วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

ช็อตประทับใจ ลูกชายจากอเมริกาตามหาแม่ในรายการตี 10








เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2556 ผมได้มีโอกาสดูตี 10 ช่วงสัมภาษณ์

ซึ่งเป็นตอนที่เกี่ยวกับหนุ่มอเมริกันอายุ 25 ปี ที่พลัดพรากจากแม่คนไทย ตั้งแต่เขาอายุ 2 ขวบ เป็นเวลานานกว่า 22 ปี ได้ขอความช่วยเหลือมาทางรายการตี 10 เพื่อให้ช่วยตามหาแม่ของเขา

หนุ่มอเมริกันคนนี้ ชื่อ Yahya (ญาญ่า) ซึ่งตอนนี้เขาได้ประสบความสำเร็จอย่างมากในสหรัฐ ในฐานะนักพูดเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้กับวัยรุ่นในอเมริกา


ส่วนสาเหตุที่ญาญ่าต้องพลัดพรากจากแม่ของเขา ก็เพราะ

เมื่อแม่ของญาญ่าได้แต่งงานกับพ่อของญาญ่า ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ซาอุดิอาระเบีย จนมีลูกชายคือญาญ่า แต่พอเธอเลี้ยงลูกได้สักพัก เธอก็คิดถึงพ่อแม่ที่เมืองไทย อยากกลับมาอยู่เมืองไทยเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ของเธอ และเธอก็อยากพาลูกมาหาคุณตาคุณยายที่เมืองไทย และมาอยู่ที่เมืองไทยด้วย

แต่สามีของเธอไม่ยอม เพราะเขาต้องการให้ลูกเป็นอิสลามและอยู่ซาอุฯ แต่สุดท้ายสามีเธอก็ต้องยอมพาลูกมาเมืองไทยพร้อมกับเธอ




จนเมื่อมาอยู่เมืองไทยด้วยกันสักพัก ก็เกิดปัญหาตรงที่ พาสปอร์ตของสามีและลูกชายต้องหมดอายุใน 3 เดือน ทำให้สามีและลูกจึงต้องกลับซาอุฯ ไป

หลังจากสามีและลูกชายได้กลับไปซาอุฯ แล้ว ก็ได้ใช้วิธีติดต่อกันทางโทรศัพท์นานร่วม ๆ 1 ปี แต่ก็ติดต่อกันลำบาก เพราะเวลาแม่ของญาญ่าเธอโทรไปทีไร ก็จะมักเจอแต่พ่อแม่ของสามีที่เลี้ยงญาญ่าเป็นคนรับสาย เพราะสามีไปทำงาน

แล้วเธอก็พูดกันกับพ่อแม่สามีไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะปู่ย่าของญาญ่าพูดได้แต่ภาษาอาระบิก พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย

หลังจากแม่ของญาญ่าไม่ได้เจอลูกมา 1 ปี ต่อมาสามีของเธอได้พาลูกมาหาเธอที่เมืองไทยอีกครั้ง เธอพยายามจะขอร้องต่อสามีว่า ขอให้ลูกมาเป็นคนไทยอยู่เมืองไทยด้วยกันทั้งพ่อแม่ลูก ทั้ง 3 คนได้ไหม

แต่สามีไม่ยอม และไม่ยอมมอบเอกสารการเกิด และเอกสารต่างๆ ของญาญ่าให้เธอเลย

และเมื่อสามีได้พาญาญ่ากลับไปซาอุฯ อีกครั้ง ต่อมาอีกไม่นาน แม่ของญาญ่าก็ได้ทราบข่าวจากคนที่รู้จักที่ซาอุฯ ว่า สามีของเธอได้แต่งงานใหม่ และพาครอบครัวย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว!!

นี่จึงทำให้เธอไม่สามารถพบ ญาญ่า ลูกชายของเธอได้อีก เพราะไม่รู้จะติดต่อสามีได้ที่ไหน ไม่รู้ลูกไปอยู่ที่ไหน ในที่สุดเธอก็ไม่ได้พบกับญาญ่าอีกเลย เป็นเวลาร่วม ๆ 22 ปี

แม้จะตามหาญาญ่าและสามีไม่เจอ แต่แม่ของญาญ่ายังคงเข้าใจว่า ญาญ่าคงยังอยู่ที่ซาอุฯ หรือไม่ก็ที่ซีเรีย เพราะพ่อของญาญ่าเป็นชาวซีเรีย

แต่กลับผิดจากที่เธอคาด เมื่อรู้ข่าวญาญ่าจากรายการตี10 ว่า  ญาญ่าได้ย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เติบโตที่อเมริกา และเป็นคนอเมริกันไปแล้ว

ส่วนรายละเอียดของการพบกันของ 2 แม่ลูกนี้ ก็ดูได้จากคลิปย้อนหลังในท้ายบทความ


---------------------


แต่สิ่งที่ผมประทับใจในเรื่องตามหาแม่ ในตี 10 ตอนนี้นั้น มีอยู่ 2 ประเด็นคือ




1. ประเด็นแรก คือ พอแม่ของญาญ่า รู้ว่า ญาญ่าเติบโตขึ้นมาในสหรัฐอเมริกา แถมญาญ่ายังรักแม่ และญาญ่าก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับวัยรุ่นอเมริกัน และเป็นคนดีที่มีชื่อเสียงทำประโยชน์ให้สังคม แม่ของญาญ่าได้พูดในรายการตี 10 ไว้ว่า

"เชื่อว่าพลังแห่งความรักมีจริงๆ แล้วก็ เราทำความดี เราดูแลพ่อแม่เรา แล้วเราก็อธิษฐานให้เขาทุกวัน สุดท้ายก็ได้เจอ.. ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ค่ะ ที่พาลูกมา ให้เราได้เจอกัน"



2. ประเด็นที่ 2 คือ รายการตี 10 ได้ทำเซอร์ไพรส์ ให้ญาญ่ามาไทยก่อนเวลาที่ญาญ่าเคยนัดกับแม่เอาไว้ แล้วให้ญาญ่าปลอมเป็นบริกรมาเสิร์ฟน้ำส้มให้แม่ และเมื่อแม่รู้ว่าเป็นญาญ่า ญาญ่าก็ได้สวมกอดแม่ และจูบหัวของแม่

แต่ช็อตประทับใจที่ผมซาบซึ้งและมีความหมายที่สุด นั่นก็คือ

หลังจากญาญ่าได้กอดแม่แล้ว ญาญ่าก็ได้ถอยออกมาแล้วก็ ก้มลงกราบแม่



ญาญ่าก้มกราบแม่ ทำเอาเพื่อนชาวอเมริกันของญาญ่าที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับซาบซึ้งไปด้วย



สรุปประเด็นประทับใจ

1. ในประเด็นแรก ผมอยากให้ผู้อ่านทุกคนได้เห็นถึง ความดีของคนเป็นแม่ คือ แม่ของญาญ่า แม้ไม่ได้เลี้ยงดูญาญ่า เพราะแม่ญาญ่าเลือกที่จะกลับมาทำหน้าที่ลูกกตัญญู เพื่อเลี้ยงดูตายายของญาย่าที่เมืองไทย ทำให้แม่ของญาญ่าต้องพลัดพรากจากญาญ่า จนไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้พบญาญ่าอีกหรือไม่

แต่แม่ญาญ่าเชื่อมั่นในความดีที่ตัวเองได้กระทำ จากการที่ได้ดูแลพ่อแม่ของตัวเองเป็นอย่างดี และผลแห่งความดีนั้นก็ส่งผลให้ญาญ่าได้เป็นลูกที่ดี เป็นคนดีของสังคม เป็นลูกที่ไม่ลืมพระคุณผู้ให้กำเนิด

และเมื่อวิทวัสถามแม่ญาญ่าว่า อยากจะไปอยู่กับญาญ่าที่อเมริกาไหม?

