วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เฉลย พระพักตร์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า คือรูปใดกันแน่






ผมเห็นในหลายเว็บ ได้นำรูปวาดรูปหนึ่งมาแชร์ต่อ ๆ กัน จนเกิดความเข้าใจผิดต่อ ๆ กันไปอีกว่า นี่คือรูปพระพักตร์หรือรูปใบหน้าที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ

ตามรูปนี้ครับ



โดยหลายเว็บที่นำรูปนี้มาลงได้อ้างว่า รูปนี้วาดโดยอัครสาวก เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ 41 พรรษา และรูปนี้ปัจจุบันเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลอนดอน

ตอนผมเห็นรูปนี้ครั้งแรก ผมมั่นใจเลยว่า ต้องมีการเข้าใจอะไรผิดแน่ ๆ เพราะหน้าตาคนในรูป ออกแนวมองโกล เกาหลี หรือ ธิเบต หรือ ญี่ปุ่น เสียมากกว่า

ไม่น่าใช่รูปพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าของเรา หรือ พระโคตมพระพุทธเจ้า อย่างแน่นอน แถมมีจุดจับผิดได้หลายจุด

ผมเลยเสาะหาข้อมูลจนได้เจอบทความนึงในภาษาเวียดนาม เขียนโดย คุณ Binh Anson ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธศาสนาและศิลปะด้านพุทธศาสนา ชาวเวียดนามได้เขียนไว้

ผมก็ลองใช้กูเกิ้ลแปลภาษาช่วยแปลให้ แม้จะได้ภาษาไทยที่อ่านเข้าใจยากสักนิด แต่ผมก็พอจะสรุปและเรียบเรียงภาษาอย่างคร่าว ๆ จากบทความของคุณบินฮ์ แอนสัน มาได้ดังนี้

"บ่อยครั้งที่ผมได้พบรูปนี้ที่แชร์กันบนอินเตอร์เน็ต ว่านี่คือรูปพระพักตร์ที่แท้จริงพระพุทธเจ้า โดยอ้างว่า  มีสาวกเป็นผู้วาดรูปนี้เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ 41 พรรษา และรูปนี้ถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ

ซึ่งผมเคยเห็นรูปนี้มาประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา โดยพี่ชายของผมที่อยู่ในอเมริกาใต้ได้ส่งสำเนารูปนี้มาพร้อมคำอธิบาย




แต่ต่อมาผมได้ไปเห็นรูปนี้ในหน้าสุดท้ายของหนังสือที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่ได้ตีพิมพ์ในเวียดนามเมื่อประมาณก่อนปี 1975 นั่นจึงแสดงว่า รูปนี้เคยถูกเผยแพร่ในเวียดนามนานมาแล้วอย่างน้อย 30 - 40 ปี เป็นอย่างน้อย (สังเกตรูปเล็กด้านบนขวา)

ผมมีข้อสังเกตเกี่ยวกับรูปนี้ดังต่อไปนี้

1. รูปนี้มีใบหน้าลักษณะเช่น คนจีน หรือ มองโกเลีย มากกว่า ไม่ดูเป็นชาวอินเดียเลย

2. ผมดก และมีหนวดเครายาว ซึ่งแตกต่างจากพระสงฆ์ในพุทธศาสนาซึ่งต้องโกนผม

(akecity ขอแทรกความเห็น แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ก็มีเส้นพระเกศายาวเพียง 2 องคุลี หรือ 2 นิ้วเท่านั้นและยาวเช่นนั้นตลอดพระชมน์ชีพ โดยไม่ต้องโกนอีก พระเกศาของพระพุทธเจ้าไม่ได้ยาวเฟื้อยเหมือนในรูปดังกล่าว

ส่วนที่ช่างปั้นพระพุทธรูป มักจะสร้างพระพุทธรูปให้มีมวยผมนั้น ก็เพื่อให้พระพุทธเจ้ามีลักษณะที่ดูแตกต่างจากภิกษุทั่วไปเพื่อการสังเกตได้ง่ายเท่านั้น)


http://imgur.com/1c2VWec


3. มีการสวมเครื่องประดับต่างหู ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของภิกษุในพุทธศาสนา

4. ในสมัยพุทธกาล อินเดียยังไม่มีการวาดรูปบนกระดาษ เพราะกระดาษกำเนิดขึ้นที่ประเทศจีน ซึ่งในอินเดียยุคพุทธกาลยังไม่มีกระดาษใช้

5. หลังจากการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าล่วงไปแล้ว 500 ปี ในช่วงเวลานั้น อินเดียก็ยังไม่มีประเพณีวาดรูปหรือปั้นรูปเหมือนพระพุทธเจ้า เพื่อระลึกหรือสักการะ แต่ยุคนั้นคนอินเดียจะใช้การแกะสลักที่ไม้หรือก้อนหินเป็นรูปสัญลักษณ์แทน

จนกระทั่งกองทัพกรีกได้ยกทัพบุกอินเดีย ศิลปะกรีกจึงได้เผยแพร่สู่อินเดีย ถึงได้เริ่มมีการปั้นรูปเหมือนพระพุทธเจ้า

6. ผมเคยค้นหาวัตถุจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ ก็ไม่พบภาพในยุคโบราณของพระพุทธเจ้าบนกระดาษหรือผืนผ้าใบที่นำมาจากประเทศอินเดียเลย

7.  หากรูปนี้ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษจริง ๆ แน่นอนจะต้องเป็นรูปหรือวัตถุโบราณที่สำคัญ ซึ่งจะต้องมีนักวิชาการชาวพุทธที่รู้จักและกล่าวถึงรูปนี้กันทั่วโลก

