วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ส่งออกไทยทรุดหนัก เหตุคนไทยไม่พัฒนาตนเอง หลงตัวเอง โทษแต่คนอื่น






ในอดีตไทยเราพึ่งพาการค้าจากการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวเป็นหลัก ในการค้ำจุนเศรษฐกิจไทยมาตลอดระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 30 ปี

ในอดีตสัก 20 ปีที่แล้ว สินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยได้ชื่อว่า เป็นผู้นำการส่งออกของโลก ก็เช่น สิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ พลาสติก

แต่วันนี้ สินค้าเหล่านี้ของไทยเราถูกคู่แข่งเกิดใหม่อย่างกลุ่มประเทศ CLMV คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม มาแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากไทยไปมากที่สุด

อย่างเช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นสินค้าที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีสูงมาก ส่วนใหญ่จะอาศัยแรงงานคนเข้มข้นในการผลิตเป็นหลัก

แต่ประเทศไทยมีอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนวันนี้คือ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ก็เป็นเหตุให้ผู้ผลิตสินค้าประเภทสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า ย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านของเรามากขึ้น เพราะนอกจากค่าแรงจะถูกแล้ว ยังได้รับการยกเว้นภาษีสินค้าส่งออกจากอียู และสหรัฐอเมริกา ด้วย

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรองเท้าสำเ็จรูป ในวันนี้ เวียดนามมีมูลค่าการส่งออกรองเท้าสูงกว่าไทยถึง 8 เท่า

หรืออย่างกรณี รองเท้าแพน โดย บมจ.แพนเอเซียฟุตแวร์ (เครือสหพัฒน์) รองเท้าชื่อดังของไทยในอดีต ก็มีอันเลิกกิจการในไทย เพื่อไปเปิดโรงงานผลิตรองเท้าในประเทศลาวแทน เพราะมีค่าแรงถูกกว่าไทยมาก แถมได้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอีกด้วย

หรือเช่น บริษัทซีพี (เครือเจริญโภคภัณฑ์) ก็ไปเปิดโรงงานฐานการผลิตอุตสาหกรรมอาหารในเวียดนามแล้ว อย่างเช่น ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ ที่ขายในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของซีพี   ก็เป็นเนื้อปลาที่ส่งมาจากเวียดนามให้คนไทยได้บริโภค

คลิกอ่านข่าว ปลาแพนกาเซีนสดอร์รี่ ปลาเศรษฐกิจมาแรงในเวียดนาม


ารที่สภาวะเศรษฐกิจโลกตอนนี้ถดถอย สินค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน แต่ราคาถูกกว่า ย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน บริษัทของไทยและบริษัทต่างชาติจึงจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า

ในขณะที่แรงงานไทยเราในวันนี้ กลายเป็นพวกงานหนักไม่เอา งานเบาต้องการเงินมาก ๆ แล้วแบบนี้ไทยเราจะไปผลิตสินค้าที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่ราคาถูกไปแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านก็คงจะไม่ได้อีกแล้ว

แล้วถ้าจะไทยเราจะเขยิบไปผลิตสินค้าไฮเทคคุณภาพสูงเพื่อการส่งออก ก็มีแนวโน้มว่า กำลังแย่ลง เพราะการศึกษาไทยห่วยที่สุดในอาเซียน คนไทยส่วนใหญ่เป็นประเภทคณิตศาสตร์ไม่เอา วิทยาศาสตร์ไม่สน เพราะคนไทยสนใจแต่เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค ยิ่งมีกระแสดราม่ากูยิ่งชอบสุด ๆ

รุปง่าย ๆ คือ สินค้าส่งออกโลวเทคของไทย ประเภทสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า ไทยมีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่งมาก ดังนั้นไทยเราจึงแพ้ยับในการแข่งขันส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปแล้ว

ส่วนสินค้าไฮเทค ไทยเราก็กำลังแย่ เพราะไทยเราเป็นแค่รับจ้างผลิต เราไม่มีสินค้านวัตกรรมเพื่อการส่งออกที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลก เช่น สมาร์ทโฟน ที่จะไปแข่งขันกับประเทศไฮเทคอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา ได้เลย

