วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2560

วาจาสิทธิ์ ของ พี่ตูน บอดี้สแลม






ในเวลาที่ผมเขียนบทความนี้ คือช่วงเวลาที่คนไทยร่วมกันเชียร์และส่งเงินบริจาคและแรงใจเพื่อพี่ตูน บอดี้สแลม วิ่งจากยะลาไปถึงเชียงรายในโครงการก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาล ให้สำเร็จ

ผมคงไม่ต้องเท้าความอะไรมาก เพราะทุกท่านก็คงรู้ข่าวพี่ตูนกันอยู่แล้ว เพราะมีข่าวออกทุกสื่อทุกวัน

ในช่วงที่พี่ตูนวิ่งได้เกินครึ่งทางนั้น ก็ได้มีกลุ่มเพื่อนนักเรียนสวนกุหลาบรุ่น 115 ของพี่ตูน จากเพจ OSK115 ได้นำรูปถ่ายเก่าของพี่ตูนมาประมูลเพื่อนำเงินไปสมทบบริจาคกับโครงการก้าวคนละก้าว ตามนี้





โดยเนื้อหาสำคัญในโพสดังกล่าวคือ

รูปถ่ายขนาดโปสการ์ด ของนายอาทิวราห์ คงมาลัย ตอนมัธยมปลาย (พร้อมด้วยลายเซ็นเวอร์ชั่นแรกๆ) เมื่อครั้งที่เพิ่งเริ่มตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ ในนาม “วงละอ่อน” ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดการเริ่มต้นเดินทางบนสายดนตรีของผู้ชายคนนี้ "ตูน บอดี้สแลม" ร็อคสตาร์มหาชนของเมืองไทย และเป็น "พี่ตูน" ขวัญใจลูกเด็กเล็กแดง, คนเฒ่าคนแก่ และคนไทยทั้งประเทศในปัจจุบัน

เจ้าของรูปเล่าให้ฟังว่า 20 ปีที่แล้ว ได้รับรูปถ่ายมาจากมือพี่ตูน (แบบงงๆ) ก่อนไปประกวดฮอตเวฟมิวสิคอวอร์ด พร้อมวาทะเด็ด "เอาไปเก็บไว้ก่อน เพราะอีกหน่อยเราจะดัง แล้วจะไม่มีเวลาเอามาให้แบบนี้”


รูปถ่ายด้านบนถูกประมูลไปที่มูลค่า 5 แสนบาท




---------------------

วาจาสิทธิ์ ของพี่ตูน

คำพูดของพี่ตูนก่อนมอบรูปถ่ายให้เพื่อน ที่ว่า "เอาเก็บไว้ก่อน เพราะอีกหน่อยเราจะดัง แล้วจะไม่มีเวลาเอามาให้แบบนี้"

ณ เวลานั้น เพื่อนคนนั้นอาจคิดว่า พี่ตูนแค่พูดเล่น ๆ ฮา ๆ กับเพื่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า คำพูดดังกล่าวนี้ของพี่ตูนได้กลายเป็นความจริง

วงละอ่อน ชนะเลิศการประกวดวงดนตรีฮอทเวฟฯ ครั้งที่ 1
ต่อมา พี่ตูนและวงบอดี้สแลม กลายเป็นวงร็อคอันดับ 1 ของไทยในปัจจุบัน

ซึ่งการที่คำพูดที่กลายเป็นจริง โดยเฉพาะเรื่องที่ยิ่งใหญ่และทำได้ยากสำหรับคนทั่วไป แต่มันกลายเป็นจริงสำหรับพี่ตูนได้นั้น

ก็เป็นเพราะว่า พี่ตูน เป็นคนที่มีวาจาสิทธิ์ นั่นเอง ซึ่งถ้าเราย้อนดูชีวประวัติของพี่ตูน ก็จะพบว่า พี่ตูน เป็นคนที่ทำอะไรทำจริง และมักทำได้ตามที่พูดไว้อยู่เสมอตลอดมา

ซึ่งคนที่จะมีวาจาสิทธิได้นั้น ต้องเป็นคนที่กระทำ สัจจวาจา และสร้างสัจจบารมี มาหลายภพหลายชาติแล้ว

สัจจวาจา ก็คือ พูดจริง ทำจริง ทำสำเร็จจริง

พ.ศ. 2560 พี่ตูน ได้ตั้งสัจจวาจา ว่า จะวิ่งจากยะลาไปถึงเชียงราย เพื่อระดมเงินบริจาคประมาณ 700 ล้านบาทเพื่อช่วย 11 โรงพยาบาล

ซึ่งขณะที่ผมเขียนบทความนี้ พี่ตูน ได้วิ่งมาเกินครึ่งทางแล้ว และได้เงินบริจาคเกิน 700 ล้านบาทแล้วด้วย

เท่ากับ สัจจวาจา ในเป้าหมายเพื่อเงินบริจาค 700 ล้านบาท พี่ตูนก็ทำสำเร็จแล้ว และอีกไม่กี่วันนี้ พี่ตูนจะวิ่งไปถึงเชียงรายตามสัจจวาจา อย่างแน่นอน

-------------------

พี่ตูน ทำหน้าที่ลูกที่ดีของพ่อแม่ด้วยการเรียน

ในบรรดาโรงเรียนที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยนั้น

1 ในโรงเรียนที่ว่าเป็นสุดยอดของโรงเรียนชายล้วนก็คือ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ตรงเชิงสะพานพุทธ

พี่ตูน เด็กนักเรียนต่างจังหวัด จากโรงเรียนสุพรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี สามารถสอบเข้า ม.1 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยได้ ถือเป็นความน่าภาคภูมิใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่สุด

แต่เท่านั้นยังไม่พอ พี่ตูนยังสอบเข้าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในคณะนิติศาสตร์ แถมยังเรียนจบจนได้เกียรตินิยมอันดับ 1 อีกด้วย

พี่ตูน เคยให้สัมภาษณ์เมื่อนานมาแล้วว่า ใจจริงพี่ตูนอยากเรียนคณะที่เกี่ยวกับด้านศิลปะมากกว่า แต่พ่อแม่อยากให้เรียนคณะนิติศาสตร์ พี่ตูนก็ทำหน้าที่ของลูกที่ดี เรียนตามใจที่พ่อแม่ต้องการ และทำหน้าที่นั้นอย่างดีที่สุด จนได้เกียรตินิยมอันดับ 1 มาให้พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจ

นี่คือ สัจจะในหน้าที่ของหน้าที่ความเป็นลูกของพี่ตูน ได้กระทำตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ในเรื่องการศึกษาเล่าเรียน

ซึ่งการทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้เต็มที่อย่างดีที่สุดนั้น ก็เป็นผลพวงในหน้าที่ต่าง ๆ ในเวลาต่อมาของพี่ตูน ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำเต็มที่และทำให้ดีที่สุด

ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อวง Bodyslam ด้วยเช่นกัน เพราะชื่อนี้มาจากชื่อท่าหนึ่งของมวยปล้ำ

เพราะถ้าแปลความหมายตรงตัว บอดี้ แปลว่าร่างกาย สแลม คือการทุ่ม

เมื่อมารวมกันเป็น บอดี้สแลม ก็จะหมายถึง การทุ่มสุดตัว คือการทำงานเพลงกันเต็มที่แบบทุ่มสุดตัว

--------------

พี่ตูน คิดนอกกรอบกว่าแค่นักร้องนักดนตรีทั่วไป

อาชีพนักร้องนักดนตรี ยิ่งพวกนักร้องแนวร็อค ที่ผ่านมาถูกผู้คนมองในแง่ไม่ค่อยดีนัก ตามที่เรา ๆ ท่าน ๆ ก็รู้ ๆ กันอยู่

แต่พี่ตูน ฉีกกฎของนักร้องแนวร็อค ได้ด้วยการออกมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ทั้งเล่นปิงปอง ทั้งวิ่งมาราธอน และถึงขนาดเคยแข่งไตรกีฬา พี่ตูนก็ทำมาแล้วทั้งสิ้น

ความเชื่อเก่า ๆ ที่ว่า นักร้องนักดนตรีแนวร็อคที่มักจะมั่วสุมกับสิ่งเสพติดทั้งหลาย และมักจะใช้ชีวิตหลักในยามค่ำคืน ได้ถูกพี่ตูนทลายกำแพงแห่งความเชื่อด้านลบแนวนี้ลงจนหมดสิ้น

แล้วเมื่อพี่ตูนจะหาเงินบริจาคเพื่อช่วยโรงพยาบาลรัฐ แทนที่พี่ตูนจะคิดแบบนักร้องนักดนตรีทั่ว ๆ ไปเขาคิดกันคือ จัดคอนเสิร์ตหาเงิน

แต่พี่ตูน กลับคิดนอกกรอบไปไกลมาก นั่นคือ คิดวิ่งมาราธอนเพื่อระดมเงินบริจาคจากประชาชนทั่วประเทศ เพื่อนำไปช่วยโรงพยาบาล ตั้งแต่โรงพยาบาลบางสะพาน ที่ประจวบคีรีขันธ์เมื่อปี 2559

จนมาปี 2560 นี้ พี่ตูนได้คิดทำในสิ่งที่ยากเกินกว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไปจะทำได้ นั่นคือ วิ่งจากใต้สุดจังหวัดยะลา ไปถึงเหนือสุด จังหวัดเชียงราย ในระยะทางรวม 2,191 กม. ภายในระยะเวลาประมาณ 2 เดือน

พี่ตูนต้องวิ่งตกวันละกี่กิโล คุณผู้อ่านก็ไปคิดดูเอาเถิด

ถ้าไม่ใช่คนจริง ทำจริง วาจาสัตย์จริง ย่อมไม่มีทางทำสำเร็จได้ง่าย ๆ

แต่พี่ตูน ทำได้แน่นอน !!

