยังไม่ได้เอ่ยถึงในหลวง พระราชินี หรือ พระบรม เลย เขาแค่บอกว่า คนที่เป็นที่รักของพวกเรา

แต่นายสมศักดิ์ เจียม ก็กลับรู้ทันทีว่า หมายถึงใคร ?

นั่นแสดงว่า นายสมศักดิ์ เจียม คงรู้ตัวเองดีว่า วัน ๆ ตนเองเอาแต่เขียนข้อความแบบสุภาพให้ร้ายใคร

แค่โพสนี้โพสเดียวของผู้หวังดี ทำเอาสาวกหงอกเจียมดิ้นพล่านกันยกใหญ่ ร้องแร่แห่กระเชิงให้ผู้หวังดีท่านนี้ให้กลับมาตอบหงอกเจียม

เฮ่อ... พวกสาวกในกะลาเจียมสถุลแท้ ๆ  เขาไม่ตอบโต้ไม่ใช่เพราะเขาตอบไม่ได้ แต่เพราะเขาไม่อยากสุงสิงกับพวกชั่วมากกว่า

-----------------

แต่พวกทหารนี่ก็โง่นะ จะไปถ่ายบ้านคนแก่อายุ 93 ดันแต่งชุดทหารไปถ่ายรูป ให้คนแก่ตกใจ จนโทรไปฟ้องลูกชายที่ฝรั่งเศส 

หรือบางที อาจจะเป็น นักเรียน รด. ขี่มอไซค์ผ่าน แล้วเห็นต้นไม้บ้านแม่ของหงอกเจียมสวย เลยถ่ายเก็บไว้ดูเล่น ๆ ก็ได้นะ 555

จะเอาอะไรนักกับสายตาคนแก่อายุร่วมร้อย


คลิกอ่าน สมศักดิ์ เจียมเสียหมา เพราะดันโชว์โง่ตัดต่อพระราชดำรัส

คลิกอ่าน สมศักดิ์ เจียม โชว์โง่กรณีโดนธรรมศาสตร์ไล่ออก




วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ดาราโพสรูปเบียร์ไร้สปิริต หมอสมานเกาะกระแสดาราเพราะอยากดัง







กรณีดาราโพสรูปขวดเบียร์ ลงอินสตาแกรมนั้น ความผิดได้สมบูรณ์แล้ว

จะมาอ้างว่า ไม่เจตนา หรืออ้างไม่รู้กฎหมายไม่ได้ อย่าพยายามแถเพื่ออ้างในเรื่อง เจตนา หรือ ไม่เจตนา 

ส่วนจะรับจ้างโพสหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับความผิดที่สำเร็จไปแล้ว

แปลง่าย ๆ ว่า ต่อให้โพสเองฟรี ๆ พวกดาราก็ผิด

สรุปคือ ดาราที่โพสรูปเบียร์ หรือเครื่องดื่มมีแอลกออล์ ทุกคนผิดทั้งหมด

อุตส่าห์เป็นดาราดังมีชื่อเสียง ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้นต่อหน้าสื่อ

รอรับบทลงโทษทางอาญาและทางแพ่ง อย่างแมน ๆ ดีกว่า

ดาราคนไหนออกมาอ้างโน่นอ้างนี่มาก ๆ ผมว่า ดาราคนนี้ไร้สปิริต !!

โทษเสียค่าปรับไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนโทษอาญาอาจได้รอลงอาญา แค่นี้ ดาราขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก อย่ามากความให้มากนัก

แต่ที่จริง คนที่สมควรโดนด่าที่สุดคือ หมอสมาน อยากดัง !!

------------------------

หมอสมาน เกาะกระแสดาราเพราะอยากดัง

ถ้าคดีนี้เป็นสามัญชนทั่วไปกระทำผิด ก็คงเรื่องไม่ใหญ่โต ดราม่ามากนานเท่านี้

ดูเหมือน นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พยายามถ่วงเวลา เพราะอยากดังมากกว่า

กว่าจะเรียกดารามาให้ปากคำจนครบ ก็คงอีกเป็นเดือน ๆ

ทั้งที่ ถ้าดำเนินคดีไปตามกฎหมายจริง ๆ มันควรจบไม่เกินอาทิตย์เดียว


---------------------

สปิริต หนุ่มรถไฟแซวแอร์โฮสเตส

หลายคนคงบอกสมน้ำหน้า ปากพาซวย จากความคึกคะนองของหนุ่มการรถไฟ ที่เพิ่งเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต ไปแซวแอร์โฮสเตสเรื่องระเบิด

จะว่าไป หนุ่มคนนี้ไม่สมควรอยู่การรถไฟเลย เพราะเรื่องการโดยสารสาธารณะทุกชนิด อ่อนไหวเรื่องระเบิดอย่างมาก

แต่เมื่อเขากระทำผิด เพราะไม่เจตนา เพราะความไม่รู้กฎหมาย

แต่เขาก็พร้อมยอมรับผิดอย่างมีสปริต เพราะคงหวังเพื่อได้ลดหย่อนโทษ ทั้ง ๆ ที่เจอสายการบินเรียกร้องค่าเสียหายข้างต้น 120 ล้านบาท

ถ้าตีค่าเสียหายเป็นโทษจำคุก ก็ติดคุกหัวโตล่ะครับ

ข่าวของหนุ่มคนนี้ 2 วันจบไปแล้ว แถมกฎหมายการบินยังเจอ โทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

แล้วข่าวดาราโพสรูปเบียร์ มันจะจบเมื่อไหร่วะ ??

คลิกอ่าน จัดลานเบียร์ผิดกฎหมายหรือไม่ ?

คลิกอ่าน เหตุผลที่ดาราโพสรูปเบียร์ กระทำผิดกฎหมายทุกคน




วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ข้อคิด รับใช้เบื้องพระยุคลบาท อย่าหวังร่ำรวย







ข่าวจับหมอหยอง หมอดูคนดัง ผู้อยู่เบื้องหลังงานกิจกรรม ปั่นเพื่อแม่ ที่ผ่านมา รวมถึงเขาอาจมีส่วนไม่มากก็น้อยในการจัดสร้าง อุทยานราชภักดิ์ ของกองทัพบกด้วย ในความผิดตาม ปอ.มาตรา 112 เป็นข่าวที่ถูกปล่อยออกมาร่วมอาทิตย์กว่า ๆ แล้ว เพียงแต่เพิ่งจะเป็นข่าวออกสู่สาธารณชนแค่ไม่กี่วันเท่านั้น



บทความนี้ผมไม่จะพูดถึงรายละเอียดของคดีอะไร แต่อยากจะบอกเราชาวไทยทุกคนว่า

ใครก็ตามที่ได้มีโอกาสได้รับใช้สนองงานต่อพระบรมวงศานุวงศ์ ให้ถือว่า เป็นเรื่องโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับแต่ละพระองค์

ไอ้ประเภทจะมาคิดว่า ได้โอกาสรับใช้ใกล้ชิดเจ้านายแล้วฉันจะรวย ฉันจะดัง ก็ขอให้คิดไปเลยว่า คุณไม่มีทางรวยจากการรับใช้ใกล้ชิดเจ้านายอย่างแน่นอน

