เพราะบล็อคมุมมองใหม่เมืองเอก ลิงค์มักมีปัญหาไลค์ไม่ได้ เลยมาเปิดบล็อคใหม่อันนี้แทนครับ
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
คดีสมเด็จช่วงครอบครองรถเถื่อน ก็แค่อาตมารู้เท่าไม่ถึงการณ์นะจ๊ะ
ผลตรวจสอบสรุปอย่างไม่เป็นทางการของดีเอสไอ ในคดีสมเด็จช่วง วัดปากน้ำ ครอบครองรถหรู ผลปรากฎว่า สำแดงที่มารถหรูเป็นเท็จ
ซึ่งดีเอสไอก็จะแถลงผลสอบอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 ก.พ. 59 นี้ หรือวันที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่นั่นเอง
แต่ผมขอยกเอาผลตรวจสอบอย่างไม่เป็นทางการมาให้คุณผู้อ่าน ได้อ่านคร่าว ๆ ตามข่าวก่อนตามนี้
ย้ำ !! คดีรถเบนซ์ของสมเด็จช่วง พบว่าเป็นการทำผิดกฎหมายทุกขั้นตอน !!
แล้ว พ.ต.อ.ไพสิฐ อธิบดีดีเอสไอ กรุณาอย่ามาอ้างว่า ผู้ครอบครองอาจไม่เจตนาจงใจกระทำผิด เพื่ออุ้มคนผิดเลย เพราะทำผิดกฎหมายก็คือผิดกฎหมาย!!
แถมทางวัดปากน้ำก็ยืนยันซ้ำหลายครั้งว่า สมเด็จช่วงได้รถหรูทุกคันมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ฉะนั้นจะมาอ้างว่า เพราะ อาตมาไม่รู้กฎหมาย จะมาอ้างว่าอาตมาไม่เจตนาทำผิดกฎหมาย แค่อาตมาทำในสิ่งที่กฎหมายห้ามเท่านั้น เพราะ อาตมาแค่บกพร่องโดยสุจริต อาตมารู้เท่าไม่ถึงการณ์ มาอ้างแบบนี้มันจะได้ไหม
ถ้าเป็นประชาชนทั่วไปถือครองรถยนต์เถื่อนที่สำแดงที่มาผิดกฏหมายบ้างล่ะ ประชาชนจะอ้างว่า ผมไม่รู้กฎหมาย ผมไม่เจตนา แล้วกฎหมายก็ยอมความให้อย่างนั้นหรือ ?
มันไม่ใช่ !!!
โอเค ถ้าสมมุติว่า สมเด็จช่วงไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เห็นเป็นใจ ว่ารถที่ตนครอบครองอยู่นั้นเป็นรถเถื่อนจริง ๆ
งั้นผมขอถามสั้น ๆ เลยนะว่า ว่าที่สังฆราชครอบครองรถหรูเถื่อนผิดกฎหมาย เลี่ยงภาษีรถนำเข้าทั้งคัน สมควรไหมที่จะเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่แปดเปื้อนมัวหมองมีมลทินแบบนี้
(ถึงแม้จะอ้างว่าไม่เจตนา แต่ก็มีเหตุมัวหมองเพราะทำผิดกฎหมาย จากเหตุครอบครองสิ่งผิดกฎหมาย)
เป็นพระจะสะสมทรัพย์สินมากมายไปทำไม ?
ทำไมไม่ใส่ชื่อมูลนิธิหลวงพ่อวัดปากน้ำ หรือใส่ชื่อวัดปากน้ำเป็นเจ้าของรถแทนเล่า ?