------------------

เมื่อพี่ตูนบำเพ็ญบารมี 10 ประการ

ระยะทางจากเบตงถึงแม่สาย นับว่าเป็นระยะทางที่ไกลเกินกว่าจะไปด้วยสองขา ถ้าไม่ใช่เพราะมีหัวใจ มีจิตใจที่แกร่งกล้า ยากที่จะไปถึงได้ด้วยร่างกายเพียงอย่างเดียว

ลองถามใจตนเองว่า หากเป็นเรา จะเอาไหม แต่ชายคนนี้ทำ จะด้วยเหตุผลใดหมอไม่รู้ แต่ที่รู้คือ สิ่งดีดีที่เขาทำ หมอเองยังทำไม่ได้เหมือนเขา..

จึงเรียนรู้จากเขาดีกว่าว่า เขาสร้างบารมีอย่างไร พิเคราะห์ดูแล้วชัดเจนว่า ตูนกำลังสร้างสมบารมี..

๑. ทานบารมี ตูนใช้เหงื่อแลกเงินจำนวนถึง ๗๐๐ ล้านบาทเพื่อประชาชนคนไทย
๒. ศีลบารมี เงินนี้ได้มาโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ได้จากมิจฉาอาชีพ
๓. เนกขัมบารมี โครงการนี้ หากไม่ยินดีในความสงบ และความสันโดษแล้วยากที่จะทำได้ เพราะไม่ได้เงินตอบแทน นอกจากความมีคุณค่าในใจตน
๔. ปัญญาบารมี หากสักแต่วิ่ง ไม่มีการคิด และวางแผนให้ที่ดี คงไม่มีวันสำเร็จ
๕. วิริยะบารมี ตูนเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แม้จะตายเพราะงานนี้ เขาก็ยอม เสียสละเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง
๖. ขันติบารมี ถามใจตนเองดู ถ้าเป็นเรา เราจะอดทนได้เท่าเขาไหม?
๗. สัจจะบารมี คำไหน คำนั้น พูดแล้วต้องทำ
๘. อธิษฐานบารมี ตั้งเป้าหมายเพื่อความสุขของคนอื่น ไม่ใช่ตนเอง
๙. เมตตาบารมี ข้อนี้ชัดเจนที่สุด เมื่อเขาทำเพื่อใครก็ไม่รู้ ทานครั้งนี้จัดเป็นมหาทาน เป็นทานไม่จำเพาะเจาะจง ว่าต้องเป็นคนนั้น คนนี้ ศาสนานั้น ศาสนานี้ แต่เมตตาแผ่ออกไปแก่ทุกคนโดยไม่มีประมาณ ก็คือ 11 โรงบาล และผู้ป่วยจำนวนนับไม่ได้นั่นเอง ซึ่งถือเป็นเมตตาอัปปมาโณ ยิ่งใหญ่สุดๆ
๑๐. อุเบกขาบารมี ใครจะเห่าจะหอน เขาไม่โต้ตอบ ลงมือทำอย่างเดียวเท่านั้น

วันที่ตูนวิ่งถึงแม่สายวันนั้น บารมีของตูนจะเพิ่มพูนเป็นมหาบารมี สิ่งที่ไม่อยากได้ ก็จะได้ ไม่อยากมีก็จะมี

เพราะบารมีสิบนี้ หากใครเข้าถึงและบำเพ็ญจนสำเร็จแล้ว จะเป็นแก้วสารพัดนึก คิดมุ่งมาดปราถนาสิ่งใดย่อมสำเร็จทุกประการ

ขอคารวะหัวใจ "ตูน บอดี้สแลม" #ก้าว #ก้าวคนละก้าว


(บทความเรื่องพี่ตูนบำเพ็ญบารมีนี้จาก นายแพทย์พายุพล ศรีอภัย)


------------------

พี่ตูน คืนความสุขให้คนไทยอย่างแท้จริง

ท่านนายกรัฐมนตี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้พูดใน รายการคืนความสุขให้คนในชาติ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2560 กรณีที่พี่ตูนวิ่ง ไว้ว่า

"โครงการตัวอย่าง ในลักษณะ “จิตอาสา” ที่น่ายกย่องในปัจจุบัน คือ โครงการก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ของนายอาทิวราห์ คงมาลัย ตูนบอดี้สแลมและทีมงาน ที่ตั้งใจทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมในภาพรวม 

นอกจากจะเป็นการสานต่อพระราชดำริโครงการจิตอาสา “เราทำความดี ด้วยหัวใจ” ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมให้ประชาชนร่วมกันทำในสิ่งดี ๆ เพื่อบ้านเมืองของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีคุณประโยชน์แฝงอยู่ในโครงการของตูนอีกมากมาย 

เช่น “ความต้องการเงินบริจาคจำนวนน้อย ๆ จากคนจำนวนมาก มากกว่าเงินบริจาคจำนวนมากจากคนส่วนน้อย” อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างรอยยิ้ม อันเป็นลักษณะนิสัยประจำชาติของคนไทย ให้กลับคืนมาสู่สังคมไทย เป็นสะพานเชื่อมสายใยแห่งความรัก ความสามัคคีของคนทั้งประเทศจากทั่วทุกสารทิศ

ซึ่งเป็นการ คืนความสุขให้กับคนในชาติอย่างแท้จริง ตลอดจนเป็นการปลุกคนไทยให้สนใจหันมาออกกำลังเพื่อจะรักษาสุขภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อวงการสาธารณสุขของประเทศ และเป็นมาตรการ “เชิงรุก” เน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา ทำให้มีสุขภาพกายที่แข็งแรงและสุขภาพใจที่เข้มแข็ง"

-----------------

พี่ตูน น้อมรับทุกคำวิพากษ์วิจารณ์



โดยเฉพาะคำถามสุดท้ายที่คุณ Ken Nakarin ถามพี่ตูนว่า ถ้ามีโอกาสได้พูดกับคนที่วิจารณ์ อยากจะสื่อสารอะไร ?

พี่ตูน : ไม่มีครับ ผมชอบทำมากกว่าพูดครับ 

สุดยอด !!! 

คนที่แซะพี่ตูน รับรองจะแพ้ภัยตัวเองในไม่ช้า เพราะสิ่งที่พี่ตูนทำนั้น มันไม่ใช่แค่วิ่งหาเงินบริจาคเพื่อโรงพยาบาลเท่านั้นแล้วล่ะ

แต่สิ่งที่พี่ตูนทำมีมูลค่าทางจิตใจต่อคนไทยมากกว่าเงินบริจาคนัก แต่สิ่งนั้นคืออะไร คนไทยที่ชื่นชมพี่ตูนเท่านั้นที่จะเข้าใจ


รูปสุดท้ายนี้จากเพจ EveryBodyslam

คลิกอ่าน ชั่งแม่..แต่ได้บุญมหาศาล



วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

Somsak Jeam โชว์โง่เรื่องการพากย์บอลแบบสำรวม





จากกรณีทีมลิเวอร์พูลเตะถ้วยยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก บุกไปเอาชนะทีมมาริบอร์ (สโลวีเนีย)ไป 7:0 แล้วนักพากย์เฉพาะคู่นี้ พากย์ด้วยเสียงเนิบ ๆ ไม่เร้าใจตามปกติอย่างการพากย์ฟุตบอลทั่วไป ก็เลยเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมถึงพากย์แบบนี้

ทั้ง ๆ ที่คู่อื่น ๆ ที่เตะในวันเดียวกัน นักพากย์บอลก็พากย์กันมันส์ตามปกติ

กะเรื่องแค่นักพากย์ฟุตบอลเฉพาะคู่ลิเวอร์พูลเขาพากย์สำรวมขึ้นเท่านั้น ก็ร้อนไปถึงขี้กลากบนหัวของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ยังสถุนได้ไม่สร่างซา กะอีแค่เรื่องการพากย์ฟุตบอลให้สำรวมขึ้น มันก็ยังจะกระสันแซะให้คุ้มค่าจ้างที่นายทุนล้มเจ้าจ้างไว้ ไม่งั้นเดี๋ยวนายทุนที่จ้างมันจะไม่จ่ายเงินเลี้ยงดูมันให้อยู่รอดในฝรั่งเศสต่อไป




ส่วนสาเหตุจริง ๆ ที่เมื่อคืนนักพากย์คู่ลิเวอร์พูล กับ มาริบอร์ พากย์ซอฟท์ลงนั้นก็เพราะ

พรรษิษฐ์ คือหนึ่งในนักพากย์บอลคู่นี้ เขาเล่าถึงเบื้องหลังการพากย์บอลในสไตล์นี้ให้ฟังว่า

“ปกติผมพากย์ตามอารมณ์ฟุตบอล ออกจะล้นๆ เสียงดัง จนบางคนแซวว่าเป็นคู่พากย์ ‘โอ้โห’ แต่สำหรับเมื่อคืน หากมันโมโนโทนเกินไป หากทำให้ใครง่วงนอน ผมต้องขออภัยครับ จริง ๆ เห็นคำถามเรื่องนี้มาผ่านเว็บฯพันทิปตั้งแต่ต้นเกมแล้ว”

“สาเหตุที่บรรยายแบบนี้นั่นเพราะว่าเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา มีหนังสือจากทางรัฐ แจ้งมาว่า ให้เราพากย์บอลเรียบร้อย สำรวมมากขึ้น เพราะคือช่วงไว้ทุกข์ ซึ่งหลังจากเสร็จจากพระราชพิธีแล้ว เดือนหน้าก็คงเข้าสู่ภาวะปกติ เร้าใจได้เหมือนเดิม ซึ่งก่อนเริ่มเกมทางต้นสังกัด ทั้ง ทรูวิชั่นส์ และ บีอิน สปอร์ต ก็ย้ำมาอีกครั้ง เรา 2 คน (ธีรยุทธ บัญหนองสา ผู้บรรยายร่วม) ก็เห็นพ้องตามกันว่าเรื่องนี้สมเหตุผลตรงกาละเทศะเราควรจะลดระดับความดุดันลง”