แม่ญาญ่า ตอบว่า ต้องขอดูแลพ่อแม่ที่แก่แล้วในเมืองไทยก่อน


ข้อคิดในประเด็นนี้ก็คือ ถ้าใครอยากได้ลูกที่ดี มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ เป็นอภิชาติบุตร ก็ให้เราจงตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ของเราให้ดีเสียก่อน


2. ประเด็นต่อมา  คือ ผมประทับใจที่ญาญ่าได้ก้มลงกราบแม่ ในแบบวัฒนธรรมไทยที่ดี

ได้แสดงถึงจิตใจอันสูงส่งของญาญ่า ที่เข้าใจวัฒนธรรมไทยอย่างดี แม้ตัวเองจะเติบโตในสังคมอเมริกันก็ตาม แสดงว่า ญาญ่าเป็นคนฉลาดและลึกซึ้ง แม้เติบโตในประเทศที่ไม่มีการกราบแบบนี้ แถมเขาไม่ได้เติบโตอยู่ในสังคมคนไทยในอเมริกาด้วย

แต่ญาญ่าก็สามารถเข้าใจถึงวิถีวัฒนธรรมของประเทศแม่ได้

ซึ่งแตกต่างจากคนไทยชั่วๆ ในไทยบางกลุ่มที่ไม่เข้าใจวัฒนธรรมการกราบผู้มีพระคุณอันงดงามนี้

วิถีความเป็นไทยช่างงดงามนัก ผู้ที่อ่อมน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่นได้ แสดงว่าจิตใจของเขาสูงส่ง ไม่ใช่อ้างหลักความเท่าเทียมกันจนลืมรากเหง้าของตัวเอง ใครเป็นคนแบบนั้น แสดงว่า จิตใจต่ำทรามหาที่สุดมิได้

ถ้าอ่านบทความของผมแล้ว ยังประทับใจไม่พอ เชิญดูคลิปรายการตอนประทับใจนี้ได้เลยครับ

--------------------

คลิปรายการตี 10 หนุ่มอเมริกันตามแม่







วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

เงินบาทแข็งโป๊ก เพราะแมงเม่าไทยมันเยอะ






ผมเคยเขียนบทความไว้ 2 บทความ คือ
การเก็งกำไรในตลาดหุ้น คือการพนัน เป็นอบายมุข ตอน 1
การเก็งกำไรในตลาดหุ้น คือการพนัน เป็นอบายมุข ตอนจบ

ถ้าใครได้อ่านทั้ง 2 บทความนั้นแล้ว ก็จะเข้าใจเรื่องหุ้นได้อย่างง่าย ๆ

------------------------

ส่วนในบทความนี้ ผมจะขอเขียนถึง ภาพลวงตาที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ คือ สภาวะที่มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยอย่างมาก ทำให้ค่าเงินบาทของไทยมีอัตราแข็งตัวที่สุดในอาเซียน

ซึ่งในระยะสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทได้แข็งค่าที่สุดในรอบ 16 ปี หลังจากยุคต้มยำกุ้งเป็นต้นมา แถมดัชนีตลาดหุ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ตกฮวบฮาบติดต่อกันมาหลายวันกว่า100จุด

แต่ภาวะมูลค่าการซื้อขายในตลาดกลับสวนทาง เพราะมูลค่าการซื้อขายร้อนแรงสูงถึง 1 แสนกว่าล้านบาทในวันศุกร์ที่22 มีนาคมที่ผ่านมา จนทำลายสถิติ 38 ปีอายุตลาดหุ้นไทยเลยทีเดียว

แต่กลายเป็นว่าการซื้อขายที่ร้อนแรงนั้น กลับมีแมงเม่าไทยโง่ ๆ พากันเจ๊ง กันเป็นแถบๆ เพราะติดหุ้นราคาสูงอยู่ แตกตื่นจนรีบขายหุ้นททิ้งกันเป็นแถว ๆ 555

ส่วนรมว.คลัง จอมโกหกสีขาว ที่มีผลประโยชน์ในตลาดหุ้น ก็พยายามหลอกแมงเม่าโง่ ๆ ต่อไปว่า เพราะนักลงทุนต่างชาติมั่นใจในเศรษฐกิจไทย จึงเข้ามาลงทุนในไทยจำนวนมาก

แต่หารู้ไม่ว่า การลงทุนในตลาดหุ้น มันคือ ภาพลวงตาทางเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการเก็งกำไร ไม่ได้เกิดจากการสร้างผลผลิตในระบบเศรษฐกิจแท้จริง

ประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับว่าน่าลงทุนที่สุด หมายถึง น่าเข้ามาลงทุนในการเก็งกำไรมากที่สุด เพราะประเทศไทยมีแมงเม่าโง่ๆ และโลภมากเยอะที่สุด เหมือนสันดานคนไทยบ้าหวยนั่นแหละ ที่ชอบเชื่อว่า ฉันฉลาด ฉันจะโชคดี ฉันจะรวย !!

แต่ความน่าลงทุนที่เกิดจากภาคการผลิตที่แท้จริงนั้น ประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในอาเซียนกลับไม่ใช่ ไทย !!

แต่ประเทศที่น่าลงทุนในภาคการผลิตที่แท้จริง (ที่ไม่ใช่การลงทุนแบบเก็งกำไรแลลการพนัน) นั่นคือ

1. อินโดนีเซีย

2 เวียตนาม

3. มาเลเซีย

4, ส่วนไทย อยู่ในลำดับที่ 4 เท่านั้น แต่ถ้าการลงทุนแบบเก็งกำไร ไทยต้องมาอันดับ 1 แน่นอน เพราะแมงเม่าไทยโลภมากลาภหายมันเยอะ !!

----------------------

ไม่จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ปัญหาเงินบาทแข็ง

ผมเคยเขียนในบทความเก่า เรื่อง ค่าเงินบาทแข็ง คิดลดดอกเบี้ย คือมาตรการห่วยแตก

แต่ในบทความนี้จะอธิบายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ก็คือ

การลดดอกเบี้ยในประเทศอาจกลายเป็นการไปกระตุ้นฟองสบู่ในภาคส่วนอื่นก็ได้ เช่น คนจะเริ่มไม่อยากออมเงิน แต่จะเอาเงินไปลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไปซื้อรถ ไปเล่นหุ้น หรือนำไปลงทุนเพื่อหวังเก็งกำไร เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าฝากเงินไว้กับธนาคารก็เป็นไปได้

การแก้ปัญหาเงินบาทแข็ง มีวิธีมากมายที่จะทำได้ ซึ่ง ธปท. เขารู้วิธีอยู่แล้ว ถ้าเขาคิดจะทำ โดยไม่ต้องลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศลง


-----------------------

แม้เรื่องที่ไม่น่าจะเกี่ยวก็กลายเป็นเกี่ยว เมื่อเป็นแมงเม่าในตลาดหุ้นไทย

เรื่องเศรษฐกิจในต่างประเทศ หลายเรื่องมันแทบจะไม่เกี่ยวกับบริษัทในตลาดหุ้นไทยหลาย ๆ บริษัทเลย เพราะหลายบริษัทเน้นแต่การขายภายในประเทศเท่านั้น

แต่เมื่อใครเป็นแมงเม่าในตลาดหุ้นเมื่อไหร เรื่องบางเรื่องที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับหุ้นบริษัทที่ตัวเองถือ ก็ดันกลายเป็นเกี่ยวไปเสียฉิบ

อย่างเช่น กรณีวิกฤติไซปรัสในขณะนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับนักลงทุนต่างชาติ จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้นในไทยทิ้งไปบ้าง แต่กลับทำให้แมงเม่าไทยแตกตื่นกันใหญ่ พากันเทขายหุ้นทิ้งจนดัชนีหลักทรัพย์ตกระเนระนาด

