ขอเริ่มต้นเล่าที่
รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระอัครมเหสีทั้งหมด 4 พระองค์ คือ
1.
พระองค์เจ้าหญิงสุนันทากุมารีรัตน์ หรือ พระนางเรือล่ม
(ระดับพระบรมราชเทวี ใน ร.5)
2.
พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา (ระดับพระบรมราชเทวีใน ร.5) หรือ
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ทรงเป็นพระราชมารดาของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร (สยามมกุฏราชกุมาระพระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี) และทรงเป็น
สมเด็จย่าแท้ ๆ ของรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9
3.
พระองค์เจ้าหญิงเสาวภาผ่องศรี หรือ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
(สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถพระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี ในรัชกาลที่ 5) ทรงเป็นพระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7
*อัครมเหสีในรัชกาลที่ 5 ลำดับที่ 1 -3 ทรงเป็นพี่น้องร่วมพระอุทร(ท้อง)เดียวกัน เพราะทรงเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4 กับ เจ้าจอมมารดาเปี่ยม และทรงเป็นอัครมเหสี ระดับพระบรมราชเทวี
4.
พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี หรือ สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
(ระดับพระราชเทวี ในร.5) ทรงเป็นพระมารดาของ
ทูลกระหม่อมบริพัตร หรือ
จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
แต่อัครมเหสีลำดับ 4 พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี ทรงเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4 เช่นกัน แต่ต่างพระมารดากับอัครมเหสี 3 ลำดับแรก และทรงเป็น
ระดับพระราชเทวี เท่านั้น
------------------------
ภายหลังการสวรรคตของสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร
เนื่องจาก
รัชกาลที่ 5 ทรงให้
ความเท่าเทียมกันกับพระอัครมเหสีทั้ง 3 คนที่เป็นพี่น้องร่วมพระอุทรเดียวกัน คือ พระนางสุนันทาฯ พระนางสว่างวัฒนาฯ และพระนางเสาวภาผ่องศรีฯ
เมื่อ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ 5 กับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ ทรงสวรรคตลง
พระนางเจ้าสว่างวัฒนา หรือ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ดังนั้นรัชกาลที่ 5 จึงทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
พระราชโอรสพระองค์โตของ
สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ขึ้นเป็นสยามมกุฏราชกุมาร พระองค์ที่ 2 ของราชวงศ์จักรี แทน
นั่นคือ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร หรือรัชกาลที่ 6 ในเวลาต่อมา
--------------------------
เมื่อรัชกาลที่ 6 สวรรคตลง
เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 6 ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ทรงมีพระอนุชาร่วมพระอุทร เป็น
รัชทายาทลำดับที่ 1 คือ
สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ พระบิดาของพระองค์จุล
เพราะรัชกาลที่ 6 ทรงมีพี่น้องร่วมพระอุทร ทั้งหมดดังนี้
1 สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพาหุรัดมณีมัย (ประสูติเมื่อ 14 ธันวาคม 2421 สิ้นพระชนม์เมื่อ 26 สิงหาคม 2430)
2. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
3. สมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพชรุตมธำรง
4. จอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ (ต้นสกุลจักรพงษ์ ณ อยุธยา)
5. สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์
6. สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง
(ประสูติและสิ้นพระชนม์ในวันเดียวกัน)
7. พลเรือเอก สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎาวงศ์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
(ต้นสกุลอัษฎางค์ ณ อยุธยา)
8. สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุช กรมขุมเพชรบูรณ์อินทราไชย
(ต้นสกุลจุฑาธุช)
9. สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ 7)
มีคำถามว่า เมื่อ
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ มีพระชายาเป็นชาวต่างประเทศ จะสามารถครองราชย์ได้หรือไม่ ?
ขอตอบว่า โดยกฎมณเฑียรบาลมาตรา11 ข้อ 4 ก็คงไม่ได้ เว้นแต่รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชโองการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท
แต่ต่อมาภายหลัง
กรมหลวงพิษณุโลกทรงหย่าขาดกับภรรยาชาวต่างประเทศแล้ว เล่าลือกันวงในว่า อาจเพราะรัชกาลที่ 6 ทรงขอไว้ เพื่อกรมหลวงพิษณุโลกอาจต้องครองราชย์ได้ในอนาคต หากในกรณีรัชกาลที่ 6 ไม่มีพระราชโอรส
จนเมื่อรัชกาลที่ 6 สวรรคตลง ทำไมรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงได้ขึ้นครองราชย์ ?
