วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กองทุนมั่งคั่ง ทุนสำรองเงินตรา รัฐบาลถังแตกกับประชานิยม







ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ไม่ใช่เป็นเงินของไทยไปทั้งหมด แต่มีเงินที่นักลงทุนนำเงินต่างประเทศเข้ามาในไทยอยู่ด้วย แล้วไทยก็พิมพ์เงินบาทแลกให้นักลงทุนใช้ในการลงทุนในประเทศไทย

ถ้ามีเงินเข้ามาในไทยมากกว่านำเงินไหลออกนอกประเทศไป ไม่ว่าจะเกิดจากเงินจากภาคการส่งออกและการนำเข้า หรือเงินจากการลงทุน เงินที่กู้จากต่างชาติ หรือเงินที่ได้มาจากการท่องเที่ยวก็ตาม

รวม ๆ แล้ว ถ้าเงินเข้าประเทศมีมากกว่าเงินออกนอกประเทศ ไทยก็จะได้กำไรจากการเคลื่อนไหวของเงินตรา เป็นผลให้ทุนสำรองเงินตราเพิ่มขึ้น เราจึงเรียกว่า กำไรจากดุลบัญชีเดินสะพัด

แต่ถ้าหากรัฐบาลคิดเอาเงินทุนสำรองมาใช้แบบไม่คิด ไปใช้ในประชานิยมแบบผิด ๆ ที่ไม่สร้างผลกำไร เช่นนำไปใช้ในโครงการรับจำนำข้าวหรืออื่น ๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

ระวัง !นักลงทุนต่างประเทศเกิดแห่ถอนทุนคืน !!

แล้ววิกฤติ 40 จะกลับมาอีกครั้งแน่นอน

ดังนั้น ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ จึงต้องมีสำรองให้พอกับการไหลออกของเงินไว้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในยามเกิดวิกฤติ

-----------------------

ที่ผมพูดถึงทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ สืบเนื่องจาก รัฐบาลอีโง่มันจะตั้ง กองทุนมั่งคั่ง เพื่อจะนำเงินจากทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศมาใช้ครับ

เพราะตอนนี้รัฐบาลอีโง่ มันกำลังถังแตกจากโครงการจำนำข้าว ทำให้เป็นหนี้ ธกส. กว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้จ่าย รัฐบาลอีโง่มันเลยหาหนทางจะนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้

(จำไว้ว่า ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ไม่ใช่เงินคงคลังนะครับ)

ซึ่งถ้าหากไทยขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวมาก ๆ ก็อาจทำให้ประเทศไทยเกิดสภาวะไม่มั่นคงทางการเงินในท้องพระคลัง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความไม่มั่นใจไปด้วย

และหากเกิดการแห่ถอนทุนคืนจากนักลงทุนต่างชาติจะเป็นอย่างไร ? เช่นแห่ขายคืนพันธบัตรและตราสารหนี้ของไทย ถอนหุ้นเพื่อเอาเงินคืนจากตลาดหุ้น

คำตอบคือ ก็จะเหมือนไทยเราโดนโจมตีค่าเงินบาทเลยครับ นั่นคือ ไทยเราก็ต้องคืนเงินในรูปเงินดอลล่าห์ให้แก่นักลงทุน นั่นก็คือ นำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศจ่ายคืนนักลงทุน

ซึ่งถ้าไทยมีทุนสำรองไม่มากพอ เพราะเสือกเอาไปใช้ในทางที่ผิด ไทยก็ต้องนำเงินดอลล่าห์ในท้องพระคลังไปจ่ายคืน ถ้ามีไม่พอก็ต้องนำทองคำในท้องพระคลังไปแลกเป็นเงินดอลล่าห์มาเพื่อคืนเงินแก่นักลงทุน

หรือจะนำเงินบาทจำนวนมากไปซื้อเงินดอลล่าห์ก็ตาม ก็จะทำให้เงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง เพราะความต้องการเงินบาทในตลาดการเงินจะต่ำลง แต่ความต้องการเงินดอลล่าห์จะสูงขึ้น

ทีนี้พอทองคำในท้องพระคลัง(คลังหลวง)ของไทยร่อยหรอ ซึ่งหมายถึง เงินคงคลังร่อยหรอไปด้วย

พอนักลงทุนแห่เอาเงินดอลล่าห์กลับไป เงินบาทที่ไทยเคยพิมพ์ให้นักลงทุนใช้ลงทุนในประเทศไทยก็จะเหลือบานเบอะ ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินบาทตกอย่างรุนแรง!!

ทีนี้แหละ ใครกู้เงินจากต่างประเทศ ซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศ หรือเป็นหนี้ต่างประเทศ ก็จะซวยแบบวิกฤติปี 40 ครับ

กรณีที่ผมยกตัวอย่างนี้ ก็คล้ายกับที่ได้เกิดขึ้นในกรีซมาแล้ว จนทำให้กรีซเกิดภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ เนื่องจากกรีซใช้เงินเกินตัว จนเกิดหนี้สาธารณะมากมาย แต่รายรับของกรีซกลับลดลง ๆ จนนักลงทุนเกิดความไม่เชื่อมั่นว่า กรีซจะมีเงินมากพอใช้หนี้หรือ ? และกลัวว่าจะไม่มีเงินคืนแก่นักลงทุน

ทำให้นักลงทุนจึงแห่กันถอนทุนคืนจากกรีซ แห่ขายคืนพันธบัตรกรีซ จนกลายเป็นกระดาษที่ไร้ค่า เพราะไม่มีใครอยากจะซื้ออีก

------------

เช่นเดียวกัน หากไทยมีรายได้น้อยลง แถมขาดทุนจากประชานิยมมากขึ้น ๆ แถมรัฐบาลยังหน้าใหญ่กู้เงินจำนวนมาก ๆ มาลงทุนเกินตัว

ทำให้ค่าความเสี่ยงด้านการเงินและการชำระหนี้ของไทยก็จะมีสูงขึ้นเรื่อย ๆ (ค่าความเสี่ยงยิ่งสูงมากเท่าไหร่ นักลงทุนก็จะเกิดมั่นใจในเครดิตประเทศไทยลดลง)

ฉะนั้นจงจำไว้ว่า นักลงทุนต่างชาติเขาไม่ได้โง่เหมือนพวกฟายแดงนะครับ ต้องระวังเรื่องนี้ไว้ให้ดี

ในเมื่อรายได้น้อยลง แถมถูกต่อต้านจากหลายฝ่ายในเรื่อง การตั้งกองทุนมั่งคั่ง

ทำให้รัฐบาลชั่วก็เลยหาทางออกด้วยการคิดจะมาขูดรีดกับประชาชนด้วยการคิดที่จะไปขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแทน 

ด้วยการเริ่มจาก กลยุทธโยนหินถามทาง 


คลิกอ่าน นาฬิกาหนี้สาธารณะ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น