วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แผนชั่ว เหตุรัฐบาลยิ่งลักษณ์กระสันอยากลดดอกเบี้ยลง 1 %






ก่อนการประชุม คณะกรรมการ กนง. ค่าเงินบาทของไทยก็ได้อ่อนค่าลงไปแตะที่ 30.20 บาทต่อดอลล่าห์สหรัฐ โดยที่ทาง ธปท. และกนง. ยังไม่ได้ใช้มาตรการใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง

ซึ่งค่าเงินบาทที่ 30 บาทกว่า ๆ ต่อดอลล่าห์ ก็เป็นค่าที่เหมาะสมตามสภาพเศรษฐกิจ แต่ถ้าจะให้ค่าเงินบาทอ่อนไปแตะที่ 31 บาท ตามคำเรียกร้องของผู้ส่งออกที่เห็นแก่ตัว ก็ถือว่าไม่สมควร

เพราะสันดานผู้ส่งออกไทยมักไม่เคยเลิกเห็นแก่ตัว เพราะจริง ๆ แล้ว ค่าเงินบาทอยู่ที่ 30 บาทกว่า ๆ ก็ควรจะพอใจได้แล้ว

ผู้ส่งออกในประเทศอื่น ๆ เขาก็ปรับตัวปรับสภาพกับความผันผวนของค่าเงินได้กันทั้งนั้น จะมีแต่ผู้ส่งออกไทยนิสัยเสีย คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว คิดแต่จะให้ชาติเสียเงินไปพยุงค่าเงินจนเจ๊งเมื่อปี 2540 มาทีนึงแล้ว

คิดแต่จะให้ลดดอกเบี้ยของผู้ออมในประเทศ เพื่อให้ค่าเงินบาทอ่อนเพื่อผลประโยชน์ตัวเองฝ่ายเดียว

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ของไทยเขาปรับสภาพได้ทั้งนั้นแหละ คงมีแต่ผู้ส่งออกบางรายและคนในสภาอุตสาหกรรมบางคนที่ร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อหวังผลบางอย่างเท่านั้น ที่ปากยังอ้างว่า ไม่พอใจกับค่าเงินบาทที่อยู่ระดับ 30 บาทกว่า ๆ ต่อดอลล่าห์

และในที่สุด กนง.ก็ได้ยอมลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 %

หากลดมากกว่านี้หนี้ภาคครัวเรือนที่กำลังพุ่งขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ก็จะยิ่งพุ่งมากขึ้นไปอีก เพราะคนจะไม่คิดอยากออมเงิน

ส่วนนายกิตติรัตน์ รมว.คลัง ก็ยังไม่พอใจในอัตรานี้ เพราะนายกิตติรัตน์ยังต้องการให้ลดดอกเบี้ยนโยบายลงมากถึง 1 %

---------------------------

คนแก่โดนปล้น !!

ดอกเบี้ยนโยบายเดิมอยู่ที่ 2.75 % แต่คนแก่จำนวนมากที่ฝากเงินกินดอกเบี้ย ส่วนมากก็จะได้ดอกเบี้ยที่ 3 %

เพราะธนาคารมักให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาวสูงกว่าดอกเบี้ยนโยบายเล็กน้อย

สมมุติคนแก่คนนึง ฝากเงินไว้สัก 2 ล้านบาท หวังกินดอกเบี้ยยามบั้นปลายชีวิต เคยได้ดอกเบี้ยปีละ 6 หมื่นบาท (สามารถคืนภาษีได้ทีหลัง)

ถ้าเกิดมีการลดดอกเบี้ยลงสัก 1 % ตามที่รัฐบาลอยากให้เป็น

คนแก่คนนั้นก็จะเหลือดอกเบี้ยแค่ 4 หมื่นบาทต่อปีเท่านั้น จะหายไปถึง 2 หมื่นบาท !!

นี่เท่ากับเป็นการรังแกคนแก่ เพื่อหวังช่วยผู้ส่งออกหรือไม่ ?