ก่อนอื่นขอให้ดู
กฎมณเฑียรบาลว่าด้วย ลำดับการสืบราชสันตติวงศ์
ลำดับที่ 1 พระราชโอรสหรือพระราชนัดดา
ลำดับที่ 2 กรณีซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา แต่ทรงมี
สมเด็จอนุชาที่ร่วมพระราชชนนี หรือพระราชโอรสของสมเด็จพระอนุชา
ลำดับที่ 3 กรณีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา กับไร้ทั้งสมเด็จพระอนุชาร่วมพระราชชนนี แต่ทรงมีสมเด็จพระเชษฐา หรือสมเด็จพระอนุชาต่างพระราชชนนี หรือพระโอรสของสมเด็จพระเชษฐาหรือพระอนุชา
ลำดับที่ 4 กรณีซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและพระราชนัดดา กับทั้งไร้สมเด็จพระอนุชาร่วมพระราชชนนี และไร้สมเด็จพระเชษฐา หรือพระอนุชาต่างพระราชชนนี แต่ทรงมีพระเจ้าพี่ยาเธอหรือพระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระโอรสของพระเจ้าพี่ยาเธอหรือพระเจ้าน้องยาเธอ
ลำดับที่ 5 กรณีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไร้พระราชโอรสและไร้พระราชนัดดา พระอนุชาร่วมพระราชชนนีและพระอนุชาต่างพระราชชนี พระเจ้าพี่ยาเธอ น้องยาเธอ แต่ทรงมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ และพระเจ้าบรมวงศ์เธอหรือพระโอรส
ดังกล่าวนี้คือลำดับพระองค์ ผู้มีสิทธิ์สืบราชสันตติวงศ์ตามกฎมณเฑียรบาล มาตรา 9 แต่มี
ข้อบังคับว่าด้วยผู้ที่ต้องยกเว้นจากการสืบราชสมบัติไว้ในหมวด 5 มาตรา 11 ว่าดังนี้
1. มีพระสัญญาวิปลาศ
2. ต้องราชทัณฑ์ เพราะประพฤติผิดพระราชกำหนดกฎหมายในคณดีมหันตโทษ
3. ไม่สามารถทรงเป็นอัครพุทธศาสนูปถัมภก
4. มีพระชายาเป็นนางต่างด้าว กล่าวคือนางที่มีสัญชาติเดิมเป็นชาวประเทศอื่น นอกจากชาวไทยโดยแท้
5. เป็นผู้ที่ได้ถูกถอดถอนออกแล้ว จากตำแหน่งพระรัชทายาท ไม่ว่าการถูกถอดถอนจะได้เป็นไปในรัชกาลใด ๆ
6. เป็นผู้ที่ได้ถูกประกาศยกเว้นออกเสีย จากลำดับสืบราชสัตติวงศ์
*ให้ดูข้อ 4 และข้อ 6 เป็นสำคัญ
------------------------------------
เหตุที่รัชกาลที่ 7 ทรงได้ครองราชย์ แทนพระองค์จุลจักรพงษ์
เหตุเพราะ
กรมหลวงพิษณุโลก ทรงสวรรคตก่อนรัชกาลที่ 6 ดังนั้น ลำดับสืบราชสันตติวงศ์นั้น จึงต้องตกไปที่ทายาทของกรมหลวงพิษณุโลกแทน นั่นคือ
พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ หรือ พระองค์จุล
พระองค์จุล ทรงเป็นท่านตาของฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์
สำหรับข้อห้ามของการขึ้นครองราชย์ในกฎมณเฑียรบาลนั้น
ไม่มีข้อห้ามเรื่องกรณีมีพระมารดาเป็นชาวต่างชาติ เพราะห้ามแต่มีพระชายาเป็นชาวต่างชาติเท่านั้นในข้อ 4
อีกทั้งพระมารดาของพระองค์จุล แม้จะเป็นชาวต่างชาติ แต่ก็ได้รับการรับรองจากรัชกาลที่ 6 ให้เป็น
สะใภ้หลวงแล้ว
พระองค์จุล จึงทรงไม่มีเหตุต้องมลทินใด ๆ ในการเป็นรัชทายาทต่อจากกรมหลวงพิษณุโลก
อีกทั้งตอนที่รัชกาลที่ 6 ทรงสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2468 พระองค์จุล ทรงมีพระชันษาเพียง 17 พรรษา ทรงยังโสด ยังไม่ได้แต่งงาน
ดังนั้นตามหลักที่ถูกต้อง พระองค์จุล จึงสมควรขึ้นเป็นรัชกาลที่ 7 ตามหลักการสืบราชสันตติวงศ์
แต่ที่
พระองค์จุล กลับถูกข้ามไป เพราะ
ทูลกระหม่อมบริพัตร ซึ่งมีอำนาจทางการเมืองมากที่สุดในเวลานั้น ทรงอ้างว่า รัชกาลที่ 6 ทรงเคยให้กรมหลวงพิษณุโลก ทำหนังสือสัญญาไว้ว่า
หากกรมหลวงพิษณุโลกได้ขึ้นครองราชย์ จะต้องไม่ให้พระองค์จุล เป็นรัชทายาท เหตุเพราะมีแม่เป็นชาวต่างชาติ (แต่กฎมณเฑียรบาลไม่มีข้อห้ามในเรื่องนี้)