เพราะถ้าใครคิดแบบนั้น โอกาสจะเป็นแบบที่หมอดูคนดังกำลังโดนก็จะมีสูง

แต่หากใครจะพอมีรายได้บ้าง นอกเหนือจากเงินเดือนที่ท่านเป็นเจ้าหน้าที่ในตำแหน่งในสำนักพระราชวัง หรือตำแหน่งในมูลนิธิต่าง ๆ ที่แต่ละพระองค์ทรงเป็นประธานอยู่

ท่านก็ต้องรับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างจริงจังจนเป็นผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญในงานสาขานั้น ๆ จนมีหน่วยงานต่าง ๆ หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ เชิญท่านให้ไปให้พูดให้ความรู้ในสาขาที่ท่านเชี่ยวชาญจากการสนองงานเบื้องพระยุคลบาทมานาน  ก็อาจจะได้ค่าพูด ค่าไปเลคเชอร์เล็กน้อยประมาณพันบาทหรือพันกว่าบาทต่อ ชม. เท่านั้น

หรือบางท่านก็ไม่รับเงิน ทางสถาบันศึกษา ก็ให้เป็นค่าเดินทางแทน ซึ่งเป็นเงินน้อยมากน่าจะไม่เกิน 500 - 1 พันบาทต่อครั้งเท่านั้น

นี่แหละที่พอจะได้เงินเล็กน้อยจากการช่วยงานเบื้องพระยุคลบาท ซึ่งหลาย ๆ ท่านพอได้เงินค่าพูดมาแล้ว ก็คืนกลับไปเป็นทุนการศึกษาแก่สถาบันที่มาเชิญท่านไปก็มากมาย


----------------

แต่ที่เป็นปัญหาจนเป็นคดีใหญ่มาแล้ว 1 คดี เช่นคดีพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์

ส่วนกรณีคดีหมอดูคนดังที่กำลังเป็นข่าว ผมเองไม่รู้รายละเอียดอะไร

แต่จากที่เป็นข่าวออกมา ก็พอจะเดาได้ว่า พวกนี้ใช้ความที่ได้ใกล้ชิดเจ้านาย โดยอาจจะนำรูปที่เคยถ่ายกับพระองค์ท่าน หลาย ๆ รูป อาจมีบางรูปที่ดูพระองค์ท่านให้ความเมตตาให้ความสนิทสนมด้วยมาก ๆ

แล้วคนพวกนี้ก็จะนำรูปพวกนั้น นำไปอวดอ้าง หาผลประโยชน์ต่าง ๆ อย่างเช่น

สมมุติ เช่น ถ้าในขบวนการของหมอดูคนดัง เกิดอยากจะได้ที่ดินสวย ๆ ราคาถูก ๆ ทำเลดี ๆ ก็อาจจะนำเรื่องความใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทไปแอบอ้างต่อเจ้าของที่ดิน เพื่อหวังจะซื้อที่ดินในราคาถูกกว่าราคาปกติมาก ๆ 

หรืออาจคล้ายกรณี คดีเสี่ยอู๊ด ที่แอบอ้างเอาตราสัญลักษณ์ประจำรัชกาล ไปใช้ในการทำเหรียญพระต่าง ๆ หลอกขายจนร่ำรวย

แต่กรณีหมอดูคนดัง เพราะเคยได้ทำงานรับใช้ใกล้ชิดสนองเบื้องพระยุคลบาทในหลายเรื่อง ยิ่งมีประชาชนได้เคยเห็นออกทีวีว่า หมอดูคนนี้ทำงานใกล้ชิดเจ้านายพอควร

แบบนี้ก็ยิ่งนำไปแอบอ้างเพื่อหลอกหลวงหาผลประโยชน์ได้ง่ายมาก

ผมอธิบายแค่นี้ คณผู้อ่านคงพอนึกปะติดปะต่อเรื่องต่อเองได้นะครับ ว่ารูปแบบการนำไปเบื้องสูงไปแอบอ้างน่ะ ถ้าคิดจะทำชั่ว มันทำได้มากมายหลายรูปแบบ

(จากรายงานข่าวได้รายงานว่า ขบวนการหมอหยองนี้เพิ่งจะเริ่มกระทำความผิดในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมานี่เอง )



ดังนั้นการทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท จึงมาหวังร่ำรวยไม่ได้ เพราะแต่ละพระองค์ไม่ทรงมีเงินเดือนสูง ๆ หรือค่าตอบแทนสูง ๆ มาตอบแทนให้

ดังนั้นพวกโลภมาก จึงมักอาศัยเหตุความใกล้ชิดไปแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ผิดแทน

ส่วนพวกล้มเจ้า ช่วงนี้พวกมันก็ได้โอกาสมโนสร้างเรื่องร้ายไปต่าง ๆ นานา ก็ขอให้เราคนไทยอย่าไปใส่ใจเรื่องมโนของไอ้พวกนี้


-----------------

เวลาที่พระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จเยือนต่างประเทศ

เราคงเคยเห็นในข่าวพระราชสำนักบ่อย ๆ เวลา พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จไปต่างประเทศ ก็จะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการต่าง ๆ จะยืนมารอเฝ้าส่งเสด็จบ้าง รับเสด็จบ้าง

เจ้าหน้าที่ทุกคนนี้ เขาต้องเสียสละเวลามาเพื่อยืนรอรับเสด็จ หรือส่งเสด็จนะครับ บางทีพวกเขาต้องเสียเวลามารอหลายชั่วโมงกว่าจะเจ้านายจะเสด็จฯ เสร็จ

เจ้าหน้าที่เหล่านี้ บางครั้งโดนคำสั่งเรียกตัวกระทันหัน ให้มาทำหน้าที่เฝ้ารอรับเสด็จฯ นี้ ซึ่งบางครั้งพวกเขาก็จะได้เงินค่ากิจพิเศษนี้แค่ร้อยกว่าบาทเท่านั้นนะครับ

ถือว่า ทุกคนทำตามหน้าที่ เพราะถ้าคิดจริง ๆ ก็ไม่คุ้มหรอกครับ ที่ใครจะมาเสียเวลา 3-4 ชม. หรือบางทีมากกว่านั้น แถมบางท่ีก็เป็นเวลาดึกมาก ๆ  กับเงินพิเศษที่คิดตามระเบียบราชการเท่านั้น

เจ้าหน้าที่หลายคนที่มาทำหน้าที่เฝ้ารอรับเสด็จฯ หลายคนเป็นแพทย์ เป็นพยาบาล ซึ่งแต่ละคน เอาเวลาไปทำโอทีได้มากกว่ารับเสด็จฯ เยอะแยะ

แต่ที่ทุกคนต้องมาทำ ก็เพราะ หลักการหมุนเวียนกันเพื่อมาทำหน้าที่

หากเราดูข่าวพระสำนัก พระบรมวงศานุวงศ์ก็จะทรงยิ้มให้แก้เจ้าหน้าที่ที่มาเฝ้ารอรับเสด็จ เพราะแต่ละพระองค์ทรงรู้ว่า เจ้าหน้าที่แต่ละคนเขาต้องเสียสละเวลา เสียสละในหน้าที่อื่นเพื่อมาเฝ้ารอรับเสด็จ