แต่จนวันนี้ ยังไม่เคยมีเอกสารทางวิชาการที่กล่าวถึงรูปนี้ ไม่มีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางด้านพุทธศาสนากล่าวถึงหรือเขียนวิเคราะห์วิจารณ์ถึงรูปนี้เลย

ดังนั้น ผมขอสรุปว่า ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานอ้างอิงชัดเจนที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับรูปดังกล่าว ยังไม่รู้ต้นกำเนิดของรูปดังกล่าว เราจึงไม่ควรแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบ

ที่มาบทความ http://chuaadida.com/chi-tiet-day-co-phai-hinh-anh-duc-phat-thich-ca-mau-ni-khong/




ผู้ชายคนกลางก็คือ คุณ Binh Anson ซึ่งเขาชอบมาเยี่ยมชมศิลปะทางพุทธศาสนา เช่นวัด และพระพุทธรูป รวมทั้งชอบพบปะพูดคุยกับพระภิกษุในประเทศไทยเป็นอย่างมาก

เฟสบุ๊คของคุณ Binh Anson ก็ตามลิงค์นี้ครับ https://www.facebook.com/binh.anson.3

--------------------



ใหม่เมืองเอก สรุป

คือ ถ้าได้เห็นรูปที่อ้างว่าเป็นรูปพระพุทธเจ้าของแท้ในเว็บต่าง ๆ ทั้งเว็บภาษาอังกฤษด้วย เขาจะอ้างว่า รูปวาดนี้อยู่ในพิพิธภัณฑ์อิมพีเรียล ในประเทศอังกฤษ

แต่เมื่อหาข้อมูลพิพิธภัณฑ์อิมพีเรียลในอังกฤษแล้ว เราก็จะรู้ว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านสงคราม Imperial War Museums ซึ่งมีแต่อาวุธสงครามตั้งแต่อดีตมาจัดแสดงทั้งสิ้น

ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับพุทธศาสนาได้เลย โดยผม ใหม่เมืองเอก ได้ลองเข้าไปเว็บของพิพิธภัณฑ์อิมพีเรียลดูแล้ว เขาจะมีหน้าเว็บสำหรับค้นหาวัตถุที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์

ซึ่งผมได้ลองค้นหาดูแล้ว ก็ไม่พบรูปพระพักตร์พระพุทธเจ้าที่ถูกแอบอ้างในพิพิธภัณฑ์นี้แต่อย่างใด


ทีนี้คุณผู้อ่านลองดูรูปด้านล่างนี้สิครับ รู้ไหมรู้ใคร ?? แล้วลองทายเล่น ๆ กันดู

ใบ้ให้ว่า เป็นบุคคลสำคัญที่คนไทยเรารู้จักกันดี



คำตอบคือ รูปบนนี้เป็นรูปของอิคคิวซัง เณรน้อยเจ้าปัญญาตัวจริง ที่อยู่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นไงครับ

ผมว่า หน้าของอิคคิวซังตัวจริง ๆ ของแท้ ยังจะเหมือนกับรูปที่กล่าวอ้างว่า เป็นรูปพระพุทธเจ้ามีหนวดรูปนั้นซะมากกว่า จริงไหม ?  เพียงแต่อิคคิวซังไม่มีผมยาวเฟื้อยและใส่ต่างหู

ส่วนรูปชายสวมหมวกในชุดขาว ก็คือ เจงกิสข่าน มหาจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแห่งอาณาจักรมองโกล  ซึ่งไว้หนวดยาว และใส่ต่างหูด้วย

โดยสรุปคือ บุคคลสำคัญ 2 คนนี้ ยังมีความละม้ายใกล้เคียงกับรูปที่ถูกแอบอ้างว่าเป็นรูปพระพักตร์พระพุทธเจ้ามากกว่า

-----------------------

รูปต่างหากนี้น่าจะเป็นรูปพระพุทธเจ้าของแท้

ก่อนอื่นเราต้องรู้ประวัติพระพุทธเจ้าพอสังเขปก่อนว่า พระพุทธเจ้าเป็นชาวเนปาลและอินเดียโบราณ หรือที่เรียกว่า ชาวอารยัน (หรือชาวเปอร์เซียโบราณ ปัจจุบันก็คือ ชาวอิหร่าน) คือชาวอินเดียโบราณที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ

พระพุทธเจ้าทรงอยู่ในสกุลศากยวงศ์ ทรงเป็นพระโอรสแห่งแคว้นสักกะ โดยมีเมืองหลวงชื่อ กรุงกบิลพัสดุ์ พระพุทธเจ้าทรงไปประสูติที่ลุมพินีวัน ในเขตประเทศเนปาล ในขณะที่พระนางสิริมหามายา พระมารดาเสด็จกลับไปเยี่ยมแคว้นบ้านเกิด เพื่อทรงคลอดบุตรตามประเพณี

ส่วนการตรัสรู้ การปฐมเทศนา และปรินิพพาน ทุกเหตุการณ์ล้วนเกิดขึ้นในแผ่นดินอินเดีย

แต่ในอดีตโบราณยังไม่มีการแบ่งเส้นเขตแดนเป็นประเทศเหมือนปัจจุบัน ไม่มีแบ่งเป็นประเทศเนปาล หรือ ประเทศอินเดีย แต่สมัยก่อนรับรู้ว่า ดินแดนในแถบนี้ เรียกกันว่า ชมพูทวีป