---------------------

นายทุนอสังหา ได้กู้เงินไปเก็งกำไรที่ดินได้สบายขึ้น

การลดดอกเบี้ยยังส่งผลให้ พวกนายทุนอสังหาฯ สามารถกู้เงินจากธนาคารไปหว่านซื้อที่ดินเก็บไว้เพื่อการเก็งกำไรได้จำนวนมาก แถมยังเสียดอกเบี้ยได้น้อยลง

อย่างเช่น การที่จะมีโครงการรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้าความเร็วสูงเกิดขึ้นในอนาคตนั้น

เหล่าบรรดานายทุนอสังหาริมทรัพย์ ก็กำลังหาทางกว้านซื้อที่ดินเส้นทางผ่านเพื่อรองรับโครงการเหล่านี้

แล้วถ้าดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง พวกนายทุนก็ยิ้มว่า จะได้ประหยัดดอกเบี้ยได้เยอะ

ทั้งเอสซีแอสเสท และ แสนสิริ กลุ่มอสังหาฯ พวกนี้รู้แน่ว่า ที่ดินตรงไหนที่เหมาะแก่การกว้านซื้อดักไว้ก่อน กลุ่มอสังหาพวกนี้แหละ ที่จะได้รับผลประโยชน์เต็มๆ จากการลดดอกเบี้ยของธนาคารลง

นอกจากนี้ยังทำให้โครงการอสังหา ที่ทำเสร็จรอขายไว้อยู่แล้วก็จะขายดียิ่งขึ้น เพราะดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงนี่แหละครับ

ประชาชนที่ไม่อยากกินดอกเบี้ยต่ำๆ จากธนาคารอีก ก็อาจถอนเงินเอามาลงทุนด้วยการซื้ออสังหาริมทรัพย์แทน

เพราะขึ้นชื่อว่า นายทุนย่อมไม่ชอบให้คนออมเงิน แต่ชอบให้คนใช้จ่ายมาก ๆ เพราะพวกนายทุนได้ประโยชน์อย่างมากจากการที่คนจับจ่ายเงิน

รัฐบาลนายทุน จึงชอบกระตุ้นให้คนไทยจ่ายเงิน โดยอ้างเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจบังหน้า 

คลิกที่รูปเพื่ออ่านข่าวนี้ !!



-------------------------


ทำไมรัฐบาลยิ่งลักษณ์กระสันอยากลดดอกเบี้ยลง 1 % ?

ส่วนสาเหตุที่สำคัญที่สุด ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยากให้ลดดอกเบี้ยลงมากถึง 1 % นั้นก็๋คือ

เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์เตรียมจะออกพันธบัตรในโครงการเงินกู้แก้ปัญหาเรื่องน้ำ 3.5แสนล้าน และโครงการเงินกู้2.2ล้านบาท เพื่อสร้างรถไฟฟ้าทั้งแบบปกติและแบบความเร็วสูง ขายให้ประชาชน

หากดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ในระดับ2.75 % ก็จะทำให้รัฐบาลต้องให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสูงกว่านั้น ซึ่งอาจสูงถึง 4 % เพื่อจูงใจให้คนมาซื้อพันธบัตร

แต่ถ้าสามารถทำให้ดอกเบี้ยนโยบายลดลงเหลือที่ 1.75 % ตามที่รัฐบาลต้องการได้นั้น

ก็จะทำให้รัฐบาลอาจปล่อยพันธบัตรออกมาด้วยอัตราผลตอบแทนต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ คือที่ 2.5 - 3 % ก็เพียงพอที่จะล่อให้ประชาชนแห่ถอนเงินออมออกจากธนาคาร เพื่อมาซื้อพันธบัตรเงินกู้ในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลแทนได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

นี่เท่ากับรัฐบาลกำลังหวังผลทางการตลาดของตลาดพันธบัตรเงินกู้ ด้วยการอ้างเรื่องค่าเงินบาทแข็งมาบังหน้าเพื่อกดดันธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบายนั่นเองครับ

แปลง่ายๆ คือ รัฐบาลไม่อยากจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรในอัตราสูง และต้องการให้มีคนไทยแห่มาซื้อพันธบัตรเงินกู้กันมาก ๆ แทนการฝากเงินในธนาคาร เพื่อสนองโครงการประชานิยมของรัฐบาลนั่นเอง

เพราะรัฐบาลนายทุนและพวกนายทุนพวกพ้องต่างหวังว่า โครงการกู้ทั้ง 2 โครงการนั้นจะสำเร็จโดยเร็ว เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้แก่พวกตัวเองมหาศาล หากมีคนมาซื้อพันธบัตรกันน้อยไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โครงการก็ย่อมสำเร็จล่าช้า ที่ดินที่กว้านซื้อเก็งกำไรไว้ก็จะขายออกช้า

แต่ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังไม่ลดลงตามที่รัฐบาลนายทุนกระสันอยากจะได้

ก็คงต้องรอดูต่อไปว่า มันจะทำอย่างไรต่อ ..


คลิกอ่าน เศรษฐาใหญ่ยาว จน ยิ่งลักษณ์น้ำแตก





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น