จึงทำให้แต่ละพระองค์จึงทรงยิ้มเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกคน

(ยิ้ม = แย้มพระสรวล)





วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สมศักดิ์ เจียม เสียหมา เพราะดันโชว์โง่ตัดต่อพระราชดำรัสในหลวง






คือ ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการล้มเจ้า จะหมดมุขจนใช้วิธีการนี้ในการโจมตี

เพราะกลายเป็นว่า หงอกเจียม มุกแป๊ก ตายน้ำตื้น เสียหมา กลายเป็นโชว์โง่เสียเอง

เพราะเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา หงอกเจียม ได้โพสรูปเหตุการณ์หนึงในช่วง 6 ตุลา 2519 แล้วนำมาโยงกับพระราชดำรัสที่ถูกตัดต่อแล้ว ตามนี้


รูปนี้สันนิษฐานจากนักข่าว AP ผู้ถ่ายรูปว่า น่าจะเป็นประชาชนฝ่ายขวาตีศพประชาชนฝ่ายซ้ายที่เสียชีวิต

แน่นอนว่า เจตนาของสมศักดิ์เจียม พยายามจะโยงภาพความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 มารวมกับพระราชดำรัสที่ถูกตัดต่อ เพื่อให้บรรดาเหล่าสาวกหงอกเจียมคิดไปในทางอคติ เพราะพวกนี้คิดชั่วเหมือนกัน

แต่เผอิญมีคุณผู้หญิงคนนึงรู้ทันมุกห่วย ๆ ของหงอกเจียม เธอเลยโพสพระราชดำรัสที่ถูกตัดต่อฉบับเต็ม ซึ่งเป็นพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยเนื่องในวันปีใหม่ปี 2520 ดังนี้




พระราชดำรัสอวยพรปีใหม่แก่ประชาชน พ.ศ.2520




ระโยคเต็ม ๆ ของพระราชดำรัสที่หงอกเจียมนำมาตัดต่อหวังบิดเบือน อยู่ในย่อหน้าที่ 3 ของพระราชดำรัสความว่า

"...ในรอบปีที่แล้ว ประชาชนชาวไทยแสดงออกชัดเจนขึ้นว่าต้องการอะไร เมื่อแสดงออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้รู้ใจกัน และสามารถช่วยกันทำช่วยกันสร้างในสิ่งที่ต้องการ แม้จะมีอุปสรรคหรือความยากลำบากขัดขวางอยู่ ก็ทำได้ ขอเพียงให้ร่วมมือร่วมใจกันจริง ๆ แต่ทั้งนี้ ควรจะต้องเข้าใจว่า สถานการณ์ของประเทศโดยส่วนรวมยังไม่แจ่มใสนัก..."


ต่อมาหงอกเจียม ได้โพสตอบคุณผู้หญิงคนนี้ว่า





แล้วคุณผู้หญิงคนนี้ก็ถามหงอกเจียมกลับไปว่า




หงอกเจียมยังจะแถกลับ



หงอกเจียมมันถามถึงคำว่า ประชาชนไทย 
ซึ่งเดี๋ยวผมจะเฉลยให้ว่า คำว่า ประชาชนไทย หมายถึงอะไร ในท้ายบทความ


คุณผู้หญิงคนนี้เลยจัดเต็มอย่างถูกค้องตามครรลองธรรม




พอเจอคำถามนี้ไป หงอกเจียมก็หายหัวไป มันก็ไม่กลับมาตอบอีก

หงอกเจียมเจตนาตัดต่อพระราชดำรัส โดยไม่ระบุที่มาพระราชดำรัส แล้วนำมาตัดต่อเพื่อใส่กับรูปที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในพระราชดำรัสเลย นี่คือ เจตนาบิดเบือนโดยแท้


รูปที่คุณผู้หญิงคนนี้โพสเป็นรูปสุดท้าย




-------------------------

เมื่อผมอ่านพระราชดำรัสเนื่องในวันปีใหม่ ในย่อหน้าที่ 3 แล้ว


"...ในรอบปีที่แล้ว ประชาชนชาวไทยแสดงออกชัดเจนขึ้นว่าต้องการอะไร เมื่อแสดงออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้รู้ใจกัน และสามารถช่วยกันทำช่วยกันสร้างในสิ่งที่ต้องการ แม้จะมีอุปสรรคหรือความยากลำบากขัดขวางอยู่ ก็ทำได้ ขอเพียงให้ร่วมมือร่วมใจกันจริง ๆ แต่ทั้งนี้ ควรจะต้องเข้าใจว่า สถานการณ์ของประเทศโดยส่วนรวมยังไม่แจ่มใสนัก..." พระราชดำรัสเนื่องในวันปีใหม่ 2520


ผมขอตีความพระราชดำรัสในย่อหน้านี้ว่า  

ประโยคแรก "...ในรอบปีที่แล้ว ประชาชนชาวไทยแสดงออกชัดเจนขึ้นว่าต้องการอะไร เมื่อแสดงออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้รู้ใจกัน"

หมายถึง ในปี 2519 ในหลวงเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในถิ่นทุรกันดาร รวมถึงเขตพื้นที่สีแดงที่มีภัยคอมมิวนิสต์รุนแรงอยู่ในพื้นที่ แต่ประชาชนชาวไทยในพื้นที่สีแดงก็ยังแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวงเช่นเดิม เมื่อประชาชนแสดงออกมาเช่นนี้ ก็ทำให้ในหลวงทรงรู้ใจราษฎรว่า ราษฎรยังคงรักสถาบันพระมหากษัตริย์


ประโยคที่2 "...และสามารถช่วยกันทำช่วยกันสร้างในสิ่งที่ต้องการ แม้จะมีอุปสรรคหรือความยากลำบากขัดขวางอยู่ ก็ทำได้ ขอเพียงให้ร่วมมือร่วมใจกันจริง ๆ..."