พระพุทธเจ้าถึงทรงสอนไม่ให้พระสะสมทรัพย์สินเงินทอง ก็เพราะจะมีเหตุมัวหมองเพราะทรัพย์นั้นได้
ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นตำแหน่งสูงสุดในทางโลกทางอำนาจรัฐในการปกครองพระสงฆ์ไทย ก็สมควรให้ภิกษุผู้บริสุทธิ์ทุกด้านมารับตำแหน่ง ไม่ควรมีเหตุมัวหมองใด ๆ ทั้งสิ้น เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีต่อคณะสงฆ์ไทย
ไม่ใช่พระสังฆราชมีทรัพย์สมบัติมากมาย แล้วจะเป็นแบบอย่างที่ดีได้อย่างไรกัน
แต่ที่หนักหนาสาหัสกว่าประเด็นรถหรูเถื่อน ก็คือ สมเด็จช่วงให้การสนับสนุนให้ธัมมชโยซึ่งปาราชิกไปแล้ว ยังเป็นพระต่อไปได้ โดยอ้างว่า เรื่องธัมมชโยหรือไม่นั้น ยังมาไม่ถึง มส. ให้พิจารณา เพราะคดีได้ตกในศาลชั้นต้นทางสงฆ์คือชั้นเจ้าคณะ ส่วนรายละเอียดเรื่องนี้อ่านได้ที่บทความนี้
คลิกอ่าน มส.เลี่ยงบาลี เพื่อไม่เอาผิดธัมมชโย
คุณช่วงช่วง ถ้าคุณยังรักพุทธศาสนา อยากปกป้องคณะสงฆ์ไทยไม่ให้มัวหมองเพราะมีพระสังฆราชผู้มัวหมองแปดเปื้อนเลี่ยงภาษีจนอาจถึงขั้นปาราชิก ก็จงลดอัตตา ยอมสละสิทธิการเป็นสังฆราชาก็ยังทัน เปรียบประดุจเทวทัตสำนึกผิดถวายคางเป็นพุทธบูชาก่อนต้องธรณีสูบนั่นแล
แถมล่าสุด DSI ได้แถลงว่า จะฟ้องร้องธัมมชโยลูกศิษย์ตาช่วงในคดีรับของโจรและฟอกเงิน อีกด้วย
ชั่งสมกันราวกับ กองขี้หมากับแมลงวันจริง ๆ
อุปัชฌาย์ ต้องคดีเลี่ยงภาษีรถยนต์ ส่วนศิษย์ธัมมี่ ก็โดนคดีรับของโจรและฟอกเงิน
สองอาจารย์ศิษย์ ชั่งทุศีลเสมอกันจริง ๆ
-----------------------
ฝากท้ายบทความด้วยคำพูดของหลวงตามหาบัวที่กล่าวว่า "มติมหาเถระฯ ไม่ได้ใหญ่กว่าพระธรรมวินัย ไม่ได้ใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า"
แล้วพวกเสื้อแดงที่คิดว่าตัวเองรักพุทธศาสนาจริง ๆ ก็อย่าอ้างเรื่องพระพุทธะอิสระ หรือที่พวกเสื้อแดงเรียก ไอ้สุวิทย์ มาเพื่อปกปิดความชั่วของตาช่วงและธรรมกาย เพียงเพราะเกลียดพระสุวิทย์ ก็เลยปกป้องคนชั่วคนผิดอย่างนั้นเหรอ
ถ้าพวกเสื้อแดงจะเกลียดพระพุทธะอิสระ หรือจะมองว่าเขาไม่ใช่พระ มองเป็นไอ้สุวิทย์ห่มเหลือง อะไรก็ชั่ง เพราะนั่นคือสิทธิของพวกคุณ
แต่ควรมองที่การปกป้องพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
คลิกอ่าน สมเด็จช่วง วัดปากน้ำ ผู้หลงใหลลาภสักการะ
คลิกอ่าน แผนทำลายสถาบันศาสนาของระบอบทักษิณ
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
ถ้าผู้สมัคร สส. ทุจริตเลือกตั้ง พรรคการเมืองต้นสังกัดต้องรับผิดชอบ
พอมีเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์ เปิดเผยออกมา
เท่าที่ผมอ่านก็เห็นว่า ร่าง รธน. ฉบับนี้จะเน้นไปที่สกัดคนโกง หรือสกัดคนที่เคยต้องคดีคอร์รัปชั่นมาก่อนไม่ให้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง
คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่นเน้นป้องกันคนที่เคยมีประวัติด้านทุจริตไม่ให้มีโอกาสกลับมาเล่นการเมืองได้อีก