แม้ที่มาของรูปนี้ออกจะพิสดารและเหลือเชื่อไปเยอะ แต่ผมก็พร้อมที่จะเชื่อ เพราะครั้งแรกที่ผมเห็นรูปนี้ ผมรู้สึกปลื้มปิติในทันที เพราะชายในรูปนี้มีลักษณะสมกับเป็นลักษณะมหาบุรุษ ที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก (ตาม คห.ส่วนตัวผู้เขียน)

ตามที่ผมจำได้นะ เพราะผมได้ยินประวัติของรูปนี้เมื่อนานมาแล้ว จึงขอเล่าคร่าว ๆ หากจะมีข้อมูลผิดพลาดไปบ้าง ก็ขออภัยไว้ก่อน

ว่ากันว่า รูปนี้เกิดจากช่างภาพชาวอังกฤษคนนึง ได้ไปเยี่ยมชมต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่อินเดีย แล้วเกิดอยากลองของ เลยท้าทายไปว่า ถ้าพระพุทธเจ้าเคยมีพระองค์จริงบนโลกนี้ ก็ขอให้แสดงปาฏิหาริย์ในขณะที่เขาถ่ายรูปต้นพระศรีมหาโพธิด้วย

แล้วเมื่อเขาถ่ายรูปต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้ว ก็บังเกิดติดรูปชายที่น่าจะเชื่อว่า เป็นพระพุทธเจ้าในฟิลม์ของเขา จนได้รูปนี้นำมาเผยแพร่ไปทั่วโลก

ผมไม่อธิบายอะไรต่อนะ เพราะนี่คือความเชื่อส่วนบุคคล ... 

แต่ความจริง... !!!

----------------------

ภาพพระุพุทธเจ้าใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ความจริงเป็นภาพวาดสีน้ำมัน

หลังจากผมปล่อยบทความนี้ไปได้แค่ครึ่งวัน ผมก็ได้รับข้อมูลจากแฟนเพจของผมชื่อคุณอมร ได้ส่งข้อมูลมาให้ผมได้รู้ว่า แท้จริงแล้วรูปพระพุทธเจ้าที่ผมเชื่อมานานว่า เกิดจากช่างภาพชาวอังกฤษถ่ายรูปต้นพระศรีมหาโพธิ์ จนติดรูปชายที่มีลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้านั้น

ปรากฏว่า สิ่งที่ผมเชื่อ ย้ำ! เป็นความเชื่อของผมมาตั้งแต่เด็กที่ได้รับฟังต่อ ๆ มา กลับกลายเป็นความเชื่อที่ผิดพลาด !!!

เพราะรูปพระพุทเจ้าที่สวยงามรูปนี้ กลับเป็นภาพวาดจากจิตรกรชาวสเปน ที่ชื่อว่า Eduardo Chicharro ได้วาดภาพนี้ขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1916-1921 (พ.ศ. 2459-2464)

ภาพนี้มีชื่อเป็นภาษาสเปนว่า Las tentaciones de Buda เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผ้าใบขนาดกว้าง 290 ซม. ยาว 366 ซม



ปัจจุบันภาพนี้แขวนอยู่ที่ Real Academia de Bellas Artes de San Fernando (The Academy of fined arts of St. Ferdinan) กรุงมาดริด ประเทศสเปน

ซึ่งชื่อภาพก็หมายถึง การผจญกิเลส (ปราบกิเลส) (เอาชนะมาร) ของพระพุทธเจ้า (มาร = กิเลส)

รายละเอียดของภาพนี้ อ่านได้ที่ http://www.mryuse.com/?p=1919

แต่มีคนหัวหมอได้นำรูปนี้มาใช้เพื่อการค้า ตัดแค่บางส่วนของภาพแล้วทำให้เป็นสีขาวดำเพื่อดูขลัง แล้วสร้างประวัติภาพขึ้นมาใหม่ว่า เป็นภาพถ่ายที่เกิดจากปาฏิหาริย์ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จนขายไปทั่วโลก

แล้วก็มีผมคนนึงที่หลงเชื่อเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปี ครับ



-------------------

ข้อคิดทิ้งท้าย

หลักกาลามสูตร ของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะที่ใช้ได้ในกรณีนี้อย่างมาก

เพราะผมเองก็เชื่อในสิ่งที่เชื่อผิดมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะหลงในรูปที่สวยงามรูปนี้ จนรีบเชื่อว่า นี่คือรูปของพระพุทธเจ้ามาแสดงปาฏิหาริย์จริง ๆ

แต่เมื่อได้รับรู้ความจริงแล้ว ก็ช่วยให้เราได้ข้อคิดสอนใจเราได้มากว่า อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรเร็วเกินไป โดยเฉพาะเรื่องที่แอบอ้างปาฏิหาริย์


คลิกอ่าน พระพุทธเจ้าตอนประสูติเดินได้ 7 ก้าวจริงหรือ

คลิกอ่าน ปาฏิหาริย์เจดีย์ตรัสรู้ กึ่งพุทธกาล




วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ถ้าอธิบายง่าย ๆ แบบนี้ อุทยานราชภักดิ์ก็อาจไม่มีการโกง







ถ้าอธิบายแบบนี้  เรื่องพวกนี้ก็ไม่น่าจะใช่การโกง

1. กรณีต้นปาล์มที่สวนนงนุชบริจาคให้อุทยานราชภักดิ์ แต่ทำไมถึงมีข่าวการจัดซื้อต้นปาล์ม

