วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มุขเก่าของเสื้อแดงด่า "ไอ้พวกเสียงส่วนน้อย"






ถ้าเราตามดูเว็บบอร์ด หรือเฟสบุ้คที่เปิดให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเมืองในเว็บต่าง ๆ

ตอนนี้คนไทยเราแตกแยกกันมากจริง ๆ ถ้าเสื้อแดงก็ต้องโทษไปที่ระบอบอำมาตย์ตามที่ทักษิณสั่งสอนมอมเมาไว้

ส่วนพวกที่ต่อต้านระบอบทักษิณ ก็โทษไปที่ทักษิณกับความโง่ของพวกเสื้อแดงว่าเป็นตัวการสร้างความแตกแยกในประเทศนี้

ส่วนประเด็นหลักที่คิดต่างกันของแต่ละฝ่ายคือ

ฝ่ายต่อต้านทักษิณมองว่า การคอรัปชั่นคือภัยที่ร้ายแรงที่สุดของชาติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ทหารอ้างในการยึดอำนาจเสมอทุกยุคสมัย

ส่วนฝ่ายเสื้อแดง นปช. ก็จะมองว่า การรัฐประหารของทหารคือสิ่งเลวร้ายที่สุดยิ่งกว่าการคอรัปชั่น เช่น

ไอ้เหวงที่เคยขึ้นเวทีพันธมิตรต่อต้านระบอบทักษิณ แต่พอเกิดรัฐประหารปี 49 ปุ๊บ ไอ้เหวงก็แปลงร่างเป็นขี้ข้าทักษิณทันที 555


ประเด็นรองลงมาที่คิดต่างของแต่ละฝ่ายคือ

ฝ่ายต่อต้านทักษิณ มองว่า รัฐบาลแม้จะมาจากการเลือกตั้งก็ตาม แต่ก็ต้องมีหลักธรรมาภิบาลในการปกครองประเทศด้วย ไม่ใช่คิดอยากจะทำอะไรเพื่อผลประโยชน์พวกพ้องก็ได้ โกงกินก็ได้ ถ้าโดนจับได้ว่าโกง แล้วยังหน้าด้านอยู่บริหารต่อ มันก็ต้องโดนประชาชนออกมาขับไล่

ส่วนฝ่ายเสื้อแดง กลับมองว่า ถ้ารัฐบาลมันจะโกงก็โกงไปเหอะ ก็ปล่อยให้รัฐบาลมันโกงกินไปสบาย ๆ 4 ปี แต่ระหว่างนั้นอย่าลืมแจกกูบ้างนะ แล้วค่อยว่ากันใหม่ในการเลือกตั้งคราวต่อไป

แต่เสื้อแดงหารู้ไม่ว่า นักการเมืองโกงกินมันคิดไกลกว่าพวกเสื้อแดงนัก อยากรู้ว่านักการเมืองโกงกินมันคิดยังไง

แนะนำไปอ่านอีกบทความเรื่อง ประชานิยมทักษิณ กับแชร์ลูกโซ่ คลิก !!

และเรื่อง ปตท.กับ ทักษิณ สันดานเดียวกัน คลิก !!





----------------------

มุขเก่าที่ใช้ประจำของเสื้อแดง

ที่จริงพวกเสื้อแดงมันมีมุกซ้ำ ๆ อยู่ไม่กี่อย่างหรอก แต่ถ้าสุดท้ายเวลาพวกเสื้อแดงมันเถียงไม่ออก มันจะงัดมุขสุดท้ายขึ้นมาด่า ก็คือ

"โธ่ ไอ้พวกเสียงข้างน้อย แน่จริงพวกมึงก็ชนะเลือกตั้งให้ได้สิวะ"

นี่คือการใช้หลักตรรกะพวกมากกว่า แปลว่าถูกต้องกว่า แต่จะถูกต้องตามหลักคุณธรรมหรือไม่ พวกเสื้อแดงมันไม่สนหรอก

เพราะพวกเสื้อแดงมันศรัทธาคำว่าประชาธิปไตย ที่แปลว่า การชนะการเลือกตั้งเท่านั้น

นั่นเพราะพวกเสื้อแดงมันไม่รู้จักประชาธิปไตยที่ถูกต้องคืออะไร เพราะพวกมันไม่มีหัวใจประชาธิปไตย

คลิกอ่าน ต้องมีหัวใจประชาธิปไตย จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง




และตรรกะที่มักใช้ได้ผล เวลาเจอพวกฟายแดงเกรียน ๆ ที่ชอบใช้มุกด่า "ไอ้พวกเสียงส่วนน้อย" ผมมักแนะนำให้ตอบกลับไปว่า

"เออ.ใช่ คนกรุงเทพส่วนใหญ่ แม่งโง่เนอะ ที่ไม่เลือกพรรคเพื่อไทย สู้คนอีสานส่วนใหญ่ไม่ได้ แม่งโคตรฉลาดเลย ถึงได้รักทักษิณเลือกพรรคเพื่อไทย
มิน่าล่ะ คนกรุงเทพฯ แม่งถึงได้จ๊นจน คนอีสานส่วนใหญ่แม่งถึงได้รวยโคตร ๆ 5555"

แล้วก็ตบท้ายด้วยการชวนให้ไปอ่านขำขันเรื่องนี้จะยิ่งเข้าใจมากขึ้น

คลิกอ่าน เมื่อเสื้อแดงระดับมันสมองคุยเรื่องนิรโทษกรรม !!


คือถ้าผมไม่เจอมุขเกรียนของฟายแดงก่อน ผมก็ไม่อยากจะใช้การตอบโต้แบบนี้หรอก

-----------------------

ขำขัน (ดัดแปลงจากประวัติพระโมคคัลลา พระสารีบุตร)

เมื่อทักษิณถาม akecity ว่า "ในโลกนี้มีคนโง่หรือคนฉลาดมากกว่ากัน"

akecity ตอบว่า "คนโง่มีมากกว่าคนฉลาด"

ทักษิณจึงพูดประชดกลับไปว่า "ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้พวกเสื้อแดงจึงหลงเชื่อผม แล้วหลงใหลยิ่งลักษณ์น้องสาวผมไงล่ะ ฮ่าๆๆ"


แนะนำอ่าน คนอีสานฉลาดที่สุด ถ้า...










วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อำนาจหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ กรณีแก้ไขที่มา สว. ขัดรัฐธรรมนูญ







การแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ 50 ที่มาสว.นั้น เนื้อหาที่แก้ไขหลัก ๆ คือ

1.ผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ว.ไม่จำเป็นต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเกินกว่า 5 ปี

2.ให้ที่มาของ ส.ว.ให้มาจากการเลือกตั้งทั้ง 200 คน

3. รวมทั้งผู้ที่เป็นคู่สมรส บุพาการี หรือเครือญาติของ ส.ส.สามารถลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว.ได้

เมื่อพิจารณาเนื้อหาแก้ไขทั้ง 3 ข้อรวมกัน

ย้ำ ! ว่า ศาล รธน. ได้พิจารณาเหตุผลของเนื้อหาทั้ง 3 ข้อประกอบกันว่า ที่มาสว. ในร่างแก้ไขแทบไม่มีอะไรที่แตกต่างจากที่มา สส. เลย ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกันมาก

นี่แหละ ที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า มันถอยหลังลงคลอง จะทำให้สภาสูงและสภาล่างมีที่มาเหมือนกัน ซึ่งจะทำให้หลักการถ่วงดุลอำนาจของ 2 สภาบกพร่อง กลายเป็นสภาผัวเมีย

ขอย้ำ ! ว่า ต้องมองทั้ง 3 ข้อรวมกันนะครับ อยากแยกดูเฉพาะข้อใดข้อหนึ่ง

ผมเชื่อว่า หากไม่มีการแก้ไขที่มา สว. โดยเฉพาะใน ข้อ 1 และ ข้อ 3 เพียงเท่านี้ก็อาจไม่มีใครไปยื่นให้ ศาล รธน. วินิจฉัยคดีนี้ก็ได้

ส่วนประเด็นที่ สว. ต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ผมเชื่อว่า ทั้งฝ่ายค้านและวุฒิสภาบางส่วนที่คัดค้านน่าคงพอรับได้ และคงไม่ถึงกับต้องไปฟ้องศาล รธน.

แต่พวกเพื่อไทยและเสื้อแดง เอาเฉพาะข้อ 2 ไปเล่นเพื่อโจมตีศาล รธน. ว่า การเลือกตั้ง สว. จะไม่เป็นประชาธปไตยได้ยังไง ??

ดังนั้น ประเด็นแก้ไขที่มา สว. ตามเหตุผลข้อ 1 และข้อ 3 นี่แหละที่เป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด จนต้องมีการส่งเรื่องนี้จนเป็นคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญว่า ขัดต่อหลักการรัฐธรรมนูญ 2550

--------------------------

ถามว่า การออก พ.ร.บ. เป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่ ?

คำตอบก็คือ ใช่ เป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา

ในเมื่อการออก พ.ร.บ. เป็นอำนาจของรัฐสภา แต่ศาล รธน. ก็มีอำนาจตรวจสอบว่า พ.ร.บ.นั้น ๆ ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่

ถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภาใช่หรือไม่ ?

คำตอบก็คือใช่

และเมื่อใช้ตรรกะและเหตุผลเดียวกันกับการออก พ.ร.บ.

ในเมื่ออำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นของรัฐสภา ศาล รธน. ก็ย่อมมีอำนาจตรวจสอบตามคำร้องว่า ที่มาของการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรานั้น ๆ ได้มีการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่เช่นกัน

ตามรูปนี้ อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ในข้อ 1 และข้อ 6 ที่ขีดเส้นใต้สีเหลืองไว้


(รูปจากเว็บศาล รธน.)

ขอให้พิจารณาทั้ง ข้อ 1 และ ข้อ 6 ไปพร้อม ๆ กัน เราจะเห็นทันทีว่า

ในข้อ 1 คำว่าร่างกฎหมาย ไม่ได้ระบุว่า กฎหมายอะไร แสดงความว่า ครอบคลุมทุกร่างกฎหมาย รวมถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย

ในข้อ 6 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยว่ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ๆ มีบุคคลหรือพรรคการเมืองใช้สิทธิและเสรีภาพโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?

ซึ่งก็มีการกระทำหลายอย่างของ สส.รัฐบาล ประธานและรองประธานรัฐสภาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เช่นการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน เป็นต้น


------------------------------

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้รับความคุ้มครองและผูกพันทุกองค์กร

ตามรูปนี้ ในมาตรา 27 รัฐธรรมนูญ 2550



และในมาตรา 216 วรรค 5 "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ"

ผมยังไม่แน่ใจว่า คำว่า คำวินิจฉัยของศาลย่อมได้รับความคุ้มครอง นั่นหมายถึงอะไร ? ครอบคลุมแค่ไหน ?

ผมรู้แน่แค่ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 27

แล้วใครก็ตามที่ประกาศไม่ยอมรับอำนาจและคำตัดสินของศาล ก็เท่ากับว่า กระทำขัดรัฐธรรมนูญ (มาตรา27) เป็นความผิดและมีโทษแน่นอน

-----------------------

นางธิดา นกแสก ได้ปราศัยบนเวทีเสื้อแดง ที่สนามรัชมังคลาฯ ว่า "อำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา"

ก็ถูกต้อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของรัฐสภา ประโยคนี้ไม่ผิดแต่อย่างใด

แต่อำนาจในการตรวจสอบการกระทำใด ๆ โดยมิชอบรัฐธรรมนูญหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น

ในเมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจที่จะวินิจฉัยตามคำร้องได้ตามมาตรา 68 ซึ่งผมเขียนอธิบายไว้แล้วในบทความ คลิกอ่าน ความโง่ของนิติราษฎร์ กับคดีแก้ไขรธน. ที่มา สว.

หากไม่อยากให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป ก็ควรทำตามหลักนิติธรรม ไม่กระทำการใดๆ โดยมิชอบรัฐธรรมนูญ ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญแนะนำไว้นั่นแหละถูกต้องที่สุด

คลิกอ่าน อะไรเอ่ย ศาลรัฐธรรมนูญ กับ สส.เพื่อไทย




วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อย่าหลงกล เมื่อยิ่งลักษณ์แจกประชานิยมให้คนเสียภาษี







วันนี้รัฐบาลชั่วได้ประกาศลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาลง แต่ที่จริงก็คือ ผลประโยชน์ทับซ้อน

ใครที่ได้รับการลดภาษี ผมก็ยินดีด้วย แต่อย่าไปให้เครดิตความดีความชอบไอ้รัฐบาลชั่วนี่นะครับ

เพราะผมว่า นี่คือการซื้อเสียงทางอ้อมของพวกมัน แต่เป็นการใช้ภาษีชาติผลประโยชน์ของชาติมาซื้อ (เพราะเร็ว ๆ นี้อาจมียุบสภา)

แต่ที่แน่ ๆ ไอ้พวกตระกลูชิน พวกมันจะได้ลดภาษีลงไปด้วย ปีละหลายสิบล้านบาทหรือ หลายร้อยล้านบาททีเดียว

สมมุติว่า โอ๊ค พานทองแท้ มีรายได้เดือนละ 10 ล้าน เคยจ่ายภาษีปีละ 44.4 ล้านบาท (37%)