ในเมื่อค่าแรงไทยแพงมากขึ้นกว่าคู่แข่งหลายเท่า จึงทำให้บริษัทเจ้าของเทคโนโลยีจึงได้ค่อย ๆ ทยอยย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านเรามากขึ้น เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

อย่างเช่น แอลจี และซัมซุง ก็ได้มีแผนการย้ายฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าไปเวียดนามแทนแล้ว เหตุผลก็เพราะ ต้องการลดต้นทุนการผลิตให้ถูกลง

คลิกอ่านข่าว แอลจี ซัมซุง ย้ายฐานฮับเครื่องใช้ไฟฟ้าหนีไทยไปเวียดนาม

แม้แต่การผลิตโทรศัพท์มือถือ ซัมซุงก็จะไปตั้งฐานการผลิตในเวียดนามเช่นกัน

------------------------

ส่งออกรถยนต์ไทย อย่ามัวเคลิ้มตามญี่ปุ่นโปรยคำหวาน

ในขณะนี้ไทยเรายังเป็นฐานการผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย แต่ตอนนี้รถยนต์ญี่ปุ่นได้ไปตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในอินโดนีเซียมากขึ้นแล้ว

ถึงขนาดรัฐบาลอินโดนีเซียเคยประกาศเป้าหมายว่า อินโดนีเซียจะเป็นผู้ผลิตส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลกแซงหน้าไทยในอนาคตอันใกล้ โดยมีเป้าหมายอย่างเร็วภายในปี 2560

คลิกอ่าน อินโดนีเซียหวังเป็นฮับผลินรถยนต์โลก

การที่บริษัทญี่ปุ่นเริ่มมองฐานการผลิตรถยนต์แห่งใหม่นั้น นอกจากปัญหาเรื่องค่าแรงไทยที่เพิ่มขึ้นมากเรื่อย ๆ แล้ว ก็ยังมาจากปัญหาการจัดการน้ำที่ผิดพลาดจนเกิดอุทกภัยใหญ่บุกทำลายเขตนิคมอุตสาหกรรมของไทยหลายแห่งเมื่อปี 2554

นับตั้งแต่นั้นมา มีบริษัทผู้ผลิตสินค้าจากญี่ปุ่นในหลายชนิด ได้ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ๆ ไม่กลับมาไทยอีกเลย

แม้ตอนนี้โรงงานผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยจะยังอยู่ แต่เชื่อว่าไม่นานนัก ก็คงจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งเรื่องค่าแรง หรือ เรื่องภัยธรรมชาติ

คุณผู้อ่านคิดดู ประเทศไทยผลิตรถกระบะมากถึง 70 % ที่ขายในตลาดโลก แต่ทำไมประเทศไทยเราก็ไม่ได้รวยอย่างควรจะเป็น

นั่นก็เพราะ ไทยเราเป็นแค่ลูกจ้างที่รับจ้างประกอบรถยนต์ให้นายจ้างญี่ปุ่นเท่านั้น วันใดนายทุนเขาพบแหล่งผลิตที่ให้ผลตอบแทนกับเขาสูงกว่า เขาก็ต้องไปครับ !!

แน่นอน บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นเขาคงไม่ถึงขนาดทิ้งโรงงานประกอบรถยนต์ในไทยไปจนหมดหรอก แต่เขาอาจจะเปลี่ยนเป้าหมายจากการผลิตเพื่อการส่งออกทั่วโลก มาเป็นผลิตเพื่อขายภายในประเทศไทยเท่านั้น

---------------------------

ภาคการเกษตรไทย ต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง ก็เริ่มแย่

ผลผลิตการกเกษตรของไทยเจอคู่แข่งจากกลุ่มประเทศ CLMV มาแย่งส่วนแบ่งการตลาดแทบทั้งสิ้น เหตุเพราะต้นทุนผลผลิตการเกษตรของไทยสูงกว่าเพื่อนบ้าน

