วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เฉลย พระพักตร์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า คือรูปใดกันแน่






ผมเห็นในหลายเว็บ ได้นำรูปวาดรูปหนึ่งมาแชร์ต่อ ๆ กัน จนเกิดความเข้าใจผิดต่อ ๆ กันไปอีกว่า นี่คือรูปพระพักตร์หรือรูปใบหน้าที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ

ตามรูปนี้ครับ



โดยหลายเว็บที่นำรูปนี้มาลงได้อ้างว่า รูปนี้วาดโดยอัครสาวก เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ 41 พรรษา และรูปนี้ปัจจุบันเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลอนดอน

ตอนผมเห็นรูปนี้ครั้งแรก ผมมั่นใจเลยว่า ต้องมีการเข้าใจอะไรผิดแน่ ๆ เพราะหน้าตาคนในรูป ออกแนวมองโกล เกาหลี หรือ ธิเบต หรือ ญี่ปุ่น เสียมากกว่า

ไม่น่าใช่รูปพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าของเรา หรือ พระโคตมพระพุทธเจ้า อย่างแน่นอน แถมมีจุดจับผิดได้หลายจุด

ผมเลยเสาะหาข้อมูลจนได้เจอบทความนึงในภาษาเวียดนาม เขียนโดย คุณ Binh Anson ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาและศิลปะด้านพุทธศาสนา ชาวเวียดนามได้เขียนไว้

ผมก็ลองใช้กูเกิ้ลแปลภาษาช่วยแปลให้ แม้จะได้ภาษาไทยที่อ่านเข้าใจยากสักนิด แต่ผมก็พอจะสรุปและเรียบเรียงภาษาอย่างคร่าว ๆ จากบทความของคุณบินฮ์ แอนสัน มาได้ดังนี้

"บ่อยครั้งที่ผมได้พบรูปนี้ที่แชร์กันบนอินเตอร์เน็ต ว่านี่คือรูปพระพักตร์ที่แท้จริงพระพุทธเจ้า โดยอ้างว่า  มีสาวกเป็นผู้วาดรูปนี้เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ 41 พรรษา และรูปนี้ถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ

ซึ่งผมเคยเห็นรูปนี้มาประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา โดยพี่ชายของผมที่อยู่ในอเมริกาใต้ได้ส่งสำเนารูปนี้มาพร้อมคำอธิบาย




แต่ต่อมาผมได้ไปเห็นรูปนี้ในหน้าสุดท้ายของหนังสือที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่ได้ตีพิมพ์ในเวียดนามเมื่อประมาณก่อนปี 1975 นั่นจึงแสดงว่า รูปนี้เคยถูกเผยแพร่ในเวียดนามนานมาแล้วอย่างน้อย 30 - 40 ปี เป็นอย่างน้อย (สังเกตรูปเล็กด้านบนขวา)

ผมมีข้อสังเกตเกี่ยวกับรูปนี้ดังต่อไปนี้

1. รูปนี้มีใบหน้าลักษณะเช่น คนจีน หรือ มองโกเลีย มากกว่า ไม่ดูเป็นชาวอินเดียเลย

2. ผมดก และมีหนวดเครายาว ซึ่งแตกต่างจากพระสงฆ์ในพุทธศาสนาซึ่งต้องโกนผม

(akecity ขอแทรกความเห็น แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ก็มีเส้นพระเกศายาวเพียง 2 องคุลี หรือ 2 นิ้วเท่านั้นและยาวเช่นนั้นตลอดพระชมน์ชีพ โดยไม่ต้องโกนอีก พระเกศาของพระพุทธเจ้าไม่ได้ยาวเฟื้อยเหมือนในรูปดังกล่าว

ส่วนที่ช่างปั้นพระพุทธรูป มักจะสร้างพระพุทธรูปให้มีมวยผมนั้น ก็เพื่อให้พระพุทธเจ้ามีลักษณะที่ดูแตกต่างจากภิกษุทั่วไปเพื่อการสังเกตได้ง่ายเท่านั้น)


http://imgur.com/1c2VWec


3. มีการสวมเครื่องประดับต่างหู ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของภิกษุในพุทธศาสนา

4. ในสมัยพุทธกาล อินเดียยังไม่มีการวาดรูปบนกระดาษ เพราะกระดาษกำเนิดขึ้นที่ประเทศจีน ซึ่งในอินเดียยุคพุทธกาลยังไม่มีกระดาษใช้

5. หลังจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าล่วงไปแล้ว 500 ปี ในช่วงเวลานั้น อินเดียก็ยังไม่มีประเพณีวาดรูปหรือปั้นรูปเหมือนพระพุทธเจ้า เพื่อระลึกหรือสักการะ แต่ยุคนั้นคนอินเดียจะใช้การแกะสลักที่ไม้หรือก้อนหินเป็นรูปสัญลักษณ์แทน

จนกระทั่งกองทัพกรีกได้ยกทัพบุกอินเดีย ศิลปะกรีกจึงได้เผยแพร่สู่อินเดีย ถึงได้เริ่มมีการปั้นรูปเหมือนพระพุทธเจ้า

6. ผมเคยค้นหาวัตถุจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ ก็ไม่พบภาพในยุคโบราณของพระพุทธเจ้าบนกระดาษหรือผืนผ้าใบที่นำมาจากประเทศอินเดียเลย

7.  หากรูปนี้ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษจริง ๆ แน่นอนจะต้องเป็นรูปหรือวัตถุโบราณที่สำคัญ ซึ่งจะต้องมีนักวิชาการชาวพุทธที่รู้จักและกล่าวถึงรูปนี้กันทั่วโลก

แต่จนวันนี้ ยังไม่เคยมีเอกสารทางวิชาการที่กล่าวถึงรูปนี้ ไม่มีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางด้านพุทธศาสนากล่าวถึงหรือเขียนวิเคราะห์วิจารณ์ถึงรูปนี้เลย

ดังนั้น ผมขอสรุปว่า ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานอ้างอิงชัดเจนที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับรูปดังกล่าว ยังไม่รู้ต้นกำเนิดของรูปดังกล่าว เราจึงไม่ควรแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ

ที่มาบทความ http://chuaadida.com/chi-tiet-day-co-phai-hinh-anh-duc-phat-thich-ca-mau-ni-khong/




ผู้ชายคนกลางก็คือ คุณ Binh Anson ซึ่งเขาชอบมาเยี่ยมชมศิลปะทางพุทธศาสนา เช่นวัด และพระพุทธรูป รวมทั้งชอบพบปะพูดคุยกับพระภิกษุในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

เฟสบุ๊คของคุณ Binh Anson ก็ตามลิงค์นี้ครับ https://www.facebook.com/binh.anson.3

--------------------



ใหม่เมืองเอก สรุป

คือ ถ้าได้เห็นรูปที่อ้างว่าเป็นรูปพระพุทธเจ้าของแท้ในเว็บต่าง ๆ ทั้งเว็บภาษาอังกฤษด้วย เขาจะอ้างว่า รูปวาดนี้อยู่ในพิพิธภัณฑ์อิมพีเรียล ในประเทศอังกฤษ

แต่เมื่อหาข้อมูลพิพิธภัณฑ์อิมพีเรียลในอังกฤษแล้ว เราก็จะรู้ว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านสงคราม Imperial War Museums ซึ่งมีแต่อาวุธสงครามตั้งแต่อดีตมาจัดแสดงทั้งสิ้น

ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับพุทธศาสนาได้เลย โดยผม ใหม่เมืองเอก ได้ลองเข้าไปเว็บของพิพิธภัณฑ์อิมพีเรียลดูแล้ว เขาจะมีหน้าเว็บสำหรับค้นหาวัตถุที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

ซึ่งผมได้ลองค้นหาดูแล้ว ก็ไม่พบรูปพระพักตร์พระพุทธเจ้าที่ถูกแอบอ้างในพิพิธภัณฑ์นี้แต่อย่างใด


ทีนี้คุณผู้อ่านลองดูรูปด้านล่างนี้สิครับ รู้ไหมรู้ใคร ?? แล้วลองทายเล่น ๆ กันดู

ใบ้ให้ว่า เป็นบุคคลสำคัญที่คนไทยเรารู้จักกันดี



คำตอบคือ รูปบนนี้เป็นรูปของอิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญาตัวจริง ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นไงครับ

ผมว่า หน้าของอิคคิวซังตัวจริง ๆ ของแท้ ยังจะเหมือนกับรูปที่กล่าวอ้างว่า เป็นรูปพระพุทธเจ้ามีหนวดรูปนั้นซะมากกว่า จริงไหม ?  เพียงแต่อิคคิวซังไม่มีผมยาวเฟื้อยและใส่ต่างหู