หมายถึง เมื่อในหลวงทรงรู้ใจราษฎรแล้ว ว่าทุกคนยังมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ จึงทรงขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกัน ร่วมกันทำในสิ่งที่ต้องการ แม้จะมีอุปสรรคหรือความยากลำบากมาขัดขวาง

ซึ่งคำว่า สิ่งที่ต้องการ ในหลวงทรงหมายถึง ขอให้ประชาชนชาวไทยต้องร่วมกันต่อสู้กับความยากจนในพื้นที่สีแดงและภัยคอมมิวนิสต์นั่นเอง เพียงแต่ว่า สถานการณ์ในเวลานั้นโดยภาพรวม ยังเป็นเรื่องยากที่การช่วยเหลือจะเข้าถึงโดยง่าย

แล้วถ้าเราอ่านพระราชดำรัสนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งไม่เกี่ยวอะไรกับที่หงอกเจียมพยายามจะตัดต่อพระราชดำรัสเพื่อนำมาโยงกับเหตุการณ์ 6 ตุลา เลย


งเพราะว่า ในปี 2516 มีเหตุการณ์มากมายในช่วงภัยคอมมิวนิสต์กำลังแผ่ขยายเข้ามาในไทย มีการต่อสู้รบกันเองระหว่างคนไทยด้วยกันแต่ต่างกันที่อุดมการณ์ทางการเมือง

ซึ่งในหลวงก็ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรในทุกพื้นที่ โดยไม่หวั่นเกรงภัยใด ๆ

และเพราะ กรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทย ไอ้เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ของไอ้พวกล้มเจ้ามันเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของเหตุการณ์หนึ่งในประเทศไทยเท่านั้น และเป็นเหตุการณ์ที่เอาเรื่อง พระถนอมกลับประเทศมาบังหน้า

แต่แท้ที่จริง พวกคอมมิวนิสต์มันหวังใช้เหตุการณ์นี้ เพื่อปลุกระดม ล้มล้างสถาบันฯ หลังจากที่พวกมันเคยพ่ายแพ้มาแล้วใน 14 ตุลา 2516

คือผมอยากให้เราแยกแยะระหว่าง ผู้ที่ต่อต้านเผด็จการจริง ๆ กับ พวกที่อาศัยเหตุการณ์ต่อต้านเผด็จการ แต่เพื่อหวังผลอื่น คือให้คอมมิวนิสต์ขยายอิทธิพลมากขึ้น เรียกว่า แฝงตัวมาเป็นมือที่ 3 เพื่อเข้ามาปลุกปั่นให้เหตุการณ์รุนแรงขึ้น หวังให้มีคนตายมาก ๆ เพื่อใช้โจมตีสถาบันฯ ที่เรารัก

-----------------------

พวกล้มเจ้าในไทย เป็นพวกเอาแต่ได้ เห็นแก่ตัวที่สุด

ไอ้พวกล้มเจ้า เป็นพวกแพ้แล้วพาล และไม่ยอมรับกติกา

ในเมื่อพวกมึงคิดล้มเจ้า ก็ต้องรู้ไว้ก่อนว่า โทษฐานล้มล้างสถาบันฯ คือ ตาย หากพวกมึงกระทำการไม่สำเร็จ

ในภัยคอมมิวนิสต์เมื่อ 40 กว่าปีก่อน ไอ้พวกล้มเจ้าแฝงมาในแนวคิดคอมมิวนิสต์
ถ้าพวกมึงเกิดตาย ก็ต้องยอมรับว่า พวกมึงเข้ามาเส้นทางนี้เอง อย่าโทษใคร ถ้าสู้แล้วแพ้ก็คือแพ้

ถ้าใครคิดล้มจ้า ก็จำไว้เลยว่า ทหารมีสิทธิปกป้องสถาบันฯ ด้วยอาวุธ

แต่พอพวกล้มเจ้าแม่งตาย แม่งเสือกโทษสถาบันฯ กล่าวหาว่าสถาบันฯ ผิด ทั้ง ๆ ที่สถาบันฯ ไม่เกี่ยว

เพราะผู้ที่เกี่ยว คือ ทหารผู้ปกป้องราชบัลลังค์

ทั้ง ๆ ที่ ในหลักการต่อสู้ เมื่อแพ้ก็ต้องยอมรับว่าแพ้ ในเมื่อพวกมึงคิดล้มเจ้า ก็ต้องยอมรับความจริงว่า พวกมึงก็มีสิทธิตาย !!!

เปรียบเสมือนกลุ่มต่อต้านระบอบโชกุน -ได้ลอบสังหารไทโรอี ซึ่งเป็นผู้ปกป้องระบอบโชกุน

ก่อนไทโรอีตาย เขาทำใจยอมรับความจริงว่า มันเป็นเส้นทางที่เขาเลือก ซึ่งมีโอกาสตายจากการลอบสังหารได้ทุกเวลา ก่อนเขาจะสิ้นใจ เขาได้ปลงได้โดยไม่คิดอาฆาตแค้นใคร ด้วยหน้าตาที่สงบลง เพราะต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตน สุดแต่ว่า ใครจะชนะ ?

พวกล้มเจ้ามีหน้าที่ล้มเจ้าตามอุดมการณ์เลว ๆ ของพวกมัน

ทหารก็มีหน้าที่ปกป้องราชบัลลังค์ตามหน้าที่ของทหาร

ฉะนั้น ถ้ามีใครตายจากการทำหน้าที่ของตน ก็ไม่ต้องไปโทษใคร

แต่ไอ้พวกล้มเจ้าในไทย มันอยากล้มเจ้า อยากล้มสถาบันฯ อยากเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่มันบอก ทหารห้ามฆ่าพวกมันนะ (ถุย !!!! ๆๆๆๆๆๆๆๆ)

แล้วพอพวกล้มเจ้ามันตาย มันก็แถว่า ทหารฆ่าประชาชน ผู้บริสุทธิ์ (ถุยๆๆๆๆๆ)


คลิกอ่าน ทำไมทหารต้องฆ่าประชาชนที่โดนพวกล้มเจ้าหลอกให้มาตาย





วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

นายกฯ ประยุทธ์ เป็นประธาน G77 ทำพวกเสื้อแดงดิ้นพล่านกันใหญ่







ารได้เป็นประธานกลุ่มประเทศ G77 ของนายกฯ ประยุทธ์ ถือว่า เหนือความคาดหมาย เพราะไม่มีข่าวเล็ดลอดมาให้รู้ล่วงหน้ามาก่อนเลย

ซึ่งงานนี้ทำเอา พวกต่อต้าน คสช. ในไทยและในต่างประเทศ คงกระอักไปไม่มากก็น้อย 555 (แต่พยายามเก็บอาการ)

โดยเฉพาะ ไอ้องค์กรอะไรนะ ฮิวแมนไรท์วอทช์ ที่หาทางให้นายกฯ ลุงตู่ หน้าแหกที่ UN  ด้วยการจะนำเรื่อง ม.44 ให้ UN เล่นงานนายกฯ ประยุทธ์ แต่กลายเป็นหน้าแหกเอง เพราะ UN ไม่เล่นด้วย

แถม สมาชิก G77 จำนวน 133 ประเทศเขาสนับสนุนลุงตู่ว่ะ

แต่ที่สุดของที่สุด ก็ นายทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละที่เจ็บปวดที่สุด เพราะหวังไว้ว่า ทั่วโลกจะแอนตี้รัฐบาล คสช. แต่กลับกลายเป็นทั่วโลกเขาช่วยกันเทคะแนนอย่างท่วมท้นให้นายกฯ ลุงตู่ (555)



ลุ่ม G77 หรือ Group of 77 จัดเป็นกลุ่มประเทศใน UN ที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด และได้ก่อตั้งมา 51 ปีแล้ว จากประเทศที่ร่วมก่อตั้งเริ่มแรก 77 ประเทศซึ่งก็มีไทยอยู่ด้วย จึงเรียกว่า G77 แต่ปัจจุบันมีสมาชิกเพิ่มเป็น 134 ประเทศแล้ว