คุณผู้อ่านว่า ตลกดีไหม เกษตรกรไทยเราใช้ปุ๋ย ใช้ยากำจัดศัตรูพืชมากเป็นอันดับ 1 ของโลกในค่าเฉลี่ยพื้นที่การเกษตรขนาดเท่า ๆ กัน (ไทยเรานำเข้าปุ๋ยและยามากเป็นอันดับ 3 ของโลก) แต่ผลผลิตข้าวของไทยต่อไร่กลับน้อยกว่าเวียดนาม ลาว เสียอีก

หรืออย่างเช่น ยางพารา ที่ไทยเริ่มขายได้น้อยลง ผมเคยเขียนถึงสาเหตุไว้แล้วว่า ขนาดบริษัทผู้ส่งออกยางพาราของไทยเราเอง เขายังไปสนับสนุนให้ประเทศเพื่อนบ้านของไทยปลูกยางพาราเลยครับ เพราะว่า เขาต้องการยางพาราที่มีต้นทุนถูกลงเพื่อการส่งออก

แล้วอย่างจีน ซึ่งเป็นผู้รับซื้อยางพารารายใหญ่ของไทยมานาน ตอนนี้ก็ไปรับซื้อยางพาราจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยแทนแล้ว เพราะเขาก็ต้องการยางพาราที่ราคาถูกกว่าเหมือนกัน

คลิกอ่าน สาเหตุที่แท้จริงที่ยางพาราราคาตกขายไม่ออก

ดังนั้น ผลผลิตการเกษตรหลายชนิดไทยเราก็เริ่มส่งออกแย่ลง ขนาดมันสำปะหลัง ที่เกษตรกรไทยชอบปลูกกันมาก ตอนนี้การส่งออกมันสำปะหลังของไทยก็แพ้กัมพูชาไปแล้ว เพราะตอนนี้กัมพูชาเป็นผู้ส่งออกมันสำปะหลังอันดับ 1 ในอาเซียน

และที่ไทยแพ้กัมพูชา และแพ้อีกหลาย ๆ ประเทศ ก็แพ้มานานแล้ว ลองอ่านข่าวเมื่อปี 2556 ตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดูก็ได้ครับ

คลิกอ่านข่าว ส่วนแบ่งส่งออกทรุด 3ปีเปิดเสรีอาเซียน ไทยถอยหลังเข้าคลอง


---------------------

ส่งออกไทยเริ่มทรุดตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เรื่อยมา

คือ ตอนนี้เรามีรัฐบาล คสช. ผู้คนต่างก็ด่าว่า รัฐบาล คสช. ทำเศรษฐกิจแย่

แต่ในความจริง ในปี 2553 ประเทศไทยยังมีสถิติการส่งออกสินค้าพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์อยู่เลย

คลิกอ่านข่าว มูลค่าการส่งออกเติบโตต่อเนื่องหุ้นอิเล็ก-ยานยนต์-วัสดุ-เกษตรแนวโน้มดี

แต่เศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะเรื่องการส่งออกมันเริ่มแย่มาตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณฺ์ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2555 ต่างหาก

คุณจำเรื่อง โกหกสีขาว ของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้ไหม ??

นั่นแหละจุดเริ่มต้นภาวะทรุดตัวของภาคส่งออกของไทยเรื่อยมาจนถึงวันนี้


ฉะนั้น การที่ภาคส่งออกของไทยทรุด มันมีเหตุปัจจัยหลายอย่างทั้งปัจจัยภายในประเทศ เช่น ต้นทุนค่าแรงสูงขึ้น  และปัจจัยภายนอกประเทศเช่น สภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังถดถอย

แต่คนไทยจำนวนมากเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาโทษแต่รัฐบาล  ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หันดูตัวเองเลยว่า ศักยภาพของคนไทยในวันนี้กำลังย่ำอยู่กับที่ แถมเริ่มถอยหลังด้วย เพราะภาคการศึกษาไทยที่หลงทางผิด