“ทั้งนี้พอจบเกม ก็ไม่คิดอะไร จนมีคนมาถามในเพจ นี่แหละ รวมทั้งบอร์ดต่างๆ สงสัยจะแปลกไปจริงๆ ยิ่ง GM Live โทรมาถาม ด้วยแล้ว พอกลับไปดูเทป เออ มันนิ่งเกินไปจริง ๆ เราน่าจะหาทางบรรยายออกมาได้มีอรรถรสมากขึ้นและยังคุมโทนถูกกาละเทศะได้เหมือนเดิม เอาเป็นว่า เกมฟุตบอล เจลีก วันเสาร์ที่ เจ ชนาธิป สรงกระสิน จะลงนำทีม Consadole Sapporo ไปเยือน FC Tokyo ถ่ายทอดสด ทาง True4U ช่วง 14.00 น รวมทั้งเกมคู่ต่อไปที่ได้รับหน้าที่บรรยายจะทำออกมาให้เหมาะสมมากขึ้นครับ”

ที่มา http://gmlive.com/commentator-maribor-liverpool-0-7

ซึ่งผู้คนที่ได้อ่านคำสัมภาษณ์ของนักพากย์คู่นี้แล้ว ต่างชื่นชมกันเป็นส่วนใหญ่

---------------


ที่จริงแล้ว มันก็เป็นเรื่องสมควรตามกาลเทศะอยู่แล้วสำหรับสื่อสาธารณะ ที่จะลดโทนเสียงให้เบาลง เร้าใจน้อยลง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนักพากย์แต่ละคนจะลดระดับการพากย์ของตัวเองลงในระดับไหน เพราะรัฐบาลเขาแค่ขอความร่วมมือไปตามปกติ ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ต้องทำเช่นนี้แหละในช่วงมีพระราชพิธีถวายพระเพลิง

รัฐบาลแค่ขอความร่วมมือ ไม่ได้บังคับ ไม่ได้เอาปืนมาจ่อหัวว่าต้องทำ ดังนั้นเราก็จะเห็นว่า ฟุตบอลในคู่อื่น ๆ เช่น คู่ของ รีลมาดริด vs สเปอร์ หรือ คู่ของ แมนฯ ซิตี้ : นาโปลี ก็ยังมีการพากย์สนุกสนานตามปกติ (หรืออาจลดโทนเสียงบ้างจนคนดูไม่ทันสังเกต)

แต่สมศักดิ์ เจียม โพสแซะเรื่องนี้ในเช้าวันพุธที่ 19 กลับโดนกระแสคนเข้ามาด่าในเฟสตัวเองไปเยอะพอควร ก็เลยไม่ยอมจบง่าย ๆ

พอเช้าวันพฤหัสที่ 20 สมศักดิ์ เจียม ผู้ที่ขี้กลากบนหัวยังไม่หายร้อน ก็เลยมาโพสใหม่ในประเด็นเดิมดังนี้



เหอะ ๆ สมศักดิ์ เจียม พอโดนด่าหนักไปเมื่อคืน ก็เลยพยายามจะโพสแถแก้คืน โดยนำรูปคำสัมภาษณ์ของนักพากย์คู่เมื่อคืนมาอธิบายร่วม

แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงี่เง่าและความใจแคบของหงอกเจียมจะลดลงได้เลย ยังจะโชว์โง่ต่อไป

เจียม รู้จักไหมคำว่า มารยาทกับกาลเทศะ คืออะไร ?

ถ้าจะมีพากย์ฟุตบอลเนิบ ๆ เรียบ ๆ ไปบ้าง ก็เพิ่งจะมีคู่ลิเวอร์พูลกับมาริบอร์ คู่เดียวเท่านั้นนั่นแหละ ย้ำ มีเพียงคู่เดียวเท่านั้น ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับนักพากย์แต่ละคนว่าจะปฏิบัติกันยังไงตามความคิดของเขา

ซึ่งนักพากย์คู่ลิเวอร์พูล เขาก็ได้ขออภัยไปแล้วว่า เขาคงพากย์เนิบไปหน่อย

แต่หงอกเจียมมันมีอาชีพแซะ มันก็ต้องแซะเพื่อเงินไปตามหน้าที่ของมัน ไม่งั้นเดี๋ยวมันอดตายในฝรั่งเศส

----------------

ที่จริงแล้วเดือนตุลาคม แค่ไว้อาลัยไม่ถึงกับไว้ทุกข์ครับ

เพราะการไว้ทุกข์จริง ๆ คือช่วง 1 เดือนแรกของการสวรรคตเท่านั้น

คือ ผมอยากจะบอกกับคนไทยที่อยู่ทั่วโลกนะครับว่า แม้ช่วงนี้จะเป็นช่วงเดือนพระราชพิธีถวายพระเพลิง ฯ ร.9 แต่ทางรัฐบาลไม่ได้สั่งห้ามว่า คนไทยต้องงดงานรื่นเริง งดความบันเทิง งดสนุกสนาน แต่อย่างใด

รัฐบาลจะขอเพียงว่า รายการทีวีที่ตลกโปกฮาเกินควร หรือบางรายการที่อาจมีความรุนแรงไปบ้าง เช่นละครที่ด่ากันแรง ๆ หรืออื่น ๆ ก็ขอความร่วมมือให้หารายการบันเทิงอื่นมาออกอากาศแทนไปก่อน

แต่เท่าที่ผมติดตามมา รายการบันเทิงทางทีวีส่วนใหญ่ก็ยังออกอากาศตามปกติในช่วงต้นเดือนจนถึงวันที่ 13 ทั้งรายการตลก รวมถึงรายการถ่ายทอดสดมวยบางช่อง

แต่พอถึงวันที่ 13 เรื่อยมา รายการทีวีก็เริ่มนำรายการที่เบาลงมาออกอากาศแทน แต่ก็ยังมีความบันเทิงอยู่ตามปกติ เช่นละครก็ยังมีเห็นออกอากาศอยู่ตามปกติ ส่วนรายการกีฬายังมีได้ตามปกติ ถ่ายทอดสดได้ตามปกติ ยกเว้นกีฬามวยเท่านั้น ทั้งนี้ไม่ใช่การบังคับ แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณากันเองของแต่ละสถานี ๆ ไป

หรืออย่างการใส่ชุดดำ ทางรัฐบาลก็ไม่ได้มีคำสั่งอะไรกับประชาชน ทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่ยังใช้ชีวิตกันตามปกติ ยังใส่เสื้อหลากสีกันเป็นปกติ คนที่ใส่ชุดดำเสื้อดำยังเห็นน้อยกว่าเสื้อสี เพราะนี่ไม่ใช่การไว้ทุกข์ เป็นเพียงการไว้อาลัยธรรมดาเท่านั้น ส่วนใครจะไว้อาลัยก็ได้จะไม่ไว้ก็ได้ เพราะนี่คือสิทธิ ไม่ใช่การบังคับ

แต่จิตสำนึกในหน้าที่ของคนไทยรักชาติรักแผ่นดินทั่ว ๆ ไป เขาก็มีความอาลัยถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ทั้งนั้น แต่จะแสดงออกหรือไม่ก็ได้

เว้นแต่ใครจะไปร่วมในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ หรือไปร่วมวางดอกไม้จันทน์ตามสถานที่ ๆ รัฐบาลจัดไว้ ก็ต้องใส่ชุดดำตามธรรมเนียมปฏิบัติ

ทุกวันนี้ผมก็ยังใส่เสื้อสีสันตามปกติ เว้นแต่ถ้าไปสถานที่ราชการ ผมก็แค่ลดการใส่เสื้อสีฉูดฉาดลงตามกาลเทศะและมารยาทเท่านั้น

ส่วนไอ้คนหนักแผ่นดินคิดชั่วอย่างสมศักดิ์เจียม มันไม่เข้าใจเรื่องอะไรพวกนี้หรอกครับ

ไม่มีใครเขาห้ามคนไทยสนุกสนานหรือจะมีความสุขในช่วงเดือนนี้หรอกครับ เขาแค่ขอความร่วมมือกับสื่อสาธารณะเท่านั้น ให้ลดโทนบันเทิงแรง ๆ ลงหน่อย

ส่วนประชาชนทั่วไปอยู่บ้านก็ใช้ชีวิตกันตามสบายตามปกติ ใครใคร่อยากไว้อาลัยหรือไม่ไว้อาลัยก็ได้ รัฐบาลไม่ได้บังคับ ไอ้หงอกเจียมมันเพ้อมโนไปเอง รัฐบาลนี้ถึงเป็นเผด็จการ แต่เขาก็รู้จักเหตุอันควรว่าอะไรเป็นอะไร

สิ่งที่รัฐบาลร้องขอ ก็เป็นการทำเพื่อเทิดพระเกียรติให้ในหลวง ร.9 เขาแค่ให้ลดโทนบันเทิงในสื่อสาธารณะต่าง ๆ ลง แต่ไม่ได้ห้ามความบันเทิงเลย ยังบันเทิงได้ ยังสนุกสนานได้ ทุกวันนี้ถึงยังมีทั้งละคร ซีรีย์จีน ซีรีย์เกาหลี ภาพยนตร์ รวมถึงรายการเพลง และการถ่ายทอดสดกีฬา ออกอากาศอยู่ไง

อย่างช่อง 7 สี ช่องที่ผมดูบ่อยสุด ทุกวันนี้ก็ยังมีละครหลังหกโมงเย็นเรื่อง ลูกหลง,สุดรักสุดดวลใจ ยังมีละครหลังข่าวปกติทุกวัน เช่น ละอองดาว,นายฮ้อยทมิฬ หรือ ซีรีย์จีน ก็เช่น มังกรหยก ซีรีย์เกาหลีก็ยังออกอากาศตามปกติ บิ๊กซีนีม่าก็ยังออกอากาศตามปกติทุกคืนวันเสาร์เช่นเดิม