ตัวอย่างประเทศดัง ๆ ที่เป็นสมาชิกใน G77 เช่น จีน อินเดีย สิงคโปร์ ซาอุดิอาระเบีย อาฟริกาใต้ ไทย บราซิล

เอาแค่ จีนกับอินเดีย ก็ประชากรเกือบครึ่งโลกแล้ว ถ้ารวมทุกประเทศใน G77 ก็คงมีประชากรเกินครึ่งโลก

แต่ เอ.. ในอดีต เคยมีนายกฯ หญิงโง่ ๆ นางหนึ่ง ดันไปพูดในเวทีนานาชาติว่า อาเซียนมีประชากรประมาณครึ่งโลก 

ใครจำเรื่องนี้ไม่ได้ ไปดูคลิปตามลิงค์นี้ ฮ่า ๆๆ

คลิกอ่าน รวมคลิปฮา ยิ่งลักษณ์ จ่าประสิทธิ์ ทักษิณหลอกควาย


แผนที่แสดงจำนวนประเทศสมาชิกในกลุ่ม G77 ด้วยสีเขียว



อยู่ ๆ ผู้นำเผด็จการรัฐประหารจากราชอาณาจักรไทย ได้เดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพและประชาธิปไตยอันดับ 1 ของโลก แถมยังได้เป็นประธานกลุ่ม G77 ใน UN อีกด้วย

นั่นจึงแสดงว่า พวก G77 มันต้องเป็นพวกอำมาตย์แน่นอน จริงไหม เสื้อแดง 55555

เพราะพวก G77 เป็นพวกไม่รักประชาธิปไตย ฝักใฝ่เผด็จการ ถึงได้เทคะแนนท่วมท้นมากถึง 133 เสียง เลือก พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีจากการรัฐประหาร มาเป็นประธาน G77 ในองค์การสหประชาชาติ !!

แถมนายบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ยังเป็นผู้เรียนเชิญ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาประชุมด้วยตัวเองอีกด้วย

ว้าว ๆ ดังนั้น นายบัน คี มุน ต้องเป็นพวกลิ่แล้วอย่างแน่นอน จริงไหมเสื้อแดง เพราะก่อนหน้านี้สหรัฐอเมริกาเคยประกาศห้ามผู้นำเผด็จการของไทยเข้าประเทศ

แต่ นาย บัน คึ มุน ดันเชิญนายกฯ ประยุทธ์ เข้าสหรัฐอเมริกาได้ นั่นแสดงว่า พวกสลิ่มมันซื้อสภาคองเกรสของสหรัฐ แล้วอย่างแน่นอน จริงไหมเสื้อแดง 55555

อ้อ.. ลืมไป พวกเสื้อแดงในไทยมันไม่รู้จัก สภาคองเกรส หรอก เพราะเสื้อแดงมันรู้จักแต่ สภาผัวเมีย 555

--------------------

วอยซ์ทีวี อธิบายให้เสื้อแดงฟังว่า G77 คืออะไร

 นายกฯ ประยุทธ์ เข้าร่วมประชุมกลุ่ม G77 ในวาระเลือกประธานG77 ใหม่ แล้วประเทศไทยภายใต้การบริหารของรัฐบาล คสช. ก็ได้รับเลือกเป็น ประธานกลุ่ม G77 เป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี

โดยในขณะประชุมจี77 ครั้งนี้ นายกฯ ประยุทธ์ ก็คือ ตัวแทนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในการรับมอบตำแหน่งประธานจี 77 เท่ากับนายกรัฐมนตรีก็คือประธานจี 77  แต่ในความเป็นจริง นายกฯ ก็คงทำหน้าที่ประธานจี 77 ไม่ได้

จึงต้องมอบหมายให้ นายวีรชัย พลาดิสัย เอกอัครราชทูตผู้แทนชาวไทยประจำสหประชาชาติ ทำหน้าที่ประธานจี 77 แทนนายกรัฐมนตรีครับ

เสื้อแดง ลองฟังจากวอยซ์ทีวีของโอ๊ค นะว่า กลุ่ม G77 คืออะไร



ในโลกนี้มีประเทศทั้งหมดประมาณ 193 ประเทศ แต่มี 133 ประเทศ ยอมรับประเทศไทยภายใต้การบริหารของรัฐบาล คสช. แล้ว

เท่ากับว่า เสียงส่วนใหญ่ในโลกนี้ ยอมรับรัฐบาลเผด็จการ คสช. ชิมิ ??

นี่ถ้ารวมกับประเทศนอกกลุ่ม G77 เช่น รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอื่น ๆ เข้าไปด้วยอีก  นี่รัฐบาล คสช. นำพาประเทศไทยเป็นผู่นำโลกไปแล้วหรือนี่ ฮิ ๆ

------------------------------

แค่นายกฯ ตู่ อ่านโพย  เสื้อแดงดิ้นพล่าน


คือ จริง ๆ แล้ว ผมเองไม่รู้สึกต่อต้านการวิจารณ์ผสมด่านายกฯ ประยุทธ์ ของพวกเสื้อแดง หรือ ควายแดงของอุ๊งอิ๊ง สักเท่าไหร่นัก หากด่าแบบมีเหตุผลและสร้างสรรค์ให้ได้ฮา

แต่นับว่า หาการด่านายกฯ ประยุทธ์ แบบฉลาด ๆ ของพวกเสื้อแดงได้น้อยมาก ๆ

ทีนี้ไอ้เรื่องอ่านโพยของนายกฯ ประยุทธ์ ในห้องประชุมเล็กในองค์การสหประชาชาติ วันที่ได้เลือกเป็นประธาน G77

พวกเสื้อแดงหยิบเอาประเด็น นายกฯ อ่านโพย แถมยังอ่านโพยด้วยภาษาไทย มาตำหนิติเตียนและด่าท่านนายกฯ นั้น

ซึ่งที่จริงการด่าเรื่องอ่านโพย ไม่สามารถกลบเกลื่อนความเจ็บปวดในใจของพวกเสื้อแดงจากกรณี นายกฯ ตู่ ได้เป็นประธาน G77 ได้หรอก

เรื่องนายกฯ อ่านโพย ต่อเสื้อแดงให้ด่าเก่งยังไง ก็เป็นเสมือนแมงหวี่บินมาตอมให้แค่รำคาญผิวเท่านั้น เพราะ การได้เป็นประธาน G77 นี่คึอ เรื่องจริงระดับโลก ที่ทั่วโลกยกย่อง !!