ซึ่งวิกฤติไซปรัสบางทีแทบไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทไทยหลาย ๆ บริษัทในตลาดหุ้นไทยเลย แต่เมื่อเป็นแมงเม่าไทยที่ชอบแตกตื่นกับข่าวลือทุกชนิด เรื่องเศรษฐกิจไซปรัส ที่ไม่น่าจะเกี่ยวเท่าไหร่ ก็ดันมาเกี่ยวไปได้ นี่แหละที่เขาเรียก แมงเม่าไทย

ขนาดฝนตก ฟ้าร้อง แมงเม่าไทยก็พากันตกใจ ขายทิ้งหุ้นดี ๆได้ อย่างดื้อๆ ก็มี

หรือนายกโง่ๆ โดนตรวจสอบบัญชีเพราะปล่อยเงินกู้ให้คู่นอนประจำ ก็ทำแมงเม่าตกใจ พาหุ้นตกก็มี

หรือแม้แต่นายกโง่ๆ ไปได้รับปริญญาดุษฎีกิตติมศักดิ์จากมหาลัยที่เพิ่งก่อตั้งแค่13ปี แมงเม่าไทยก็อาจดีใจจนไปซื้อหุ้นโง่ ๆ มาเก็บไว่้ได้เช่นกัน 555

สภาวะหุ้นไทยตอนนี้ มีบริษัทมากมาย ที่มีค่าพีอีเรโช สูงเกินกว่า 40 เท่าไปแล้ว นี่คือสัญญาณเตือนถึงการเก็งกำไรในหุ้นตัวนั้น ๆ

เชื่อหรือไม่ ? โดยปกติ มีคนเปิดพอร์ตเพื่อซื้อขายหุ้นประมาณปีละ 8 หมื่นบัญชี

แต่เฉพาะปี 2556 แค่ 2 เดือนแรก มีคนเปิดพอร์ตไป 4 หมื่นบัญชีแล้ว และเป็นการเข้ามาเพื่อหวังเก็งกำไรในตลาดทั้งนั้น

(แมงเม่าโดนหลอกให้เข้ามาในตลาดเล่นเยอะ ถ้าอยากรู้ว่าใครหลอก ก็ให้กลับไปอ่านเรื่อง การเก็งกำไรในตลาดหุ้นคือการพนัน เป็นอบายมุข)

--------------------

สุดท้าย ผมขอยืมบทความจากบล็อค RandomWalk Blog

เรื่อง "10 พฤติกรรม" ของ "แมงเม่าหุ้น" มาให้อ่านกัน

1.เริ่มจากแมงเม่าหุ้นได้มีโอกาสรับฟังเรื่องราวการได้กำไรมหาศาลจากบุคคลรอบข้าง และคิดว่าเป็นสิ่งง่ายที่เราจะอยู่เฉยๆแล้วได้เงินเพิ่ม จึงเริ่มก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นอย่างมั่นใจ

2.ในระยะแรกการตัดสินใจของแมงเม่าส่วนใหญ่จะทำตามคำแนะนำที่ได้รับจากบุคคลอื่น หรือบทวิเคราะห์ทั่วไป

3.แมงเม่าชอบที่จะเข้าไปซื้อหุ้นตัวที่มีหลายคนบอกว่าดีทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าหุ้นบริษัทที่ตัวเองซื้อดำเนินกิจการอะไร แต่รู้ว่าคนพูดถึงเยอะแสดงว่าต้องเป็นบริษัทที่ดีแน่นอน ถ้าหุ้นที่มีคนพูดถึงน้อยจะไม่ค่อยสนใจและมองว่าเป็นบริษัทที่ไม่ดี

4.แมงเม่ามักจะเข้าไปซื้อหุ้นยอดนิยมดังกล่าวในราคาที่ขึ้นไปสูงแล้ว และหวังว่ามันจะขึ้นไปได้อีกมาก

5. ในระยะแรกแมงเม่ามักจะได้กำไรเล็กน้อย แต่ในที่สุดราคาของหุ้นที่แมงเม่าซื้อจะตกอย่างรุนแรง

6.แมงเม่ามองตาปริบๆ และปรึกษาคนรอบข้างว่าควรทำอย่างไรดี หลังจากนั้นแมงเม่ามักจะซื้อหุ้นเพิ่มหลังจากที่ได้ตกไปซักพักแล้ว

7.หุ้นดังกล่าวได้ตกต่อไปอีก จนถึงตอนนี้แมงเม่ายอมจำนน และตัดสินใจที่จะขายทิ้งด้วยการขาดทุนมหาศาล

8.จนถึงตอนนี้แมงเม่าเริ่มมีอารมณ์สงบลง และแมงเม่าจะแตกออกเป็น 3 ประเภท
ประเภทแรกคือแมงเม่าที่ตัดสินใจเลิกเล่นหุ้น เพราะยอมรับว่า ความผันผวนของหุ้นไม่เหมาะสมกับตนเอง
ประเภทสองคือแมงเม่าที่ปลี่ยนไปซื้อหุ้นยอดนิยมตัวใหม่และอยู่ในวงจรแมงเม่าต่อไป
ประเภทที่สามคือแมงเม่าที่เริ่มค้นหาตัวเองว่าตัวเองได้ทำอะไรผิดไป โดยค้นคว้าหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

9.สำหรับแมงเม่าที่เข้าใจและปรับปรุงตัวเองสำเร็จจะประสบความสำเร็จและก้าวขึ้นเป็น “เซียนหุ้นรุ่นเล็ก”

10.แต่ก็มีบางแมงเม่าที่หลงคิดว่าตัวเองเป็น “เซียนหุ้นรุ่นเล็ก” ทั้งๆที่ตัวเองยังไม่ได้เป็น และเป็นผลทำให้ยังคงอยู่ในวงจรแมงเม่าต่อไป





วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

นักโทษคดีมาตรา 112 ไม่ใช่นักโทษการเมือง







ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 112ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี

ความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น จะต้องเป็นการกระทำต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น ไม่รวมถึงเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ 

ทั้งนี้ เนื่องจากตามมาตรา 112 มุ่งคุ้มครองบุคคลผู้เป็นประมุขแห่งรัฐ และผู้เป็นอุปกรณ์ในสถาบันดังกล่าว ได้แก่

1. พระมหากษัตริย์ (The King) หมายถึง องค์ที่ทรงครองราชย์อยู่ขณะที่มีการกระทำความผิด มิใช่พระมหากษัตริย์ที่ทรงสละราชบัลลังก์แล้วหรือพระมหากษัตริย์ในอดีต มิฉะนั้นก็จะหาขอบเขตอันเป็นองค์ประกอบความผิดมิได้

2. พระราชินี (The Queen) หมายถึง สมเด็จพระมเหสีที่เป็นใหญ่กว่าพระราชชายาทั้งหลาย ซึ่งมีเพียงพระองค์เดียวได้ผ่านการอภิเษกสมรส โดยเป็นพระมเหสีในพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์อยู่ขณะมีการกระทำความผิดไม่ใช่พระราชินีในรัชกาลก่อน แม้ยังทรงพระชนม์อยู่ก็ตาม

3. รัชทายาท (The Crown Prince) บางครั้งเรียกว่า “มกุฎราชกุมาร” หมายถึง พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงครองราชย์อยู่ และจะได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อไป ตามนัยที่ตราไว้ใน กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2467

4. ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (The Regent) หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่ประมุขแทนพระมหากษัตริย์ เป็นการชั่วคราว ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญ


เพราะเรื่องความมั่นคงของชาติเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถาบันหลักของชาติคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ชาติ ในส่วนความมั่นคงก็คือ แผ่นดิน

ศาสนา ในส่วนความมั่นคงคือ บ่อนทำลายศาสนา

พระมหากษัตริย์ คือ ศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติให้รู้รักสามัคคี เมื่อคนไทยแตกแยก ก็หวังพึ่งพระบารมีให้ทรงยุติ และแผ่นดินไทยคือ ราชอาณาจักร อันหมายถึง ประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุข

ดังนั้น มาตรา 112 จึงเป็นความผิดที่อยู่ในบทบัญญัติของลักษณะ 1  เป็นความผิดที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร

ฉะนั้นผู้ที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงเป็นความผิดด้านความมั่นคงของรัฐ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็น 1 ใน 3 สถาบันหลักของชาติ

ฉะนั้นผู้ที่ผิดมาตรา112 จึงไม่เกี่ยวกับคดีการเมือง 

เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

ฉะนั้น คงมีแต่พวกโง่เท่านั้น ที่หลงเชื่อว่า นักโทษมาตรา112 เป็นนักโทษการเมือง


คลิกอ่าน รัฐธรรรมนูญฉบับแรก กับสถาบันพระมหากษัตริย์


---------------------

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ยังได้กำหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์ไว้หลายมาตรา เช่น

มาตรา 2 “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

มาตรา 68 วรรคหนึ่ง “บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้”

มาตรา 70 “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้” 

มาตรา 77 “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณาภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยจำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อการพัฒนาประเทศ”

---------------------

หากคิดวิจารณ์กษัตริย์ด้วยเหตุด้วยผลแล้ว แม้มีมาตรา 112 ก็ยังสามารถกระทำได้

แต่ที่มีคนคิดอยากจะล้มมาตรา112 ก็คงมีเจตนาเพื่ออยากจะหมิ่น ด่า ใส่ร้าย อาฆาตมาดร้าย ต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราขการแทนพระองค์ โดยไม่มีความผิดมากกว่า

ขนาดคนทั่วไปยังมีกฎหมายหมิ่นประมาทไว้ปกป้องสิทธิของตนเอง แล้วบุคคลผู้ทรงเป็นถึงองค์พระประมุขของประเทศ เป็นบุคคลสำคัญที่สุดของประเทศ จะมีกฎหมายเพื่อปกป้องพระองค์ไม่ได้เชียวหรือ ?

คิดสิคิด !!

หากต้องการคำอธิบายที่ลึกซึ้งกว่านี้ แนะนำอ่านบทความเรื้อง  มาตรา 112 ที่รัก 


-----------------------

และเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว นักโทษคดีมาตรา112 ก็มักได้รับพระราชทานอภัยโทษเสมอ ไม่เคยมีใครติดคุกครบจำนวนที่ศาลได้ตัดสินไว้จริง

มาตรา112 ไม่เคยเป็นปัญหากับผู้จงรักภักดี ตรรกะง่าย ๆ แค่นี้แหละ

เมื่อเกิดมาบนแผ่นดินของพระราชา แล้วไม่มีความสุข ไม่พอใจกับแผ่นดินนี้ ก็ไปจากแผ่นดินนี้ซะ จะอยู่ให้หนักแผ่นดินนี้ไปทำไม ไอ้พวกหน้าด้านทั้งหลาย!!


คลิกอ่าน The King never smiles





วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

Look !! The King never Smiles ??






The King never Smiles ??

are you sure ?


























































































โดยส่วนตัวผมชอบรูปนี้มาก ในหลวงทรงประทับลงกับพื้น โดยไม่มีอะไรรองรับเลย ทรงใกล้ชิดกับราษฎร อย่างไม่ถือพระองค์   ลองสังเกตดู ในหลวงทรงนั่งลงกับพื้นไม่มีอะไรรองเลย พระองค์ทรงดีขนาดนี้ ใครยังไม่รักพระองค์ก็หนักแผ่นดินนี้จริง ๆ











------------------------------------------

ภาพมงคล พระบรมฉายาลักษณ์ เมื่อครั้งในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงผนวช พ.ศ. ๒๔๙๙






v

v

คลิกอ่าน พระกิริยาน่าประทับใจของสมเด็จพระญาณสังวร กับในหลวงพระโพธิสัตว์




วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

ผมคงเป็นคนโง่ในสายตาชาวสมาร์ทโฟน






หากใครอ่านบทความของผมหลายๆ บทความ อาจมีคนเชื่อว่า บ้านผมต้องมีจานดาวเทียม ดูASTV แน่ๆ เพราะผมต่อต้านทักษิณ และมีแนวความคิดหลายเรื่องเอียงไปทางกลุ่มพธม.

แต่ขอบอกว่า บ้านผมไม่มีจานดาวเทียม ไม่มีเคเบิลทีวี โดยปกติผมจึงไม่เคยดูรายการทีวีดาวเทียมสักช่อง

และหากผมจะมีโอกาสได้ดูทีวีช่องดาวเทียมบ้าง ก็มักเป็นคลิปจากรายการดาวเทียมที่เขาเอามาลงยูทูปบ้างก็เท่านั้น โดยเฉพาะในประเด็นดังๆ

ฉะนั้น ไม่ว่าจะช่องเสื้อแดง เสื้อเหลือง และช่องบลูสกาย ผมแทบไม่เคยดูเลยครับ เรียกว่าไม่เคยดูเลยน่าจะถูกต้องกว่า

เพราะผมชอบดูฟรีทีวีช่องหลักปกตินี่แหละ

ถ้าให้เลือกช่องฟรีทีวีที่ผมชอบที่สุด ผมก็คงเลือกทีวีไทย หรือไทยพีบีเอส

แต่ผมเห็นบริษัททรูวิชั่น เขาโฆษณาว่า ถ้าใครอยากให้ลูกฉลาดต้องให้ดูทรูวิชั่นเยอะๆ

แต่เท่าที่ผมรู้มานะ ที่สหรัฐอเมริกาเขากลับแนะนำว่า ถ้าใครอยากให้ลูกฉลาดมาก ๆ ก็อย่าให้ลูกดูทีวีก่อนอายุ 6 ขวบ !!

-------------------------

ผมไม่มีสมาร์ทโฟน และยังไม่คิดจะมี เพราะ

คือผมรู้มานานหลายปีแล้วว่า กฎระเบียบของ กสทช. เขาได้ประกาศห้ามเครือข่ายมือถือตัดวันใช้งานของผู้ใช้บริการ ตราบใดที่ผู้ใช้บริการยังมีเงินเหลืออยู่ในเบอร์ที่ใช้

ประกาศเรื่องมาตรฐานสัญญาให้บริการโทรคมนาคม ในข้อ 11 ที่ห้ามกำหนดวันหมดอายุระบบเติมเงิน หรือ ระบบพรีเพด

ข้อ 11 การให้บริการโทรคมนาคมในลักษณะที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการเป็นการล่วงหน้า จะต้องไม่มีข้อกำหนดอันมีลักษณะเป็นการบังคับให้ผู้ใช้บริการต้องใช้บริการภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่ ผู้ให้บริการจะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเป็นการล่วงหน้า ทั้งนี้ คณะกรรมการอาจกำหนดเงื่อนไขการให้บริการประกอบด้วยก็ได้ เช่น การถ่ายโอนมูลค่าที่เหลืออยู่ การคืนเงินค่าบริการในส่วนที่ไม่ได้ใช้บริการ การกำหนดระยะเวลาขั้นต่ำในการใช้บริการ การขึ้นทะเบียนชื่อที่อยู่ของผู้ใช้บริการ เป็นต้น ในการนี้คณะกรรมการอาจจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ หรือรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริโภคด้วยก็ได้
ผู้ให้บริการตามวรรคหนึ่ง ต้องเผยแพร่แบบสัญญาที่คณะกรรมการเห็นชอบแล้วเป็นการทั่วไป และแจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเป็นหนังสือก่อนเริ่มใช้บริการ

หรือแปลความง่ายๆก็คือ มือถือระบบเติมเงินห้ามบริษัทมือถือกำหนดวันหมดอายุการใช้งาน!!

แล้วเป็นไง จนถึงวันนี้พวกบริษัทเครือข่ายมือถือทั้ง 3 เจ้า เขายินยอมทำตามระเบียบคำสั่งของ กสทช. กันหรือยังล่ะ ?

ก็ยังน่ะสิ เพราะเครือข่ายมือถือเขายินดีถูกปรับวันละแสนดีกว่า ยอมทำตามกฎของ กสทช.