เพราะถูกรัฐบาลที่แล้วและหลาย ๆ รัฐบาลที่ผ่านมา หลอกว่า ต้องเรียนจบปริญญาตรีเท่านั้น ถึงจะได้เงินเดือนหมื่นห้า จึงทำให้นักเรียนไทยไม่สนใจอยากเรียนภาคอาชีวะเท่าที่ควร

ทั้ง ๆ ที่ภาคอาชีวะไทยกำลังขาดแคลนอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลทำให้ภาคการผลิตสินค้าหลายชนิดขาดแคลนแรงงานภาคอาชีวะเป็นตัวขับเคลื่อน อย่างประเทศเยอรมัน แรงงานภาคอาชีวะคือตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

แรงงานอาชีวะ ที่รัฐบาลไทยควรส่งเสริม หรือที่เรียกว่า แรงงานมีฝีมือ ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยเรากำลังขาดแคลนอย่างมาก

ในขณะที่ไทย ส่งเสริมให้เรียนปริญญาตรีมาก ส่งเสริมให้กู้เงิน กยศ.มาเรียน แล้วก็โกงเงิน เบี้ยวไม่จ่ายคืน กยศ. กันเกินครึ่ง  แถมรายงาน วิทยานิพนธ์ ยังจ้างทำแทนกันได้อีก

นี่แหละระบบการศึกษาไทยที่จบออกมาเพื่อเดินเตะฝุ่น เพราะเน้นเชิงปริมาณมากกว่าเน้นคุณภาพ

-----------

ริง ๆ แล้ว การส่งออกมันเป็นหน้าที่และความสามารถของเอกชนเป็นหลัก ภาครัฐก็แค่มีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกเท่านั้น เช่น ส่งเสริมการลงทุน มาตรการลดภาษี การจัดหาพลังงานไฟฟ้าราคาถูกป้อนโรงงาน หามาตรการช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนลง

ส่วนรัฐบาลยิ่งลักษณ์เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ เลยช่วยทำให้ต้นทุนสินค้าไทยแพงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ซึ่งถ้าเอกชนไทยเริ่มไม่มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก ก็ต้องยอมรับความจริง ว่า เรานั่นแหละกระจอกเอง

หรือถ้าบริษัทเอกชนต่างชาติเขาไม่อยากใช้ไทยเป็นฐานการผลิตอีกแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า ศักยภาพคนไทยเริ่มไม่พัฒนา กลายเป็นประเภท พวกค่าแรงสูงแต่ผลผลิตต่ำ หรือศักยภาพด้านระบบโลจิสติกส์ไทยเราห่วย (เรื่องนี้รัฐบาลผิดเต็มๆ)  ทำให้ต้นทุนการขนส่งสูง ถ้าเป็นแบบนี้ใคร ๆ เขาก็อยากย้ายฐานการผลิตหนีไปหมดทั้งนั้น

ดังนั้น บทความนี้อยากจะบอกว่า การส่งออกไทยแย่ไม่ใช่เพราะใครที่ไหน แต่เป็นคนไทยเราเองนี่แหละ ที่มีส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้การส่งออกไทยเราทรุดลงเรื่อย ๆ

และตราบใดคนไทยยังไม่รู้จักตนเอง ยังหลงตนเอง ก็เตรียมใจได้เลยว่า เปิด AEC เมื่อไหร่ คนไทยจะยิ่งแย่หนักกว่านี้แน่นอน

-------------------------

สินค้าไทยต้องเน้นคุณภาพเท่านั้น ถึงจะอยู่รอด 

แม้ตอนนี้การส่งออกสินค้าหลายชนิดเราจะถูกประเทศเพื่อนบ้านแย่งไปหลายอย่าง แต่ถึงกระนั้น สินค้าไทยก็จะลดคุณภาพลงเพื่อให้ราคาถูกลงเพื่อไปแข่งขันก็ยิ่งเป็นความคิดที่ผิด