แต่เมื่อลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาลงแล้ว โอ๊ค จะจ่ายภาษี 42 ล้านบาท/ปีเท่านั้น (35%) เท่ากับลดลงไปปีละ 2.4 ล้านบาท นี่แค่ตัวอย่างสมมุติของนายโอ๊คคนเดียวนะ

ซึ่งในความเป็นจริง โอ๊คมีรายได้ในแต่ละปีมากกว่าที่ผมยกตัวอย่างมาก เฉพาะแค่ดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคารไม่รวมเงินปันผลหุ้นจากหุ้นในบริษัท

ดอกเบี้ยแต่ละปี ที่โอ๊คและน้องสาวอีก 2 คนได้ แต่ละคนก็ได้ปีละหลายร้อยล้านบาทแล้วครับ

ในขณะที่ประเทศชาติกำลังมีหนี้เพิ่มขึ้น ทั้งหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน ส่งออกวูบ ขาดทุนจำนำข้าวปีละ 2 แสนล้าน รายได้ประเทศกำลังลดลง แต่รายจ่ายประเทศกำลังเพิ่มขึ้น

แต่วันนี้ไอ้รัฐบาลชั่วดันมาลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดา และเคยลดภาษีรายได้นิติบุคคล ซึ่งลดไปเมื่อปีที่แล้ว

อย่างเช่น ลดภาษีนิติบุคคล ลดจาก 30% เหลือ 20%

เช่น ถ้าบริษัทในเครือตระกูลชินวัตร มีกำไรปีละ 5 พันล้านบาท เคยจ่ายภาษีประมาณ 1,500 ล้านบาท/ปี ก็จะลดเหลือจ่ายแค่ 1,000 ล้านบาท/ปีเท่านั้น เท่ากับประหยัดไปปีละตั้ง 500 ล้านบาท !!

ซึ่งทั้งสองนโยบายลดภาษีนี้ พวกนายทุนคือผู้ได้ผลประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะตระกูลชินวัตรจะได้ประโยชน์มากที่สุด

คิดว่าอีกไม่นาน รัฐบาลอาจจะต้องมาเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มแทนแน่ ๆ ในไม่ช้านี้ เพราะเดี๋ยวไม่มีเงินไปโปะหนี้เก่า ใช้หนี้ใหม่

ถ้ารัฐบาลงัดนโยบายเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจริง ๆ มาใช้ ก็แปลความว่า "คนรวยได้ประโยชน์จากการลดภาษีรายได้ แต่ถ้ารัฐบาลหันไปขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งคนจน คนรวยซื้อของชนิดเดียวกันก็ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเท่ากัน"


------------------------

การลดภาษีรายได้บุคคลธรรมดาลง นับว่าเป็นการแก้เกมการเมืองที่ดีของรัฐบาล เพราะเทพเทือกได้ประกาศให้ประชาชนชะลอการจ่ายภาษี

รัฐบาลมันเลยรีบลดภาษีลงซะเลย

ผมถึงว่า เกมการเมืองมันต้องพวกสันดานขี้โกงน่ะ จะเก่งกว่า

ปชป. ตามเกมเพื่อไทย ไม่ทันเพราะเหตุนี้แหละครับ

การใช้สันดานพ่อค้า ใช้สันดานนักการตลาดในเกมการเมือง ทักษิณมันเก่งกว่าจริงๆ

เพราะคนไทยส่วนใหญ่เป็นพวกคิดตื้น ๆ ไม่เข้าใจว่า การที่รัฐบาลดำเนินนโยบายผิด ๆ จะมีผลกระทบกลับมาถึงตัวเองอย่างไร

ก็เพราะผลกระทบบางครั้งไม่ได้มาทางตรง แต่มันมาทางอ้อม แบบที่คนที่ไม่รู้จักคิดจะไม่รู้ตัวว่าโดนผลกระทบแล้ว เดือดร้อนไปแล้วโดยไม่รู้ตัว่า เป็นเพราะนโยบายผิด ๆ ของรัฐบาล

----------------------

กลยุทธรักษาฐานเสียง

เพราะช่วงนี้รัฐบาลเพื่อไทยกำลังเพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายตรงข้ามในหลายเรื่อง

ดังนั้นการที่รัฐบาลลดภาษีทั้งนิติบุคคล และภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ถือเป็นประชานิยมที่ใช้เงินภาษีรัฐมาแจกโดยอ้อมให้กับคนชั้นกลาง เพื่อหวังรักษาฐานเสียงที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้เอาไว้ไม่ให้เปลี่ยนใจไปเลือกพรรคอื่นง่าย ๆ

แถมพรรคพวกของรัฐบาลก็ได้ผลประโยชน์อย่างมากในนโบายนี้อีกด้วย

นี่ถ้าใกล้จะมีการเลือกตั้งจริง ๆ บางทีอาจงัดนโยบายขึ้นเงินเดือนข้าราชการและรัฐวิสาหกิจมาใช้อีกก็เป็นได้ (ซื้อเสียงข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ)

ขอย้ำอีกครั้งว่า หากคุณได้ประโยชน์จากการลดภาษี ก็ขออย่าให้คุณดีใจและไปชื่นชมรัฐบาลนี้

เพราะการที่เราได้ประโยชน์เพิ่ม แต่ประเทศชาติกลับสูญเสียประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอก

เพราะไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ฟรี ๆ โดยที่ไม่ต้องเสียอะไรไปเลย

ยิ่งถ้าใครเข้าใจประโยคที่ว่า "เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว" ก็ย่อมเข้าใจเรื่องที่ผมอธิบายได้เป็นอย่างดีแน่นอน


-----------

อัพเดทข่าวล่าสุด

กิตติรัตน์ ณ.ระนอง รมว.คลัง ได้สัญญาว่าจะไม่ขึ้นภาษีvat แน่นอนผ่านทางเฟสบุ้ค

ซึ่งผมก็เลยเข้าไปตอบว่า "ท่านรมว. คุณสัญญาว่าจะไม่เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มแน่นอน
ผมจะบอกอะไรให้นะ ถ้าผมเป็นทักษิณแล้วคิดจะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจริง ๆ ผมก็แค่ปรับคุณออกจากครม. แล้วผมก็หา รมว. คนใหม่ มาอธิบายถึงเหตุจำเป็นที่ต้องขึ้น Vat ไง เพราะการเมืองมันเรื่องหมู ๆ ของสันดานนายทุน !! 555"





วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ดูจะจะ คำตัดสินศาลโลกรับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนให้เขมรแล้ว







ผมได้เห็นพาดหัวข่าวจากสื่อหลายสำนัก พาดหัวว่า "คนกันทรลักษณ์เฮ หลังคำตัดสินศาลโลก"