แต่ในเมื่อเป็นช่วงเดือนแห่งการไว้อาลัยต่อองค์พระประมุขของชาติ การจะลดโทนเสียงการพากย์กีฬาลงบ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะนี่คือมารยาทและกาลเทศะ ถวายเพื่อองค์พระประมุขของคนไทย

ส่วนคนจัญไรหนีแผ่นดิน ปอดแหก ไม่กล้าแม้จะกลับมางานศพแม่บังเกิดเกล้า มันคงไม่เข้าใจเรื่องการไว้อาลัยต่อบุคคลอันเป็นที่รัก

ยิ่งคนอย่างสมศักดิ์เจียมมันโง่และเลวเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้

ไว้สมศกัดิ์ เจียม ตายอย่างหมาจรจัดในฝรั่งเศสเมื่อไหร่ อย่าลืมสั่งเสียก่อนตายให้พวกล้มเจ้าที่ฝรั่งเศสช่วยกันเฮฮาดีใจใส่ชุดแดงจุดพลุฉลองการตายของสมศักดิ์ล่ะ จะได้ไม่ดัดจริตเศร้าตามที่สมศักดิ์กระแดะมาเสือกเรื่องพากย์บอลของคนประเทศอื่นเขา

เห็นพวกล้มเจ้าแฟน ๆ เฟสของหงอกเจียม ซึ่งสงสัยจะอยู่ต่างประเทศกันเสียหลายคน เพราะยังโชวฺโง่ครื้นเครงกันในกะลา เพราะพวกมันยังมโนว่า ตอนนี้เดือนนี้คนไทยถูกห้ามความบันเทิงทุกชนิด

เฮ่อ.. ไอ้พวกล้มเจ้านี่มันโง่ไม่เลือกสถานที่จริง ๆ 555



คลิกอ่าน ความโง่ของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล หลังโปรตุเกสคว้าแชมป์ยูโร 2016


วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

คำแนะนำ การเปลี่ยนใบขับขี่ตลอดชีพรุ่นเก่าเป็นใบขับขี่ตลอดชีพรุ่นใหม่






กรณีเปลี่ยนใบขับขี่ตลอดชีพแบบเก่า เป็นใบขับขี่ตลอดชีพรุ่นใหม่

ที่กรมขนส่งทางบก กรุงเทพฯ ตรงกันข้ามสวนจตุจักร

คุณก็แค่นำใบขับขี่ตลอดชีพใบเก่า พร้อมสำเนาใบขับขี่เก่าไป 1 ใบ และบัตรประชาชนของคุณ ไปด้วยเท่านี้ก็พอครับ

แล้วไปที่อาคาร 4 ชั้น 2

แล้วคุณก็ยื่นหลักฐานทั้งหมดที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำ ที่ชั้น 2 อาคาร 4 

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่แผนกนี้เขาจะรวบรวมเอกสารและหลักฐานของคุณทั้งหมด

แล้วเขาจะจัดคิวให้ แล้วส่งคุณไปที่ห้องใหญ่ที่อยู่ติดกัน เพื่อให้คุณไปรอทำบัตรใหม่ในห้องเล็ก ๆ ที่มีนับ 20 ห้อง เพื่อให้คุณยื่นเอกสารหลักฐาน จ่ายค่าธรรมเนียม แล้วถ่ายรูปใหม่ตรงจุดนั้น แล้วรอรับใบขับขี่ตลอดชีพแบบสมาร์ทการ์ดได้ทันที

One Stop service

แล้วเจ้าหน้าที่ตรงจุดนี้จะทำการเจาะรูที่ใบขับขี่เก่าของคุณเพื่อเป็นการยกเลิกใบขับขี่ใบนี้ แล้วก็จะส่งคืนใบขับขี่เก่าให้คุณได้เก็บไว้เป็นที่ระลึกครับ

--------------------

ข้อดีของใบขับขี่ตลอดชีพรุ่นใหม่ สำหรับคนที่เคยมีใบขับขี่ตลอดชีพเก่าอยู่แล้ว

แนะนำว่า ควรไปเปลี่ยนเป็นใบขับขี่ตลอดชีพรุ่นใหม่ครับ เพราะใบขับขี่รุ่นใหม่สามารถใช้ได้ในประเทศกลุ่ม AEC ได้ทั้งหมด รวมถึงประเทศในยุโรปบางประเทศ ที่อนุญาตให้ใช้ใบขับขี่ของประเทศไทยครับ

-----------------

กรณีเปลี่ยนชื่อ หรือเปลี่ยนนามสกุลใหม่ในใบขับขี่แบบตลอดชีพ

ผมมีใบขับขี่ตลอดชีพรุ่นเก่ามาตั้งแต่ ปี 2544

หลังจากนั้นผมได้เปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่  ผมก็เลยตัดสินใจไปเปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่ในใบขับขี่ตลอดชีพของผม

สำหรับผู้ที่มีใบขับขี่ตลอดชีพรุ่นเก่า หากต้องการเปลี่ยนชื่อใหม่ หรือเปลี่ยนนามสกุลใหม่ในใบขับขี่ตลอดชีพ คุณสามารถไปเปลี่ยนได้ทันที โดยที่ยังได้ใบขับขี่แบบตลอดชีพเหมือนเดิมครับ

ซึ่งคุณจะได้เป็นใบขับขี่ตลอดชีพรุ่นใหม่ เป็นแบบสมาร์ทการ์ด

หลักฐานที่ต้องนำไปง่ายมาก ๆ ก็คือ ถ้าคุณเปลี่ยนชื่อหรือเปลี่ยนนามสกุลใหม่แล้ว และได้ทำบัตรประชาชนใหม่ด้วยชื่อหรือนามสกุลใหม่เรียบร้อยแล้ว

คุณก็แค่นำ

1. ใบขับขี่ตลอดชีพใบเก่า

2. สำเนาใบขับขี่เก่าไปด้วย 1 ใบ

3. บัตรประชาชนใหม่ของคุณที่เปลียนชื่อหรือนามสกุลแล้ว นำไปแค่นี้ก็เพียงพอครับ  ไม่ต้องนำใบเปลี่ยนชื่อหรือใบนามสกุลไปด้วย

ย้ำว่า ถ้าคุณทำบัตรประชาชนใหม่ที่เปลี่ยนชื่อหรือเปลี่ยนนามสกุลแล้ว ใบเปลี่ยนชื่อที่สำนักเขตออกให้ก็ไม่จำเป็นต้องนำไป

เพราะผมโดนร้านรับถ่ายเอกสารใต้ตึก บอกให้ถ่ายสำเนาทั้งบัตรประชาชน และสำเนาใบเปลี่ยนชื่อด้วย แต่กลับไม่ต้องใช้เลยครับ ใช้แค่สำเนาใบขับขี่เก่าเพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น

สำหรับผู้ที่จะไปทำใบขับขี่ใหม่ที่กรมขนส่งทางบก ที่อยู่ตรงกันข้ามกับสวนจตุจักร คุณต้องไปติดต่อที่อาคาร 4 ชั้น 2 

เมื่อไปถึงอาคาร 4 ในกรมขนส่ง เดินขึ้นไปเลยครับชั้น 2 ไปที่แผนกประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำ

ผมบอกเจ้าหน้าที่ตรงจุดนี้ไปว่า ผมได้เปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่ จึงต้องการจะแก้ไขชื่อในใบขับขี่ตลอดชีพใหม่

เจ้าหน้าที่เขาก็ถามผมว่า ทำบัตรประชาชนใหม่ให้เป็นชื่อนามสกุลใหม่รึยัง

ผมตอบว่า ทำแล้วครับ

เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า งั้นขอบัตรประชาชน ใบขับขี่ตลอดชีพใบเก่า และสำเนาใบขับขี่ตลอดชีพเก่า 1 ใบ

ผมก็ส่งหลักฐานตามนั้นให้เจ้าหน้าที่ไป เจ้าหน้าที่ตรงจุดให้คำแนะนะเขาก็ให้ผมเขียนชื่อใหม่ของผมทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษลงบนสำเนาใบขับขี่เก่าให้ถูกต้อง

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่เขาก็แนบใบคำร้องขอทำบัตรใหม่ รวมกับหลักฐานที่ผมยื่นให้เขา แล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกให้ผมไปที่ห้อง 12

คือ เดี๋ยวนี้การทำใบขับขี่ใหม่ กรมขนส่งจะมีห้องเล็ก ๆ สำหรับทำใบขับขี่ใหม่เยอะมาก มีไม่ต่ำกว่า 20 ห้อง ซึ่งผมได้คิวทำใบขับขี่ใหม่ที่ห้อง 12 น่ะ

พอผมไปที่ห้อง 12 ก็ยื่นใบคำร้องและหลักฐานให้เจ้าหน้าที่ในห้อง 12

พอเจ้าหน้าที่เขาตรวจสอบหลักฐานแล้ว เขาก็เจาะรูที่ใบขับขี่ตลอดชีพเก่าของผม ถือเป็นการยกเลิกใบขับขี่ใบนี้ แล้วเขาก็คืนใบขับขี่เก่าแต่มีรูคืนกลับมาให้ผมเก็บไว้เป็นที่ระลึก


ใบขับขี่ตลอดชีพใบเก่าของผมที่ถูกเจาะรู แล้วได้รับกลับคืนเป็นที่ระลึก


ต่อจากนั้น ผมก็จ่ายเงินค่าทำบัตรใหม่และค่าธรรมเนียมไป 255 บาท แล้วเราก็ตรวจสอบชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษของตัวเองในใบคำร้องว่า เขียนถูกต้องไหม เมื่อเขียนถูกต้องดีแล้ว ผมเซ็นชื่อรับรอง