ตอบ ต้นปาล์มต้นละ 1 แสนบาท ที่สวนนงนุชเขาบริจาคมาให้นั้น แต่ถ้าใครบริจาคเงิน 3 แสนบาท ก็จะนำชื่อผู้บริจาคไปติดที่หน้าต้นปาล์ม

แล้วทางมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ก็นำเงินบริจาคต้นปาล์มนั้น มาใช้ในกิจกรรมของอุทยานราชภักดิ์ต่อไป

ถ้าผมอธิบายแบบนี้ พอเข้าใจไหมครับว่า นี่ไม่ใช่การทุจริต ก็แค่นำต้นปาล์มของสวนนงนุช มาใช้หาเงินบริจาคเพิ่มขึ้นจากบรรดาเศรษฐีที่อยากได้หน้าได้ตาไงครับ

ซึ่งผมคาดว่า สวนนงนุชเขาก็คงรับรู้เรื่องนี้อยู่เล้ว เพราะสวนนงนุชต้องมาจัดสวน และต้องมาดูแลสวนในช่วงต้นอีกหลายเดือน

เว้นแต่ เงินบริจาคส่วนนี้ไม่ได้เข้าบัญชีมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ นั่นแหละถึงจะเรียกว่า มีการทุจริต

หรือถ้าการบริจาคซื้อต้นปาล์ม ถือเป็นการทุจริตจริง ๆ ผู้ที่เป็นเจ้าทุกข์ตัวจริงก็คือ ผู้บริจาคเงิน 3 แสนบาทซื้อต้นปาล์ม และสวนนงนุชที่เป็นผู้บริจาคต้นปาล์ม เท่านั้น

ถ้าผู้บริจาคเงิน และ สวนนงนุช ไม่แจ้งความร้องทุกข์เอาผิด ก็ถือว่า ไม่มีคดีทุจริตในส่วนนี้

ล่าสุด 10 ธ.ค. 58 เจ้าของสวนนงนุชได้ออกมาพูดเรื่องการบริจาคต้นไม้และจัดสวนแล้วว่า สวนนงนุชได้บริจาคต้นไม้ ต้นปาล์มให้อุทยานราชภักดิ์จริง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ขนส่ง และอื่น ๆ รวมเป็นเงินกว่า 4 ล้านบาท ซึ่งสวนนงนุชได้เบิกค่าใช้จ่ายส่วนนี้จากมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์

ในความเห็นส่วนตัวของผม akecity ขอแสดงความเห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่สวนนงนุชเบิกไปใช้ในการดำเนินงานจัดสวน รวมทั้งค่าขนส่งต้นไม่ ก็อาจมาจากเงินที่ทางมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ได้นำต้นปาล์มไปประมูลก็เป็นได้




2. กรณีหักหัวคิวค่าก่อสร้างพระบรมรูป ฯ

ขอสมมุติตัวอย่างก่อนนะ เช่น ถ้าผมเป็นมหาเศรษฐีอยากจะสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ถวายวัดสัก 9 วัด แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องทางด้านนี้เลย ผมก็ไปหาผู้รู้ทางด้านนี้หรือเป็นเซียนพระ ให้ช่วยแนะนำเป็นธุระจัดการแทนผมให้หน่อย

แล้วเซียนพระก็จัดหาโรงหล่อให้ผม 9 โรง เพื่อหล่อพระพุทธรูป 9 องค์ให้ แล้วก็มาเบิกเงินค่าหล่อพระกับผม

ซึ่งต่อมาเซียนพระก็ไปหักค่าหัวคิวที่หางานใหญ่ไปให้โรงหล่อ โดยถือเป็นค่าดำเนินงาน และค่านายหน้า

ถามว่า แบบนี้เซียนพระได้โกงผมหรือไม่ ? หากราคาการสร้างพระก็เป็นราคาที่มาตรฐานไม่แพงกว่าราคาหล่อมาตรฐานตามปกติ เพียงแต่โรงหล่ออาจได้กำไรลดลง เพราะต้องนำกำไรส่วนหนึ่งมาจ่ายค่านายหน้าให้เซียนพระ

ในวงการธุรกิจทั่วไป การติดต่อซื้อขายหรือการติดต่อจ้างงานต่าง ๆ ผ่านตัวแทน ย่อมต้องมีผลตอบแทนให้ตัวแทนที่เป็นธุระจัดการแทนเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเราอยากจะได้ที่ดินสวย ๆ สักแห่งนึง เราก็ต้องติดต่อนายหน้าที่เชี่ยวชาญด้านที่ดินเป็นผู้ไปทำธุระจัดหาที่ดินแบบที่เราต้องการมานำเสนอให้เราจริงไหม ?


ส่วนกรณีหล่อพระบรมรูปกษัตริย์ 7 พระองค์ ในอุทยานราชภักดิ์

เมื่อมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ต้องการหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ ก็เลยหาผู้รู้ทางด้านนี้มาช่วย ซึ่งก็อาจเป็นเซียนพระตามที่เป็นข่าว

แล้วเซียนพระคนนั้นก็ไปจัดการติดต่อประสานงานกับโรงหล่อทั้ง 7 โรง จนงานสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย แล้วทางมูลนิธิก็จ่ายเงินตามที่ทำสัญญาไว้กับโรงหล่อ

ซึ่งในประเทศไทยก็มีโรงหล่อที่หล่อพระบรมรูปขนาดใหญ่แบบนี้เพียงไม่กี่โรง

ถามว่า การที่เซียนพระจะไปหักค่าหัวคิวกับโรงหล่อ โดยถือเป็นค่านายหน้าจัดหางานมาให้ แบบนี้ถือว่า เป็นการทุจริตหรือไม่ ?

ถ้าค่าหล่อพระบรมรูปก็ถือเป็นราคามาตรฐาน เพียงแต่โรงหล่อจะได้กำไรน้อยลง เพราะต้องหักค่านายหน้าให้เซียนพระไป

แบบนี้ต้องถือว่า มันเป็นเรื่องของเอกชน (เซียนพระ) ที่ดำเนินการและติดต่องานกับเอกชน (โรงหล่อ) ด้วยกันที่รับงานไปทำ

ถ้าจะกล่าวหาว่ามีการทุจริต ผู้กล่าวหาก็ต้องหาหลักฐานมาว่า ค่าหล่อองค์พระมหากษัตริย์ทั้ง 7 พระองค์แพงเกินจริงกว่าราคามาตรฐาน ไม่ใช่แถปาว ๆ ว่าโกง แต่ไหนล่ะหลักฐานที่ว่า โกง ??


ซึ่งต่อมาจากข่าวที่ พลเอกอุดมเดช อดีต ผบ.ทบ. ซึ่งเป็นอดีตประธานมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์โดยตำแหน่ง ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า ค่าหัวคิวที่โรงหล่อจะต้องจ่ายให้เซียนพระเป็นค่านายหน้าจัดหางานมาให้ สุดท้ายก็ไม่ได้ให้เงินค่านายหน้าแก่เซียนพระ แล้วทางโรงหล่อได้นำเงินส่วนนั้นมาบริจาคให้มูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ในเวลาต่อมาแทน เพื่อจะได้ไม่มีข้อครหาอีก

(หมายเหตุ แม้แต่ค่านายหน้า เซียนพระก็ตั้งใจจะเสียภาษีในส่วนค่านายหน้าเอง สำนักข่าวอิศรารายงานมาแบบนี้ จึงแสดงว่า เรื่องนี้มีการตกลงอย่างถูกต้องกับโรงหล่อ)

แต่ถ้าเป็นกรณีเจ้าหน้าที่ทหารหักค่าหัวคิวเอง ก็จะกลายเป็นอีกประเด็นคือ ทุจริตในหน้าที่ ครับ



3. กรณีจัดโต๊ะจีน โต๊ะละล้าน หาเงินบริจาค

กรณีแทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย เพราะถือว่า เป็นเรื่องปกติ ก็เหมือนงานการกุศลต่าง ๆ ที่เขาจัดโต๊ะจีนเพื่อหาเงิน หรือเหมือนที่พรรคการเมืองจัดโต๊ะจีนเพื่อหาเงินสนับสนุนพรรคนั่นแหละครับ แถมโต๊ะจีนนักการเมืองแพงกว่าด้วย โต๊ะละ 5 ล้าน 10 ล้าน ถือเป็นเรื่องธรรมดา

---------------------

จากกรณีที่เป็นข่าวใหญ่ทั้ง 3 กรณี หากผมอธิบายแบบนี้ ก็อาจมองได้ว่า ไม่มีการทุจริตเกิดขึ้นจริงไหมครับ

ผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากกว่าที่เป็นข่าวออกมา แต่เมื่อเราฟังข่าวก็ต้องวิเคราะห์อย่างไม่มีอคติ แล้วไตร่ตรองดูว่า อะไรเป็นอะไรกันแน่

เพราะหากฟังข่าวอย่างผิวเผิน ย่อมเข้าใจผิดในเรื่องเดียวกันได้ง่ายจริงไหมครับ

แต่จะมีทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์จริง ๆ หรือไม่ ผมไม่ขอฟันธง เพราะผมก็รู้เท่าที่คุณผู้อ่านรู้นั่นแหละครับ ผมก็อธิบายไปตามที่ได้รับรู้จากข่าวเท่านั้น

แต่หากมีอะไรที่มากกว่านี้ มากกว่าที่เป็นข่าว อันนี้ก็ต้องมาว่ากันใหม่


---------------------

คำถามที่แฟนเพจของผมฝากถามมา

ผมขอตอบตามความเข้าใจของผมนะครับ เพราะผมก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องใด ๆ

คำถาามแรก ทำไมรูปแบบการแถลงข่าวจึงต้องทำอย่างมิดชิด มีการปิดห้องและห้ามถ่ายทอดสด

ตอบ คงเพราะ ผบ.ทบ. ท่านไม่ใช่นักตอบคำถามมืออาชีพ ท่านไม่ใช่มืออาชีพในการพูด ท่านคงไม่สะดวกในการให้ถ่ายทอดสด เพื่อให้นักข่าวไทยที่ชอบถามคำถามโง่ ๆ ได้ถามออกอากาศสด ๆ (เหมือนกรณีนักข่าวถามเรื่องอาการป่วย ปอ ทฤษฎี) แต่ท่าน ผบ.ทบ. ก็อนุญาตให้สื่อได้เข้าไปทำข่าวและตั้งคำถามแล้ว ซึ่งแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว 

และเรื่องนี้เป็นเรื่องของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ไม่ใช่เรื่องของกองทัพบกโดยตรง คงไม่ต้องทำเรื่องเล็กและเรื่องที่เป็นแค่ข้อกล่าวหาให้ใหญ่โตเกินความจริง

ก็คงต้องให้อภัย ผบ.ทบ.คนนี้ เพราะท่านพูดไม่เก่งเลย ทำเอาคนมึนทั้งประเทศ ถ้าไม่ค่อย ๆ คิดตามที่ท่านพูดให้ดี ๆ เรียกได้ว่า ทักษะการพูดท่าน ผบ.ทบ. ยังสอบไม่ผ่าน จัดเป็น มือใหม่หัดแถลงข่าว


คำถามที่ 2 ผบ.ทบ. ยินดีเปิดเผยเรื่องเงินบริจาค

ตอบ ผบ.ทบ. ก็ได้ตอบไปแล้วว่า ยอดเงินบริจาคมีประมาณพันกว่าล้านบาท มีบัญชีรายรับรายจ่ายถูกต้อง ไม่พบการทุจริต


คำถามที่ 3 นักข่าวขอดูรายได้รายจ่ายของโครงการราชภักดิ์ ผบ.ทบ. กลับพูดทำนองปฏิเสธ ทำให้สังคมแคลงใจ

ตอบ พวกสื่อชั่ว ๆ บางรายของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ทำเอกสารราชการปลอมที่มีพิรุธว่า ผิดรูปแบบเอกสารทางราชการชัดเจน อยู่ ๆ ทำเอกสารปลอมขึ้นมา เพื่อจะล่อให้กองทัพออกมาเปิดเผยข้อมูลที่ไม่มีความจริง ซึ่งวิธีการทำเอกสารปลอมแบบนี้ ไม่ควรได้รับการยอมรับและยอมทำตามข้อเสนอ

ส่วนที่นักข่าวจะขอดูบัญชีรายรับรายจ่ายนั้นก็เช่นกัน เนื่องจากบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นของมูลนิธิอุทยานราชภักดิ์ ไม่ใช่การดำเนินงานของกองทัพบกโดยตรง ถ้าใครอยากจะดูบัญชีของมูลนิธิ ฯ ก็ต้องทำเรื่องขอมาให้เป็นกิจจะลักษณะ เป็นทางการ ไม่ใช่ขอดูกันง่าย ๆ ดื้อ ๆ

ซึ่งการเปิดเผยบัญชีรายรับรายจ่ายของมูลนิธิฯ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการมูลนิธิ ฯ เสียก่อน ไม่ใช่อยู่ ๆ จะมาเอ่ยปากขอดูกันง่าย ๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

โดยเฉพาะสื่อไทยมักทำข่าวชุ่ย ๆ ใส่ร้ายดื้อ ๆ ทำไมมูลนิธิ ฯ ต้องบ้าตามกระแสนักข่าวเห่ย ๆ พวกนี้ด้วย ??


---------------------

อัพเดทข่าว

เงินหลายร้อยล้านบาทที่ใช้ในการสร้างอุทยานราชภักดิ์เป็นเงินบริจาคของประชาชน จะมีงบประมาณตั้งต้นจากรัฐประมาณส่วนหนึ่งเท่านั้น

ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ออกมาให้ข่าวว่า อุทยานราชภักดิ์ได้ใช้งบประมาณแผ่นดินไป 63 ล้านบาท

ดังนั้น สตง. จึงมีอำนาจเข้าตรวจสอบการใช้งบดังกล่าวได้

กรณีผม akecity ขออธิบายว่า เงินงบประมาณ 63 ล้านบาทที่ใช้ในอุทยานราชภักดิ์ ก็คือ เงินเริ่มต้นโครงการ เพราะในตอนเริ่มต้นยังไม่มีเงินบริจาคจากประชาชนเข้ามา

หาก สตง. อ้างว่ามีอำนาจตรวจสอบงบประมาณแผ่นดิน 63 ล้านบาท สตง. ก็จะมีอำนาจตรวจสอบเฉพาะเงินจำนวนนี้เท่านั้น

หรือถ้ามีหน่วยงานราชการใดบริจาคเงินให้โครงการอุทยานราชภักดิ์ด้วย สตง.ก็สามารถตรวจสอบงบของหน่วยราชการที่บริจาคได้เช่นกัน

--------------------------

ล่าสุดผลสอบของ สตง. ออกมาแล้วว่า ไม่พบการทุจริต




ลิกอ่าน พลเอกอุดมเดช ลาออกเถอะ

คลิกอ่าน ความโง่ของพวกร่านประชาธิปไตย กับ กรณีการโกงในอุทยานราชภักดิ์




วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เมื่อทหารไปถ่ายรูปบ้านแม่สมศักดิ์ เจียม จนหงอกเจียมธาตุไฟแตก






สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ต้องหามาตรา 112 ที่ลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศส วัน ๆ ก็มีอาชีพหาเรื่องมโนใส่ร้ายสถาบันฯ ทุกวัน วันละหลาย ๆ รอบ

บรรดาเหล่าสาวกต่างเชื่อว่า สมศักดิ์ เจียม ไม่ได้ใส่ร้ายสถาบันฯ นั่นเพราะ เพราะไม่มีใครมาเถียงกับหงอกเจียม เพื่อแก้ต่างให้สถาบันฯ

สาวกหงอกเจียม ควรใช้สติปัญญานึกดูดี ๆ ว่า ที่ไม่มีคนมาเถียงกับหงอกเจียม ไม่ใช่เพราะเขาเถียงสู่ไม่ได้ หรือที่หงอกเจียมมโน คือความจริง


แต่เพราะเขาไม่ต้องการเถียงในเรื่องโกหก และจะกลายเป็นการหมิ่นสถาบันฯ เสียเอง


เมื่อไม่มีใครไปแก้ต่างให้สถาบัน เหล่าสาวกเจียม ก็เลยเชื่อกันใหญ่ว่า สิ่งที่หงอกเจียมเขียน คือ ความจริง