ส่วนการที่ นายกฯ ประยุทธ์ อ่านโพยภาษาไทยนั้น มันก็แค่ด่าเอาฮากันเองในกะลาแดงแบบโง่ ๆ ของพวกเสื้อแดงเท่านั้น


แล้วการหยิบเรื่องนายกฯ ประยุทธ์อ่านโพยมาด่า ก็ยิ่งเป็นการโชว์โง่ของพวกเสื้อแดงเองมากกว่า เพราะในการประชุมสหประชาชาติ มีผู้นำจากหลายประเทศเขาก็อ่านโพยในภาษาบ้านเกิดกันเยอะแยะ

เพราะถ้าหากไม่แตกฉานในภาษาทางการทั้ง 6 ภาษาในสหประชาชาติมากพอ ก็ควรอ่านด้วยภาษาตัวเองน่ะดีสุด (ไปหาคลิปประชุม UN ดูในยูทูปเยอะ ๆ นะเสื้อแดง)

ตัวอย่างเช่น ตอนแรกอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์เคยไปอ่านโพยภาษาอังกฤษ ในการประชุมระดับนานาชาติ เธอก็ดันอ่านผิด  ๆ ถูก สำเนียงภาษาก็ไม่เอาไหน ไม่สมกับเคยเรียนจบปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกาเลย

ดังนั้นต่อมา จึงมีผู้รู้แนะนำเธอว่า อ่านโพยในภาษาไทยน่ะดีที่สุด

คลิกอ่าน ยิ่งลักษณ์จบ ป.โท จากไหน


ส่วนภาษาทางการในสหประชาชาติมี 6 ภาษา คือ ภาษาอาหรับ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน

ใครไปพูด หรือ อ่านโพย ในเวทีสหประชาชาติด้วยภาษาท้องถิ่น หรือภาษาที่ไม่เป็นทางการในสหประชาชาติ  ทางสหประชาชาติเขาก็จะแปลให้เป็นภาษาทางการ ทั้ง 6 ภาษานี่แหละ ให้ผู้เข้าประชุมเลือกฟังได้ตามความพอใจ

แสดงว่า เสื้อแดงนี่โง่จริง ๆ ถึงหยิบเอาประเด็นอ่านโพยมาด่า ทั้ง ๆ ที่การอ่านโพยแถลงการณ์ในภาษาท้องถิ่นของตัวเอง ถือเป็นเรื่องปกติในการประชุมสหประชาชาติ

สงสัยพวกเสื้อแดงคงเจ็บแค้นคำพูดของนายกฯ ประยุทธ์ ที่เคยพูดว่า

"ไม่อย่างนั้นผมเป็นนายกฯ โดยไม่ต้องคิดอะไรก็ได้ นายกฯ ไม่ต้องมาจากไหน ใครก็ได้ ลูกน้องผมก็มานั่งเป็นนายกฯได้ มันต้องเข้าใจ ต้องคิด ต้องรู้การบริหารราชการแผ่นดิน ไม่ใช่เขียนโผมาให้ แล้วก็อ่าน แล้วจบ อ่านผิดอีกต่างหาก ผมจึงไม่อ่านนี่ไงเลยไม่ผิด พูดเอง เอาหัวข้อมาเท่านั้น แค่นี้ยังเยอะเลย"

เสื้อแดงเลยตั้งหน้ารอจับผิด นายกฯ ประยุทธ์ เรื่องการอ่านโพยในสหประชาชาติ ทั้ง ๆ ที่ การอ่านโพยในสหประชาชาติคือเรื่องปกติ

แต่เรื่อง คนบางคนอ่านโพย แม่ง ทุกงาน ทั้งงานเล็กงานน้อยไปจนถึงงานวันเด็ก แถมยังอ่านผิด ๆ ถูก ๆ  นี่สิมันไม่ค่อยปกติ

แล้วความหมายที่ นายกฯ ประยุทธ์ พูดถึง คนอ่านโพยนางหนึ่งนั้น ไม่ได้แปลว่า ห้ามอ่านโพย แต่อ่านโพยน่ะ ควรหัดรู้ความหมายในเนื้อหาโพยด้วย ไม่ใช่อ่านผิด ๆ ถูก ๆ โดยสมองไม่ได้ตามความหมายในโพยที่อ่านไปเลย อ่านไปแบบนกแก้วนกขุนทอง

เข่น รวมคลิปอ่านโพยผิด ๆ ของแม่เสื้อแดง



--------------------------

นายกฯ ประยุทธ์ อ่านโพยรักษาเวลา ใน 3 นาที แต่เสื้อแดงบอกฟังไม่รู้เรื่อง



ก็เขาให้เวลาแค่ 3 นาที นายกฯ ก็ต้องอ่านเร็วแบบที่เห็น

ถามว่า คนไทยฟังรู้เรื่องหรือไม่ ?

ใครจะยังไงไม่รู้ แต่สำหรับผม ผมฟังรู้เรื่อง

ส่วนพวกเสื้อแดงต่างบอกว่า ฟังไม่รู้เรื่อง

ซึ่งผมไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเลย ที่เสื้อแดงจะฟังไม่เข้าใจ เพราะ ใคร ๆ ก็รู็ว่า เสื้อแดง มีฉายาที่ถูกต้องคือ  ควายแดง !!

----------------------------

คำถามโง่ ๆ ของ ประวิตร โรจนพฤกษ์ กับ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์

ประวิตร โรจนพฤกษ์ มันได้ถามคำถามโง่ ๆ ว่า



คำถามนี้ ประวิตร ถามแบบด่าเข้าตัวเอง เพราะถ้าประวิตรไม่ชอบประเทศที่เป็นเผด็จการ แล้วทำไมมึงยังไม่ออกจากประเทศไทยล่ะ หน้าด้านทนอยู่ประเทศไทยไปทำไม

ในเมื่อ รัฐประหาร มึงก็เกลียด เวลาทีมฟุตบอลทีมชาติไทยชนะ มึงก็ทุนรนทุราย ดิ้นพล่านราวกับโดนคนเอาน้ำร้อนมาสาดไล่หมา แต่ประวิตรก็ยังอยากโดนน้ำร้อนสาดที่ไทยแลนด์ต่อไป 555

เฮ่อ.. ขนาดตัวมึงยังทำเองไม่ได้ แล้วดันเสือกไปถาม คนไทยในอเมริกา ได้ไง ??



คำถามของนักวิชาการโง่ ๆ ที่ชื่อ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ 



ปวิน นี่โง่แล้วอวดฉลาดนะ มึงยังเป็นอาจารย์รัฐศาสตร์มาถึงวันนี้ได้ไงวะ โดยที่มึงยังไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้เขาแยก ระบอบ กับ ระบบ ออกจากกันไปแล้ว

เช่น จีน ใช้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ใช้ระบบทุนนิยม ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

เดี๋ยวนี้ทุนสหรัฐอเมริกาไปลงทุนในจีนก็เยอะแยะ ส่วนทุนจีนก็ไปลงทุนในสหรัฐอเมริกาก็มากมาย เขาไปทำมาหากิน หาเงิน เพราะระบบทุนนิยม เขาไม่ได้บ้าประชาธิปไตยจนแยกแยะอะไรไม่ออกเหมือนมึง อีปวิน ครับ

ถ้าสหรัฐอเมริกา เกลียดเผด็จการและการรัฐประหารจริง ๆ ก็น่าจะปิดสถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยไปแล้ว ตามตรรกะของ อีปวิน จริงไหม ?