เห็นแก่ตัวไหมครับ บ.เครือข่ายมือถือของเอกชนไทย ?

---------------

เมื่อมือถือกลายเป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์

ในยุคนี้ผมต้องยอมรับว่าการมีโทรศัพท์มือถือ เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตพอควร ผมจึงต้องมีมือถือไว้ใช้พูดคุยยามจำเป็นบ้าง

แต่แค่นี้ก็นับว่าผมโดนเครือข่ายมือถือเอาเปรียบอยู่พอควรแล้ว

ฉะนั้น ผมจึงไม่ต้องการโดนเอาเปรียบค่าบริการอินเตอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนจากพวกเครือข่ายมือถือที่เห็นแก่ตัวของไทยทั้ง 3 ค่าย ซ้ำซ้อนเข้าไปอีก

เพราะที่รู้มาประเทศลาวมี 3G มาก่อนไทยนานแล้ว แต่ค่าบริการ3G ของลาวกลับราคาถูกกว่า 2G ของไทยเสียอีก

ลองดูอัตราค่าบริการ 3G+4G ของลาว



ดูค่าบริการ3G ของลาว ในอัตราแพงสุดที่ 49,000 กีบ/เดือน หรือคิดเป็นเงินไทยแค่ 184.68 บาท/เดือน เท่านั้น

หากเรามองดีๆ ประเทศไทยมีคนใช้มือถือมากกว่าลาว มีคนใช้อินเตอร์เน็ตผ่านมือถือก็มากกว่าลาว

ค่าโสหุ้ยต่างๆ ค่าอุปกรณ์ต่างๆ ของบ้านเรา ก็ควรน่าจะถูกกว่าลาว เพราะลาวไม่มีทะเล จะซื้ออะไรก็ต้องผ่านจากไทยหรือประเทศอื่นๆ อีกทอด

แล้วทำไมค่าบริการมือถือของลาวจึงถูกเหลือเกิน ? 

แต่ถ้าเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 80 บาทของลาว ก็นับว่าค่าบริการเน็ต 3G ผ่านมือถือของลาว ยังเป็นอัตราส่วนที่แพงมากเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำต่อวัน

แล้วคุณภาพของ 3 จีไทยล่ะ ? ได้มาตรฐานจริงเหรอ ?

ส่วนเครือข่ายมือถือของไทยก็มีอำนาจลับทางการเมืองสูง เครือข่ายมือถือของบ้านเราเป็นระบบผูกขาดการให้บริการ ซึ่งมีเพียง 3เจ้าเท่านั้น

และบรรดาเครือข่ายมือถือของไทยทั้ง3 เจ้าต่างมีอำนาจลับที่ไม่เปิดเผย ที่สามารถสั่งให้รัฐไทยไม่ยอมเปิดเสรีการให้บริการเครือข่ายมือถือ เหมือนอย่างในประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้วอื่นๆ เขายอมให้บริการกัน

ดังนั้น พวกเราจึงมีโอกาสได้เห็นพวกที่ร่ำรวยจากการเป็นเจ้าของเครือข่ายมือถือรวยนับแสนๆ ล้านในเวลาไม่กี่ปี สามารถมีเงินเลี้ยงขี้ข้าและบริวารไว้คอยเลียแข้งเลียขารับใช้มากมาย

หรือมีเจ้าของเครือข่ายมือถือบางราย ก็อาจรวยขนาดมีเมียได้มากมายหลายคน จนแม้แต่อายุจะ60 แล้ว ก็ยังหาเมียเป็นนางเอกหนังอวบอึ๋มสักคนก็ยังได้ 5555

หรืออดีตเจ้าของเครือข่ายมือถือบางคน ก็อาจซื้อนักร้องดัง ๆ มาบริการส่วนตัวให้ก็ได้ 

-----------------

ผมขอเลือกเล่นแค่อินเตอร์เน็ตที่บ้านดีกว่า

เพราะค่าบริการอินเตอร์เน็ตบ้านเรายังถูกกว่าลาวเยอะ เพราะเน็ตบ้านเรา 10 เมกราคาแค่ 590 บาท/เดือนเท่านั้น

ส่วนค่าบริการอินเตอร์เน็ตบ้าน ที่ลาว ก็อัตราตามนี้



จากรูป ค่าบริการอินเตอร์เน็ตต่อสายตามบ้านที่ลาว ถ้าเน็ตบ้านความเร็ว 3 เมก ที่ลาวคิดค่าบริการแพงถึงเดือนละ 4 ล้านกีบ/เดือน หรือ 15,076 บาท/เดือน เลยนะนี่ แพงโคตรๆ

ฉะนั้น คนลาวจึงชอบนิยมใช้บริการอินเตอร์เน็ตผ่านมือถือมากกว่า
นั่นเพราะ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีแบบสายของลาวยังไม่ครอบคลุมและดีเท่าบ้านเรา

แต่ที่แน่ๆ 3 จีของไทยอืดกว่า 3 จีของลาวและกัมพูชา ครับ

-------------------------------

เมื่อผมไม่มีสมาร์ทโฟน ไม่มีไอโฟน ไม่มีมือถือแอนดรอยด์

ผมคงเป็นคนโง่ ไม่ทันสมัย ไม่ไฮเทคแหงๆ ในสายตาชาวไฮเทค ชาวไอโฟน ชาวไอแพด ชาวแอนดรอย์ ทั้งหลายแหง ๆ

เพราะเดี๋ยวนี้ ผมเห็นใครๆ เขาก็ชอบใช้สมาร์ทโฟนกันทั้งนั้น เพราะคนไทยยุคนี้ล้วนเชื่ออยู่ลึกๆ ในใจกันทุกคนว่า ถ้าใครใช้สมาร์ทโฟนปุ๊บ เล่นเน็ต อัพรูปเร็ว อัพรูปบ่อยปุ๊บ เขาจะดูฉลาดขึ้นมาในสายตาคนอื่นทันที

ยิ่งถ้าใครมีสมาร์ทโฟนแพงๆ  หรือยี่ห้อดังๆ  ใหม่ที่สุด หรือไฮเทคที่สุด มันจะยิ่งทำให้เจ้าของสมาร์ทโฟนยิ่งดูฉลาดมากขึ้นเท่านั้น

แน่นอน คนที่ใช้สมาร์ทโฟนทุกคน เขาย่อมมีเหตุผลว่า เขามีความจำเป็นต้องมีสมาร์ทโฟนเพราะเหตุใดอยู่แล้ว ? แต่สำหรับผมยังหาเหตุผลไม่ได้ 555

ฉะนั้นหากใครที่กำลังอ่านบทความของผมอยู่ ก็ควรทำใจ เตรียมใจไว้หน่อยแล้วกันว่า

คุณกำลังอ่านบทความที่คนโง่คนหนึ่งชอบเขียน ฮ่าๆๆๆ 


------------------


หมายเหตุ ข้อมูลทั่วโลกล่าสุด พบว่า

คนกรุงเทพเล่นเฟซบุ๊คมากที่สุดในโลก

คนไทยเล่นไลน์มากอันดับ1ของโลก

ถ้าข้อมูลเป็นแบบนี้ คนไทยน่าจะกลายเป็นชนชาติฉลาดที่สุดในโลกด้วยก็ดีนะ ผมว่า ^^




ยิ่งลักษณ์ มีมือถือสมาร์ทโฟน  5 เครื่อง แสดงว่า ยิ่งลักษณ์ฉลาดมาก ๆ 55

----------------

หลังจากเขียนบทความนี้เสร็จไปหลายชั่วโมง ผมคิดว่า คงมีหลายคนตีโจทย์ที่ผมเขียนอาจไม่แตก

ประเด็นไม่ใช่เรื่องการมีมือถือสมาร์ทโฟนหรือไม่ แต่ประเด็นคือ การถูกเอาเปรียบจากเครือข่ายมือถือครับ ที่ทำให้ผมไม่ต้องการโดนเอาเปรียบอีกเรื่อง

แต่เดือน ก.ย. 57 นี้ ผมก็คงฝืนกระแสโลกไม่ได้ ก็คงต้องซื้อสมารฺ์ทโฟนมาใช้บ้าง เพราะระบบ 2 จี ในไทยจะถูกยกเลิก แต่จะพยายามให้ถูกเอาเปรียบให้น้อยที่สุด เช่นอาจเล่นเฉพาะไวไฟของบ้าน หรืออาจของ 3BB เท่านั้นพอ

ก่อนจบ คุณที่ใช้สมาร์ทโฟนทั้งหลายอาจสังเกตตัวเองได้ว่า เวลาคุณต้องรออะไร คุณก็จะต้องหยิบสมาร์ทโฟนมาใช้เพื่อเข้าเน็ต หรือไลน์ แทบทุกครั้งหรือไม่ ?

