วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ทำไมคดีฆ่านักท่องเที่ยวอังกฤษที่เกาะเต่า ตำรวจไทยจึงขาดความน่าเชื่อถือ






ก่อนอื่นผมขอเริ่มต้นด้วยสมมุติฐานที่ว่า ถ้าผู้ต้องสงสัยพม่าทั้ง 2 คน ไม่ใช่แพะ แต่...

ต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ มโน ของผมก่อน

ถ้าสมมุติว่าผมเป็นผู้มีอิทธิพลบนเกาะที่จ่ายส่วยให้ตำรวจปีละหลายล้านนะ แถมส่วยก็ส่งกันเป็นทอด ๆ ว่ากันว่าส่งไปจนถึงกรุงเทพฯ

ผมกร่างใหญ่คับเกาะ ผมไปจีบนักท่องเที่ยวฝรั่งสาว ๆ ผมบอลนด์ทีไร ผมก็ได้เฉาะฝรั่งผมบลอนด์กินฟรีทุกที จนติดเป็นสันดาน

ต่อมามีฝรั่งสาวผมบลอนด์คนนึงที่ไม่ยอมให้ผมได้เฉาะง่าย ๆ  อุตส่าห์สั่งให้เด็กในผับวางยาในเครื่องดื่มแล้วเชียว แต่ดันมีฝรั่งผู้ชายคนนึงเสือกมาทำตัวเป็นฮีโร่ มันทำให้ผมโกรธมาก ๆ

ดังนั้นผมจึงใช้ลูกน้องพม่าของผมไปทำร้ายฝรั่งชาย และบอกให้พวกพม่ามันข่มขืนฝรั่งผู้หญิง อ้อ แต่ผมต้องข่มขืนก่อนนะและใช้ถุงยางด้วย (อ้าวดันลืมว่าไปถอดทิ้งที่ไหน)

ส่วนพวกพม่ามันก็อยากได้ฝรั่งอยู่แล้วก็เลยข่มขืนตามคำสั่ง แต่พวกมันไม่ได้ใช้ถุงยาง ตอนแรกพวกพม่ามันคงคิดว่า แค่ทำร้ายผู้ชายและข่มขืนฝรั่งเท่านั้น ไม่ถึงกับต้องฆ่า

แต่พอพวกพม่ามันข่มขืนผู้หญิงฝรั่งเสร็จ ผมก็ใช้ปืนและอำนาจอิทธิพลคับเกาะที่พวกพม่ามันกลัว สั่งให้พม่ามันฆ่าปิดปากฝรั่งทั้งสองซะ เพราะพม่ามันก็กลัวตาย พวกมันเลยต้องทำตามคำสั่งของผมโดยดี

เมื่อพวกพม่าฆ่าฝรั่งเสร็จ ผมก็หนีด้วยสกู๊ตเตอร์ออกจากเกาะทันที โดยไม่มีใครเห็น นอกจากพวกผมเท่านั้นที่เห็น แล้วให้พวกพม่าไปหาที่ซ่อน

ต่อมาเมื่อพวกพม่าโดนจับ มันก็โดนตำรวจที่รับส่วยจากผมปีละหลายล้าน ช่วยกันขู่พม่าว่า ถ้าพวกมึงไม่อยากตายในคุก ก็ให้ความร่วมมือกับตำรวจโดยดี ทำตามที่ตำรวจแนะนำซะ ไม่งั้นพวกมึงอาจโดนโทษประหารหรือตายในคุกก็ได้

แต่ถ้าพวกมึงเชื่อที่ตำรวจแนะ พวกมึงอาจรอดโทษประหารและได้อยู่สบายในคุก ติดคุกแค่ไม่กี่ปีเดี๋ยวก็ได้ออกจากคุกแน่นอน รอให้เรื่องมันซาก่อน เดี๋ยวผู้มีอิทธิพล(อย่างผม)จะหาทางช่วย

ก็เพราะพวกพม่า มันกลัวตายในคุก หรือกลัวโดนกระทืบในคุกทั้งเช้าทั้งเย็น มันก็เลยต้องทำตามคำแนะนำจากตำรวจโดยดี

คุณผู้อ่านคิดดูเถิด คดีในประเทศไทยจะมีสักกี่คดีที่ผู้บงการตัวจริง หรือผู้มีอิทธิพลจะติดคุกจริง ๆ ?