แต่สหรัฐอเมริกากลับยอมให้พลเอกประยุทธ์เข้าประเทศ แถมได้ส่งเอกอัครราชทูตคนใหม่มาประจำประเทศไทยแล้ว นั่นแสดงว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องโดนลิ่ซื้อแล้วอย่างแน่นอน 555

โถ ๆ พวกนักวิชาการแดง แม่ง โง่บัดซบจริงเลย


--------------------

ปิดท้ายด้วย อีปวิน ประท้วงใช้หลอกควาย

คือ ในวันที่ 26 ก.ย. 2015 อีปวินและพวกแค่ไม่กี่คน ไปดักรอประท้วงพลเอกประยุทธ์ ที่หน้าสำนักงาน UN นั้น กลับเป็นวันที่ พลเอกประยุทธฺ ไม่มีกำหนดการมาที่ UN ครับ

อีปวิน มันประท้วงลม เสมือน อีปวินกระเด้าลม

ขนาดสหรัฐอเมริกา ประเทศประชาธิปไตยสุด ๆ ไม่มี ม.44 ห้ามการชุมนุม แต่อีปวิน ก็หาพวกเหี้ยแดง (แดงล้มเจ้า) มาได้แค่นี้แหละ



ประท้วงกับลม แล้วให้พรรคพวกถ่ายรูปมาอวดควายว่า ชั้นได้มาประท้วงประยุทธ์แล้วนะ ตามที่ชั้นโม้มาหลายวัน


คลิกอ่าน เหตุผล ทำไมประเทศไทยถึงได้เป็นประธาน G77





วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

มา เติม ย.ยักษ์ ให้.... ทักษิณ กันดีกว่า






เห็นโอ๊ค พานทองแท้ มันปล่อยวางตามที่มันโม้ไม่ได้ ก็เรื่อง ถอดยศพ่อมัน นั่นแหละ

ตอนนี้มันถึงขนาดคลั่ง ออกมาชวนสมุนและขี้ข้าในเฟสบุ๊คให้ ร่วมกันเติม .ไก่ ให้ นาย...ทักษิณ

งั้นผมก็เลยขอชวนเชิญบ้าง ใครอยากเปลี่ยนรูปเฟส ก็เอาไปเลย 5555

ร่วมกันเติม .ยักษ์ ให้ เหี้... ทักษิณ 

คลิปที่รูปเพื่อขยาย


เมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึง วันที่ยิ่งลักษณ์ติดคุกคดีจำนำข้าว แล้ว โอ๊ค ติดคุกในคดีสินเชื่อกรุงไทยปล่อยให้กฤษดามหานคร

ถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่ แผ่นดินไทยคงสูงขึ้นเยอะ 555

------------

การ์ตูนแนวหน้า เชาเหน็บได้ดี เติม .โกง ให้ ไอ้ตระกูลโคตรโกง



คลิกอ่าน เรียกคำนำหน้าทักษิณว่า เหี้ย ได้ไหม ไอ้เก่ง





วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2558

ระวังแผนลวงใช้ตุรกี อุยกูร์ หลอกให้ตำรวจไทยไม่เจอไอ้หน้าเหลี่ยม







ารจับผู้ต้องสงสัยในคดีระเบิดแยกราชประสงค์คนแรก

สิ่งที่ตำรวจพบอย่างแรกก็คือ พาสปอร์ตปลอมนับ 200 กว่าเล่ม ของผู้ต้องสงสัย โดยที่ผู้ต้องสงสัยมันแอบใช้ตีนเขี่ยเอาเล่มที่ระบุว่า ถือสัญชาติตุรกี ของมันมาล่อให้ตำรวจไทยค้นเจอเป็นเล่มแรก

และนับตั้งแต่ผู้ต้องสงสัยคนแรกได้จนวันนี้ มันก็ยังไม่ยอมรับว่า มันเป็นคนสัญชาติใดกันแน่ แต่ผู้ต้องสงสัยมันมีเจตนาให้ตำรวจไทยเห็นพาสปอร์ตปลอมที่ถือสัญชา่ติตุรกี

แล้วจนถึงวันนี้ สถานทูตตุรกี ก็ยังไม่ยืนยันว่า ผู้ต้องสงสัยคนนี้เป็นคนสัญชาติตรุกีหรือไม่ ?

ต่อมา ตำรวจไทยพบว่า มีหญิงไทยมุสลิมชื่อว่า วรรณา เป็นคนเช่าห้องพักให้ผู้ต้องสงสัยย่านมีนบุรีพักและเก็บซ่อนวัตถุประกอบระเบิด

พอตำรวจโทรไปที่บ้านนางสาววรรณา ที่พังงา ปรากฎว่า แม่ของนางสาววรรณาบอกว่า ลูกสาวได้ไปอยู่ตรุกีกับสามีนานเป็นเดือนแล้ว

และนางวรรณาก็เกิดให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ ว่าตนเองอยู่ตุรกี และจะเดินทางกลับมาสู้คดี เพียงแต่ว่า ทางตำรวจไทยต้องอนุเคราะห์ตั๋วเครื่องบินมาให้ด้วย

สรุปชั้นต้นคือ นางสาววรรณา ไม่ได้พูดคุยกับตำรวจไทยโดยตรง ซึ่งทางตำรวจไทยได้ประสานไปยังสถานทูตไทยในตุรกีแล้วในเรื่องตั๋วเครื่องบินให้นางสาววรรณา

แต่ปรากฎว่า หลังจากตำรวจได้ออกหมายจับสามีของนางสาววรรณา ว่าเป็น 1 ในขบวนการอีกคน ตอนนี้ข่าวจากทางนางสาววรรณาและสามีก็เริ่มเงียบไป ว่า ทั้งสองคนตกลงจะกลับมาสู้คดีหรือไม่ ?

และทางไทยเองก็ไม่แน่ใจว่า นางสาววรรณา และสามี อยู่ที่ตุรกีจริงหรือไม่ ?

ส่วนทางสถานทูตตุรกี และทางการตุรกี ที่เคยแถลงว่า พร้อมจะให้ความช่วยเหลือทางการไทยทุกอย่าง ก็ยังอึมครึมว่า ตกลงผู้ต้องสงสัยที่จับได้แล้ว 2 คน เป็นชาวตุรกีหรือไม่ ?

แล้วนางสาววรรณา และสามีอยู่ล้งที่ตุรกี จริงหรือไม่ ??

สถานการณ์ตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่ ยังไม่มีอะไรแน่ชัดสักอย่างว่า ขบวนการนี้เป็นชนชาติใดกันแน่ ?

