วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พ.ศ. 2558 ถึงยุคเสื่อมของมหาเถรสมาคม กรณีสมีธัมมชโย





วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 ถือเป็นวันแห่งความเสื่อมของมหาเถรสมาคมที่มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ทำหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ได้มีการประชุมวินิจฉัยกรณีอาบัติปาราชิกของพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

ซึ่งผลสรุปออกมา มีมติว่าพระธัมมชโยไม่ปาราชิก !! อ้างเหตุว่าธัมมชโยไม่มีเจตนา ซึ่งได้คืนที่ดินให้วัดแล้ว และเพื่อความปรองดอง?



พระพรหมเมธี กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคม (มส.) และนายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้แถลงผลการประชุมเบื้องต้นว่า

พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกายและประธานมูลนิธิธรรมกาย ไม่ขาดปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ เนื่องจากได้มีการคืนทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับวัดแล้ว ไม่ถือเป็นการขัดต่อพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ลงวันที่ 26 เมษายน 2542 แต่อย่างใด โดยยืนตามคำตัดสินเดิมเมื่อ ปี 2549

"ขออย่านำเรื่องเดิมมาพูดกันอีกบ้านเมืองกำลังจะปรองดอง วินัยพระดูที่เจตนา" พระพรหมเมธี โฆษกมหาเถรสมาคมกล่าว

ปรองดองกับสมีปาราชิก เนี่ยนะ

(sanookข่าว)

--------------------

ทั้ง ๆ ที่พระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราช (ที่มีถึง 5 ฉบับ) ได้ทรงวินิจฉัยว่า พระธัมมชโยปาราชิกไปแล้ว จากเหตุยักยอกที่ดินของวัดมาเป็นของตนเอง

เพราะพระลิขิตของสมเด็ตพระสังฆราช ทรงสั่งให้คืนสมบัติทั้งหมดในขณะที่ยังเป็นพระแก่วัดทันที



ความหมายของพระลิขิตที่บอกว่า ต้องคืนสมบัติให้แก่วัดในขณะที่ยังเป็นพระนั้น หมายถึง เมื่อพระรับทรัพย์ใด ๆ ที่เกินกว่า 5 มาสกไว้เป็นของตนเกิน 10 วัน แล้วไม่มอบคืนให้แก่วัดที่สังกัดหรือสงฆ์ส่วนกลาง ต้องอาบัติปาราชิกทันที ซึ่งกรณีเทียบเคียงกับคดีสมีรักที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1

แต่กรณีธัมมชโยได้ยึดเอาที่ดินวัดไว้นานร่วม 10 ปีก็ไม่ยอมคืน

ขนาดมีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชมีวินิจฉัย เตือนให้ธัมมชโยรีบคืนที่ดินให้วัดตั้งแต่พระลิขิตตั้งแต่ฉบับที่ 1 ก็แล้ว ฉบับที่ 2 ที่3 ก็แล้ว มาจนกระทั่งฉบับที่ 4 ในพ.ศ. 2542 ที่ตัดสินว่า ธัมมชโยถึงอาบัติปาราชิก ก็แล้ว

แต่ธัมมชโยก็ยังไม่ยอมรีบคืนที่ดินให้แก่วัดในทันที แต่กลับลากยาวมาจนถึง พ.ศ.2549 จึงยอมคืนที่ดินให้ เพราะเกรงโทษอาญาแผ่นดินถึงขั้นติดคุก !!

เพียงแต่ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ในทางกฎหมายบ้านเมืองนั้น เป็นความผิดทางอาญาที่ยอมความกันได้ หากเจ้าทุกข์ได้ทรัพย์คืนหรือถอนฟ้อง (ส่วนความผิดอาญาตาม ปอ.มาตรา 157 เจ้าหน้าที่รัฐประพฤติมิชอบ นั้นยอมความไม่ได้ เจ้าอาวาสถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ)

แต่เหตุแห่งเจตนายักยอกทรัพย์สำเร็จแล้ว ความผิดสำเร็จแล้ว ต้องอาบัติปาราชิกโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องมีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชมาวินิจฉัยเลยด้วยซ้ำ

แม้ในทางกฎหมายบ้านเมืองคดียักยอกทรัพย์จะยอมความกันได้ แต่ความผิดในทางธรรมยอมความกันไม่ได้ เมื่อภิกษุมีเจตนาขโมยทรัพย์ที่มีค่าเกินกว่า 5 มาสก (1 บาท ) มาเป็นของตน ย่อมต้องอาบัติปาราชิก ไม่อาจคืนกลับมาบริสุทธิ์ได้อีก

หลักการความผิดฐานปาราชิกอยู่ที่การนำทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่ใช่พอถูกจับได้ แล้วนำทรัพย์ไปคืนเจ้าของ แล้วจะพ้นความเป็นปาราชิกได้

ขอสาธุชนผู้รักพระพุทธศาสนาจงวินิจฉัยเถิดว่า มหาเถระสมาคมเสื่อมแล้วหรือไม่ ?