-----------------------

จากที่ผมสมมุติเหตุการณ์ด้านบน ผมลองใช้สมมุติฐานที่ว่า 2 พม่าได้ก่อเหตุข่มขืนเหยื่อผู้หญิงจริง ฆ่าเหยื่อทั้งสองคนจริง แต่อาจมีคนบงการอีกคนหรือหลายคน

โดยที่ตำรวจไทยก็จับคนร้ายตัวจริงได้ ไม่ใช่แพะ เพียงแต่ตำรวจไทยอาจไม่ได้เปิดเผยคนร้ายทั้งหมดออกมาทุกคน

คุณผู้อ่านว่า สมมุติฐานของผมเป็นไปได้ไหม ผมถามแค่นี้แหละ ??

เพราะผมเชื่อมาตลอดว่า ถ้าตำรวจไทยจะช่วยปกปิดคดีให้ใคร ย่อมทำได้แน่นอน เหมือนกับการโกงของไทย ถ้าโกงได้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ โกงกันทุกขั้นตอน  สุดท้ายก็จะเสมือนไม่มีการโกงเกิดขึ้น

เช่นทุกวันนี้ แม้ประเทศไทยที่ว่ามีการคอร์รัปชันสูงอันดับต้น ๆ ของโลก แต่เพิ่งจะมีนักการเมืองติดคุกเพราะการโกงแค่เพียงคนเดียวคือ นายรักเกียรติ สุขธนะ

------------------

ข้อบกพร่องคดีเกาะเต่าของตำรวจไทย ในความเห็นผม

1. เรื่องถุงยางอนามัยที่พบในที่เกิดเหตุ ตำรวจตรวจพบ DNA ของฮันนาคนเดียวจากภายนอกถุง แต่ไม่สามารถหา DNA ของผู้ชายที่ใช้ถุงยางอนามัย

ถามว่า แล้วใครใช้ถุงยางอันนี้ ?? ซึ่งพม่าทั้ง 2 คน ไม่ได้ใช้ถุงยางแน่นอน จึงตรวจเจอ DNA พม่าในช่องคลอดและทวารหนักของฮันนา

ดังนั้น ถุงยางอนามัยนี้ จึงอาจเป็นได้ทั้งของเหยื่อผู้ชาย หรืออาจเป็นของผู้บงการฆ่าตัวจริง ?

(แต่โดยความรู้สึกส่วนตัวของผม ผมว่า เหยื่อผู้ชายไม่น่าจะมามีเพศสัมพันธ์กับเหยื่อผู้หญิงที่ริมหาด มีแต่ฝรั่งซกมกเท่านั้นที่จะทำแบบนี้ ซึ่งฝรั่งชาวอังกฤษเป็นตัวเลือกที่น่าจะน้อยกว่าฝรั่งชาติอื่น ๆ)

ดังนั้นที่มีคนถามว่า ทำไมไม่ตรวจ DNA ลูกผู้มีอิทธิพล ?

ผมขอตอบว่า ถึงตรวจไปก็เท่านั้น เพราะ DNA อาจอยู่แค่ในถุงยางที่น่าสงสัยอันนั้น ไม่ได้อยู่ในตัวเหยื่อ 

คำถามคาใจคือ ใครใช้ถุงยางที่ต้องสงสัยที่ตกในที่เกิดเหตุกันแน่ ซึ่งทางตำรวจไม่สามารถสรุปในเรื่องนี้ได้เลย


ข้อสังเกตกรณีการตรวจดีเอ็นเอจากถุงยางอนามัย

แหล่งข่าวด้านนิติวิทยาศาสตร์บอกว่า การตรวจดีเอ็นเอเป็นการตรวจพิสูจน์ทางชีววิทยาที่ตรวจหาวัตถุพยานจากสิ่งมีชีวิต ซึ่งสามารถเก็บตัวอย่างได้จากทุกส่วนที่ออกมาจากร่างกายมนุษย์ ไม่ว่าส่วนใดจะมีสารพันธุกรรมที่สามารถนำมาตรวจสอบได้ทั้งหมด