ผมล่ะเชื่อแล้วจริง ๆ ว่า คนกันทรลักษณ์เป็นพวกที่ ถ้าไม่โดนเขมรเยี่ยวรดหัวนอนไม่หลั่งน้ำตาจริง ๆ เพราะยังไม่ทันจะรู้เรื่องอะไรให้ถ่องแท้ ก็รีบเฮดีใจซะแล้ว

แต่ก็อย่างว่า ยังมีคนไทยอีกมากมายที่พาซื่อเชื่อคำพูดนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่า ไทยเราไม่เสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แน่นอน ก็เพราะท่านทูตวีระชัย ออกมาย้ำหลายครั้งว่า เขมรไม่ได้ 4.6 ตร.กม.ตามที่ร้องขอ

(ไม่ได้เสีย 4.6 ตร.กม.แน่นอน แต่จะเสียเกินกว่า 4.6 ตร.กม.น่ะสิ ใช่ไหม ?)

เฮ่อ.. เหนื่อยใจจริง ๆ แม้แต่ท่านทูตวีระชัยก็ยังปกปิดความจริง เพื่อเอาตัวรอดและเพื่อช่วยรัฐบาลชั่วหลอกคนไทยได้อีก

สังเกตได้จากทีมทนายฝรั่งที่ไทยจ้างมา ตอนนั่งฟังคำพิพากษาในศาลโลก หน้าตาเคร่งเครียดมาก ดูก็รู้ว่า แค่มองหน้าทีมทนายก็รู้ว่าไทยแพ้แน่นอน

ในขณะที่สื่อเขมรตีข่าวชัยชนะอีกครั้งของเขมรเหนือไทย ฮุนเซ็นก็ประกาศชัยชนะ สื่อทั้งโลกก็บอกเขมรชนะ

แต่รัฐบาลไทยโดยนายกยิ่งลักษณ์ และไอ้ปึ้ง สุรพงษ์ กลับบอกว่า ไทยไม่แพ้

---------------------

พื้นที่เล็ก ๆ กับการเจรจา

ตอนนี้ท่านทูตวีระชัย พยายามเกาะคำว่า พื้นที่เล็ก ๆ ที่ศาลโลกใช้ เพื่อจะสื่อว่าแค่เสียพื้นที่เล็กๆ นิดเดียวไม่เป็นไรหรอก เพื่อสันติภาพ เพื่อภราดรภาพ เพื่อมรดกโลกของเขมรฝ่ายเดียว

แต่เมื่อถามว่า พื้นที่เล็ก ๆ น่ะแค่ไหน ?

ทุกคนในรัฐบาล รวมทั้งท่านทูตวีระชัย ก็จะตอบไปในทิศทางเดียวกันว่า ต้องไปเจรจากับกัมพูชาก่อน ตามคำแนะนำของศาลโลก

แล้วรัฐบาลไทย นักวิชาการฝั่งรัฐบาล ก็จะอธิบายความเข้าข้างตัวเองว่า ไทยคงเสียพื้นที่แค่นิดเดียวเท่านั้น แต่นี่เป็นเพียงความคิดฝ่ายเดียวของไทยเท่านั้น

ซึ่งรัฐบาลกัมพูชามันคงไม่คิดเหมือนที่รัฐบาลไทยคิดแน่นอน เพราะตามสันดานเขมร มันได้คืบจะเอาศอก

ก็ถึงขนาดฮุนเซ็นได้ประกาศว่า ศาลโลกรับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาแล้ว มีหรือที่เขมรมันจะใจดีเอาแค่พื้นที่เล็กมาก ๆ เหมือนอย่างที่ฝ่ายไทยคิด

ไม่มีทางซะหรอก เพราะศาลโลกแนะนำว่า ให้ไทยไปเจรจากับเขมรและให้ฟังคำแนะนำจากยูเนสโก

สมมุติถ้าไทยกับเขมรเจรจาตกลงกันไม่ได้ในเรื่อง "บริเวณรอบปราสาท"

แล้วให้ยูเนสโกช่วยแนะนำตัดสิน ก็เท่ากับยิ่งเข้าทางเขมรทันที เพราะทั้งยูเนสโกและศาลโลกเอียงเข้าข้างเขมรอย่างชัดเจน

-----------------------

พลเอกประยุทธ ผบ.ทบ. ยกภูมะเขือให้เขมรไปแล้ว

ดูจากข่าว เมื่อนักข่าวถามบิ๊กตู่ว่า ศาลไม่ได้บอกว่า ภูมะเขือเป็นของเขมร ท่านจะผลักดันทหารเขมรออกจากภูมะเขือไหม ?

ผบ.ทบ.ตุ๊ดตู่ ก็ทำท่ายัวะใส่นักข่าว แล้วตอบว่า ทหารเขมรเขาก็อยู่ในที่ ๆของเขาแล้ว และศาลไม่ได้ตัดสินว่าภูมะเขือเป็นของใครกันแน่

ส่วนท่านทูตวีระชัย ก็ย้ำเหลือเกินว่า เขมรไม่ได้ภูมะเขือไป แต่ในความเป็นจริง ภูมะเขือทหารเขมรยึดครองไว้หมดแล้วครับ

และไม่มีทางที่ทหารไทยยุคนี้จะไปผลักดันให้ทหารเขมรออกจากภูมะเขือแน่นอน

---------------------------

พิรุธในการเลือกองค์คณะผู้พิพากษาศาลโลก

องค์คณะผู้พิพากษาศาลโลกมีทั้งหมด 15 คน โดยที่จะต้องไม่มีชาติที่ซ้ำกันเลย

แต่กัมพูชากับไทยมีสิทธิเลือกผู้พิพากษาได้ชาติละ 1 คน ซึ่งกัมพูชาได้เลือกผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสไปอีก 1 คน

ส่วนไทยก็ดันไปเลือกผู้พิพากษาเป็นชาวฝรั่งเศสอีก 1 คนเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่ชาติฝรั่งเศสเปรียบเสมือนฝ่ายตรงข้ามกับไทยมาตั้งแต่คดีในปี 2505

ทำให้คณะผู้พิพากษาทั้ง 15 คน จึงมีผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสมากถึง 3 คน (เดิมมีผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสอยู่ในองค์คณะอยู่แล้ว1คน)

จึงเท่ากับว่า ผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสมีมากถึง 20% จากจำนวนผู้พิพากษา 15 คน

ทำให้โอกาสที่ผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสจะช่วยกันล็อบบี้คำตัดสินให้โน้มเอียงเข้าข้างกัมพูชาก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น

เราอย่าลืมว่า ศาลโลกนั้นมีการเล่นการเมืองภายในเช่นกัน

ถามว่า ทำไมฝ่ายไทยเสือกไปเลือกผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสด้วย ?!