แต่เหมือนมีสื่อฝรั่งอย่างนิวยอร์คไทม์ พยายามจะดึงให้เชื่อว่า เป็นฝีมือของกลุ่มอุยกูร์ที่ไม่พอใจไทยส่งชาวอุยกร์กลับจีน

ซึ่งจนวันนี้ ไทยเราก็ยังยืนยันไม่ได้ว่า ขบวนการวางระเบิดนี้เป็นชนชาติใดกันแน่

แต่วันนี้ได้มีขบวนการสร้างข่าวที่พยายามจะกระพือข่าวให้ผู้คนทั่วไปเริ่มเชื่อไปว่า  มีคนตุรกีและชาวอุยกูร์มีเอี่ยวกับการวางระเบิดแยกราชประสงค์ จากสาเหตุที่ไม่พอใจทางการไทยจัดส่งชาวอุยกูร์ 100 กว่าคน คืนกลับให้ทางการจีน


-----------------------------

ประเทศไทย สวรรค์ของพวกมาเฟียทั่วโลก

คือ พวกมาเฟียจากทั่วโลก ชอบมาพำนักพักพิง ฟอกเงิน หรือ ใช้ไทยเป็นศูนย์กลางส่งมอบสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ อย่างเช่น พาสปอร์ตปลอม เป็นต้น

ซึ่งพวกมาเฟียจากทั่วโลกที่มากบดานในไทยนั้น ตามปกติเขาจะไม่โง่ทำตัวให้กระโตกกระตาก จนทำให้ภัยมาถึงตัวเขาง่าย ๆ หรอก

เพราะนั่นเท่ากับเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเอง เผาที่หลบซ่อนของตนเอง อันเป็นเหตุให้อาจถูกตำรวจไทยจับติดคุก และทำลายหนทางหากินของตน

-------------------

อ้างเป็นขบวนการส่งต่างชาติไปประเทศที่ 3 น่าจะเป็น แผนลวง

ทีมวางระเบิดแยกราชประสงค์ มันมาอยู่ในไทยนานเป็นปี ๆ แล้ว มันทำอาชีพอะไรกันแน่ แล้วทำไมมันต้องมีระเบิดสำหรับทำลายล้างไว้ในครอบครอง ซึ่งผิดวิสัยมาเฟียทั่วไปที่เข้ามากบดานในไทย

การมีระเบิดแบบตั้งเวลาจุดชนวนแบบนี้ไว้ในครอบครอง มันเท่ากับ เจตนาเป็นผู้ก่อการร้ายชัด ๆ

ดังนั้น ผมเชื่อว่า ก่อนที่ตำรวจไทยจะตามจับผู้ต้องสงสัยคนแรกได้ ผู้ต้องสงสัยมันมีเจตนาเตรียมพาสปอร์ตปลอม 200 กว่าเล่ม วางไว้ลวงตำรวจไทยในชั้นแรกแน่นอน

คือ ลวงให้ตำรวจไทยเชื่อว่า พวกมันเป็นพวกขบวนการปลอมแปลงพาสปอร์ต หรือ ขบวนการช่วยคนหลบหนีเข้าเมืองส่งไปประเศที่ 3  อะไรทำนองนั้น

แต่ในความจริง พวกนี้ไม่น่าจะใช่ขบวนการพาสปอร์ตปลอม หรือ ลักลอบช่วยคนหลบหนีเข้าเมืองอะไรทั้งสิ้น เพราะกลุ่มปลอมแปลงพาสปอร์ต หรือ พวกลักลอบพาคนหลบหนีเข้าเมืองมักจะชอบอยู่แบบเงียบ ๆ ไม่ทำตัวกระโตกกระตาก และไม่จำเป็นต้องมีวัตถุอุปกรณ์ทำระเบิดเอาไว้ทำไม เพราะพวกนี้หวังจะหากินในไทยยาว ๆ

แต่พวกวางระเบิดแยกราชประสงค์ตัวจริงนี้คือ ผู้เชี่ยวชาญการวางระเบิดสังหารแบบรับจ้าง ที่ถูกว่าจ้างให้มาก่อความรุนแรงในไทยมาหลายครั้งแล้วต่างหาก

เพราะระเบิดที่เกิดในไทยหลายครั้งที่ผ่านมา พวกฝ่ายต่อต้านรัฐบาล คสช. มันเคยประกอบระเบิดแบบโง่ ๆ จนตายห่าไปเองก่อนนำระเบิดไปวาง

ดังนั้น ไอ้หน้าเหลี่ยม หรือ นายใหญ่ จึงต้องว่าจ้างหาผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวางระเบิดตัวจริงจากต่างประเทศมาใช้งาน

ฉะนั้นเรื่องตรุกี อุยกูรฺ มันก็คือแผนการลวงให้ตำรวจไทยหลงประเด็น เพื่อจะได้ไม่สนใจผู้บงการตัวจริงมากกว่า

แต่ก็นั่นแหละ การว่าจ้างมือสังหาร หรือมือระเบิดจากต่างชาติมาก่อการในไทย เขาคงมีการจ้างวานกันหลายต่อหลายทอด

แล้วพวกที่เป็นนายหน้าเรื่องจัดหามือระเบิดรับจ้างนั้น ก็ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหน ก็มักจะเป็นอดีตนักข่าวภาคสนามรบของสื่อฝรั่งยักษ์ใหญ่นั่นแหละครับ

เพราะอดีตนักข่าวภาคสนามรบพวกนี้ รู้จักกลุ่มก่อการร้ายทุกกลุ่มเป็นอย่างดี

อย่างเช่น ขบวนการวางระเบิดราชประสงค์ คงจะเป็นพวกกลุ่มก่อการร้ายรับจ้างจากชาติใดชาติหนึงในตะวันออกกลางนี่แหละ เพียงแต่ว่า มันจะไม่ยอมบอกสัญชาติจริง ๆ ของมัน

---------------



ก่อนจบบทความ ผมยังเชื่อมั่นว่า การวางระเบิดที่ราชประสงค์ ไม่ใช่สาเหตุจากความไม่พอใจที่ไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนอย่างแน่นอน

แต่ต่อไปคนร้ายในขบวนการนี้อาจจะสารภาพว่า วางระเบิดเพราะแค้นที่ไทยที่ส่งชาวอุยกูร์กลับให้จีนก็เป็นได้ เพราะมันต้องการเบี่ยงประเด็นเป้าหมายที่แท้จริงของพวกมัน อีกทั้งมันต้องการชักศึกเข้าบ้านให้ไทย

แต่อาชีพหลักของขบวนการนี้จริง ๆ ก็คือ พวกรับจ้างวางระเบิดตามใบสั่งของผู้บงการ ครับ

ถามว่า ผู้ต้องสงสัยวางระเบิดคดีนี้จะรู้ว่า ใครคือ ผู้บงการจ้างวานไหม ?

ตอบว่า ตามหลักแล้ว พวกลงมือปฏิบัติการจริงจะไม่รู้อะไร เพราะปฏิบัติการณ์ตามคำสั่งจากนายหน้าในต่างประเทศมาอีกทอดเท่านั้น

ประเด็นคนในขบวนการนี้มีสัญชาติอะไรนั้นไม่สำคัญ เพราะพวกผู้ต้องสงสัยคงโกหกแน่นอน อย่างเช่น ผู้ต้องสงสัยที่จับได้ที่สระแก้ว ก็ใช้พาสปอร์ตเป็นชาวซินเจียง อุยกูร์ ปลอม !!

และผมยังคิดว่า อาจไม่มีประเทศใด ๆ อยากออกมารับรองสัญชาติให้กับผู้ต้องสงสัยเลยด้วยซ้ำ เพราะมันพาลจะทำให้เสียชื่อเสียงประเทศตัวเองเปล่า ๆ

ส่วนประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ การวางระเบิดราชประสงค์ได้รับงานจ้างมาจากใครต่างหาก ?


คลิกอ่าน เผยใจ ผบ.ตร. สมยศ คิดว่ากลุ่มไหนวางระเบิดราชประสงค์มากที่สุด