ในคดีนี้จะสามารถเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากผิวด้านนอกของถุงยาง ซึ่งหากมีเพศสัมพันธ์จะตรวจได้จากเซลล์เยื่อบุช่องคลอดของฝ่ายหญิง ส่วนภายในถุงยางอนามัย หากมีการหลั่งอสุจิจะสามารถตรวจดีเอ็นเอจากอสุจิได้ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจได้จากเซลล์ผิวหนังของอวัยวะเพศชายที่สวมใส่ถุงยางอนามัยนั้น

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขที่มักทำให้การตรวจหาดีเอ็นเอไม่ประสบผลสำเร็จ จะเกิดขึ้นเนื่องจากในถุงยางอนามัยจะมีสารเคมีที่เป็นสารหล่อลื่น ซึ่งมีคุณสมบัติยับยั้งการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ เพราะฉะนั้น การตรวจหาดีเอ็นเอ จะต้องมีการสกัดแยกสารหล่อลื่นดังกล่าวออกมาก่อน ในกรณีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมาแถลงข่าวว่าไม่พบดีเอ็นเอในถุงยางอนามัยเนื่องจากไม่มีการหลั่งอสุจินั้น ต้องพิจารณาว่าใช้วิธีการตรวจที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะอาจตรวจหาเซลล์ผิวหนังอวัยวะเพศของฝ่ายชายและสารหล่อลื่นของอวัยวะเพศชายได้ แม้ไม่มีการหลั่งอสุจิตาม

ข้อสังเกตเรื่องการชะล้างของน้ำทะเลและทรายบริเวณที่พบถุงยาง

แหล่งข่าวด้านนิติวิทยาศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่าหากมีการชะล้างด้วยน้ำทะเล ความเค็มของน้ำทะเลอาจมีผลบ้างต่อการตรวจหาดีเอ็นเอ แต่ต้องดูถุงยางอนามัยที่เป็นวัตถุพยานว่าขณะที่พบถุงยาง ด้านในหรือด้านนอกที่สัมผัสกับพื้น ถ้าเป็นการชะล้างเพียงด้านนอก ด้านในถุงยางจะไม่ถูกรบกวน

เมื่อไม่มีข้อมูลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอภายในถุงยางอนามัย จึงยังคงเป็นข้อสงสัยว่าใครเป็นผู้ใช้ถุงยางอนามัยนั้น และเกี่ยวข้องในคดีหรือไม่ อย่างไร

(ข้อมูลจากไทยพีบีเอส)

ตำรวจไทยบกพร่องการเก็บวัตถุพยานชิ้นนี้อย่างมาก แม้แต่คุณหญิงหมอพรทิพย์ก็ยังติติงในเรื่องนี้  คลิกอ่านความเห็นหมอพรทิพย์


2 เรื่อง ล่ามโรฮิงญา

คดีนี้ผู้ต้องสงสัยเป็นชาวพม่า รัฐยะไข่ แต่ตำรวจไทยดันไปหาล่ามชาวโรฮิงญา มาเป็นล่ามในคดีนี้ คือ แขกขายโรตีบนเกาะเต่า  ซึ่งชาวโรฮิงญากับชาวพม่ายะไข่ ถือว่า เป็นศัตรูคู่แค้นกัน มีปัญหาฆ่ากันตายนับพันคน จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

แต่ตำรวจไทยดันควาย !! หาพม่าที่พูดไทยมาเป็นล่ามสักคนไม่ได้เลยเหรอ ทั้ง ๆ ที่เกาะเต่ามีพม่าทำงานตั้ง 7 พันคน มีหลายคนพูดไทยได้ดีไม่ต่างจากคนไทย แต่ตำรวจไทยดันไปเอาแขกขายโรตีชาวโรฮิงญามาเป็นล่าม ซึ่งทำให้ทางการพม่าก็ออกมาติติงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน

เพราะล่าสุด นายโก เมาเมา พม่าที่ตำรวจกันตัวไว้เป็นพยานสำคัญ ได้พูดกับทนายความพม่าว่า  เขาเองถูกคนขายโรตีชาวโรฮิงญา ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจ้างให้มาเป็นล่ามเพื่อสื่อสารกับพวกเขาทุบตี และขู่ด้วยเช่นกัน

คลิกอ่านข่าวนายเมา บอกโดนล่ามโรฮิงญากับตำรวจซ้อม



3. ความโปร่งใสเรื่อง DNA

เพราะคดีนี้เป็นคดีที่โหดร้ายทารุณ ทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวไทยอย่างมาก และมีปัญหาถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถึง 3 ประเทศ คือ ไทย อังกฤษ และพม่า

ตำรวจไทยควรทำทุกอย่างให้โปร่งใสชี้แจงละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่ผลตรวจ DNA ที่พบในตัวของเหยื่อสาว ที่ในตอนแรกตำรวจบอกว่า มี DNA ผู้ต้องสงสัย 2 คนในช่องคลอดและทวารหนักของเหยื่อสาว

ตรงจุดนี้ ตำรวจไทยควรนำผล DNA ออกมาแถลงให้สื่อและประชาชนได้เห็นภาพของ DNA และต้องนำผล DNA ให้ทางการตำรวจอังกฤษไปด้วย

และเมื่อจับผู้ต้องสงสัยชาวพม่าได้แล้ว ตำรวจไทยก็ควรให้ตำรวจอังกฤษมาร่วมตรวจ DNA คนร้ายชาวพม่าด้วย คือ ให้ตำรวจอังกฤษมาขูดผนังเยื่อบุในช่องปากของผู้ต้องสงสัยพม่าทั้ง 2 คนไปตรวจหา DNA เองอีกทาง เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตำรวจไทย ซึ่งถ้าผล DNA ของผู้ต้องสงสัยพม่าทั้งสองคนตรงกับผลตรวจ DNA ในช่องคลอดและทวารหนักที่ตำรวจไทยเคยให้ผลตรวจไปตั้งแต่ตอนแรก เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีปัญหาในเรื่องจับแพะ

แต่ตำรวจไทยกลับไม่ทำอย่างนี้น่ะสิ มันถึงได้เป็นปัญหาความน่าสงสัยมาจนวันนี้

เพราะผลตรวจ DNA มีแต่ฝ่ายตำรวจไทยที่พูดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว แล้วใครเขาจะเชื่อ ??

คนไทยจำนวนมากมักมีอคติกับตำรวจไทยอย่างมาก เช่น ถ้าผล DNA ตำรวจตรวจเจอว่ามี DNA ของคน 3 คน แต่ตำรวจไทยจะทิ้งผลไปสักคน ให้เหลือแค่ 2 คน จะทำได้ไหม หรือ ที่ว่าDNA พม่าตรงกับ DNA ที่พบในตัวเหยื่อ ตรงยังไง มีมาสมอ้างผลที่หลังหรือเปล่า ?? 

ตรงนี้แหละที่สังคมขาดความเชื่อมั่นในตำรวจไทย ว่า ผล DNA โปร่งใสจริงเหรอ ? เพราะตำรวจรู้เห็นผลอยู่ฝ่ายเดียว



4. ความบกพร่องของ ผบ.ตร. ในการแถลงเรื่องพบ DNA ผู้ต้องสงสัยช้า

ผบ.ตร. อ้างว่า ที่ไม่ได้ตรวจ DNA นายเมาเมา พยานพม่าตั้งแต่วันแรก ๆ  เพราะมีนักสืบโซเชียล บอกให้ตรวจคนนั้นคนนี้ก่อน มาแซงคิว จนตำรวจงง ทำให้ตำรวจตรวจช้า


การตอบของ ผบ.ตร. มีข้อบกพร่องมากมาย เช่น เรื่องไม่สามารถตรวจหา DNA ภายในถุงยาง ซึ่งคุณหญิงหมอพรทิพย์ก็ติงเรื่องนี้

นี่หรือคือคำตอบของ ผบ.ตร. ??