ส่วนรูปชายสวมหมวกในชุดขาว ก็คือ เจงกิสข่าน มหาจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งอาณาจักรมองโกล  ซึ่งไว้หนวดยาว และใส่ต่างหูด้วย

โดยสรุปคือ บุคคลสำคัญ 2 คนนี้ ยังมีความละม้ายใกล้เคียงกับรูปที่ถูกแอบอ้างว่าเป็นรูปพระพักตร์พระพุทธเจ้ามากกว่า

-----------------------

รูปต่างหากนี้น่าจะเป็นรูปพระพุทธเจ้าของแท้

ก่อนอื่นเราต้องรู้ประวัติพระพุทธเจ้าพอสังเขปก่อนว่า พระพุทธเจ้าเป็นชาวเนปาลและอินเดียโบราณ หรือที่เรียกว่า ชาวอารยัน (หรือชาวเปอร์เซียโบราณ ปัจจุบันก็คือ ชาวอิหร่าน) คือชาวอินเดียโบราณที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ

พระพุทธเจ้าทรงอยู่ในสกุลศากยวงศ์ ทรงเป็นพระโอรสแห่งแคว้นสักกะ โดยมีเมืองหลวงชื่อ กรุงกบิลพัสดุ์ พระพุทธเจ้าทรงไปประสูติที่ลุมพินีวัน ในเขตประเทศเนปาล ในขณะที่พระนางสิริมหามายา พระมารดาเสด็จกลับไปเยี่ยมแคว้นบ้านเกิด เพื่อทรงคลอดบุตรตามประเพณี

ส่วนการตรัสรู้ การปฐมเทศนา และปรินิพพาน ทุกเหตุการณ์ล้วนเกิดขึ้นในแผ่นดินอินเดีย

แต่ในอดีตโบราณยังไม่มีการแบ่งเส้นเขตแดนเป็นประเทศเหมือนปัจจุบัน ไม่มีแบ่งเป็นประเทศเนปาล หรือ ประเทศอินเดีย แต่สมัยก่อนรับรู้ว่า ดินแดนในแถบนี้ เรียกกันว่า ชมพูทวีป




แม้ที่มาของรูปนี้ออกจะพิสดารและเหลือเชื่อไปเยอะ แต่ผมก็พร้อมที่จะเชื่อ เพราะครั้งแรกที่ผมเห็นรูปนี้ ผมรู้สึกปลื้มปิติในทันที เพราะชายในรูปนี้มีลักษณะสมกับเป็นลักษณะมหาบุรุษ ที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก (ตาม คห.ส่วนตัวผู้เขียน)

ตามที่ผมจำได้นะ เพราะผมได้ยินประวัติของรูปนี้เมื่อนานมาแล้ว จึงขอเล่าคร่าว ๆ หากจะมีข้อมูลผิดพลาดไปบ้าง ก็ขออภัยไว้ก่อน

ว่ากันว่า รูปนี้เกิดจากช่างภาพชาวอังกฤษคนนึง ได้ไปเยี่ยมชมต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่อินเดีย แล้วเกิดอยากลองของ เลยท้าทายไปว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเคยมีพระองค์จริงบนโลกนี้ ก็ขอให้แสดงปาฏิหาริย์ในขณะที่เขาถ่ายรูปต้นพระศรีมหาโพธิด้วย

แล้วเมื่อเขาถ่ายรูปต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้ว ก็บังเกิดติดรูปชายที่น่าจะเชื่อว่า เป็นพระพุทธเจ้าในฟิลม์ของเขา จนได้รูปนี้นำมาเผยแพร่ไปทั่วโลก

ผมไม่อธิบายอะไรต่อนะ เพราะนี่คือความเชื่อส่วนบุคคล ... 

แต่ความจริง... !!!