ถ้าคุณต้องหยิบสมาร์ทโฟนมาเล่นเพื่อฆ่าเวลาทำแทบทุกครั้ง แสดงความคุณติดสมาร์ทโฟนอย่างมากแล้ว

เพราะผมไม่มีสมาร์ทโฟน ผมจึงเห็นข้อดีเช่น เวลาผมต้องรออะไร ผมสามารถรอได้อย่างสบาย ๆ นั่งมองสิ่งแวดล้อม มองสาว มองรถ มองทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวผม

ผมชอบสังเกตผู้คน และก็ชอบใช้เวลารอ นั่งนึกว่า ผมจะนำอะไรที่ผมเห็นมาเขียนบทความได้บ้าง หรือก็นึกประมวลความคิดในเรื่องต่าง ๆ นี่แหละความสุขของผม


-----------------------

อัพเดทบทความ 28 เม.ย. 57

เมื่อประเทศไทยมีระบบ 3 G แล้ว

ค่าบริหาร 3 G ของเครือข่ายมือถือของไทย ปริมาณ 1 GB อยู่ที่ประมาณ 300 บาทต่อเดือน (ค่าแรงขั้นต่ำไทยวันละ 300 บาท)

แต่ที่สิงคโปร์ ระบบ 4G ปริมาณ 1 GB อยู่ที่ 20 เหรียญสิงคโปร์ต่อเดือน หรือ 514 บาทต่อเดือน (ค่าแรงขั้นต่ำสิงคโปร์วันละ 2,000 บาท)

พอมองเห็นอะไรไหมครับ ?




ผมจะสรุปง่าย ๆ ก็คือ ประเทศสิงคโปร์ค่าเน็ตต่อเดือน 514 บาทต่อเดือนนั้น เป็นแค่ 1 ใน 4 ของค่าแรงขั้นต่ำต่อวันในสิงคโปร์เท่านั้น

ส่วนลาว ค่าบริการเน็ต 3G ราคา 184 บาทต่อเดือน คิดเป็น 2.1 เท่าของค่าแรงขั้นต่ำลาวต่อวัน

ส่วนไทย ค่าบริการเน็ต 3G ราคาประมาณ 300 บาทต่อเดือน เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำต่อวันของไทยพอดีเลย

ผมมองว่า ราคาที่เหมาะสมของค่าเน็ตผ่านมือถือของไทย ในขนาดDATA 1GB ไม่ควรจะเกินเดือนละ 100-150 บาทครับ น่าจะเป็นราคาที่ไม่เอาเปรียบคนไทยเท่าไหร่เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำของคนไทย

ส่วนการมองในเรื่องนี้มองได้ 2 แบบคือ อาจมองว่า เพราะคนสิงคโปร์สามารถหารายได้ได้มากกว่าค่าบริการมือถือต่อเดือน

หรืออาจมองว่า เพราะค่ายมือถือสิงคโปร์เขาไม่เอากำไรเกินควร ก็ได้

เช่นเดียวกัน เราอาจมองว่า ค่าบริการมือถือของไทยแพงเกินไป หรืออาจมองว่า คนไทยเราเสือกรายได้ต่ำรสนิยมสูงเอง

แต่ที่แน่ ๆ  3 จี ของกัมพูชาถูกกว่าและเร็วกว่า 3 จีไทย

คลิกอ่าน เน็ต3จีไทยแพงกว่าช้ากว่ากัมพูชา และ 3 จีไทยต่ำกว่ามาตรฐานโลก 6 เท่า




วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

กกต.กทม. เป็นพวกเดียวกับพรรคเผาเมืองหรือไม่ ?







เมื่อการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. 2556 ผ่านไปแล้ว ผลปรากฎว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ สามารถเอาชนะคู่แข่ง พลตำรวจเอกพงศพัศ จากพรรคเพื่อไทยได้อย่างขาดลอย คือตั้งแต่เริ่มต้นนับคะแนน จนจบการนับคะแนน คุณชายสุขุมพันธุ์มีคะแนนนำตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่งพลิกขึ้นมามีคะแนนนำได้เลย

แต่ กกต.กทม. กลับไม่ประกาศรับรองชัยชนะของคุณชายสุขุมพันธุ์ โดยอ้างว่า มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งในเรื่อง เผาบ้านเผาเมือง

ผมว่า กกต.กทม. ปัญญาทึบเหลือเกิน กกต.กทม. มั่นใจได้อย่างไรว่า นั่นคือ การใส่ร้ายป้ายสี ?

กกต.กทม. กล้ายืนยันหรือไม่ว่า การเผาห้างเซ็นทรัลเวิร์ล ห้างเซ็นเตอร์วัน โรงหนังสยาม ธนาคารกรุงเทพฯ หรือแม้แต่เผาสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ไม่เกี่ยวข้องกับคนในพรรคเพื่อไทย ?

หรือแม้แต่การเผาศาลากลางจังหวัดทางภาคอีสาน กรณีนี้ยิ่งชี้ชัดได้ชัดเจนว่า เป็นกลุ่มนปช. ทีสนับสนุนพรรคเพื่อไทยแน่นอน เพราะผู้ต้องหาล้วนแต่เป็นคนเสื้อแดง เป็นกลุ่มนปช.ในแต่ละจังหวัด

ฉะนั้น หาก กกต.กทม. อ้างว่า กรณีการเผาบ้านเผาเมืองเป็นการใส่ร้ายป้ายสี ก็แสดงว่า กกต. กทม. เชื่อว่า การเผาบ้านเผาเมือง เผากรุงเทพ เผาศาลากลางจังหวัด ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนปช. และพรรคเพื่อไทย ใช่ไหม ?

อย่างในกรณี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ๋ ที่เคยปราศัยว่า

"ถ้าพวกคุณยึดอำนาจพวกผม เผาทั้งประเทศ เผาเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง"

ซึ่งถ้าให้แปลคำพูดนี้ ก็อาจแปลได้ว่า หากมีการยึดคืนพื้นที่ราชประสงค์ ก็ให้คนเสื้อแดงเผาทั้งประเทศ

หรือแม้แต่ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนักโทษชายทักษิณ บอกว่า ให้พี่น้องไปรวมตัวกันที่ศาลากลาง รอเวลาปราบเมื่อไหร่ พี่น้องใช้ดุลยพินิจจัดการได้ทันที


-----------------------------------------------

คลิปหลักฐาน ณัฐวุฒิสอน เวลาตกใจแล้วจุดไฟเผาห้าง ??

แถมนายณัฐวุฒิยังสอนเรื่อง รอตกใจ โดยมีการชี้นำว่า ห้างร้านแถวนี้เป็นพรรคพวกเดียวกับนายอภิสิทธิ์ ??  (นาทีที่ 1.03)

และเวลาเสื้อแดงตกใจชอบวิ่งเข้าไปในร้านกระเป๋าแบรนด์เนม ??

และที่สำคัญ ในคลิปนาทีที่ 1.59 นายณัฐวุฒิบอกว่า บางคนเวลาตกใจจุดไฟขึ้นมาดื้อๆ ก็มี !!