"อาบัติปาราชิก หากผิดแม้แต่เพียงข้อเดียวก็ถือว่าภิกษุผู้อาบัติสิ้นสภาพการเป็นภิกษุแล้ว แม้จะไม่มีใครล่วงรู้หรือจับได้ก็ตาม การกราบไหว้บูชาภิกษุที่อาบัติปาราชิก นอกจากจะไม่เป็นบุญเป็นกุศลแล้ว ยังผิดมงคลที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาไว้ที่ว่า บูชาบุคคลที่ควรบูชาอีกด้วย"

ถ้าพระภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นสำนึกผิดและลาสิกขาบทออกจากเป็นพระภิกษุ แล้วทำบุญกุศล เมื่อตายไปก็จะสามารถขึ้นสวรรค์ได้

แต่ถ้ายังดื้อด้านไม่ยอมลาสิกขาบท ตายไปต้องตกนรกที่ลึกที่สุดคือ มหาขุมนรกอเวจี

---------------------


นายศุภชัย ศรีศุภอักษร

เมื่อวานนี้ ผมนั่งฟัง FM101 ตอนเช้าช่วงเดืนทางออกจากบ้าน ผู้จัดรายการเล่าว่า นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่ได้บริจาคเงิน 814 ล้านบาทให้ธัมมชโย เป็นเช็คเงินสดฉบับ 100 ล้านบาท หลายฉบับนั้น

เชื่อไหม นายศุภชัย เคยถวายเช็คฉบับละ 100 ล้านบาทให้ธัมมชโย ภายในวันเดียวถึง 4 ฉบับ ทั้งเช้า สาย บ่าย เย็น

แต่ธัมมชโย กลับบอกไม่เคยรู้จักนายศุภชัย ศรีศุภักอักษร เป็นการส่วนตัวมาก่อน รู้แค่เพียงเป็นญาติโยมคนนึงเท่านั้น จึงรับเงินที่เขาถวายด้วยความสุจริตใจ

ถามว่า ใครมันจะบ้าเอาเงินมาถวายพระวันเดียวมากถึง 400 ล้านบาท ??

แล้วธัมมชโย ก็แกล้งโง่ไม่สงสัยเลยเหรอว่า จะมีใครบ้าเอาเงินมาถวายวันเดียวมากถึง 400 ล้านบาท

เฉพาะวันที่ 15 ตุลาคม 2552 นายศุภชัย ศรีศุภักอักษร ถวายเช็คให้ธัมมชโย 4 ฉบับ ๆ ละ 100 บาท

รวมมูลค่าเงินทั้งหมด 814.78 ล้านบาท

ตัวอย่างสำเนาเช็ค 100 ล้านบาท ที่นายศุภชัย ศรีศุภักอักษร ถวายให้ธัมมชโย ในวันที่ 6 กันยายน 2552 เลขที่เช็ค 0100081



กรณีนี้เงินที่ธัมมชโยรับจากนายศุภชัย เข้าข่ายร่วมกันฟอกเงินชัด ๆ เพราะนายศุภชัยโกงเงินสหกรณ์มาถวาย

ที่จริงธัมมชโยหมดจากความเป็นพระตั้งแต่ปี 2542 ตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร

แต่การรับเช็คจากนายศุภชัย ของธัมมมชโย เกิดขึ้นใน พ.ศ. 2552 เรื่อยมา จึงไม่ใช่การรับเงินที่โยมถวายพระ แต่เป็นการให้เงินสมีที่ร่วมฟอกเงินต่างหาก

--------------------------

ทำไมกรรมการมหาเถรสมาคม จึงยอมให้สมีธัมมชโยพ้นผิด ?

ตอบง่าย ๆ ก่อนเลยว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ทำหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระอุปัชฌาย์ให้ธัมมชโย แถมยังเคยมอบพัดยศเลื่อนสมณศักดิ์ให้ธัมมชโยอีกเมื่อปี 2554

หากไปตัดสินว่า ธัมมชโยปาราชิกไปนานแล้ว ก็เท่ากับประจานตนเองว่า ปล่อยคนชั่วปล่อยคนผิดให้ลอยนวล แถมยังอุ้มชูส่งเสริมสมีให้เลื่อนยศสมณอีกด้วย

ซึ่งถ้ายึดตามกฎหมายสงฆ์สมัยรัชกาลที่ 1 เจ้าคณะทั้งหลาย กรรมการมหาเถรสมาคมทุกรูป ก็ถือว่ามีความผิดสมรู้ร่วมคิด โดนจับสึกหมดทุกรูป