เป็นถึง ผบ.ตร. แต่กลับอ้างกลับไปโทษนักสืบโซเชียลว่า ทำให้ตำรวจไทยทำงานช้า

แล้วทำไมตำรวจต้องไปฟังนักสืบออนไลน์ด้วยล่ะ ทำไมตำรวจไทยไม่ดำเนินการสืบสวนสอบสวนอย่างตรงไปตรงมา ไปตามแนวทางของตำรวจเอง

พอทีนี้กว่าจะเจอตัวผู้ต้องสงสัยก็เลยช้า แล้วก็มาโทษนักสืบออนไลน์ แต่พอนักสืบออนไลน์บอกว่า ตำรวจอาจจับแพะ ทีนี้ตำรวจไทยดันไม่กลับเชื่อ

เพราะเหตุนี้เองเลยทำให้ผมมาคิดว่า ที่ตำรวจไทยจับผู้ต้องสงสัยช้ากว่าที่ควรจะเป็น อาจเพราะตำรวจไปหาทางหนีทีไล่ก่อน หรือหาทางปกปิดพยานและหลักฐานทุกอย่างเพื่อช่วยผู้บงการตัวจริงก่อนหรือไม่ ??

ผมฝากให้คิด !!

เพราะไม่มีเรื่อง(เลว ๆ)อะไรภายใต้ฟ้าเมืองไทยที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้

และการที่ผู้ต้องสงสัยทั้งสองคน บอกว่า โดนตำรวจไทยซ้อม แถมโชว์รอยแผลที่ถูกซ้อมและถูกไฟช๊อตให้ทนายความพม่าดู ก็เป็นอีกเรื่องที่ดิสเครดิตตำรวจไทยเป็นอย่างมาก


------------------



ล่าสุดได้มีพิธีศพของ ฮันนา แล้วอย่างงดงาม และครอบครัวของเธอยังได้บอกอีกว่า

“As a family we hope that the right people are found and brought to justice.”
"ครอบครัวของเราหวังว่า คนร้ายตัวจริงจะถูกนำมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม"

(ครอบครัวฮันนา พูดแบบนี้หมายความว่าไง ???)



------------------------

พาดหัวหน้า 1 เนชันฉบับวันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม 2557

ทนายความพม่าต้องการผล DNA ที่ตรวจโดยตำรวจอังกฤษ



THE MYANMAR lawyers of the two men charged with the Koh Tao murders of two British tourists have asked Thailand's National Human Rights Commission and the Myanmar Embassy in the Kingdom to push for British police to conduct independent DNA tests in the case, as they believe their clients are innocent.


-----------------------

คลิปภาพเคลื่อนไหวลูกชายผู้ใหญ่ ว.

ล่าสุด ก่อนที่ผู้ใหญ่ ว. ผู้มีอิทธิพลบนเกาะเต่า จะนำตัวลูกชายมาตรวจ DNA ในวันที่ 30 ตุลาคม 2557 นั้น

ก็ได้มีการเผยแพร่ ภาพเคลื่อนไหวของลูกชายผู้ใหญ่ ว. ในวันเกิดเหตุ ระบุอยู่ในหอพักนักศึกษา ในกรุงเทพ



ภาพนี้ถูกบันทึกไว้ เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน เวลา 09.14 น. บันทึกภาพขณะที่ลูกชายผู้ใหญ่บ้านออกจากห้องในหอพักนักศึกษาย่านรังสิต มีกล้องวงจรปิด 3 ตัว ที่บันทึกความเคลื่อนไหวต่อเนื่องของลูกชายผู้ใหญ่บ้านไว้ เช่นเดียวกับกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งบริเวณห้องโถงชั้น 1 ของอาคาร ขณะที่เขาอ้างว่ากำลังเดินทางไปเรียน