----------------

จากคลิปทั้ง 2 คลิป ผู้คนต่างเห็นกันมาหลายครั้ง โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เขตชั้นใน ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่เกิดเหตุที่มีการเผาห้าง เผาโรงหนัง พ่อค้าแม่ค้าในห้างเหล่านี้ ล้วนบอกว่า กลุ่มเสื้อแดงคือพวกที่เผาห้าง ทั้งนั้น

กกต.กทม. อย่าเอาแต่ฟังพวกจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สั่งเผาเมือง เพราะพวกจำเลยย่อมปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งสิ้นเป็นธรรมดา เป็นผู้ร้ายปากแข็งทั้งสิ้น

แม้แต่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งเป็นรมช.ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ช่วยพงตำรวจเอกพงศพัศ หาเสียงก่อนวันเลือกตั้งแค่ไม่กี่วัน ทั้ง ๆ ที่มีคลิปหลักฐานชัดเจนขนาดนี้ ก็ยังกล้าสาบานว่า พวกตนไม่เกี่ยวข้องกับการเผาเมืองอย่างหน้าด้านๆ

คงได้ฟังกันแล้ว ก็ลองฟังชัด ๆ กันอีกรอบ


--------------------------

แล้วเจ้าของสถานที่เกิดเหตุ เผากรุงเทพฯ เลือกใคร ?

ผลคะแนนเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. โดยเฉพาะในเขตที่เกิดการเผากรุงเทพ เช่น

เขตปทุมวัน ซึ่งเป็นเขตที่ตั้ง ห้างเซ้นทรัลเวิร์ล โรงหนังสยาม และชุมชนบ่อนไก่ เป็นดังนี้
พล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ 7,265 คะแนน
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร 13,242 คะแนน



เขตราชเทวี ซึ่งเป็นเขตที่ตั้ง ห้างเซ็นเตอร์วัน ได้เลือก
พล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ 11,216 คะแนน
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร 14,841 คะแนน



เขตคลองเตย ซึงเป็นเขตที่ตั้ง สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ได้เลือก
พล.ต.อ.พงศพัศ พงศ์เจริญ 16,516 คะแนน
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร 22,060 คะแนน


ที่ผมนำคะแนนผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ใน 3 เขตนี้มาให้ดู ก็เพื่อจะบอกว่า เจ้าของสถานที่เกิดเหตุอย่างประชาชนเขตปทุมวัน เขตราชเทวี เขตคลองเตย พวกเขาย่อมรู้ว่า พรรคไหนโกหก พรรคไหนเผาห้างใกล้บ้านพวกเขา

หากพรรคประชาธิปัตย์โกหกว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพวกพรรคเผาเมือง คนใน 3เขตนี้เขาย่อมรู้ดีว่า เขาโดนหลอกหรือไม่  และหากเขาโดนหลอกพวกเขาย่อมไม่ลงคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์ชนะแน่นอน

แต่ผลปรากฏว่า ทั้ง 3 เขตที่มีการเผาเมือง ได้ลงคะแนนเสียงให้ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ชนะขาดทั้ง 3 เขต 

และที่ชัดมากคือเขตปทุมวัน ที่ๆ มีห้างเซ็นทรัลเวิร์ลโดนเผา คนในเขตปทุมวัน โดยเฉพาะชาวบ้านชุมชนบ่อนไก่ ซึ่งเป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์กลุ่มคนเผาเมืองชัดเจนที่สุด

ชาวชุมชนบ่อนไก่ พวกเขาได้ลงคะแนนให้เห็นชัดเจนแล้วว่า พรรคประชาธิปัตย์โกหกหรือไม่ ? พรรคเพื่อไทยคือพรรคเผาเมืองหรือไม่?

แล้ว กกต.กทม. เป็นใคร?  ถึงกล้าบอกว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเผาบ้านเผาเมือง คือการใส่ร้ายป้ายสี ?

ถ้ากกต. กทม. แน่ใจว่าเป็นการใส่ร้ายป้ายสี ก็ประกาศออกมาเลยว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พวกเผาเมือง กล้าหรือไม่ ?

ถ้าไม่กล้า ? ก็ประกาศรับรองผลการชนะของม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ ไปซะ

แต่ถ้า กกต. กทม. ยังไม่กล้ารับรองผลการชนะของคุณชายสุขุมพันธุ์ นั่นย่อมแสดงว่า

กกต. กทม. เป็นพวกเดียวกับพวกเผาเมืองนั่นเอง






คลิกอ่าน 2 พ่อลูกตระกูลชั่วจนชิน ดูถูกคนกรุงเทพ





วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

2 พ่อลูกตระกูลชั่วจนชิน ดูถูกคนกรุงเทพฯ







แม้จะผ่านการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ไปแล้ว แต่จนถึงวันนี้ 7 มีนาคม 56  เหล่า กกต. ก็ยังไม่ยอมประกาศรับรองชัยชนะของคุณชายสุขุมพันธุ์

ส่วนพงศพัศ พอพ่ายแพ้เลือกตั้ง ก็ตั้งใจจะกลับไปเป็นรองตำรวจผบ.ตร. ต่อไป แต่ก็ไม่วายขอรอยิ่งลักษณ์ให้กลับมาจากต่างประเทศเพื่อมาสั่งก่อนว่า จะให้ขี้ข้ากลับไปเป็นตำรวจต่อดี หรือยิ่งลักษณ์จะใช้ขี้ข้าให้ไปทำอย่างอื่นต่อดี ?

สมแล้วที่ทำตัวเป็นขี้ข้าไร้รอยต่อ ไร้ปากเสียง ไร้สมอง

แต่ที่เล่าลือกันมาตลอดคือ หากพงศพัศ พลาดตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ก็คาดกันว่า เขาจะได้เป็น ผบ.ตร. แบบหน้าด้านเข้าไว้ คนต่อไป (ถ้าผิดไปจากนี้แสดงว่าโดนทักษิณหักหลัง)

--------------------------

ส่วนทักษิณ ก็ดูถูกคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มสมัครชิงชัยผู้ว่าฯ กทม. ด้วยการพูดว่า ถึงจะส่งเสาไฟฟ้ามาลง ยังไงๆ เพื่อไทยก็ชนะ

ส่วนอีโอ๊ค พานทองแท้ พอผลเลือกตั้งออกมาว่า ไอ้เสาไฟฟ้าเบอร์ 9 พ่ายแพ้ ทั้งๆ ที่ระดมสารพัดวิชามารเพื่อให้ได้คะแนนเสียงกว่าล้านคะแนนก็แล้ว

อีโอ๊ค กลับออกมาดูถูกคนกรุงเทพฯ ซ้ำหลังความพ่ายแพ้ว่า คนกรุงเทพฯ เลือกผู้ว่าฯ เพราะความกลัว!!

ประโยคนี้เท่ากับว่า อีโอ๊คลูกทรราชทักษิณเป็นพวกไร้น้ำใจนักกีฬา ประเภทแพ้แล้วพาล ดูถูกคนกรุงเทพฯ ว่า ไปเลือกเพราะความกลัว อีโอ๊คมันหาว่าคนกรุงเทพขี้ขลาด !!

โถๆ  อีโอ๊คเอ๋ย ถ้าคนกรุงเทพฯ เขากลัวตระกูลชั่วจนชินของอีโอ๊ค เขาก็คงเลือกเพื่อไทยตั้งแต่คราวเลือกตั้งใหญ่จนเพื่อไทยชนะขาดไปแล้ว

และถ้าคนกรุงเทพฯ กลัวตระกูลชั่วจนชิน หรือเห็นแก่ประชานิยมแจกแหลกที่เอาเงินภาษีชาติมาซื้อเสียง คนกรุงเทพฯ ก็คงเลือกพงศพัศ เป็นผู้ว่าฯ กทม.ไปแล้ว

ถ้าคิดอยากจะได้คะแนนจากชาวกรุงเทพฯ แต่กลับดูถูกดูหมิ่นคนกรุงเทพฯ แบบนี้ คนอย่างอีโอ๊คจึงสมควรแล้วที่ถูกเรียกว่า อีโอ๊คลูกทรราช

เพราะอีโอ๊คมันไม่เห็นคนกรุงเทพฯ เป็นเจ้านาย มันมองเห็นคนกรุงเป็นขี้ข้า เหมือนกับที่มันมองพวกสมาชิกพรรคเพื่อไทยเป็นแค่ขี้ข้า หรือเหมือนกับที่ผ่านมาอีโอ๊คมันกล้าดูถูกสุกำพล นั่นแหละ

มันชั่วจนชินทั้งพ่อทั้งลูก ไอ้พ่อก็ดูถูกคนกรุงเทพฯ ถึงขนาดบอกว่าส่งเสาไฟฟ้าไปลงก็ชนะ

ส่วนอีตัวลูกก็ดูถูกคนกรุงเทพ ว่าเป็นคนขี้กลัว หาว่าที่คนกรุงเทพฯ เลือกผู้ว่าฯ กทม. เพราะความกลัว ?