แต่ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์ กลับลืมว่า ถ้ากรณีคนที่ไม่เคยมีประวัติทุจริต หรือ โกง มาก่อนเลยล่ะ แต่กลับเพิ่งมาโกงในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จะมีมาตรการลงโทษพรรคการเมืองต้นสังกัดอย่างไรบ้าง
ผมถึงจำเป็นต้องเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรกำหนดบทลงโทษต่อพรรคการเมืองที่ไม่ใส่ใจในการเฟ้นหาคนดีเข้าสภาด้วยตามนี้
เรื่อง การตัดสิทธิผู้สมัคร สส. ที่ทุจริตเลือกตั้ง ต้องตัดสิทธิพรรคการเมืองต้นสังกัดด้วย
คือผมขอเสนอว่า นอกจากตัดสิทธิผู้สมัครที่ทุจริตการเลือกรายนั้น ๆ ไปแล้ว ก็ควรตัดสิทธิพรรคการเมืองในเขตนั้น ๆ ด้วยอย่างน้อย 5 ปี เช่น
สมมุติ ถ้าพรรคการเมือง A ส่งผู้สมัครชื่อนายใหม่ เมืองเอกลงในเขต 1 จังหวัดเชียงใหม่
แล้วต่อมา กกต. ได้ให้ใบแดงแก่นายใหม่ เมืองเอก จากข้อหาทุจริตการเลือกตั้ง และต่อมาศาลได้พิพากษาให้ตัดสิทธิทางการเมืองต่อนายใหม่ เมืองเอก ไม่ว่าจะกี่ปีก็ตาม รธน. ที่กำหนดไว้
ผมเห็นว่า รธน.ก็ควรกำหนดให้ตัดสิทธิพรรคการเมืองที่เป็นต้นสังกัดของนายใหม่ เมืองเอก ที่ต้องหมดสิทธิส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในเขตนั้น ๆ ไปอีกอย่างน้อย 5 ปีด้วย เพื่อร่วมแสดงความรับผิดชอบ
ไม่ใช่แค่ตัดสิทธิเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งเท่านั้น แล้วพรรคการเมืองต้นสังกัดไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบอะไรเลย
ยังปล่อยพรรคการเมืองนั้น ๆ ยังส่งผู้สมัครลงในเขตที่ลูกพรรคตัวเองมีปัญหาทุจริตได้เหมือนเดิม แบบนี้ไม่ถูกต้อง
เพราะพรรคการเมืองจะไม่เข็ดหลาบ และไม่ใส่ใจในการคัดสรรคัดกรองหาคนดีมาลงสมัครเลือกตั้งให้มากขึ้น
จึงเห็นควรกำหนดในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่า ต้องตัดสิทธิพรรคการเมืองต้นสังกัดของผู้สมัครที่ทุจริตหมดสิทธิส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในเขตที่มีปัญหาทุจริตไปอีกอย่างน้อย 5 ปี
----------------
แพ้คะแนนโหวตโน พรรคการเมืองต้นสังกัดก็ต้องถูกเว้นวรรค
เพราะรัฐธรรมนูญที่ผ่าน ๆ มา ไม่ให้ความสำคัญกับคะแนนโหวตโนเท่าที่ควร
เพราะสุดท้ายคนที่แพ้ตะแนนโหวตโนก็ยังสามารถกลับมาเลือกตั้งซ่อมใหม่ได้ เพื่อหา สส. เข้าสภาให้ได้ในที่สุด และพรรคการเมืองต้นสังกัดก็ไม่เคยมีส่วนรับผิดชอบอะไรเลย หากผู้สมัครของคนแพ้คะแนนโหวตโน
ดังนั้นผมถึงอยากเสนอว่า
ในกรณีคะแนนผู้สมัคจากพรรคการเมืองใดก็ตามที่มีคะแนนแพ้คะแนนโหวตโนในเขตนั้น ๆ พรรคการเมืองต้นสังกัดที่แพ้คะแนนโหวตโนในเขตนั้น ๆ ก็ต้องหมดสิทธิส่งผู้สมัครลงเพื่อเลือกตั้งซ่อมใหม่เพื่อหา สส. เข้าสภาในสมัยนั้นด้วย
หมายถึง พรรคการเมืองต้นสังกัดต้องเว้นวรรคการส่งผู้สมัครในเขตนั้นไปเลย ไว้รอสมัยหน้าจึงค่อยมีสิทธิส่งผู้สมัครได้ใหม่
คลิกอ่าน เจ้าอาวาสส้วมทอง คู่กับ นางโพยโฟร์ซีซั่น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)