นี่คือหนึ่งในภาพที่ลูกชายผู้ใหญ่บ้าน และทนายของเขาบันทึกเป็นภาพนิ่ง และนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณะระหว่างการแถลงข่าว เมื่อวันที่ 30 กันยายน เพื่อแสดงว่าเขาไม่ได้อยู่ที่เกาะเต่าในวันเกิดเหตุ

มีข้อสังเกตว่าภาพนี้อาจมีการแก้ไขก่อนถูกเปิดเผยหรือไม่ เมื่อภาพที่นำมาเป็นหลักฐานเป็นเพียงภาพนิ่งเท่านั้น และตัวอักษรแสดงวันเวลาก็มีสีต่างกัน เมื่อตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดทุกตัวในหอพักแห่งนั้นพบว่าตัวเลขที่แสดงบนจอภาพหลายจอมีสีต่างกันเช่นเดียวกับที่ลูกชายผู้ใหญ่บ้านเคยนำไปยืนยัน

จากการสอบถามเจ้าหน้าที่บริษัทจำหน่ายกล้องวงจรปิด พบว่าตัวเลขที่แสดงให้เห็นสามารถเปลี่ยนสีอย่างอิสระ มีเงื่อนไขว่าตัวเลขจะเป็นสีขาว หากภาพขณะนั้นมีลักษณะมืด หรือมีพื้นหลังเป็นสีดำ และตัวเลขจะเปลี่ยนเป็นสีดำ หากภาพถูกบันทึกในมุมที่มีแสงสว่าง หรือมีพื้นหลังเป็นสีโทนสว่าง

หากเหตุฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่เกาะเต่า เกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.00 น. ของวันนั้น นั่นหมายความว่าภาพจากกล้องวงจรปิดที่ยืนยันที่อยู่ของลูกชายผู้ใหญ่บ้านมีระยะเวลาห่างจากเหตุฆาตกรรมที่เกาะเต่าประมาณ 6 ชั่วโมง

มีข้อสังเกตว่าหากลูกชายผู้ใหญ่บ้านมีส่วนร่วมในการฆาตกรรมจริง เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทันทีหลังเกิดเหตุ หอพักแห่งนี้มีทางเข้าอาคารเพียงจุดเดียว อยู่บริเวณห้องโถงชั้น 1 ของอาคาร

เมื่อตรวจสอบภาพวงจรปิดที่บันทึกภาพในวันที่ 15 กันยายน ตั้งแต่เวลา 03.00 น. ที่คาดการณ์ว่าเป็นเวลาเกิดเหตุฆาตกรรมถึงเวลาประมาณ 08.00 น. ไม่พบบุคคลที่มีลักษณะคล้ายลูกชายผู้ใหญ่บ้านเดินเข้าไปในหอพัก ก่อนที่กล้องวงจรปิดจะบันทึกภาพขณะที่เขาเดินออกจากห้องพัก เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น.

ทีมข่าวไทยพีบีเอส

--------------------

ล่าสุด ลูกชายผู้มีอิทธิพลยอมไปตรวจ DNA แล้ว 

แต่ถ้าอ่านในบทความนี้ตั้งแต่ต้น ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับ DNA ของนายนมสดเลย เพราะตรวจไปมันก็คงไม่ตรง เพราะ ตำรวจไทยได้ฟันธงไปแล้วว่า DNA ในตัวเหยื่อมี DNA ของคนสองคนเท่านั้น คือ ผู้ต้องหาชาวพม่าทั้งสองคน

ถึงนายนมสด มาตรวจไปก็เท่านั้น เพราะมันเต็มโควต้า DNA ของคนร้ายสองคนไปแล้ว



(ฝากขำ ๆ "ถ้าตำรวจไทยจับชาวโรฮิงญามา 2 คนมาเป็นผู้ต้องหาในคดีนี้ เรื่องนี้อาจไม่บานปลายระหว่างประเทศแบบนี้ก็ได้นะฮ่าๆ เอ๊ะหรือยิ่งหนักกว่า ??")


คลิกอ่าน ทำไมคดีเกาะเต่า ตำรวจไทยไม่น่าเชื่อถือ ตอน 2




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น