----------------------

ที่คนกรุงเทพ ไม่เลือกพงศพัศ เพราะความรักกรุงเทพฯ ต่างหาก

เพราะ พวกเผากรุงเทพ มันเป็นขี้ข้าของตระกูลชั่วจนชิน คนกรุงเทพฯ เขารักกรุงเทพ เขาไม่ต้องการให้ตระกูลชั่วจนชินมามีอำนาจปกครองกรุงเทพฯ  คนกรุงจึงไม่เลือกขี้ข้าของตระกูลนี้

เพราะคนกรุงเทพฯ รักประเทศชาติ จึงไม่ต้องการเป็นเหยื่อประชานิยมทำลายชาติ ตั้งแต่โครงการจำนำข้าวเน่า !! คนกรุงจึงไม่ต้องการ ให้พวกชั่วนำประชานิยมชั่วๆ มาใช้ในกรุงเทพฯ จนทำลายชาติซ้ำอีก

เพราะคนกรุงเทพฯ รักความจริง จึงอยากออกมาสั่งสอนพวกโพลขี้ข้า ที่รับเงินมาเพื่อชี้นำคนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร คนกรุงอยากสั่งสอนโพลขี้ข้าให้หน้าแหกว่า โพลขี้ข้าใช้หลอกได้แต่พวกโง่อย่างฟายแดงได้เท่านั้น โพลขี้ข้าจะมาหลอกคนกรุงเทพฯ ที่รักกรุงเทพอย่างจริงใจไม่ได้หรอก

เพราะคนกรุงเทพฯ รักความถูกต้อง จึงไม่ต้องการให้คนชั่วสันดานคางคกอย่างไอ้ตู่ ให้มามีอำนาจบริหารเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. เพราะคนกรุงเทพไม่ต้องการให้ตัวเสนียดมาเพาะเชื้อเลวๆ ในกรุงเทพฯ

ที่สำคัญที่สุด คนกรุงเทพฯ รักชาติบ้านเมือง รักเมืองหลวงของชาติ คนกรุงไม่ต้องการให้พวกชั่วครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในประเทศนี้ !!

ฉะนั้นอีโอ๊ค พานทองแท้เอ๋ย ตราบใดที่มึงยังเอาสันดานดูถูกคนกรุงเทพฯ แบบที่พ่อมึงชอบใช้

ตราบนั้นพวกเพื่อไทย หรือพวกเผากรุงเทพฯ และเหล่าขี้ข้าทรราชทั้งหลาย จะได้รับความพ่ายแพ้แบบนี้แหละ จำไว้

นั่นเพราะ คนกรุงเทพ กล้าหาญ!! กล้าปกป้องบ้านเมืองของพวกเขา ไม่ให้คนชั่วเข้ามามีอำนาจปกครองบ้านเมือง

และที่เจ๋งที่สุดคือ คนกรุงเทพกล้าเผชิญกล้าท้าชนกับความเลวของตระกูลชั่วจนชิน โกงกินเป็นวัตร ของพวกมึงนั่นแหละ อีโอ๊ค !!






คลิกอ่าน คลิปพวกขี้ข้าทักษิณหน้าแหก เมื่อพงศพัศแพ้





วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

"หมาอยู่รู หมูอยู่ตึก" ชัยชนะของหมูนอนมา เบอร์ 16







ผมด่าพวกโพลขี้ข้าที่ชี้นำมาตลอด ที่พวกโพลขี้ข้ามันชี้นำว่า ไอ้สุนัขรับใช้ เบอร์9 หรือไอ้เสาไฟฟ้าของไอ้แม้วนำโด่ง

ซึ่งผมมั่นใจว่า คนกรุงเทพฉลาดพอที่จะไม่เลือกพวกเบอร์ 9 เผากรุงเทพ มาเป็นผู้ว่า แน่นอน

ยิ่งเมื่อวาน ผมได้เจอรูปหมูนอนหลับอย่างสบายที่หน้าเซเว่น จากเว็บFail ผมค่อนข้างมั่นใจเพิ่มขึ้นว่า คุณชายหมูชนะแน่ ๆ

เพราะรูปหมูนอนมา มาออกเอาวันก่อนเลือกตั้ง 1 วัน ย่อมเป็นนิมิตหมายที่ดีว่า หมูนอนมาแน่นอน

ผมเลยนำรูปจากเว็บ fail แต่ในรูป พิมพ์ว่า Win นำหน้าหมู แสดงว่า หมูชนะแน่ มาดัดแปลงนิดหน่อยในคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

รูปนี้น่ารักจริงๆ หมูนอนมา หมาหลบไป




เรื่องเล่าเมื่อวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม ที่ผมเล่าในเพจ กลุ่มปัญญาชนคนใต้ฟ้าข้าแผ่นดินไม่เอาพรรคเพื่อไทย

วันนี้ผมลองถามแม่ค้าอาหารตามสั่งเจ้าประจำในหมู่บ้านของผม

"พี่ ชอบผู้ว่าเบอร์ไหน ?"

แม่ค้า "ชอบเบอร์ 9

"ทำไมล่ะพี่"

แม่ค้า "ถ้าเบอร์ 9 ได้เป็นผู้ว่า สนามหลวงจะเจริญกลับไปเป็นเหมือนเดิม !! จะได้เล่นว่าวได้เหมือนเดิม เพราะตอนนี้เขาห้ามเล่น เขากั้นเหล็กไว้หมด เขาไม่ให้ใครเข้าเลย"

"ไม่นะพี่ ก็ยังทำกิจกรรมกลางแจ้งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้เหมือนเดิม เขาแค่ห้ามคนจรจัด และพวกขายตัวไปใช้นอน ตอนที่เขาปิดแล้วเท่านั้น ว่าแต่ พี่ว่างไปเลือกเบอร์ 9 รึเปล่าล่ะ"

(ผมแกล้งลองถามดู เพราะปกติพวกแม่ค้าพ่อค้า เป็นกลุ่มอาชีพที่มักนอนหลับทับสิทธิกันเสมอ)

แม่ค้า "ไม่ได้ไปหรอก เพราะไม่มีสิทธิ บ้านพี่อยู่ต่างจังหวัด"

"จังหวัดไหนล่ะพี่" (ผมเดาว่าต้องภาค...แหงๆ)

แม่ค้า "บ้านพี่อยู่นครพนม"

-----------

ก็อย่างที่ผมเคยบอก ไอ้พวกนักศึกษาที่มันไปทำโพล บางทีมันก็สำรวจกับแม่ค้าที่มันไปใช้บริการประจำ หรือไม่ก็ถามพวกวินมอไซค์ที่คุ้นเคย ซึ่งผลก็คือ คะแนนนิยมบางเบอร์พุ่งกระฉูด แต่สุดท้ายแพ้ นั่นเพราะ ไอ้คนตอบคำถาม มันไม่ได้มีสิทธิเลือกตั้ง /@akecity


คนเลือกคุณชาย ควายเลือกไอ้เสาไฟฟ้า 5555





คลิกอ่าน โพลนั่งเทียน