ทูลกระหม่อมบริพัตร ซึ่งมีอำนาจทางการเมืองมากที่สุดในขณะนั้น ทรงสามารถโน้มน้าวใจพระราชวงศ์ และขุนนางต่าง ๆ ให้เชื่อคล้อยตามได้โดยไม่ยาก เพื่อยินยอมให้
สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา ได้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 7 (ทรงเป็นพระอนุชาแท้ๆ ของ ร.6 ที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่)
**แต่เอกสารที่อ้างว่า กรมหลวงพิษณุโลกทรงเขียนเป็นสัญญาไว้ ก็ยังไม่มีใครเคยเห็น แต่อาจอยู่ที่ทูลกระหม่อมบริพัตร**
(ทูลกระหม่อมบริพัตร หรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต)
ซึ่งเท่าที่ผมพอทราบ ดูเหมือน
พระองค์จุลทรงเคยเล่าไว้ใน
หนังสือ เกิดวังปารุสก์ ว่า รัชกาลที่ 7 ทรงมีจดหมายถึง พระองค์จุล เพื่ออธิบายสาเหตุที่ต้องข้ามพระองค์จุลไปในคราวหมดรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 นั่นคือ
ความตามมาตรา 10 ของกฎมณเฑียรบาล
"มาตรา๑๐ ท่านพระองค์ใดที่จะได้เสด็จขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ควรที่จะเป็นผู้ที่มหาชนนับถือได้โดยเต็มที่และเอาเป็นที่พึ่งได้โดยความสุขใจฉะนั้นท่านพระองค์ใดมีข้อที่ชนหมู่มากเห็นว่าเป็นที่น่ารังเกียจก็ควรที่จะให้พ้นเสียจากหนทางที่จะได้สืบราชสันตติวงศ์เพื่อเป็นเครื่องตัดความวิตกแห่งพระบรมวงศานุวงศ์ข้าทูลละอองธุลีพระบาทและอาณาประชาชน"
เหตุเพราะ
พระมารดาของพระองค์จุล เป็นชาวต่างชาติ แม้จะไม่ได้เป็นข้อห้ามในการสืบราชสันตติวงศ์ก็ตาม แต่สถานการณ์ในตอนนั้น ก็อาจมีคนต่อต้านพระองค์จุล อยู่มาก
โดย
พระองค์จุล ก็ทรงเขียนไว้ในหนังสือ เกิดวังปารุสก์ ไว้ว่า
"ข้าพเจ้ามิได้เคยนึกว่า ตนถูกตัดจากสิทธิอะไรเลย ข้าพเจ้าไม่เคยนึกและบัดนี้ก็มิได้นึกว่า ข้าพเจ้ามีสิทธิอย่างใดเกินกว่าที่คนไทยทุก ๆ คนย่อมมีอยู่ตามกฎหมาย"
ส่วนกรณี
หม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช โอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเพชรบูรณ์อินทราไชยนั้น
รัชกาลที่ 6 ทรงเคยมีพระราชโองการสั่งเสียไว้ก่อนแล้วว่า
ให้ข้ามหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัชไป เพราะหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัชมีแม่ที่ไม่มีชาติสกุล ทรงเกรงว่าจะไม่เป็นที่เคารพแห่งพระบรมวงศานุวงศ์
(หมายถึง แม่ของหม่อมเจ้าวรานนท์ธวัช ไม่ได้รับการรับรองจากรัชกาลที่ 6 ให้เป็นสะใภ้หลวง)
ดังนั้น การที่
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้ครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 7 นั้น ผู้มีส่วนสำคัญที่สุดก็คือ
ทูลกระหม่อมบริพัตร จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นั่นเอง
---------------------
เมื่อรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติ ปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์ก็กลับมาอีก
ตามที่รู้กันอยู่ว่า
ทูลกระหม่อมบริพัตร ในฐานะ
ผู้สำเร็จราชการพระนคร และองคมนตรี ทรงมีอำนาจทางการเมืองและการทหารมากที่สุดในขณะนั้น ดังนั้นคณะราษฎร จึงต้องจับทูลกระหม่อมบริพัตร เป็นพระองค์แรก แล้วส่งทูลกระหม่อมบริพัตรเสด็จออกนอกประเทศในทันที หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ต่อมารัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2477 ซึ่งลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ สายตรงที่ใกล้ชิดรัชกาลที่ 7 ก็คือ