----------------------

ภาพพระุพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ความจริงเป็นภาพวาดสีน้ำมัน

หลังจากผมปล่อยบทความนี้ไปได้แค่ครึ่งวัน ผมก็ได้รับข้อมูลจากแฟนเพจของผมชื่อคุณอมร ได้ส่งข้อมูลมาให้ผมได้รู้ว่า แท้จริงแล้วรูปพระพุทธเจ้าที่ผมเชื่อมานานว่า เกิดจากช่างภาพชาวอังกฤษถ่ายรูปต้นพระศรีมหาโพธิ์ จนติดรูปชายที่มีลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้านั้น

ปรากฏว่า สิ่งที่ผมเชื่อ ย้ำ! เป็นความเชื่อของผมมาตั้งแต่เด็กที่ได้รับฟังต่อ ๆ มา กลับกลายเป็นความเชื่อที่ผิดพลาด !!!

เพราะรูปพระพุทเจ้าที่สวยงามรูปนี้ กลับเป็นภาพวาดจากจิตรกรชาวสเปน ที่ชื่อว่า Eduardo Chicharro ได้วาดภาพนี้ขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1916-1921 (พ.ศ. 2459-2464)

ภาพนี้มีชื่อเป็นภาษาสเปนว่า Las tentaciones de Buda เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผ้าใบขนาดกว้าง 290 ซม. ยาว 366 ซม



ปัจจุบันภาพนี้แขวนอยู่ที่ Real Academia de Bellas Artes de San Fernando (The Academy of fined arts of St. Ferdinan) กรุงมาดริด ประเทศสเปน

ซึ่งชื่อภาพก็หมายถึง การผจญกิเลส (ปราบกิเลส) (เอาชนะมาร) ของพระพุทธเจ้า (มาร = กิเลส)

รายละเอียดของภาพนี้ อ่านได้ที่ http://www.mryuse.com/?p=1919

แต่มีคนหัวหมอได้นำรูปนี้มาใช้เพื่อการค้า ตัดแค่บางส่วนของภาพแล้วทำให้เป็นสีขาวดำเพื่อดูขลัง แล้วสร้างประวัติภาพขึ้นมาใหม่ว่า เป็นภาพถ่ายที่เกิดจากปาฏิหาริย์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จนขายไปทั่วโลก

แล้วก็มีผมคนนึงที่หลงเชื่อเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปี ครับ



-------------------

ข้อคิดทิ้งท้าย

หลักกาลามสูตร ของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะที่ใช้ได้ในกรณีนี้อย่างมาก

เพราะผมเองก็เชื่อในสิ่งที่เชื่อผิดมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะหลงในรูปที่สวยงามรูปนี้ จนรีบเชื่อว่า นี่คือรูปของพระพุทธเจ้ามาแสดงปาฏิหาริย์จริง ๆ

แต่เมื่อได้รับรู้ความจริงแล้ว ก็ช่วยให้เราได้ข้อคิดสอนใจเราได้มากว่า อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรเร็วเกินไป โดยเฉพาะเรื่องที่แอบอ้างปาฏิหาริย์


คลิกอ่าน พระพุทธเจ้าตอนประสูติเดินได้ 7 ก้าวจริงหรือ

คลิกอ่าน ปาฏิหาริย์เจดีย์ตรัสรู้ กึ่งพุทธกาล




10 ความคิดเห็น:

  1. ในข้อสังเกตุข้อที่สองเกี่ยวมวยผม ซึ่งในความเป็นจริงตามลักษณะมหาบุรุษมิใช่เป็นมวยผมแต่เป็นจอมกระหม่อมที่นูนขึ้นมา. ดังนั้นคนอินเดียจึงนิยมทำมวยผมให้คล้ายกับจอมกระหม่อม ลักษณะอีกอย่างที่เรียกว่า "อุนาโลม" เป็นเส้นขนอ่อนขึ้นที่กลางหน้าผาก คนอินเดียจึงนิยมแต้มสีเป็นจุดกลางหน้าผากให้คล้ายกับอุนาโลมเช่นกัย

    ตอบลบ
  2. ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นว่าใช่รูปขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่เพราะท่านไม่ให้ยึดติดเรื่องนี้ซึ่งมันไม่สามารถจะหลุดพ้นได้และท่านได้ตรัสไว้ตามหลักกาลามสูตร 10 ประการแล้วด้วย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คุณตีความคำว่า "ไม่ยึดติด" ผิดแล้ว ถือเป็นการตีความแบบมิจฉาทิฐฏิอย่างหนึ่ง
      ถ้าคุณตีความแบบนี้ ก็ไม่ต้องศึกษาความรู้ด้านประวัติศาสตร์ ไม่ต้องศึกษาว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด เพราะแค่อ้างคำว่า "ไม่ยึดติด"