หลังจากนั้นผมก็นั่งถ่ายรูปในห้อง 12 เลย และรอไม่ถึง 20 วินาที ผมก็ได้ใบขับขี่ตลอดชีพรุ่นใหม่สมาร์ทการ์ดทันที รวดเร็วมากเหลือเชื่อ

คำเตือน เมื่อได้ใบขับขี่ตลอดชีพแบบใหม่มาแล้ว คุณควรตรวจให้เรียบร้อยว่ามีอะไรพิมพ์ผิดพลาดไหม ถ้ามีพิมพ์ผิดก็รีบบอกเจ้าหน้าที่ให้แก้ไขได้เลย จะได้ไม่เสียค่าธรรมเนียมอีก

เพราะหากข้ามวันไปแล้ว คุณเพิ่งจะเจอว่าใบขับขี่มีพิมพ์ผิดพลาด ถ้าแบบนี้คุณต้องกลับเสียค่าทำใบขับขี่ใหม่และค่าธรรมเนียมใหม่ แล้วทำบัตรใหม่อีกรอบครับ

----------------------

ข้อเสนอแนะให้กับกรมขนส่งทางบกปรับปรุงแก้ไข

คือ ที่จริงกรมขนส่งควรถ่ายเอกสารสำเนาในสิ่งที่กรมขนส่งจำเป็นต้องเก็บหลักฐานเอาไว้เอง ไม่ใช่โยนภาระให้ประชาชนต้องเป็นผู้ถ่ายเอกสารมาให้

เพราะเดี๋ยวนี้แม้แต่สำนักงานเขต เวลาประชาชนไปเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลใหม่ ทางสำนักงานเขตเขาจะถ่ายเอกสารสำเนาทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้เอง ประชาชนไม่ต้องลำบากต้องออกไปถ่ายเอกสารเองให้เสียเวลาติดต่อ

เพราะทุกโต๊ะของเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตจะมีเครื่องถ่ายเอกสารขนาดเล็กบนโต๊ะอยู่แล้ว ทำให้ประชาชนไม่ต้องลำบากกลับออกไปถ่ายเอกสารอีก

ทั้ง ๆ ที่ กรมขนส่งทางบกเก็บค่าธรรมเนียมทำใบขับขี่จากประชาชนแพงกว่าสำนักเขต แต่กลับไม่บริการถ่ายเอกสารให้ประชาชนฟรี

อย่างกรณีของผม ผมโดนร้านถ่ายเอกสารชั้น 1 บอกให้ถ่ายเอกสารมากเกินความจำเป็น เพราะผมแวะถามเขาว่า ทำใบขับขี่ใหม่ที่นี่ใช่ไหม

เขาเลยถามว่าผมมาทำอะไร ก็เลยโดยถ่ายเอกสารมากเกินความจำเป็น แต่ราคาไม่แพงแค่ใบละบาท ผมถ่ายไป 5 บาท เพราะผมไม่อยากขึ้นไปติดต่อ แล้วโดนไล่ให้ลงมาถ่ายเอกสารอีก


วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คนไทยทานอาหารตามสั่งราคาแพงเกินไปไหม





ก่อนอื่นขอเท้าความเล็กน้อยว่า ผมเขียนบทความเกี่ยวกับราคาอาหารมาหลายบทความมาก ๆ รวมทั้งการนำราคาอาหารจานเดียวของไทยเปรียบเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำของไทย แล้วนำไปเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยราคาอาหารของประเทศที่เจริญแล้วหลายประเทศด้วยวิธีเดียวกัน

จนผมได้เห็นข้อสังเกตว่า คนไทยเราทานอาหารจานเดียวในราคาค่าเฉลี่ยที่แพงกว่าประเทศที่เจริญแล้วหลายประเทศ  ครับ

จากที่เขียนบทความทำนองนี้มาหลายบทความและหลายปี ผมได้ข้อสรุปว่า ราคาอาหารตามสั่งหรือราคาอาหารจานเดียวของไทย จำพวกข้าวกระเพรา ข้าวแกง ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ ที่เราเรียกรวม ๆ กันว่า อาหารจานเดียว นั้น

ในอดีต ราคาอาหารจานเดียวของไทยเมื่อเทียบกับอัตราค่าแรงขั้นต่ำแล้ว จะมีค่าเฉลี่ยส่วนต่างกันประมาณ 10 เท่า ซึ่งผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในบทความเรื่อง ราคาอาหารจานเดียวที่เป็นธรรมควรอยู่ที่ราคาเท่าไหร่

เช่น ถ้าวันนี้ค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ที่วันละ 300 บาท ราคาอาหารจานเดียวทั่ว ๆ ไป ควรมีราคาไม่เกินจานละ 30 บาท เป็นต้น ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีรัฐบาลไทยรัฐบาลไหนสามารถคุมราคาอาหารให้อยู่ในเกณฑ์นี้ได้เลย

ที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ คือ ค่าแรงขั้นต่ำของไทยซื้ออาหารจานเดียวทานได้ไม่ถึง 10 จาน


ส่วนในประเทศที่เจริญแล้ว อย่างญี่ปุ่น จีน หรือสิงคโปร์ และอีกหลายประเทศ ทั้ง ๆ ที่ บางประเทศต้องนำเข้าสินค้าประเภทอาหารจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ

แต่ค่าแรงขั้นต่ำของประเทศเหล่านี้กลับสามารถซื้ออาหารจานเดียวทานได้ 12-15 จาน เป็นอย่างน้อย แถมมีปริมาณอาหารต่อจานมากกว่าอาหารจานเดียวในประเทศไทยทั้งสิ้น

ในขณะที่ประเทศไทย ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ซื้ออาหารจานเดียวในปัจจุบันคือราคาจานละ 35-40 บาท ได้เพียง 8.5 - 7.5 จาน เท่านั้น แถมปริมาณอาหารในหลาย ๆ ร้านกินจานเดียวก็ไม่ค่อยอิ่ม

ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก แต่คนในประเทศกลับต้องกินอาหารในราคาที่แพงเกินไปครับ

-----------------------------

ตัวอย่างราคาอาหารตามสั่งในฟู้ดเซนเตอร์ที่ตึกอลลซีซั่นส์เพลส

คือช่วงนี้ผมมีโอกาสไปกินข้าวที่ศูนย์อาหาร หรือชื่อฟู้ดปาร์ค ในท็อปมาร์เก็ต ที่ตึกออลซีซันส์เพลส (All Seasons Place) อยู่หลายครั้ง


ท็อปมาร์เก็ต ที่ตึกออลซีซั่นส์เพลส


บริเวณศูนย์อาหารฟู้ดปาร์ค ในท็อปมาร์เก็ต


อาหารตามสั่งของที่นี่ขายราคาจานละ 40 บาท ถ้าใส่ไข่ก็เพิ่มอีก 10  บาท

เช่น ผมมักกินข้าวกระเพราหมูไข่ดาว หรือบางครั้งผมก็สั่งผัดพริกแกงหมูราดข้าวโปะไข่ดาว ในราคาจานละ 50 บาท ปริมาณอาหารก็มากพออิ่ม รสชาติก็เหมือนร้านทั่วไป หรืออาจดีกว่าเล็กน้อย เพราะบรรยากาศดีกว่า เลยรู้สึกน่ากินกว่า


ผัดพริกแกงหมูราดข้าวโปะไข่ดาว 


ร้านอาหารตามสั่งที่ผมทานประจำ ราคาเริ่มต้นที่ 40 บาท


โอเค นี่คือราคาปกติเหมือนแถวบ้านผมย่านโชคชัย 4 เลยนะ

ทำให้ผมมาคิด ๆ ว่า เฮ้ย ! นี่ในฟู้ดเซนเตอร์เป็นห้องแอร์ แถมไม่มีฝุ่นควันจากถนน และไม่มีแมลงวัน แถมมีเครื่องฆ่าเชื้อที่ช้อนส้อมด้วยแสงยูวีด้วย กลับขายอาหารตามสั่งได้ในราคาเท่าร้านอาหารตามสั่งริมถนนข้างนอกเลยนะ


เครื่องฆ่าเชื้อช้อนส้อมด้วยแสงยูวี


ทั้ง ๆ ที่พวกร้านอาหารตามสั่งริมถนนข้างนอกนี่ ร้อนก็ร้อน มีทั้งฝุ่นควัน แถมบางร้านก็มีแมลงวันบินว่อน เรื่องความสะอาดก็เป็นรอง บางร้านเป็นพวกรถเร่ริมถนนด้วยซ้ำ แต่กลับขายแพงเท่าอาหารตามสั่งในห้าง

คุณรู้ไหม อาคารออลซีซั่นส์เพลส ถ.วิทยุนั้น ตอนที่เจ้าของตึกนี้เขาซื้อที่ดินผืนนี้มาราคาแพงสุดในประเทศไทยเลยนะ แพงกว่าที่ดินบนถนนสีลมอีก คือราคา ตร.ว.ละ 350,000 บาท เมื่อปี พ.ศ. 2532

ปัจจุบันนี้ ที่ดินบนถนนวิทยุสวย ๆ แบบตึกออลซีซั่นส์เพลส ราคา ตร.วา ละ 1.5 ล้านบาทขึ้นไปจนถึงแตะ 2 ล้านบาท ดังนั้นค่าเช่าร้านในตึกนี้ต้องแพงกว่าร้านอาหารริมถนนทั่วไปอย่างแน่นอน

ผมจึงคิดว่า คน กทม. กินอาหารตามสั่งตามริมถนนข้างนอกราคาแพงไปหน่อยนะ เมื่อเทียบกับราคาฟู้ดปาร์คที่ท็อปมาร์เก็ต ตึกออลซีซั่นส์เพลส แล้ว

การที่ร้านอาหารตามสั่งที่ไม่ได้อยู่บนที่ดินราคาแพงระดับประเทศ แถมไม่ติดแอร์ และความสะอาดก็ไม่ค่อยดีนัก แต่กลับขายอาหารราคาเท่ากับฟู้ดเซนเตอร์ของตึกออลซีซั่นส์เพลส

ท่านเจ้าของร้านอาหารตามสั่งทั้งหลายครับ คุณคิดว่า คุณขายอาหารราคาเอาเปรียบผู้บริโภคของคุณเกินไปหรือไม่ ?