-----------------------------

คำตัดสินศาลโลก จะทำให้กัมพูชายึด 4.6 ตร.กม.ได้ทั้งหมด

ทำไมฮุนเซ็นกล้าประกาศว่า ศาลโลกได้รับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนแล้ว ?

ในขณะที่ท่านทูตวีระชัย พยายามบอกว่าศาลโลกไม่ให้ความสำคัญกับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ?

ผมว่า ท่านทูตวีระชัยกำลังพยายามจะปกปิดความจริงข้อนี้ ทำเหมือนกับว่า มีท่านเพียงคนเดียวในประเทศไทยที่ตีความคำตัดสินของศาลโลกถูกต้องเพียงคนเดียว

ซึ่งในความจริง หลังจากจบคำตัดสินของศาลโลกแล้ว ผมกลับเห็นว่า ท่าทีของท่านทูตวีระชัยเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม เหมือนจะกำลังปกปิดความจริงกับคนไทยเพื่อเอาตัวรอด

ทีนี้มาดูส่วนหนึ่งในคำตัดสินของศาลโลกเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2556 ในหน้าที่ 28 ตามนี้





คำแปล

ประการที่ 2 .แผนที่ภาคผนวก 1 นั้น เป็นเหตุผลหลัในการที่ศาลพิพากษา หลังจากที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของแผนที่นั้น และดูผลความเกี่ยวเนื่องกับสนธิสัญญา ศาลได้กล่าวว่า ประเด็นที่แท้จริงที่มีต่อศาลคือว่า ซึ่งคือประเด็นหลักในคดีนี้คือ คู่ความได้รับรองแผนที่ภาคผนวก 1 และเส้นแบ่งเขตแดนในนั้น เป็นผลของคณะกรรมการปักปันเขตแดนในบริเวณปราสาทพระวิหาร และมีผลผูกพันหรือไม่

ศาลได้ดูพฤติกรรมของคู่ความในการเข้าไปเยี่ยมชมพื้นที่ดังกล่าว โดยเฉพาะ พระยาดำรงเดชานุภาพ ในการเสด็จเยือนพื้นที่ดังกล่าวในปี 1930 เมื่อมีเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสต้อนรับ ศาลเห็นว่าพฤติการณ์ดังกล่าวนั้น เหมือนกับเป็นการยอมรับโดยทางอ้อมของสยาม ในอธิปไตยของปราสาทพระวิหาร เหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งพฤติการณ์อื่นๆ ของประเทศไทยในเวลาต่อมา ก็ถือเป็นการยืนยันของการยอมรับของประเทศไทยในทุกเส้นแบ่งแดนในภาคผนวก 1 ศาลได้กล่าวว่า ประเทศไทย ในปี 1908 1909 ได้ยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 ให้ถือว่าเป็นผลของการทำงานของคณะกรรมาธิการปักปันเขตแดน และได้ยอมรับเส้นแบ่งเขตแดนดังกล่าวว่า เป็นเส้นแบ่งเขตแดน ซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัยว่า ปราสาทพระวิหารอยู่ในกัมพูชา

การยอมรับแผนที่ภาคผนวก 1 โดยคู่ความทั้งสองนั้น ทำให้แผนที่ภาคผนวก 1 ถือส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา


------------------------

จากคำพิพากษาของศาลโลกคราวนี้ คุณเห็นแล้วรึยังว่า ศาลให้ความสำคัญกับแผนที่แอนเนก หรือแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนอย่างมาก ถึงขนาดศาลบอกว่า แผนที่1 ต่อ2แสน ถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา

เพียงแต่ศาลระบุเพียง จะใช้แผนที่นี้ในการพิจารณาเฉพาะพื้นที่คดีพิพาทเขาพระวิหารเท่านั้น ศาลไม่ได้ล่วงมากไปกว่าคำพิพากษาเดิม

ซึ่งก็แปลว่า กัมพูชายังสมารถนำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนไปใช้ในการปักปันเขตแดนกับไทยต่อได้ จริงไหม ?

แต่ท่านทูตวีระชัยพยายามโกหกว่า ไทยไม่เสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงกัมพูชาจะนำคำพิพากษาในเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนมาใช้ในการยึดครองพื้นที่ 4.6 ตร.กม.แน่ ๆ

และแม้แต่ในการปักปันเขตแดนร่วมกันของไทย-กัมพูชา กัมพูชาก็จะนำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนมาใช้เจรจาอย่างแน่นอน นั่นจะทำให้ไทยเราอาจต้องเสียแผ่นดินอีก 1.8 ล้านไร่ในภาคอีสานใต้ รวมถึงอาจจะเสียปราสาทตาพรหม ปราสาทตาควาย เพราะอยู่ในเขตแดนเขมรตามแผนที่ 1 ต่อ 2แสน รวมไปถึงเสียผลประโยชน์ในอ่าวไทยในกาลต่อมาแน่นอน

ยิ่งถ้ามีรัฐบาลที่เป็นขี้ข้าของทักษิณ ก็ยิ่งสมประโยชน์กับฮุนเซ็น


-----------------------

ไทยจะเสียดินแดนจริงๆ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับ




ส่วนคำแนะนำของสว.คำนูณ สิทธิสมาน ได้อภิปรายในสภาว่า ไทยจะต้องไม่พูดว่า เราจะไม่ทำตามคำสั่งศาลโลก หรือพูดว่าจะทำตามคำสั่งศาลโลก

หมายถึง ให้เราลืมเรื่องนี้ไปเลย เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครับ


สุดท้ายขอแนะนำว่าใครยังไม่ได้อ่านบทความเรื่อง ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารภาค 2 แล้ว กรุณากลับไปย้อนอ่านด้วยนะครับ

คลิกอ่าน ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารภาค 2 แล้ว







วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

นพดล ปัทมะ ผู้ยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้เขมรไปตลอดกาล






บทความนี้ผมจะอธิบายอย่างง่าย ๆ ว่า การแถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ได้ยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้เป็นของเขมรไปตลอดกาลอย่างไร

กล่าวคือ ในคำตัดสินของศาลโลกเมื่อพ.ศ. 2505 แม้ศาลโลกจะตัดสินให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาก็ตาม

แต่ประเทศไทยก็ได้สงวนสิทธิในการที่จะในการหาหลักฐานใหม่ เพื่อฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ ย้ำ !! คดีใหม่ เพื่อทวงคืนปราสาทเขาพระวิหารคืน ซึ่งการสงวนสิทธินี้ไม่มีอายุความ

หมายถึง หากไทยได้หลักฐานใหม่ก็สามารถฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ในการทวงคืนปราสาทเขาพระวิหารได้

แต่นายนพดล ปัทมะ ดันไปเซ็นยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียวแล้ว

โดยนายนพดลได้อ้างว่า ได้ช่วยรักษาดินแดน 4.6 ตร.กม.ให้ไทย เพราะได้พยายามขอให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น นั่นแสดงว่า กัมพูชาได้ยอมรับว่า ตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้นที่เป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทนั้นเป็นของไทย

แต่ !! ที่อ้างมาทั้งหมด นายนพดล ปัทมะ โกหก!!