ด้วยเหตุนี้ มส. จึงต้องปกป้องธัมมชโย ให้ไม่ปาราชิก




สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
กรรมการมหาเถรสมาคม แม่กองบาลีสนามหลวง เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ


แถมกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปก็ยังไปเดินอวดเท่บนกลีบดอกดาวรวยด้วย เช่นโฆษกมหาเถรสมาคม ที่แถลงข่าวว่าธัมมชโยไม่ผิดนั่นแหละ


พระพรหมเมธี กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยแม่กองธรรมสนามหลวง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์




ความผิดสมีไชยบูลย์ ชัดเจนขนาดนี้ ยังช่วยกันแถว่าไม่ผิด
พอกันทีกับมหาเถรสมาคม เพราะทุกวันนี้ เป็นเพียง มหาเดียร์ถีย์สมาคม

ร่วมกันคว่ำบาตรกับสงฆ์เหล่านี้

"กรรมการมหาเถรสมาคม" ทั้ง 20 รูป ประกอบด้วย ฝ่ายธรรมกาย 10 รูป และฝ่ายธรรมยุต 10 รูป

โดยพระที่สนับสนุนให้ธัมมชโยไม่ผิด มี 12 รูป คือ กรรมกายฝ่ายมหานิกาย 10 รูป และฝ่ายธรรมยุติกนิกายอีก 2 รูป

ให้สังเกตรายชื่อด้วยอักษรสีแดงทั้งหมด คือฝ่ายสนับสนุนสมีไชยบูลย์พ้นผิด

ฝ่ายมหานิกาย
1.สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ
2.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุทัศน์เทพวราราม
3.สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการาม
4.สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราม
5.พระพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา
6.พระวิสุทธิวงศาจารย์ วัดปากน้ำ
7.พระพรหมดิลก วัดสามพระยา
8.พระพรหมโมลี วัดปากน้ำภาษีเจริญ
9.พระพรหมสิทธิ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
10.พระพรหมบัณฑิต วัดประยุรวงศาวาส

ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย
1.สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดสัมพันธวงศาราม
2.สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
3.สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร
4.สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดเทพศิรินทราวาส
5.พระพรหมเมธาจารย์ วัดบุรณศิริมาตยาราม
6.พระพรหมเมธี วัดสัมพันธวงศาราม
7.พระพรหมมุนี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
8.พระพรหมวิสุทธาจารย์ วัดเครือวัลย์
9.พระธรรมธัชมุนี วัดปทุมวนาราม
10.พระธรรมบัณฑิต วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก

ถ้ายึดตามกฎหมายสงฆ์ในสมัยรัชกาลที่1 กรรมการมหาเถรสมาคมทั้ง 12 รูป คือ ผู้สมรู้ร่วมคิด ถือว่ามีความผิดร่วมกัน สมควรถูกจับสึกทั้งสิ้น

สำหรับผม ถือว่า กรรมการมหาเถรสมาคมทั้ง 12 รูป รวมถึงสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เป็นอลัชชีไปแล้วครับ



--------------

ดู ๆ พระพรหมเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม ฉลองเลื่อนสมณศักดิ์ เมื่อปี 2554

พระพรหมเมธี วัดสัมพันธวงศ์ 1 ในกรรมการมหาเถรสมาคมที่สนับสนุนสมีธัมมชโย เคยฉลองเลื่อนสมณศักดิ์อย่างอลังการ !!







คลิกดู รูปความเสื่อมของภิกษุรูปนี้ได้ที่นี่

------------------

ส่วน ปปง. อ้างว่า ไปยึดทรัพย์ที่ธัมมชโยได้รับจากนายศุภชัย ไม่ได้ เพราะได้นำเงินนั้นไปสร้างศาสนาสถานไปแล้ว ซึ่งถือว่า เป็นที่ดินสงฆ์ เป็นทรัพย์แผ่นดิน กฎหมายไม่ให้ยึดคืนอีก

นี่คือ การแถของ ปปง. เพราะไม่ได้ให้ไปยึดที่ดินวัดคืน แต่ให้ตรวจสอบบัญชีของธัมมชโย แล้วให้นำเงินมาคืน แล้วนำธัมมชโยดำเนินคดีฐานร่วมกันฟอกเงินด้วย

ก่อนจบ ขอฝากไว้

เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ผมเห็นคนโพสข้อความนึง แล้วชอบมาก


"เจ้าชายสิทธัตถะทรงสละทรัพย์สมบัติเพื่อออกบวช
แต่ไชยบูลย์ออกบวชเพื่อแสวงทรัพย์สมบัติ"

5555555 ชอบ ๆ

คลิกอ่าน ถอดผ้าเหลืองธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดปากน้ำต้องร่วมรับผิดชอบ (มีกฎหมายสงฆ์เรื่องปาราชิกสมัยรัชกาลที่ 1)




1 ความคิดเห็น: