ในอดีตไทยเราพึ่งพาการค้าจากการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวเป็นหลัก ในการค้ำจุนเศรษฐกิจไทยมาตลอดระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 30 ปี
ในอดีตสัก 20 ปีที่แล้ว สินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยได้ชื่อว่า เป็นผู้นำการส่งออกของโลก ก็เช่น สิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ พลาสติก
แต่วันนี้ สินค้าเหล่านี้ของไทยเราถูกคู่แข่งเกิดใหม่อย่าง
กลุ่มประเทศ CLMV คือ
กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม มาแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากไทยไปมากที่สุด
อย่างเช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นสินค้าที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีสูงมาก ส่วนใหญ่จะอาศัยแรงงานคนเข้มข้นในการผลิตเป็นหลัก
แต่ประเทศไทยมีอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนวันนี้คือ ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ก็เป็นเหตุให้ผู้ผลิตสินค้าประเภทสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า ย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านของเรามากขึ้น เพราะนอกจากค่าแรงจะถูกแล้ว ยังได้รับการยกเว้นภาษีสินค้าส่งออกจากอียู และสหรัฐอเมริกา ด้วย
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรองเท้าสำเ็จรูป ในวันนี้ เวียดนามมีมูลค่าการส่งออกรองเท้าสูงกว่าไทยถึง 8 เท่า
หรืออย่างกรณี
รองเท้าแพน โดย
บมจ.แพนเอเซียฟุตแวร์ (เครือสหพัฒน์) รองเท้าชื่อดังของไทยในอดีต ก็มีอันเลิกกิจการในไทย เพื่อไปเปิดโรงงานผลิตรองเท้าในประเทศลาวแทน เพราะมีค่าแรงถูกกว่าไทยมาก แถมได้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอีกด้วย
หรือเช่น
บริษัทซีพี (เครือเจริญโภคภัณฑ์) ก็ไปเปิดโรงงานฐานการผลิตอุตสาหกรรมอาหารในเวียดนามแล้ว อย่างเช่น
ปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ ที่ขายในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของซีพี ก็เป็นเนื้อปลาที่ส่งมาจากเวียดนามให้คนไทยได้บริโภค
คลิกอ่านข่าว ปลาแพนกาเซีนสดอร์รี่ ปลาเศรษฐกิจมาแรงในเวียดนาม
การที่สภาวะเศรษฐกิจโลกตอนนี้ถดถอย สินค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน แต่ราคาถูกกว่า ย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน บริษัทของไทยและบริษัทต่างชาติจึงจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า
ในขณะที่แรงงานไทยเราในวันนี้ กลายเป็น
พวกงานหนักไม่เอา งานเบาต้องการเงินมาก ๆ แล้วแบบนี้ไทยเราจะไปผลิตสินค้าที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่ราคาถูกไปแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านก็คงจะไม่ได้อีกแล้ว
แล้วถ้าจะไทยเราจะเขยิบไปผลิตสินค้าไฮเทคคุณภาพสูงเพื่อการส่งออก ก็มีแนวโน้มว่า กำลังแย่ลง
เพราะการศึกษาไทยห่วยที่สุดในอาเซียน คนไทยส่วนใหญ่เป็นประเภทคณิตศาสตร์ไม่เอา วิทยาศาสตร์ไม่สน เพราะคนไทยสนใจแต่เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค ยิ่งมีกระแสดราม่ากูยิ่งชอบสุด ๆ
สรุปง่าย ๆ คือ สินค้าส่งออกโลวเทคของไทย ประเภทสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า ไทยมีต้นทุนสูงกว่าคู่แข่งมาก ดังนั้นไทยเราจึงแพ้ยับในการแข่งขันส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ไปแล้ว
ส่วนสินค้าไฮเทค ไทยเราก็กำลังแย่
เพราะไทยเราเป็นแค่รับจ้างผลิต เราไม่มีสินค้านวัตกรรมเพื่อการส่งออกที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลก เช่น สมาร์ทโฟน ที่จะไปแข่งขันกับประเทศไฮเทคอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา ได้เลย
ในเมื่อค่าแรงไทยแพงมากขึ้นกว่าคู่แข่งหลายเท่า จึงทำให้บริษัทเจ้าของเทคโนโลยีจึงได้ค่อย ๆ ทยอยย้ายฐานการผลิตไปประเทศเพื่อนบ้านเรามากขึ้น เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
อย่างเช่น
แอลจี และซัมซุง ก็ได้มีแผนการย้ายฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าไปเวียดนามแทนแล้ว เหตุผลก็เพราะ ต้องการลดต้นทุนการผลิตให้ถูกลง
คลิกอ่านข่าว แอลจี ซัมซุง ย้ายฐานฮับเครื่องใช้ไฟฟ้าหนีไทยไปเวียดนาม
แม้แต่การผลิต
โทรศัพท์มือถือ ซัมซุงก็จะไปตั้งฐานการผลิตในเวียดนามเช่นกัน
------------------------
ส่งออกรถยนต์ไทย อย่ามัวเคลิ้มตามญี่ปุ่นโปรยคำหวาน
ในขณะนี้ไทยเรายังเป็นฐานการผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย แต่ตอนนี้รถยนต์ญี่ปุ่นได้ไปตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในอินโดนีเซียมากขึ้นแล้ว
ถึงขนาดรัฐบาลอินโดนีเซียเคยประกาศเป้าหมายว่า
อินโดนีเซียจะเป็นผู้ผลิตส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลกแซงหน้าไทยในอนาคตอันใกล้ โดยมีเป้าหมายอย่างเร็วภายในปี 2560
คลิกอ่าน อินโดนีเซียหวังเป็นฮับผลินรถยนต์โลก
การที่บริษัทญี่ปุ่นเริ่มมองฐานการผลิตรถยนต์แห่งใหม่นั้น นอกจากปัญหาเรื่องค่าแรงไทยที่เพิ่มขึ้นมากเรื่อย ๆ แล้ว ก็ยังมาจากปัญหาการจัดการน้ำที่ผิดพลาดจนเกิดอุทกภัยใหญ่บุกทำลายเขตนิคมอุตสาหกรรมของไทยหลายแห่งเมื่อปี 2554
นับตั้งแต่นั้นมา มีบริษัทผู้ผลิตสินค้าจากญี่ปุ่นในหลายชนิด ได้ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ๆ ไม่กลับมาไทยอีกเลย
แม้ตอนนี้โรงงานผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยจะยังอยู่ แต่เชื่อว่าไม่นานนัก ก็คงจะย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากหลาย ๆ ปัจจัย ทั้งเรื่องค่าแรง หรือ เรื่องภัยธรรมชาติ
คุณผู้อ่านคิดดู ประเทศไทยผลิตรถกระบะมากถึง 70 % ที่ขายในตลาดโลก แต่ทำไมประเทศไทยเราก็ไม่ได้รวยอย่างควรจะเป็น
นั่นก็เพราะ ไทยเราเป็นแค่ลูกจ้างที่
รับจ้างประกอบรถยนต์ให้นายจ้างญี่ปุ่นเท่านั้น วันใดนายทุนเขาพบแหล่งผลิตที่ให้ผลตอบแทนกับเขาสูงกว่า เขาก็ต้องไปครับ !!
แน่นอน บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นเขาคงไม่ถึงขนาดทิ้งโรงงานประกอบรถยนต์ในไทยไปจนหมดหรอก แต่เขาอาจจะ
เปลี่ยนเป้าหมายจากการผลิตเพื่อการส่งออกทั่วโลก มาเป็นผลิตเพื่อขายภายในประเทศไทยเท่านั้น
---------------------------
ภาคการเกษตรไทย ต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง ก็เริ่มแย่
ผลผลิตการกเกษตรของไทยเจอคู่แข่งจากกลุ่มประเทศ CLMV มาแย่งส่วนแบ่งการตลาดแทบทั้งสิ้น เหตุเพราะต้นทุนผลผลิตการเกษตรของไทยสูงกว่าเพื่อนบ้าน
คุณผู้อ่านว่า ตลกดีไหม เกษตรกรไทยเราใช้ปุ๋ย ใช้ยากำจัดศัตรูพืชมากเป็นอันดับ 1 ของโลกในค่าเฉลี่ยพื้นที่การเกษตรขนาดเท่า ๆ กัน
(ไทยเรานำเข้าปุ๋ยและยามากเป็นอันดับ 3 ของโลก) แต่ผลผลิตข้าวของไทยต่อไร่กลับน้อยกว่าเวียดนาม ลาว เสียอีก
หรืออย่างเช่น
ยางพารา ที่ไทยเริ่มขายได้น้อยลง ผมเคยเขียนถึงสาเหตุไว้แล้วว่า ขนาดบริษัทผู้ส่งออกยางพาราของไทยเราเอง เขายังไปสนับสนุนให้ประเทศเพื่อนบ้านของไทยปลูกยางพาราเลยครับ เพราะว่า เขาต้องการยางพาราที่มีต้นทุนถูกลงเพื่อการส่งออก
แล้วอย่าง
จีน ซึ่งเป็นผู้รับซื้อยางพารารายใหญ่ของไทยมานาน ตอนนี้ก็ไปรับซื้อยางพาราจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยแทนแล้ว เพราะเขาก็ต้องการยางพาราที่ราคาถูกกว่าเหมือนกัน
คลิกอ่าน สาเหตุที่แท้จริงที่ยางพาราราคาตกขายไม่ออก
ดังนั้น ผลผลิตการเกษตรหลายชนิดไทยเราก็เริ่มส่งออกแย่ลง ขนาด
มันสำปะหลัง ที่เกษตรกรไทยชอบปลูกกันมาก
ตอนนี้การส่งออกมันสำปะหลังของไทยก็แพ้กัมพูชาไปแล้ว เพราะตอนนี้กัมพูชาเป็นผู้ส่งออกมันสำปะหลังอันดับ 1 ในอาเซียน
และที่ไทยแพ้กัมพูชา และแพ้อีกหลาย ๆ ประเทศ ก็แพ้มานานแล้ว
ลองอ่านข่าวเมื่อปี 2556 ตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดูก็ได้ครับ
คลิกอ่านข่าว ส่วนแบ่งส่งออกทรุด 3ปีเปิดเสรีอาเซียน ไทยถอยหลังเข้าคลอง
---------------------
ส่งออกไทยเริ่มทรุดตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เรื่อยมา
คือ ตอนนี้เรามีรัฐบาล คสช. ผู้คนต่างก็ด่าว่า รัฐบาล คสช. ทำเศรษฐกิจแย่
แต่ในความจริง ในปี 2553 ประเทศไทยยังมีสถิติการส่งออกสินค้าพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์อยู่เลย
คลิกอ่านข่าว มูลค่าการส่งออกเติบโตต่อเนื่องหุ้นอิเล็ก-ยานยนต์-วัสดุ-เกษตรแนวโน้มดี
แต่เศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะเรื่องการส่งออกมันเริ่มแย่มาตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณฺ์ โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2555 ต่างหาก
คุณจำเรื่อง โกหกสีขาว ของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้ไหม ??
นั่นแหละจุดเริ่มต้นภาวะทรุดตัวของภาคส่งออกของไทยเรื่อยมาจนถึงวันนี้
ฉะนั้น การที่ภาคส่งออกของไทยทรุด มันมีเหตุปัจจัยหลายอย่างทั้งปัจจัยภายในประเทศ เช่น ต้นทุนค่าแรงสูงขึ้น และปัจจัยภายนอกประเทศเช่น สภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังถดถอย
แต่คนไทยจำนวนมากเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาโทษแต่รัฐบาล ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หันดูตัวเองเลยว่า ศักยภาพของคนไทยในวันนี้กำลังย่ำอยู่กับที่
แถมเริ่มถอยหลังด้วย เพราะภาคการศึกษาไทยที่หลงทางผิด
เพราะถูกรัฐบาลที่แล้วและหลาย ๆ รัฐบาลที่ผ่านมา หลอกว่า
ต้องเรียนจบปริญญาตรีเท่านั้น ถึงจะได้เงินเดือนหมื่นห้า จึงทำให้นักเรียนไทยไม่สนใจอยากเรียนภาคอาชีวะเท่าที่ควร
ทั้ง ๆ ที่ภาคอาชีวะไทยกำลังขาดแคลนอย่างหนัก ซึ่งเป็นผลทำให้ภาคการผลิตสินค้าหลายชนิดขาดแคลนแรงงานภาคอาชีวะเป็นตัวขับเคลื่อน อย่างประเทศเยอรมัน แรงงานภาคอาชีวะคือตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
แรงงานอาชีวะ ที่รัฐบาลไทยควรส่งเสริม หรือที่เรียกว่า
แรงงานมีฝีมือ ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยเรากำลังขาดแคลนอย่างมาก
ในขณะที่ไทย ส่งเสริมให้เรียนปริญญาตรีมาก ส่งเสริมให้กู้เงิน
กยศ.มาเรียน แล้วก็โกงเงิน เบี้ยวไม่จ่ายคืน กยศ. กันเกินครึ่ง แถมรายงาน วิทยานิพนธ์ ยังจ้างทำแทนกันได้อีก
นี่แหละระบบการศึกษาไทยที่จบออกมาเพื่อเดินเตะฝุ่น เพราะเน้นเชิงปริมาณมากกว่าเน้นคุณภาพ
-----------
จริง ๆ แล้ว
การส่งออกมันเป็นหน้าที่และความสามารถของเอกชนเป็นหลัก ภาครัฐก็แค่มีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกเท่านั้น เช่น ส่งเสริมการลงทุน มาตรการลดภาษี การจัดหาพลังงานไฟฟ้าราคาถูกป้อนโรงงาน หามาตรการช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนลง
ส่วนรัฐบาลยิ่งลักษณ์เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศ เลยช่วยทำให้ต้นทุนสินค้าไทยแพงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ซึ่งถ้าเอกชนไทยเริ่มไม่มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก ก็ต้องยอมรับความจริง ว่า เรานั่นแหละกระจอกเอง
หรือถ้าบริษัทเอกชนต่างชาติเขาไม่อยากใช้ไทยเป็นฐานการผลิตอีกแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า ศักยภาพคนไทยเริ่มไม่พัฒนา กลายเป็นประเภท
พวกค่าแรงสูงแต่ผลผลิตต่ำ หรือศักยภาพด้าน
ระบบโลจิสติกส์ไทยเราห่วย (เรื่องนี้รัฐบาลผิดเต็มๆ) ทำให้ต้นทุนการขนส่งสูง ถ้าเป็นแบบนี้ใคร ๆ เขาก็อยากย้ายฐานการผลิตหนีไปหมดทั้งนั้น