---------------

เพราะปราสาทเขาพระวิหาร ตอนนี้ยังเป็นแค่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกเท่านั้น แต่ยังไม่ได้เป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ

เพราะเขมรยังไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ร่วมในประวัติศาสตร์ พื้นที่เขตกันชน และพื้นที่บริหารจัดการรอบปราสาทให้แก่คณะกรรมการมรดกโลกได้

เขมรมันเลยต้องการพื้นที่รอบตัวปราสาทเขาพระวิหารอีก 4.6 ตร.กม. เพื่อให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้อย่างสมบูรณ์

ฉะนั้นที่นายนพดล ปัมทะ อ้างว่าเขมรขอขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น จึงเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ครับ

----------------

มาตรา 190 ไม่อาจยับยั้ง แถลงการณ์ร่วมนพด กับกัมพูชาได้

รธน. 2550 ในมาตรา 190 ที่ว่า สนธิสัญญาใด ๆ ที่เกี่ยวกับอาณาเขตแดน ที่ไทยจะทำกับต่างประเทศ ต้องผ่านสภาก่อน

แต่นายนพดล ปัทมะ ไปเซ็นแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา โดยไม่นำเรื่องเข้าสู่สภาตามมาตรา 190 ก่อน

แม้แถลงการณ์ร่วมของนายนพดลกับกัมพูชา จะขัดรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 190 ก็ตาม

แต่มาตรา 190 ก็ไม่อาจยับยั้งแถลงการณ์ร่วมในการที่กัมพูชานำไปใช้เป็นหลักฐานในการขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เลย เพราะคณะกรรมการมรดกโลกเขาไม่สนการเมืองภายในของไทย เขาสนแต่เอกสารที่รัฐบาลไทยประทับรับรองมาแล้วเท่านั้น

เพราะสุดท้ายกัมพูชาก็ยังนำแถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ไปประกอบเอกสารในการขอยื่นจดทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก เพื่อให้คณะกรรมการมดกโลกเห็นว่า ไทยได้ยอมรับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารได้เพียงฝ่ายเดียวแล้ว

และกัมพูชา ก็กลับนำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนไปประกอบการขึ้นทะเบียนมรดกโลกด้วย

ซึ่งกัมพูชาไม่ได้ใช้แผนที่ที่นายพดลอ้างเองว่า กัมพูชาจะใช้แผนที่ที่มีเพียงตัวปราสาทเท่านั้น

--------------

สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ กัมพูชาไม่ได้ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น ตามที่นายนพดลอ้าง

แต่กัมพูชาก็ยังใช้แถลงการณ์ร่วมของนายนพดล ที่ยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียว ไปใช้ร่วมกับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนแทนแผนที่ที่นายนพดลอ้างว่า เป็นแผนที่ที่กัมพูชาจะใช้ขึ้นเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น

ฉะนั้นมี 2 เหตุผลที่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นก็คือ

1. นายนพดลมันโง่ โดนกัมพูชาหลอกใช้ ให้เซ็นยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียว หรือไม่ก็

2. นายนพดลขายชาติ ยอมร่วมมือกับกัมพูชา ทำให้ไทยเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารไปตลอดกาล และไปเปิดช่องให้กัมพูชานำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนไปอ้างขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้

----------------------

คำแก้ตัวของนายนพดลเรื่อง อายุความการสงวนสิทธิของไทย

นายนพดล อ้างว่า การสงวนสิทธิของไทยได้หมดอายุความไปแล้ว เพราะการสงวนสิทธิมีอายุความเพียง 10 ปี

แต่นั่นเป็นการตีความที่ผิด ๆ ของนายนพดลกับนักวิชาการขายชาติบางคน

เพราะถ้าเป็นการสงวนสิทธิในการคัดค้านหรือให้ศาลทบทวนในคำพิพากษาเดิมพ.ศ. 2505 จะมีอายุความแค่ 10 ปีเท่านั้น

แต่.. การสงวนสิทธิในการฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ ด้วยหลักฐานใหม่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำพิพากษาเดิมนั้น จะไม่มีอายุความ

ซึ่งเรื่องอายุความในการสงวนสิทธิฟ้องร้องคดีใหม่ไม่มีหมดอายุความนั้น ได้รับการยืนยันโดยนายสมปอง สุจริตกุล เอกอัครราชทูตไทยประจำเนเธอร์แลนด์ และเป็น 1 ในทีมทนายความของไทยเมื่อปี 2502-2505

ซึ่งมีแต่พวกโง่เท่านั้นที่เชื่อข้ออ้างของนายนพดล

-----------------------

ยิ่งเมื่อการตีความเรื่องอายุความของฝ่ายนายนพดล ปัทมะ กับ ทนายสมปอง สุจริตกุล ทนายความฝ่ายไทยในคดีนี้เมื่อปี 2505 ยังไม่ตรงกัน

ตามหลักการที่ถูกต้อง เรื่องแถลงการณ์ร่วมของนายนพล ยิ่งไม่ควรผลีผลามกระทำไปโดยพลการ เพราะนายนพดลจะเร่งรีบไปเซ็นให้เขมรไปขึ้นทะเบียนตัวปราสาททำไม ถ้าไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง

เพราะการยอมให้เขมรไปขึ้นทะเบียนแม้แค่ตัวปราสาท ก็เท่ากับว่า ไทยได้ยกตัวปราสาทให้เขมรไปโดยปริยาย

ซึ่งควรมาถกประเด็นเรื่องอายุความในการสงวนสิทธิให้ชัดเจนเสียก่อน และควรนำเรื่องนี้เข้าสู่สภาตามมาตรา 190

แต่นายนพดล กลับไปเซ็นแถลงการณ์ร่วมโดยพลการ แถมอ้างเองเออเองว่า การสงวนสิทธิของไทยหมดอายุความไปแล้ว

นี่เท่ากับว่า นายนพดล ได้ทำให้ไทยต้องเสียสิทธิในการสงวนสิทธิในการฟ้องร้องคดีใหม่ด้วยหลักฐานใหม่ไปแล้ว