คือโดยส่วนตัวผมคิดว่า ร้านอาหารตามสั่ง หรือร้านอาหารจานเดียวข้างนอกริมทางทั่ว ๆ ไป ไม่ควรขายเกินจานละ 30 บาท หรือไม่ควรขายแพงกว่าอาหารตามสั่งที่ตึกออลซีซั่นส์เพลส

----------------

สรุปท้ายบทความ

อย่างแถวบ้านผมย่านโชคชัย 4 หลายร้านตักข้าวก็น้อย กินก็ไม่ค่อยอิ่ม ร้านก๋วยเตี๋ยวหลายร้านก็ให้เส้นน้อย ปริมาณโดยรวมคือทานไม่อิ่ม แต่พวกเขาก็ถือว่า เขายังขายได้ เลยไม่สนใจหรือเห็นอกเห็นใจลูกค้าที่อุตส่าห์มาอุดหนุนร้านของเขา

ขึ้นชื่อว่า อาหารจานเดียว อย่างน้อยต้องมีปริมาณพอเหมาะ พออิ่ม คุณอาจจะขายราคาจานละ 40 50 หรือ 60 บาทก็ได้ ตามราคาที่เหมาะสมกับทำเลที่ตั้งของคุณ แต่ก็ควรให้ลูกค้าของคุณทานได้พออิ่มใน 1 จาน หรืออิ่มแปร้เลยยิ่งดี

ตัวอย่างง่าย ๆ นะ ถ้าท่านเจ้าของร้านกินข้าวจานนึง หรือก๋วยเตี๋ยวจานนึงปริมาณเท่าไหร่คุณถึงจะอิ่ม คุณก็ควรจะขายอาหารในปริมาณที่คุณเองกินอิ่มใน 1 จานแก่ลูกค้าของคุณด้วย นี่แหละถือว่า คุณจริงใจต่อลูกค้าของคุณแล้ว

เพราะ ผู้ค้าอาหารได้ชื่อว่า เป็นผู้ให้กำลัง

การขายอาหารราคาถูกเพื่อประชาชน ถือว่า เป็นการทำบุญทุกวันด้วยอาชีพของคุณเอง 

ถ้าเจ้าของร้านอาหารคนใดคิดได้ที่ผมแนะนำนี้ รับรองว่าความสุข ความเจริญก็จะมีแก่ร้านของคุณและครอบครัวของคุณอย่างแน่นอนครับ

คลิกอ่าน คนไทยกินก๋วยเตี๋ยวค่าเฉลี่ยแพงกว่าชาติอื่นไหม

คลิกอ่าน ข้าวเปล่าไทยแพงกว่าข้าวเปล่าญี่ปุ่น

คลิกอ่าน ไข่ไทยแพงกว่าไข่ญี่ปุ่น


วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

บทบาทของหลวงศุภชลาศัยช่วงปฏิวัติ กับการสร้างสนามกีฬาแห่งชาติ





พระตำหนักวินด์เซอร์ แต่ชาวไทยสมัยนั้นมักจะเรียกว่า “วังใหม่” หรือ “วังกลางทุ่ง” เสียมากกว่า จนกลายเป็นชื่อตำบลวังใหม่ ในเวลาต่อมา


เป็นที่กังขาและสงสัยมานานกว่า 80 ปี ในหมู่ประชาชนในยุคนี้ว่า

ทำไมรัฐบาลของพวกคณะราษฎร อย่าง รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยหลวงศุภชลาศัย ถึงได้สั่งทุบวังประทุมวัน หรืออีกชื่อคือวังวินด์เซอร์ ทิ้งเพื่อสร้างสนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติขึ้นมาแทนได้ ?

ไอ้คนสั่งทุบ พวกมันคิดได้ไงวะ ?

ทั้ง ๆ ที่เมื่อพ.ศ. 2479 ปีที่รัฐบาลจอมพล ป. สั่งรื้อพระราชวังวินด์เซอร์ที่มีเนื้อที่โดยรอบวังประมาณ 1,000 ไร่นั้น ซึ่งโดยรอบวังวินเซอร์ ส่วนใหญ่เป็นทุ่งว่างเปล่าที่สามารถสร้างกรีฑาสถานแห่งชาติที่มีเนื้อที่แค่ 114 ไร่ ได้อย่างสบาย ๆ (ปัจจุบันเหลือ 77 ไร่) โดยไม่ต้องทุบพระราชวังวินเซอร์ทิ้งเลยด้วยซ้ำ ทำให้ต้องเสียงบประมาณสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ และต้องเสียพระราชวังที่สวยงามที่ควรจะอยู่คู่กับประเทศไทยมาจนถึงปัจจุบัน ช่างน่าเสียดายจริง ๆ

ไอ้คนสั่งทุบ พวกมันคิดได้ไงวะ ?

วังวินเซอร์ รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างขึ้นเพื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามบรมราชกุมารืพระองค์แรกแห่งสยามประเทศ จึงสร้างด้วยวัสดุชั้นดีระดับเดียวหรือใกล้เคียงกับพระที่นั่งอนันตสมาคม แม้พระองค์จะไม่เคยจะเสด็จมาประทับเพราะสิ้นพระชนม์ไปก่อน แต่วังวินด์เซอร์ก็ถือว่ามีคุณค่าทางศิลปะและประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้พอสมควร

ซึ่งต่อมารัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานวังวินด์เซอร์และที่ดินโดยรอบยกให้เป็นกรรมสิทธิของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งพระตำหนักวินด์เซอร์ ก็ได้กลายเป็นตึกสำหรับการเรียนหลายคณะของจุฬาฯ

หากวังวินด์เซอร์ที่แสนสวยงามยังอยู่มาจนวันนี้ คงจะตั้งตระหง่านอย่างสง่าที่บริเวณแยกปทุมวันให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาและชื่นชม แต่กลับต้องถูกทุบทิ้งลงจากคำสั่งบัดซบของคณะบุคคลที่ชื่อว่า คณะราษฎร เพื่อสร้างสถาปัตยกรรมที่ไม่ได้สวยงามอะไรเลยมาแทนที่

ไอ้คนสั่งทุบ พวกมันคิดได้ไงวะ ?

คงไม่มีใครเขาคัดค้านการสร้างกรีฑาสถานแห่งชาติและสนามกีฬาแห่งชาติหรอกครับ แต่คนเขาสงสัยกันว่าที่ว่างแถวนั้นมีมากมายเหลือเฟือ ดันไม่คิดไปสร้างสนามกีฬา ดันเจาะจงจะต้องมาทุบวังวินเซอร์ทิ้งซะนี่

แบบนี้เขาเรียกพวกคนพาลสันดานหยาบเท่านั้นที่คิดได้ แม้แต่นิสิตจุฬาฯ ในสมัยนั้นก็ร่วมคัดค้านแต่ก็ไม่เป็นผล

รูปสนามศุภชลาศัยในยุคแรกหลัง พ.ศ. 2500  ดูเหมือนจะมีอัฒจันทร์ไม่ครบทุกฝั่ง ดูไม่สวยงามอะไรเลย เฉกเช่นทุบปราสาทมาทำสนามฟุตบอล !


พื้นที่ให้เช่าของจุฬาฯ ปัจจุบันประกอบด้วย
- พื้นที่เขตพาณิชย์ บริเวณสยามแสควร์ และบริเวณก่อสร้างห้างสรรพสินค้าใหญ่  รวมพื้นที่ 385 ไร่
- พื้นที่ให้ราชการยืมและเช่าใช้ ส่วนนี้มีการใช้พื้นที่ไปทั้งสิ้น 131 ไร่

----------------------

หลวงศุภชลาศัย คือผู้ส่งหนังสือคณะราษฎรข่มขู่รัชกาลที่ 7 ทูลเชิญเสด็จนิวัติพระนคร

วันที่ 24 มิถุนายน 2475 เมื่อการปฏิวัติสำเร็จลงเรียบร้อยแล้ว คณะราษฎรมีคำสั่งให้นาวาตรีหลวงศุภชลาศัย (ยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็น 1 ในคณะราษฎร นำเรือรบหลวงสุโขทัยออกจากบางนาเดินทางไปพระราชวังไกลกังวล หัวหิน โดยด่วน เพื่ออัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จนิวัติคืนสู่พระนคร

รูปเรือรบหลวงสุโขทัย


ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าภารกิจของนาวาเอกหลวงศุภชลาศัยที่เขียนไว้ในหนังสือ " ประชาธิปไตย ๔๒ ปี " ที่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในวันปฏิวัติครั้งนั้นด้วยความภาคภูมิใจ !? (ภูมิใจพ่องสิ)  ดังนี้

หลังจาก ร.ล. สุโขทัย จอดทอดสมอที่หัวหิน ทหารเรือประจำเรือโบตได้เข้าประจำที่พร้อมแล้ว เพื่อกรรเชียงนำทีมของเราไปถึงชายหาดเบื้องหน้านั้น และก่อนที่ข้าพเจ้าและคณะจะก้าวลงไป ข้าพเจ้าได้เรียกประชุมนายทหาร ประกาศสั่งการไว้ว่า