ผมเองเคยเข้าไปแสดงความเห็นในเฟสหงอกเจียมบ้าง แต่ผมก็คงแสดงความเห็นอะไรได้ไม่มาก เพราะจะกลายเป็นผมหมิ่นสถาบันฯ เสียเอง

ผิดกับหงอกเจียมที่หนีหางจุดตูดไปฝรั่งเศสแล้ว อยากจะพูดชั่วคิดชั่วแล้วกลบเกลื่อนด้วยภาษาสุภาพแบบนักวิชาการคงแก่เรียน ก็ย่อมทำได้โดยไม่มีความผิดแล้วในฝรั่งเศส

วันนี้ 11 พ.ย. 58 นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้โพสเรื่อง ทหารไปถ่ายรูปบ้านแม่ของหงอกเจียม

ตามนี้




ต่อมา มีผู้หวังดีท่านนึงได้เข้าไปแสดงความเห็นในเฟสของหงอกเจียม อย่างสุภาพตามนี้





จากการโพสของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ทั้งสองโพส เรามองเห็นอะไร ??

1. สมศักดิ์ เจียม รู้สึกโกรธมาก ที่แม่ของตนเองถูกทหารคุกคาม ด้วยการไปถ่ายรูปบ้าน

2. โดยที่สมศักดิ์ เจียม ไม่รู้สึกและไม่เข้าใจว่า คนไทยเองก็ถูกสมศักดิ์ เจียม คุกคามสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่รักของคนไทย

เพราะสมศักดิ์ เจียม มักอ้างแบบพวกร่านหนักแผ่นดินว่า ในหลวง พระราชินี พระบรม เป็นแค่บุคคลสาธารณะ เพราะกินภาษีชาติ จึงสามารถวิจารณ์ได้

3. สมศักดิ์ เจียม อ้างว่า แม่ของตนไม่ใช่บุคคลสาธารณะ เจ้าหน้าที่มีสิทธิอะไรไปรบกวนเขา

---------------------

ส่วนที่นายสมศักดิ์ เจียม โกรธที่ทหารไปถ่ายรูปบ้านแม่นั้น ผมจะเฉลยให้ว่า ทหารเขาไปถ่ายรูปบ้านแม่เจียมทำไม ?

คำตอบคือ ทหารเขาคงอยากรู้มั้งว่า ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอนนั้น พ่อแม่มันมีหน้าตาอย่างไร ลูกมันถึงได้หน้าตาน่าเกลียดและคิดชั่วสร้างความแตกแยกได้ปานนี้


ในบทความนี้ผมไม่อยากเขียนอะไรมาก เพราะนายสมศักดิ์ เจียม เขาเกิดมาหนักแผ่นดินเกินเยียวยาแล้ว

เพราะนายสมศักดิ์ เขามองว่า สถาบันกษัตริย์ ไม่ใช่สถาบันที่คนไทยควรเคารพเทิดทูน

นายสมศักดิ์ เจียม มองเห็นในหลวง พระราชินี พระบรม เป็นเหมือนบุคคลสาธารณะทั่วไป เหมือนพวกนักการเมือง เหมือนพวกดารา ฯลฯ ที่วิจารณ์ได้ แถมจะแช่งก็ยังได้เหมือนที่หงอกเจียมโพสในเฟสบุ๊คทำนองนี้หลายต่อหลายหน

นายสมศักดิ์ เจียม มันไม่เข้าใจเพราะแกล้งโง่ที่ คนไทยรักและเคารพในหลวงเสมือนพ่อ หมายถึง แม้ในหลวงจะไม่ใช่พ่อของเราแท้ ๆ  แต่เราก็รักพระองค์ประดุจพ่อแท้ ๆ

นายสมศักดิ์ เจียม มันชั่วเกินเยียวยาแล้วจริง ๆ  ทีแม่ของตนโดนคุกคามยังรู้สึกโกรธได้ แต่เมื่อพ่อของแผ่นดินถูกนายสมศักดิ์คุกคาม จะห้ามไม่ให้คนไทยรู้สึกโกรธได้อย่างไร

แล้วพอมีผู้หวังดีได้เข้ามาโพสเตือนหงอกเจียมว่า

"พ่อแม่อาจารย์ก็แก่ อาจารย์ยังรู้สึกเลย ประสาอะไรกับข้อความที่สุภาพของอาจารย์ไปกระทบกระเทียบคนที่เป็นที่รักของพวกเรา อาจารย์ยังรู้สึกเหมือนกันนะ นึกว่าอาจารย์ตายด้านไปเสียแล้ว"



คำเตือนอย่างสุภาพ พร้อมประชดท้ายประโยคนิดนึงของผู้หวังดีท่านนี้ ทำเอานายสมศักดิ์ เจียม ธาตุไฟแตก จนเก็บอาการไม่อยู่ ถึงกลับโกรธเกรี้ยวถามกลับว่า "คุณเป็นลูกในหลวง พระบรมฯ หรือครับ เพิ่งทราบนะ"

แถมหงอกเจียม ยังด่าสิ่งที่ผู้หวังดีท่านนี้เขียนมาว่าเป็น ข้อความอีเดียต !!

นี่หรือข้อความอีเดียต ของหงอกเจียม ??

แต่กลายเป็นว่า หงอกเจียม ต่างหากที่อีเดียต !!

และทั้ง ๆ ที่ ท่านผู้หวังดีท่านนี้ยังไม่ได้เอ่ยถึงในหลวง พระราชินี หรือ พระบรม เลย เขาแค่บอกว่า คนที่เป็นที่รักของพวกเรา

แต่นายสมศักดิ์ เจียม ก็กลับรู้ทันทีว่า หมายถึงใคร ?