ดังนั้น บทความนี้อยากจะบอกว่า การส่งออกไทยแย่ไม่ใช่เพราะใครที่ไหน แต่เป็นคนไทยเราเองนี่แหละ ที่มีส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้การส่งออกไทยเราทรุดลงเรื่อย ๆ
และตราบใดคนไทยยังไม่รู้จักตนเอง ยังหลงตนเอง ก็เตรียมใจได้เลยว่า เปิด AEC เมื่อไหร่ คนไทยจะยิ่งแย่หนักกว่านี้แน่นอน
-------------------------
สินค้าไทยต้องเน้นคุณภาพเท่านั้น ถึงจะอยู่รอด
แม้ตอนนี้การส่งออกสินค้าหลายชนิดเราจะถูกประเทศเพื่อนบ้านแย่งไปหลายอย่าง แต่ถึงกระนั้น สินค้าไทยก็จะลดคุณภาพลงเพื่อให้ราคาถูกลงเพื่อไปแข่งขันก็ยิ่งเป็นความคิดที่ผิด
จริง ๆ แล้ว ประเทศเพื่อนบ้านเราในอาเซียน ทั้ง ลาว เขมร เวียดนาม พม่า ผู้คนในประเทศเหล่านี้ ต่างเชื่อมั่นในสินค้าไทยหลายชนิด โดยเฉพาะสินค้าหมวดอุปโภคบริโภค เพราะพวกเขาก็เป็นลูกค้าสินค้าไทยมาเป็นเวลานาน
แต่สินค้าจีนเริ่มบุกตลาดอาเซียนมากขึ้น ด้วยราคาที่ถูกกว่า แต่คุณภาพสู้สินค้าไทยไม่ได้ จุดนี้แหละคือจุดแข็งของสินค้าไทย
ฉะนั้น ในเมื่อสินค้าไทยสู้ในด้านราคาไม่ได้ ก็ต้องสู้ด้วยคุณภาพที่ดีเท่านั้น แม้ตอนนี้อาจทำให้การส่งออกสินค้าไทยต้องหดตัว แต่ก็ต้อง
อดทนรักษาคุณภาพไว้ เพราะในระยะยาว หากเศรษฐกิจโลกดีขึ้น
คนเราทุกคนย่อมชอบสินค้าคุณภาพดีสมราคามากกว่าสินค้าราคาถูกแต่ไม่ได้มาตรฐาน
เมื่อเพื่อนบ้านอาเซียนแย่งส่วนแบ่งสินค้าในตลาดโลกของไทยไป ไทยเราต้องเน้นเจาะขายสินค้าที่เพื่อนบ้านเรายังเชื่อมั่นสินค้าไทยในตลาดอาเซียนให้มากขึ้นแทน
แล้วคนไทยเราจะช่วยชาติได้อย่างไร ในสภาวะภาคส่งออกไทยเราทรุดหนักแบบนี้ ?
คำตอบคือ ในเมื่อสภาวะตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้มาก เราคนไทยก็ช่วยได้ด้วยการหันมาใช้สินค้าไทยให้มากขึ้นแทน สินค้าไทยที่ส่งออกหลายอย่างมีคุณภาพดีมาก ถ้าเราคนไทยหันมาใช้สินค้าไทยที่ทดแทนสินค้าต่างประเทศได้ ก็จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมส่งออกของไทยยังอยู่รอดต่อไปได้ คือ
เมื่อส่งออกไม่ได้ ก็ได้คนไทยช่วยซื้อแทน
ในเมื่อการส่งออกไทยลดลง แล้วคนไทยซื้อสินค้าต่างประเทศลดลงตามไปด้วย ลดความฟุ้งเฟ้อเห่อของนอกลง ถ้าคนไทยนิยมใช้ของไทย เศรษฐกิจไทยก็จะไปรอด
แปลง่าย ๆ คือ เมื่อรายได้ลดลง ก็ต้องหัดเจียมตัวเจียมใจ หัดประหยัดกันบ้าง อย่าคิดว่า เงินของฉันไม่ใช่เงินของประเทศ แต่ควรคิดว่า
เงินของฉันก็คือส่วนหนึ่งที่จะช่วยเศรษฐกิจประเทศได้เช่นกัน
คลิกอ่าน "กับดักรายได้ปานกลาง" วิสัยทัศน์โดนใจของนายกฯ ประยุทธ์