 " ณ เบื้องหน้าที่ชายหาดหน้าพระราชวังนั้น ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าว่าจะมีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าและทีมที่ไป ดังนั้นในทันทีที่ข้าพเจ้าหากเป็นอันตรายด้วยการถูกยิง ถูกจับ หรือถูกอะไรก็ตาม อันมิใช่เป็นการปรากฏการณ์ของผู้ที่จะนำสาส์นของผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารและการอัญเชิญเสด็จนิวัติแล้ว ข้าพเจ้าจะโยนหมวกขึ้นสู่เบื้องบนเป็นสัญญาณ ดังนั้นต้นปืนจะต้องส่องกล้องจับตาดูข้าพเจ้าตลอดเวลา หากได้เห็นหมวกของข้าพเจ้าถูกโยนขึ้นเบื้องสูงเหนือศีรษะแล้ว ให้ต้นปืนสั่งการแก่ปืนใหญ่ทุกกระบอกในเรือให้หันเข้าซัลโวพระราชวังไกลกังวลทันที

นี่เป็นก้าวแรกเมื่อข้าพเจ้าและคณะได้เหยียบขึ้นถึงทรายเม็ดแรกของชายหาดเบื้องหน้าพระราชวังนั้นแล้ว ในระยะที่สองคือ เมื่อข้าพเจ้าผ่านเขตอันตรายเข้าไปเฝ้าถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โดยสวัสดิภาพแล้ว หากเวลาได้ผ่านเลย ๑๒ น. ไปแล้วแม้เพียงวินาทีเดียว ข้าพเจ้ายังไม่นั่งเรือโบตกลับมาถึงเรือ ให้ปืนใหญ่หัวเรือระดมยิงสถานีหนองแกทิศใต้พระราชวัง และให้ปืนท้ายทลายชะอำด้านเหนือและปืนกราบอีกสองกระบอก ให้ซัลโวตัวพระราชวังไกลกังวลอย่างเต็มเหวี่ยง มิพักต้องคำนึงถึงข้าพเจ้าและคณะแต่ประการใด คำสั่งอันนี้ของข้าพเจ้าเป็นคำสั่งเด็ดขาด อาณัติสัญญาณก็ดี เวลาก็ดี ต้นปืนจะต้องปฏิบัติตามนี้โดยเคร่งครัด"


เฮ่อ.. คิดได้นะ ถ้าตนเองยังไม่กลับมาแม้เพียงแค่วินาทีเดียว ก็สั่งให้ทหารระดมยิงใส่พระราชวังไกลกังวลแบบไม่ยั้งทันที

เอาเถอะ กระทำการปฏิวัติมันต้องเหี้ยมไว้ก่อน แต่ผลที่ตามมาจนถึงรุ่นลูกหลานเขาจะระดมด่าพวกท่านเอง

ส่วนหนังสือข่มขู่รัชกาลที่ 7 ของคณะราษฎร ที่หลวงศุภชลาศัยนำไปทูลเกล้าฯ ถวายแก่รัชกาลที่ 7  เพื่อทูลเชิญเสด็จนิวัติพระนคร มีเนื้อหาบัดซบดังนี้

“พระที่นั่งอนันตสมาคม
วันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ด้วยคณะราษฎร ข้าราชการ ทหาร พลเรือน ได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินไว้ได้แล้ว และได้เชิญสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ มีสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมนครสวรรค์วรพินิต เป็นต้น ไว้เป็นประกัน

ถ้าหากคณะราษฎรนี้ถูกทำร้ายด้วยประการใด ๆ ก็จะต้องทำร้ายเจ้านายที่คุมไว้เป็นการตอบแทน

คณะราษฎรไม่ประสงค์จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อที่จะมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จึงขอเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทกลับคืนสู่พระนคร ทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปโดยอยู่ใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ซึ่งคณะราษฎรได้สร้างขึ้น ถ้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตอบปฏิเสธก็ดี หรือไม่ตอบภายใน 1 ชั่วนาฬิกา นับแต่ได้รับหนังสือนี้ก็ดี คณะราษฎรก็จะได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน โดยเลือกเจ้านายพระองค์อื่นที่เห็นสมควรขึ้นเป็นกษัตริย์
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม

พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา
พ.อ.พระยาทรงสุรเดช
พ.อ.พระยาฤทธิ์อัคเนย์”

แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธที่จะเสด็จกลับพระนครโดยเรือรบหลวงสุโขทัยด้วยเหตุผล “เพราะจะทำให้ดูเหมือนว่าถูกเขาจับไป” ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ต้องรักษาไว้ให้ “เป็นการสมพระเกียรติยศ” ในฐานะพระมหากษัตริย์

โดยวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับถึงพระนครโดยรถไฟขบวนพิเศษ

-------------------



ในปี พ.ศ. 2478 นาวาโท หลวงศุภชลาศัย อธิบดีกรมพลศึกษาในขณะนั้น มีดำริที่จะก่อสร้างกรีฑาสถานแห่งชาติขึ้น และได้พิจารณาที่ดินทำสัญญาเช่า ณ ตำบลวังใหม่จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยรื้อถอนพระตำหนักวินด์เซอร์ รวมถึงสิ่งปลูกสร้างโดยรอบออก

ซึ่งการก่อสร้างกรีฑาสถานแห่งชาติเสร็จสิ้นและได้ย้ายสถานทำการของโรงเรียนพลศึกษากลางและกรมพลศึกษามายังสถานที่ปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. 2481

มีพวกร่านบางคนโชว์โง่บอกว่า ชื่อ สนามศุภชลาศัยฯ เป็นแค่ชื่อเล่นเท่านั้น ไม่ใช่ชื่อจริงหรือชื่ออย่างเป็นทางการของสนามกีฬาแห่งชาติ ทั้ง ๆ ที่ความจริง ชื่อ สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ คิอชื่ออย่างเป็นทางการนานแล้วครับ

เพราะเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 กรมพลศึกษา(ในสมัยที่หลวงศุภชลาศัย ยังเป็นใหญ่ในรัฐบาล) ได้ทำการเปลี่ยนชื่อสนามกรีฑาสถานแห่งชาติ เป็น "สนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ" เพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงศุภชลาศัย ปัจจุบันนิยมเรียกสั้นๆ เพียงว่า สนามศุภชลาศัย หรือสนามกีฬาแห่งชาติ

รูปด้านหน้าสนามศุภชลาศัย จะมีชื่อ ศุภชลาศัย ติดอยู่



----------------------


สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร

รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างพระตำหนักวินด์เซอร์ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร  ที่บริเวณแยกปทุมวันเพื่อให้ใกล้กับวังสระปทุมของสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ผู้เป็นสมเด็จพระชนนี (หรือสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า)

ด้วยความอาลัยของแม่ที่ต้องสูญเสียพระโอรสไป ดังนั้นวังวินด์เซอร์ก็เปรียบเสมือนเป็นอนุสรณ์ของพระโอรส เมื่อแม่มองไปไกล ๆ ได้เห็นหลังคาวังก็ทำให้คลายความคิดถึงลงได้บ้าง

แต่เมื่อรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ยืนยันจะทุบวังวินด์เซอร์ให้ได้เช่นนั้น สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าก็ทรงทำได้เพียงประทับอยู่ที่เฉลียงวังสระปทุม ฟังเสียงคนทุบวังลูกอยู่ทุกวัน ด้วยหัวอกคนเป็นแม่ พระองค์ถึงกับทรงตรัสกับนางข้าหลวงผู้ใกล้ชิดว่า

“ได้ยินเสียงเขาทุบวังลูกฉันทีไร มันเหมือนกับกำลังทุบใจฉันอย่างนั้น” น้ำเสียงของพระองค์สั่นน้ำพระเนตรคลอด้วยความอัดอั้นตันใจ เล่ากันว่าถ้าไม่จำเป็นพระองค์จะไม่เสด็จผ่านไปทางที่ดินผืนนั้นเลย

สำหรับผม ใหม่เมืองเอก มองว่า การที่รัฐบาลจอมพล ป. แทนที่จะสร้างสนามกีฬาแห่งชาติในบริเวณทุ่งว่างใกล้เคียงได้ แต่กลับไม่ทำเช่นนั้น ผมว่า คงเป็นเจตนาเลวโดยเฉพาะครับ เหมือนตั้งใจกลั่นแกล้ง แถมยังทูลเชิญรัชกาลที่ 8 ให้เสด็จไปเปิดสนามกีฬาแห่งชาตินี้อีกด้วยนะ (เหมือนใช้อำนาจทูลเชิญเพื่อเย้ยหยัน)

"ทั้งทุบ ทั้งรังแก ทั้งเย้ยหยัน" ความเลวในเรื่องนี้ผมขอยกให้เป็นผลงานของจอมพล ป. กับหลวงศุภชลาศัย รับไว้ก็แล้วกัน

----------------------

มีพวกร่านบางคน มันถามว่า ทีทุบวังเพชรบูรณ์ สร้างห้างสรรพสินค้า หรือทุบวังบูรพาภิรมย์ เพื่อสร้างห้างและโรงหนังล่ะ ทำไมไม่โวยกัน ?

ขอตอบว่า วังเหล่านั้น มันเป็นกรรมสิทธิส่วนบุคคลของลูกหลานเจ้าของวังนั้น ๆ ซึ่งเขาย่อมมีสิทธิจะเก็บรักษาไว้หรือไม่ มันก็เรื่องของเขา

แต่กรณีวังวินด์เซอร์ นั้นซึ่งเป็นทั้งสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าของชาติ ได้เป็นสถาบันการศึกษาของรัฐไปแล้ว กลับทุบให้เสียของ เพราะรัฐบาลในขณะนั้นดันคิดไม่เป็น หรือเจตนาจะคิดกลั่นแกล้งมิทราบได้ แทนที่จะไปสร้างสนามกีฬาตรงจุดอื่นที่ยังมีที่ดินว่างเยอะแยะ แต่ดันไม่ไปสร้าง

เสมือนเจตนาจะทำร้ายน้ำพระทัยของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าโดยเฉพาะ ด้วยอำนาจบาตรใหญ่ของพวกบ้าอำนาจยังไงอย่างนั้นจริง ๆ

เห็นพวกร่านมันถามว่า ไหน ๆ มีรูปไหมว่า ตอน พ.ศ.2479 เป็นทุ่งโล่งมีที่ว่างจะสร้างสนามกีฬา

ตอบง่ายมาก ตอนนั้นสยามสแคว์ก็ยังไม่มี มาบุญครองเซ็นเตอร์ก็ยังไม่มี ลองย้อนกลับไปอ่านช่วงต้นของบทความมีข้อมูลบอกว่า เฉพาะที่ดินจุฬาฯ ที่ให้เอกชนเช่าที่มีเนื้อที่ตั้ง 300 กว่าไร่เห็นไหม !?