นั่นแสดงว่า นายสมศักดิ์ เจียม คงรู้ตัวเองดีว่า วัน ๆ ตนเองเอาแต่เขียนข้อความแบบสุภาพให้ร้ายใคร

แค่โพสนี้โพสเดียวของผู้หวังดี ทำเอาสาวกหงอกเจียมดิ้นพล่านกันยกใหญ่ ร้องแร่แห่กระเชิงให้ผู้หวังดีท่านนี้ให้กลับมาตอบหงอกเจียม

เฮ่อ... พวกสาวกในกะลาเจียมสถุลแท้ ๆ  เขาไม่ตอบโต้ไม่ใช่เพราะเขาตอบไม่ได้ แต่เพราะเขาไม่อยากสุงสิงกับพวกชั่วมากกว่า

-----------------

แต่พวกทหารนี่ก็โง่นะ จะไปถ่ายบ้านคนแก่อายุ 93 ดันแต่งชุดทหารไปถ่ายรูป ให้คนแก่ตกใจ จนโทรไปฟ้องลูกชายที่ฝรั่งเศส 

หรือบางที อาจจะเป็น นักเรียน รด. ขี่มอไซค์ผ่าน แล้วเห็นต้นไม้บ้านแม่ของหงอกเจียมสวย เลยถ่ายเก็บไว้ดูเล่น ๆ ก็ได้นะ 555

จะเอาอะไรนักกับสายตาคนแก่อายุร่วมร้อย


คลิกอ่าน สมศักดิ์ เจียมเสียหมา เพราะดันโชว์โง่ตัดต่อพระราชดำรัส

คลิกอ่าน สมศักดิ์ เจียม โชว์โง่กรณีโดนธรรมศาสตร์ไล่ออก




วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ดาราโพสรูปเบียร์ไร้สปิริต หมอสมานเกาะกระแสดาราเพราะอยากดัง







กรณีดาราโพสรูปขวดเบียร์ ลงอินสตาแกรมนั้น ความผิดได้สมบูรณ์แล้ว

จะมาอ้างว่า ไม่เจตนา หรืออ้างไม่รู้กฎหมายไม่ได้ อย่าพยายามแถเพื่ออ้างในเรื่อง เจตนา หรือ ไม่เจตนา 

ส่วนจะรับจ้างโพสหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวกับความผิดที่สำเร็จไปแล้ว

แปลง่าย ๆ ว่า ต่อให้โพสเองฟรี ๆ พวกดาราก็ผิด

สรุปคือ ดาราที่โพสรูปเบียร์ หรือเครื่องดื่มมีแอลกออล์ ทุกคนผิดทั้งหมด

อุตส่าห์เป็นดาราดังมีชื่อเสียง ไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้นต่อหน้าสื่อ

รอรับบทลงโทษทางอาญาและทางแพ่ง อย่างแมน ๆ ดีกว่า

ดาราคนไหนออกมาอ้างโน่นอ้างนี่มาก ๆ ผมว่า ดาราคนนี้ไร้สปิริต !!

โทษเสียค่าปรับไม่เกิน 5 แสนบาท ส่วนโทษอาญาอาจได้รอลงอาญา แค่นี้ ดาราขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก อย่ามากความให้มากนัก

แต่ที่จริง คนที่สมควรโดนด่าที่สุดคือ หมอสมาน อยากดัง !!

------------------------

หมอสมาน เกาะกระแสดาราเพราะอยากดัง

ถ้าคดีนี้เป็นสามัญชนทั่วไปกระทำผิด ก็คงเรื่องไม่ใหญ่โต ดราม่ามากนานเท่านี้

ดูเหมือน นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พยายามถ่วงเวลา เพราะอยากดังมากกว่า

กว่าจะเรียกดารามาให้ปากคำจนครบ ก็คงอีกเป็นเดือน ๆ

ทั้งที่ ถ้าดำเนินคดีไปตามกฎหมายจริง ๆ มันควรจบไม่เกินอาทิตย์เดียว


---------------------

สปิริต หนุ่มรถไฟแซวแอร์โฮสเตส

หลายคนคงบอกสมน้ำหน้า ปากพาซวย จากความคึกคะนองของหนุ่มการรถไฟ ที่เพิ่งเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต ไปแซวแอร์โฮสเตสเรื่องระเบิด

จะว่าไป หนุ่มคนนี้ไม่สมควรอยู่การรถไฟเลย เพราะเรื่องการโดยสารสาธารณะทุกชนิด อ่อนไหวเรื่องระเบิดอย่างมาก

แต่เมื่อเขากระทำผิด เพราะไม่เจตนา เพราะความไม่รู้กฎหมาย

แต่เขาก็พร้อมยอมรับผิดอย่างมีสปริต เพราะคงหวังเพื่อได้ลดหย่อนโทษ ทั้ง ๆ ที่เจอสายการบินเรียกร้องค่าเสียหายข้างต้น 120 ล้านบาท

ถ้าตีค่าเสียหายเป็นโทษจำคุก ก็ติดคุกหัวโตล่ะครับ

ข่าวของหนุ่มคนนี้ 2 วันจบไปแล้ว แถมกฎหมายการบินยังเจอ โทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

แล้วข่าวดาราโพสรูปเบียร์ มันจะจบเมื่อไหร่วะ ??

คลิกอ่าน จัดลานเบียร์ผิดกฎหมายหรือไม่ ?

คลิกอ่าน เหตุผลที่ดาราโพสรูปเบียร์ กระทำผิดกฎหมายทุกคน