พระองค์จุล เช่นกัน
ซึ่งในขณะนั้นพระองค์จุล ก็ยังโสด ยังไม่ได้แต่งงานกับชาวต่างชาติแต่อย่างใด
(ภายหลังจากนั้น พระองค์จุลทรงสมรสกับหม่อมเอลิสะเบธ จักรพงษ์ ณ อยุธยา เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2481 มีธิดาคือ หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์)
แต่ คณะราษฎร ไม่เชื่อว่า รัชกาลที่ 6 ทรงเคยให้กรมหลวงพิษณุโลก พระบิดาของพระองค์จุล ลงพระนามเป็นสัญญาว่า จะไม่ทรงแต่งตั้งพระองค์จุล ขึ้นเป็นรัชทายาท หากกรมหลวงพิษณุโลกได้ครองราชย์จริง ๆ ตามที่ทูลกระหม่อมบริพัตรอ้างถึงเมื่อครั้งทูลเชิญสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 7
เพราะ
คณะราษฎร ไม่เคยเห็นเอกสารฉบับดังกล่าวนั้น
และรัชกาลที่ 6 ก็ไม่ทรงเคยมีพระบรมราชโองการให้ข้ามพระองค์จุล ไป
-----------------------
เหตุที่คณะราษฎร ข้ามพระองค์จุล อีกครั้ง
คณะรัฐมนตรีในขณะนั้น คือครม.ของรัฐบาล
พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (หัวหน้าคณะราษฎร) เกือบจะมีความเห็นพ้องว่า จะทูลเชิญ
พระองค์จุล มาเป็นรัชกาลที่ 8 อยู่เหมือนกันในการอภิปราย เพราะพระองค์จุล ทรงเป็นหลานแท้ ๆ ของรัชกาลที่ 7
นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยในขณะนั้น ได้อภิปรายให้คณะรัฐมนตรีฟังว่า หากกรณีรัชกาลที่ 6 ให้ข้ามพระองค์จุล เพราะมีแม่เป็นชาวต่างชาติเป็นเรื่องจริงตามที่
ทูลกระหม่อมบริพัตร เคยอ้างไว้ในการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ 7 ก็อาจทำให้มีปัญหายุ่งยากตามมาภายหลังได้
อีกทั้ง คนไทย รวมถึงเชื้อพระวงศ์ (ในเวลานั้น) ก็อาจทำใจยอมรับพระมหากษัตริย์ที่เป็นลูกครึ่งได้ไม่ดีนัก
ดังนั้นก็ควรข้าม
พระองค์จุล อีกครั้งจะดีกว่า เพราะมิเช่นนั้น ก็อาจมีคำถามตามมาอีกว่า
ทำไมคราวนี้พระองค์จุล ขึ้นครองราชย์ได้ แล้วทำไมตอนรัชกาลที่ 6 สวรรคต กลับข้ามพระองค์จุล ไปเสีย ?
นายปรีดี จึงเสนอว่า ดังนั้นควรข้ามพระองค์จุล ไป แล้วกลับไปที่
สายหลักดั้งเดิมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั่นคือ
สายของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งตอนนี้พี่น้องร่วมอุทรกับเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศที่เหลืออยู่ก็คือ
สายราชสกุลมหิดล ของ
กรมหลวงสงขลานครินทร์ หรือจอมพลเรือสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม
อีกทั้งพระมารดาของกรมหลวงสงขลานครินทร์ คือ
สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ก็ทรงเป็นเสด็จป้าแท้ ๆ ของรัชกาลที่ 7 อีกด้วย จึงทรงเป็นสายตรงลำดับที่ใกล้ชิด
รองลงมาจากพระองค์จุล
แต่
กรมหลวงสงขลานครินทร์ทรงสวรรคตไปแล้ว ดังนั้นลำดับการสืบราชสันตติวงศ์จึงตกไปที่ทายาท ก็คือ
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล
คณะรัฐมนตรีต่างเห็นพ้องคล้อยตามการอภิปรายของนายปรีดี พนมยงค์ จึงมีมติทูลเชิญ
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8 สืบไป
-------------------
คำถาม หากไม่มีคณะราษฎร ไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัชกาลที่ 7 อาจไม่เลือกสายราชสกุลมหิดล เป็นรัชกาลที่ 8 จริงหรือไม่ ?