ที่ดินที่ให้เอกชนเช่าพวกนั้นทางจุฬา ฯ ให้เช่าหลังมีสนามศุภฯ แล้วทั้งนั้น คิดสิคิด!!

---------

เห็นเขาว่า ตอนนี้เว็บ Change.org เขากำลังรณรงค์เปลี่ยนชื่อ สนามศุภชลาศัย ให้มาเป็นชื่อของเจ้าของที่ดินดั้งเดิมแทน คือชื่อ สนามมหาวชิรุณหิศ

ใครจะเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร ก็เอาที่สบายใจแล้วกันครับ

สำหรับผมยังไม่ขอออกความเห็นใด ๆ เพราะมันควรเป็นวิจารณญาณส่วนบุคคลของแต่ละท่านเอง

คลิกอ่าน พลโทประยูร ภมรมนตรี เนรคุณทูลกระหม่อมบริพัตร หรือไม่


วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2560

เหตุผลที่ควรอนุญาตให้คนนั่งหลังแคปของรถกระบะได้





ขณะนี้มีปัญหาว่า คนไทยจำนวนมากที่เป็นเจ้าของรถกระบะ หรือมีรถกระบะในครอบครัว เพิ่งจะรู้กันว่า ที่นั่งตรงแคปไม่สามารถนั่งได้เพราะผิดกฎหมาย

ก่อนอื่นขอเล่าเท้าความคร่าว ๆ ว่า แต่เดิมรถกระบะมีเพียงรถกระบะตอนเดียว ไม่มีพื้นที่แคปด้านหลังคนขับ และรถกระบะประเภทนี้ต้องจดทะเบียนเป็นรถบรรทุกและสามารถนั่งในรถได้เพียง 2 คนเท่านั้น คือคนขับ กับคนนั่งข้างคนขับ

ต่อมาทางผู้ผลิตรถกระบะ ก็เลยเกิดไอเดียเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับคนขับรถกระบะและผู้โดยสารด้านข้างให้สามารถปรับเบาะเอนได้สบายขึ้น จึงเพิ่มพื้นที่ด้านหลังเบาะที่นั่งเพื่อจะได้บรรทุกข้าวของสัมภาระในตัวรถได้มากขึ้น และช่วยให้สามารถปรับเบาะนั่งเอนได้มากขึ้นเพื่อความสะดวกสบาย

ซึ่งในทางกฎหมาย รถกระบะตอนเดียว กับ รถกระบะมีแคป ก็คือ รถชนิดเดียวกัน ต้องจดทะเบียนประเภทเดียวกัน

ส่วนตัวแทนจำหน่ายรถกระบะมองเห็นโอกาสและลู่ทางในการขาย จึงไปทำเบาะในพื้นที่แคปขึ้นมา เพื่อจะทำให้ผู้โดยสารนั่งในบริเวณแคปได้

ส่วนทางบริษัทผู้ผลิตรถกระบะเขาหัวหมอ เขารู้ในเรื่องข้อกฎหมายอย่างดี เขาจึงไม่ยอมโฆษณาว่า พื้นที่แคปสามารถให้คนนั่งโดยสารได้ เพราะมันผิดกฎหมาย

บริษัทรถยนต์เขาจะโฆษณาแค่ว่า เพิ่มพื้นที่ห้องโดยสาร เพื่อความสะดวกสบายและเพิ่มพื้นที่ในการวางสัมภาระในตัวรถได้มากขึ้น

บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เลยแข่งขันการพัฒนาให้พื้นที่แคปของรถกระบะกว้างมากขึ้น ซึ่งทำให้ผู้บริโภคที่มาซื้อรถกระบะ ก็เหมือนถูกหลอกทางอ้อมว่า บริเวณแคปสามารถนั่งได้ เพราะเวลาไปซื้อรถกระบะมีแคปมักมีเบาะที่นั่งเสริมแถมมาด้วย

ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง เขาว่ากันว่า เบาะที่นั่งเสริมพวกนี้พวกตัวแทนจำหน่ายสั่งทำเพิ่มเอง (อุปกรณ์เสริม) เป็นของแถม เพราะที่นั่งแคปไม่ได้ผลิตมาจากบริษัทผู้ผลิตรถกระบะโดยตรง เหตุเพราะบริษัทรถยนต์เขาแม่นกฎหมาย เขาไม่พลาดให้โดนเล่นงานในข้อกฎหมาย

หากบริษัทผู้ผลิตรถกระบะบอกตรง ๆ ว่า บริเวณแคปนั่งไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย ย่อมจะกระทบยอดขายรถแน่นอน

แต่ทั้งหมดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มันได้ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดไปเองว่า บริเวณแคปของรถกระบะสามารถนั่งโดยสารได้

--------------------

เหตุผลที่ควรอนุญาตให้ผู้โดยสารนั่งแคปได้

ผมคงไม่ลงรายละเอียดในข้อกฎหมายนะครับ เพราะถ้าตามกฎหมายจริง ๆ คือนั่งบริเวณแคปไม่ได้ เพราะรถกระบะมีแคปก็เหมือนรถกระบะตอนเดียว คือมีผู้โดยสารได้แค่ 2 คนเท่านั้น และต้องจดทะเบียนเป็นรถบรรทุกป้ายทะเบียนขาวตัวหนังสือสีเขียวเท่านั้น

หากอนุญาตให้คนนั่งที่แคปได้ ก็อาจต้องไปจดทะเบียนใหม่เป็นป้ายดำหรือไม่ ?

แต่มันก็ติดปัญหาข้อกฎหมายไปถึงผู้ผลิตรถกระบะอีก เพราะผู้ผลิตรถกระบะเขาผลิตรถออกมาในนามรถกระบะบรรทุก เพราะมันมีผลต่อการคิดฐานภาษีรถด้วย

ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาของรัฐบาลว่า ถ้าจะอนุญาตแล้วจะต้องไปหาทางแก้ไขกฎหมายแค่ไหน

ส่วนเหตุผลที่ควรจะอนุญาตให้ผู้โดยสารนั่งโดยสารที่แคปได้ก็คือ

1. หากเกิดการชนด้านหน้า บริเวณแคปก็จะปลอดภัยกว่าบริเวณที่นั่งด้านหน้า เพราะด้านหน้ามีเครื่องยนต์และที่นั่งคนขับและที่นั่งข้างคนขับซับแแรงกระแทกได้ก่อนถึงบริเวณแคป

2. หากเกิดการชนด้านหลัง บริเวณแคปก็จะมีท้ายกระบะซึ่งมีความยาวซับแรงกระแทกไว้ก่อนถึงบริเวณแคป

จาก 2 ข้อแรก ถ้าคุณผู้อ่านไปหาดูคลิปการทดสอบการชนของรถกระบะมีแคปด้วยความเร็ว 50-60 กม./ชม. ทั้งการชนทางด้านหน้าและการชนทางด้านหลังดูในยูทูปได้ครับ

ซึ่งผลการทดสอบปรากฎว่า บริเวณที่นั่งแคปได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่นั่งคนขับและที่นั่งข้างคนขับเสียอีกครับ

3. หากรัฐจะอนุญาตให้มีผู้โดยสารที่บริเวณแคปได้จริง ๆ ก็ควรให้มีการปรับปรุงที่นั่งบริเวณแคปให้มั่นคงแข็งแรง และติดเข็มขัดนิรภัยให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีแบบคุณกฤษณะ ละไลที่ต้องพิการเพราะคนนั่งบริเวณแคปลอยมากระแทกด้านหลังของเขา เพราะที่นั่งแคปไม่มีเข็มชัดนิรภัยในช่วงเกิดอุบัติเหตุ

ส่วนปัญหาเรื่องต่อไปรถกระบะมีแคปมีที่นั่งได้เป็น 4 ที่นั่งแล้ว รถพวกนี้จะต้องไปจดทะเบียนอย่างไร เพราะคงจดทะเบียนเป็นรถบรรทุกแบบเดิมก็คงไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของรัฐบาลต้องนำไปพิจารณาต่อไป

ส่วนบทความนี้เขียนเพื่อจะสนับสนุนการอนุญาตให้นั่งบริเวณแคปได้เท่านั้น เพราะบริเวณแคปมันไม่ได้อันตรายกว่าที่คิดกันไป


เพราะในต่างประเทศเขาอนุญาตให้นั่งบริเวณแคปได้ และมีการติดตั้งเข็มขัดนิรภัยอย่างครบครัน





ปัญหาของบ้านเราตอนนี้คือ ปัญหาในข้อกฎหมาย คือ ถ้าอนุญาตให้นั่งบริเวณแคปได้ ต่อไปรถกระบะมีแคปพร้อมที่นั่งอาจต้องไปจดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลป้ายทะเบียนสีขาวตัวหนังสือสีดำหรือไม่ ซึ่งจะมีภาษีประจำปีแพงกว่าป้ายทะเบียนรถบรรทุกที่เคยจดเดิม ๆ กันมาครับ

คนไทยมักเป็นประเภทไม่อยากจ่ายภาษีแพง แต่อยากได้ความสะดวกครบครัน ทำนองนี้แหละ เลยยอมละเมิดกฎหมายกันจนเป็นปกติ

คลิกอ่าน จากสี่แยกวังหินถึงนั่งท้ายรถกระบะ ดัชนีชี้วัดวินัยคนไทย