จึงเท่ากับว่า นายนพดล ปัทมะ คือคนยกตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชาไปตลอดกาล ทำให้ไทยหมดสิทธิที่จะไปฟ้องร้องทวงคืนตัวปรราสาทด้วยคดีใหม่ หลักฐานใหม่ได้อีกแล้ว

------------------------

แปลความง่าย ๆ ว่า นายนพดล ปัทมะ ทำให้ไทยเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารไปตลอดกาล ไทยไม่มีสิทธิทวงคืนอีก

แถมการเซ็นแถลงการณ์ร่วมของนายนพดล คราวนั้น ทำให้เขมรมันฮึกเหิมไปเรียกร้องให้ศาลโลกตีความเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนอีกครั้ง เพื่อหวังยึดดินแดนไทยเพิ่มอีก


คลิกอ่าน จับผิดคำพูดนพดล ปัทมะ

คลิกอ่าน เขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลกสำเร็จเพราะนพดล





วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ระวังอันตราย!! ถ้าปล่อยให้สว.ยับยั้ง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย






ตอนนี้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านจากสภา สส.แล้ว ก็ต้องเข้าสภา สว. ต่อเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตีหน้าเศร้าชี้โพรงทำนองว่า ถ้า สว.จะยับยั้ง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ก็จะไม่ว่าอะไร และจะปล่อยให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ตกไป หลังจากครบ 180 วัน ซึ่งผมได้อธิบายไปแล้วในบทความก่อน คลิกอ่าน

แต่ที่น่าห่วงคือ

1. ถ้า เสียง สว. เกิดไม่ยับยั้งพ.ร.บ.ฉบับนี้ตามที่ออกมาตั้งโต๊ะแถลงในวันก่อน แถมยังปล่อยให้ผ่านทั้ง 3 วาระ รวดเดียว ก็จะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์สามารถนำขึ้นทูลเกล้าฯ และนำไปประกาศใช้ได้ทันที

แถมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็จะอ้างได้ว่า ที่พ.ร.บ.นี้ผ่านเป็นกฎหมายมาได้ เป็นเพราะ สว. ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลเลย 

ที่สำคัญ คนไทยจำนวนมากยังไม่รู้ว่า สว.ชุดนี้กำลังจะครบวาระในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 นี้แล้ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า อาจมี สว.ขี้ข้าทักษิณ ยอมผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อช่วยทักษิณ ก็สามารถเป็นไปได้

2. หรือถ้า สภา สว. เกิดยับยั้งพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระที่ 1 จริง ๆ

พ.ร.บ.นี้ ก็จะถูกส่งคืนไปที่ สภา สส. โดยจะต้องรออีก 180 วัน ซึ่งระหว่าง 180 วัน ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย

แม้พรรคเพื่อไทยจะแถลงว่า ถ้าครบ 180 วัน จะยอมปล่อยให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ตกไป ถามว่า มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะทำตามคำพูดได้จริง ?

เพราะถ้าครบ 180 วันแล้ว อยู่ ๆ เสือกมี สส.ที่ยอมขี้ข้าทักษิณอย่างเต็มตัว เช่น จ่าประสิทธิ์ สัก 20 คน

แล้วอยู่ ๆ ไอ้สส.ขี้ข้าหน้าด้านพวกนี้ เกิดแหกฝูง เสร่อไปยกมือผ่านร่างนี้เลย โดยไม่สนที่วิปเพื่อไทยเคยแถลงไว้ แล้วจะว่าไงล่ะ ?

ก็เท่ากับว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย จะผ่านไปเป็นกฎหมายได้อย่างครบถ้วนกระบวนความ

อย่าลืมว่า คำแถลงของวิปรัฐบาล ไม่ใช่มติของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการ

--------------

หมายเหตุ

จ่าประสิทธิ ศิษย์นกเอี้ยง ได้ประกาศล่วงหน้าไว้แล้วว่า จะหาสส. 20 คน ไปยกมือผ่านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ หลังจากครบ 180 วันแน่นอน



--------------------------

ถ้ารัฐบาลจริงใจ ก็ควรให้ สภา สว.แก้ไขร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้

เพราะสภา สว. ก็สามารถแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ โดยให้ สว.รับหลักการในวาระแรกไปก่อน แล้วไปแก้ไขให้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กลับไปเป็นอย่างเดิมในวาระที่ 2 ที่ 3 ต่อไป คือให้เหลือนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น

พอผ่านครบ 3 วาระในสภา สว. แล้ว  ส่งกลับไปให้สภาสส. เห็นชอบ อีกครั้ง

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีก็นำไปทูลเกล้า ฯ เพื่อประกาศใช้เป็นกฏหมายนิรโทษกรรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น ไม่รวมคดีทุจริต ไม่รวมแกนนำ ไม่รวมผู้สั่งการ และไม่ต้องย้อนหลังไปถึงปี 2547

เพียงเท่านี้ ก็เท่ากับว่า รัฐบาลจริงใจกับประชาชนจริง ๆ ไม่หมกเม็ด

แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลยังแสดงท่าทีหมกเม็ด ไม่น่าเชือถือเหมือนเดิม เพราะดูเหมือนรัฐบาลจะพยายามทำทุกทางเพื่อหวังให้การชุมนุมต่อต้านยุติลงมากกว่าจะจริงใจในการแก้ปัญหาจริง ๆ

คลิกอ่าน กม.นิรโทษกรรมสุดซอยช่วยทักษิณแค่เป้าหลอก




วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มาดูมาตรา 3 ที่มา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย







เพราะมีการแก้ไข มาตรา 3 ในพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนายวรชัย ในชั้นกรรมาธิการ วาระ2 จนทำให้กม.นิรโทษกรรมแค่ประชาชน กลายเป็นพ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ในที่สุด

ซึ่งมาตรา 3 มีเนื้อหาดังนี้

มาตรา 3 การกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือมีความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด โดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 รวมถึงองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว สืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวกลาง ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำนั้นพ้นจากความผิดโดยสิ้นเชิง 
โดยร่างของกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ ไม่รวมถึงการกระทำผิดในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

(เพราะกม.นิรโทษกรรมสุดซอย ไม่รวมคดีละเมิดมาตรา 112 คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปด้วย จึงทำให้พวกล้มเจ้าและพวกนิติราษฎร์ไม่พอใจ)

----------------

กรรมาธิการ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ตอบคำถามไม่ได้

สส. บุญยอด สุขถิ่นไทย ได้ถามกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ แก้ไข พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยว่า

ถ้านิรโทษกรรมให้ผู้ที่แสดงออกทางการเมืองทุกคน ถามว่า แล้วอดีตตำรวจที่ขี่มอเตอร์ไซค์แหกด่านแล้วถูกจับได้ พบว่าพกระเบิด M79 อ้างว่ากำลังจะไปร่วมชุมนุมเสื้อแดง

ถามว่า กม.นิรโทษกรรม รวมไอ้ผู้ต้องหาคนนี้หรือไม่ ?