จริง ๆ แล้ว ประเทศเพื่อนบ้านเราในอาเซียน ทั้ง ลาว เขมร เวียดนาม พม่า ผู้คนในประเทศเหล่านี้ ต่างเชื่อมั่นในสินค้าไทยหลายชนิด โดยเฉพาะสินค้าหมวดอุปโภคบริโภค เพราะพวกเขาก็เป็นลูกค้าสินค้าไทยมาเป็นเวลานาน

แต่สินค้าจีนเริ่มบุกตลาดอาเซียนมากขึ้น ด้วยราคาที่ถูกกว่า แต่คุณภาพสู้สินค้าไทยไม่ได้ จุดนี้แหละคือจุดแข็งของสินค้าไทย

ฉะนั้น ในเมื่อสินค้าไทยสู้ในด้านราคาไม่ได้ ก็ต้องสู้ด้วยคุณภาพที่ดีเท่านั้น แม้ตอนนี้อาจทำให้การส่งออกสินค้าไทยต้องหดตัว แต่ก็ต้องอดทนรักษาคุณภาพไว้ เพราะในระยะยาว หากเศรษฐกิจโลกดีขึ้น คนเราทุกคนย่อมชอบสินค้าคุณภาพดีสมราคามากกว่าสินค้าราคาถูกแต่ไม่ได้มาตรฐาน

เมื่อเพื่อนบ้านอาเซียนแย่งส่วนแบ่งสินค้าในตลาดโลกของไทยไป ไทยเราต้องเน้นเจาะขายสินค้าที่เพื่อนบ้านเรายังเชื่อมั่นสินค้าไทยในตลาดอาเซียนให้มากขึ้นแทน


แล้วคนไทยเราจะช่วยชาติได้อย่างไร ในสภาวะภาคส่งออกไทยเราทรุดหนักแบบนี้ ?

คำตอบคือ ในเมื่อสภาวะตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้มาก เราคนไทยก็ช่วยได้ด้วยการหันมาใช้สินค้าไทยให้มากขึ้นแทน สินค้าไทยที่ส่งออกหลายอย่างมีคุณภาพดีมาก ถ้าเราคนไทยหันมาใช้สินค้าไทยที่ทดแทนสินค้าต่างประเทศได้ ก็จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมส่งออกของไทยยังอยู่รอดต่อไปได้ คือ เมื่อส่งออกไม่ได้ ก็ได้คนไทยช่วยซื้อแทน 

ในเมื่อการส่งออกไทยลดลง แล้วคนไทยซื้อสินค้าต่างประเทศลดลงตามไปด้วย ลดความฟุ้งเฟ้อเห่อของนอกลง ถ้าคนไทยนิยมใช้ของไทย เศรษฐกิจไทยก็จะไปรอด

แปลง่าย ๆ คือ เมื่อรายได้ลดลง ก็ต้องหัดเจียมตัวเจียมใจ หัดประหยัดกันบ้าง อย่าคิดว่า เงินของฉันไม่ใช่เงินของประเทศ แต่ควรคิดว่า เงินของฉันก็คือส่วนหนึ่งที่จะช่วยเศรษฐกิจประเทศได้เช่นกัน


คลิกอ่าน "กับดักรายได้ปานกลาง" วิสัยทัศน์โดนใจของนายกฯ ประยุทธ์




1 ความคิดเห็น:

  1. ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง แต่วิธีการแก้ไขปัญหาที่คุณเอกนำเสนอมานั้นจะมีใครสนใจนำไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมหรือเปล่า?ในเมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศถูกมอมเมาด้วยนโยบายประชานิยมจนแทบโงหัวไม่ขึ้นกันอยู่แล้ว อีกไม่นานชายไทยคงจะต้องไปรับจ้างเป็นแรงงานราคาถูก ส่วนผู้หญิงก็คงจะต้องไปเป็นแม่บ้านหรือขายบริการทางเพศ ให้กับคนสิงค์โปร์เพื่อแลกกับเศษเงินในยังชีพไปเป็นวันๆ ช่างรู้สึกน่าสังเวชกับอนาคตอันมืดมนของคนประเทศเสียจริงๆ เลย

    ตอบลบ