ขอตอบว่า
มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่รัชกาลที่ 7 อาจไม่ทรงเลือกราชสกุลมหิดล
เพราะในช่วงเวลานั้น เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำอย่างมาก รวมทั้งประเทศไทยก็มีปัญหาเศรษฐกิจสูง จนเป็นเหตุให้มี
ข่าวลือว่า อาจมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ อยู่เป็นระยะ ๆ
รัชกาลที่ 7 เองก็ทรงมีพระราชปรารถนาอยากจะสละราชสมบัติอยู่แล้วเป็นเนือง ๆ เพราะอยากจะทรงไปรักษาพระอาการประชวร
และถึงแม้รัชกาลที่ 7 จะทรงเลือกสายราชสกุลมหิดลตามลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ที่เหมาะควรก็ตาม
แต่ก็เป็นไปได้ว่า ทางราชสกุลมหิดล โดยพระชนนีหม่อมสังวาลย์ ก็อาจปฏิเสธ เพราะพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ยังทรงมีพระชนมายุเพียง 9 พรรษาเท่านั้น แล้วพระชนนีหม่อมสงวาลย์ ก็มีความปราถนาไม่อยากให้ลูก ๆ ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
สรุป จึงเป็นไปได้ว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
รัชกาลที่ 7 อาจทรงเลือกทูลกระหม่อมบริพัตรขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8 ก็ได้โดยพระราชอำนาจตามมาตรา 5 ของกฎมณเฑียรบาล เพื่อความมั่นคงของประเทศ เพราะทูลกระหม่อมบริพัตร ทรงเป็นพระเชษฐาต่างพระมารดากับรัชกาลที่ 7
หรือหาก
ทูลกระหม่อมบริพัตร ไม่ทรงขึ้นครองราชย์เอง ก็ทรงอาจให้พระโอรสองค์โตของพระองค์ คือ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต ขึ้นเป็นรัชกาลที่ 8 แทน
เหตุผลที่สำคัญอีกอย่างคือ
ทูลกระหม่อมบริพัตร ทรงเป็นผู้สนับสนุนให้รัชกาลที่ 7 ได้ครองราชย์ด้วย จึงมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัชกาลที่ 7 เป็นทุนเดิม
หมายเหตุ แต่ถ้าเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นปกติดี รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชปรารถนาให้สายราชสกุลมหิดล สืบราชสมบัติตามลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ต่อไป
เพราะก่อนที่รัชกาลที่ 7 จะสละราชสมบัติ แต่หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว และหลังจากทูลกระหม่อมบริพัตรเสด็จออกนอกประเทศไปแล้ว คือเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2475 ร.7 ทรงเคยมีพระราชดำริแก่ พระยานโมปกรณ์นิติธาดา
(นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) พระยาพหลฯ และ
หลวงประดิษฐ์มนูธรรม(หรือนายปรีดี) ทรงอยากให้พระราชโอรสของกรมหลวงสงขลานครินทร์ ขึ้นครองราชย์
แต่ก็ยังเป็นพระราชดำริส่วนพระองค์ แก่ผู้เข้าเฝ้าทั้งสามคนเท่านั้น
ข้อมูลจาก เว็บปรีดี พูนศุข
----------------------
คำถาม กรณี รัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 ทรงมีสมเด็จพระชนนีเป็นสามัญชน
ขอตอบว่า แม้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จะทรงเป็นสามัญชน
แต่การอภิเษกสมรสของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีกับพระบรมราชชนก ก็ทรงได้รับการรับรองจากพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 ให้เป็นสะใภ้หลวง
ดังนั้นลำดับการสืบราชสันตติวงศ์ของรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 จึงไม่ทรงมีมลทินในความต่ำต้อยที่มีพระมารดาเป็นสามัญชนแต่ประการใด
------------------------
ทิ้งท้ายบทความ
บทความเรื่องนี้ ผม
ใหม่เมืองเอก เขียนเล่าอย่างพอให้เข้าใจอย่างง่าย ๆ คุณผู้อ่านก็ควรอ่านให้พอรู้เป็นสังเขป
แต่อย่าเชื่อผู้เขียนไปหมดเสียทีเดียว
คุณผู้อ่านควรไปศึกษาหาข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วยตัวเอง จะยิ่งทำให้เข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทยได้ดียิ่งขึ้น และจะได้วิเคราะห์กลั่นกรองเองว่า ควรจะเชื่อแหล่งข้อมูลจากที่ใดมากที่สุดครับ
ขอบคุณที่กรุณาอ่านมาจนจบ
คลิกอ่าน คดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 ในมุมมองใหม่เมืองเอก