เพราะถ้ารวมมันไปด้วย ต่อไปใครจะไปชุมนุมก็พกระเบิด พกอาวุธกันไปได้อย่างสบาย เพราะต่อไปก็จะไม่มีความผิดเป็นบรรทัดฐาน

สรุป ไอ้พวกกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ แม่ง ตอบไม่ได้สักตัว !!

สส.บุญยอด สุขถิ่นไทย ยังถามต่ออีกว่า แล้วพวกที่ไปเผาศาลากลางจังหวัด เหตุเพราะไม่พอใจสถานการณ์ทางการเมือง จะได้รับนิรโทษกรรมด้วยใช่หรือไม่ ?

เพราะถ้าใช่ ต่อไปใครประท้วงอะไรทางการเมือง ก็เผาบ้านเผาเมืองได้ใช่หรือไม่ ?

สรุป พวกกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ แม่ง ตอบไม่ได้สักตัว เหมือนเดิม

คลิกที่รูปเพื่ออ่านข่าว


--------------------------

ถามว่า ทำไมผมไม่ค่อยเดือดร้อนกับ กม.นิรโทษกรรม เหมือนคนอื่น ๆ เท่าไหร่นัก

ตอบง่ายมากคือ

1 โอกาสที่ กม.นิรโทษกรรมฉบับนี้จะรอด ศาล รธน. มีค่อนข้างน้อยครับ เพราะมีความแตกแยกหนักในบ้านเมือง รวมทั้งในฝ่ายแดงถ่อยก็แตกแยก จะยิ่งทำให้ ศาล รธน. พิจารณาง่ายขึ้น ในการล้ม กม.นิรโทษกรรมฉบับนี้

เพราะ กม.นิรโทษกรรมฉบับนี้ มันผิดหลักการครับ เพราะหลักการในร่าง กม. นี้ตอนแรก คือ ไม่สุดซอย แต่ดันมาแก้หลักการในชั้นกรรมาธิการ นี่จึงกลายเป็นเหตุให้ขัดหลักการตัวมันเอง ถือว่าบิดเบือนหลักการ หลอกลวงประชาชน โอกาสที่ศาล รธน. จะตัดสินกฎหมายนี้ล้ม เป็นไปได้สูงมาก

2 แถม อีโอ๊ค ก็ไม่สนับสนุนร่างนี้เหมือนกัน เพราะอีโอ๊ค ขอแค่ให้พ่อมันมาสู้คดีใหม่ โดยไม่ใช่คำร้องของ คตส. เพราะอีโอ๊คไม่ต้องการให้อภิสิทธิ์ กับ สุเทพ ลอยนวล

3 ถ้าสมมุติ กม.นิรโทษกรรม มันผ่านออกไปได้จริง ๆ อภิสิทธิ์ กับ สุเทพ ก็จะรอดทุกคดี นั่นยิ่งทำให้เสื้อแดงมันแตกแยกกันเองมากขึ้นแน่นอน

4. แถม ถ้าทักษิณมันรอดทุกคดี กลับมาไทยแล้ว มีโอกาสตายสูงกว่าอยู่ต่างประเทศครับ

ฉะนั้นที่ต่อต้านกันน่ะ ก็ทำไป แต่ไม่ต้องใจร้อนหรอก เพราะ กม.นิรโทษกรรมจะคืนสนองทักษิณและพวกแดงถ่อยเอง นั่นคือดีที่สุด

----------------

ขออธิบายเสริม 

ในประชุมวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการของกม.นิรโทษกรรม สภาล่างได้ลงมติรับหลักการ คือนิรโทษเฉพาะประชาชน ไม่รวมแกนนำทุกสี และคนสั่งการฆ่าประชาชน

แต่ในวาระ 2 ชั้นกรรมาธิการ กลับแก้ไขหลักการของวาระแรก นี่คือบิดเบือนหลักการ หลอกลวงประชาชนครับ โอกาสไม่ผ่าน ศาล รธน. จึงสูงมาก ถ้าศาลให้ผ่านไปได้ ศาลก็จะซวยเองครับ

เพราะถ้าคิดจะนิรโทษกรรมสุดซอยตั้งแต่แรก ก็ควรไปใช้ฉบับที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เคยเสนอ 

แต่เจตนาของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และสส.ขี้ข้า มีเจตนาหลอกลวง จึงได้ใช้กม.นิรโทษกรรม ฉบับของนายวรชัย มาใช้แทน

แบบนี้เขาเรียกว่า หมกเม็ด หลอกลวง ครับ

----------------

มีเพื่อนในเฟสบ้คถามมาว่า "สงสัยอีโอ๊ค ทำไมไม่อยากให้พ่อมันกลับหรอ ในเมื่อเป็นความต้องการของพ่อ?"

ผมขอตอบว่า "เขาเรียก เหยียบเรือ 2 แคม ไง ถ้าไม่ผ่าน อีโอ๊คก็ได้ใจพวกแดง แต่ถ้าผ่าน อีโอ๊คก็ยังได้ใจพวกแดงอยู่ดี แต่พ่อมันรอดทุกคดี
แล้วพอทักษิณมันรอด อีโอ๊คนี่แหละ จะเป็นทายาททางการเมือง ที่อ้างได้ว่า ผมไม่ได้สนับสนุน กม.นิรโทษสุดซอยนะ"

----------------

ตัวผมตาสว่างเลิกสนับสนุนทักษิณ ก็เพราะ การขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก แล้วเลี่ยงภาษี

อ้อ อย่ามาอางว่า กายหุ้นในตลากหลักทรัพย์ไม่ได้การยกเว้นในการเสียภาษีล่ะ เพราะใครอ้างแบบนั้น แสดงว่า โง่ ไม่รู้จริง

แล้วพวกเสื้อแดงล่ะ จะตาสว่างเลิกคลั่งทักษิณ เมื่อใด หรือว่า ต้องตายเสียก่อนถึงหายโง่ !

astv ตูน


เมื่อหลายเดือนก่อน อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ เคยปราศัย ก่อนที่ กม.นิรโทษกรรมจะเข้าสภาว่า "งั้นพวกเราไปเผาบ้านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ กันเลยดีไหม เพราะต่อไปก็จะไม่มีความผิด เพราะจะได้นิรโทษรกรรมไปด้วย"


คลิกอ่าน ระวังอันตราย ! ถ้าปล่อยให้ สว. ยับยั้งพ.ร.บ.นิรโทษกรรม