      ความไม่ยึดติด ที่ถูกต้องคือ "เรียนรู้ในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ไม่ยึดติด"
      เฉกเช่น "ความว่าง" ที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า "ความว่างในศาสนาพุทธ ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย แต่ความว่างในศาสนาพุทธมีทุกอย่าง แต่ไม่ยึดติด"

      ลบ
    2. โอ้วว ใช่เลยครับ ขอบคุณนะครับ ว่าง คือมีทุกสิ่งตามะรรมชาติ แต่ไม่ยึด เยี่ยม

      ลบ
  3. เห็นธรรม... ก็เห็นท่านเองครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ถูกต้องครับ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"
      แต่ในแง่ประวัติศาสตร์ ก็ต้องเขียนความจริงว่า อะไรเป็นอะไร อะไรถูกต้อง อะไรผิด สำหรับการศึกษาที่ถูกต้อง

      ลบ
  4. ศึกษาประสะติศาตรต้องพยายามชี้แจงตามข้อมุลจริงที่
    จะหามาได้ เหมือนผ้าห่อศพตูริน ที่นักวิทยาศาตรพิศูจนแบ้วว่าแนวโน้มจะไม่ใช่ขอวจริง แต่ศรัทราของผุ้ที่เชื่อก็ยังเชื่อว่าเปนผ้าห่อพระศพพ
    พระเยซู..

    ตอบลบ
  5. ตามประวัติของภาพนี้ ถูกวาดเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 41 พรรษา แต่พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาภาพนี้เริ่มก่อตั้งเมื่อ ปี พ.ศ 2296 คือหลังจากเสด็จปริริพพานแล้ว 2296 ปี อายุของภาพนี้ ต้องรวมกับพระชนม์ชีพต่อจากภาพวาดอีก 39 ปี รวม 2,335 ปี

    ระยะเวลากว่า 2,300 ปี ก่อน ใครคือผู้เก็บรักษาภาพนี้ และเก็บโดยวิธีใด ภาพจึงอยู่ในสภาพสมบูรณ์

    มีการพิสูจน์ คำนวณอายุที่แท้จริงของภาพวาดหรือไม่

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ในบทความบอกไปแล้วว่า ภาพนี้มั่วครับ ไม่ใช่ภาพพระพุทธเจ้า และไม่มีการพิสูจน์อายุภาพทั้งสิ้น เป็นการแชร์ต่อ ๆ กันมา แต่หาที่มาไม่ได้

      ลบ
  6. ผมมีภาพท่านครับและรู้สถานที่จริงท่านคือที่ใดไม่ใช่อินเดียหรือจีน สถานที่ท่านอยู่สุขสบายจนเกิดวิบากกรรมยุ่งเหยิงจากมนุษย์โลภทรยศคือที่ๆมีทะเลสองแบบชนติดกันที่เค้าเรียกอู่ข้าวอู่น้ำไม่เคยเกิดภัยพิบัติมีสรรพสิ่งในป่าหิมพานต์จริงมีแต่ถูกฆ่าตายหมดเพราะนึกคิดว่าท่านและบริวารเป็นยักษ์และสัดประหลายเพราะมีคนหน้าตอบเรียวยาวผมขายและพวกญาติพี่น้องเจ้าเล่ห์แฝงตัวมาทำลายอารยธรรมแสนๆปีจนสิ้น มีตัวละครเยอะที่เข้ามามีส่วนหดหู่สยองเกินจะรับได้นี่ละที่พระเกจิดังท่านว่าหากเราพูดมากไปอาจเป็นบ้าและพระถูกเขียนบทมาให้ไม่ยุ่งทางโลกพูดไปใครก็ไม่เชื่อแถมจะอาบัติ นี่แหละอดีตพระจึงมีการธุดงค์ส่งต่อกันเพื่อไปเดินตามรอยศึกษาเองว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะบอกต่อกันไม่ได้มันอยู่ในบทที่ถูกเขียนมาใหม่ ในคำสอนพระองค์อย่าเชื่อเรื่องเล่าเรื่องที่เขียนทั้งหมดจนกว่าจะไปพิสูจน์ด้วยตาและคิดด้วยตนเอง เศร้าใจยิ่งนัก

    ตอบลบ