วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

ทำไมยิ่งลักษณ์ถูกถอดถอนแค่คนเดียว-เสนอปฏิรูปการตัดสิทธิ์ทางการเมือง






ทำไมนิคม สมศักดิ์ ไม่ถูกถอดถอน แต่ยิ่งลักษณ์ถูกถอดถอน ?

เหตุผลที่ นิคม สมศักดิ์ รอดจากการถูกถอดถอน สาเหตุเพราะ รัฐธรรมนูญและกฎข้อบังคับการประชุม กฎระเบียบรัฐสภา มีช่องโหว่เยอะ และไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจน

จึงทำให้มีช่องให้ทั้งสองคนปฏิบัติหน้าที่แบบเอนเอียงได้

แต่กรณียิ่งลักษณ์แตกต่างกัน เพราะกรณียิ่งลักษณ์มีกฎระเบียบที่ชัดเจน มีกฎหมายที่เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรียับยั้งและยุตินโยบายรัฐที่สร้างความเสียหายแก่ชาติได้ แต่เธอกลับละเลย จึงถือเป็นความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ความผิดของสองคนแรก ถือเป็นความบกพร่องจากกฎระเบียบที่ไม่ดีพอเป็นหลัก
แต่ความผิดของยิ่งลักษณ์ ผิดจะจะด้วยตัวเองครับ

ดังนั้นเมื่ออัยการสูงสุดได้มีมติสั่งฟ่องคดีอาญาแก่ยิ่งลักษณ์ จากความผิดอาญาตามมาตรา 157 แล้ว หากศาลตัดสินว่ายิ่งลักษณ์ได้กระทำผิดจริง

ผมเชื่อว่า ยิ่งลักษณ์ต้องติดคุกแน่นอน เพราะคนเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่ต้องมีความรับผิดชอบในหน้าที่ต่อบ้านเมืองสูงกว่าข้าราขการและคนทั่วไป

/ใหม่เมืองเอก

คลิกอ่าน อะไรเอ่ย ศาลรัฐธรรมนูญ กับ สส.เพื่อไทย

กรุณาแยกแยะเรื่อง ถอดถอน กับ คดีอาญา ออกจากกัน กรณีรอดพ้นจากถอดถอน ก็ใช่ว่าจะพ้นคดีอาญา อาจมีคดีอาญาตามมาอีก หากโดนคดีอาญาจนมีโทษจำคุก ก็จะหมดสิทธิทางการเมืองเช่นกัน

----------------------

จริง ๆ แล้ว ผมเชื่อที่ยิ่งลักษณ์บอกนะ ที่ว่า เธอไม่ผิด

เพราะถ้ายิ่งลักษณ์รู้ตัว่า ที่ทำไปทั้งหมดน่ะมันผิด ทักษิณก็คงไม่ให้เธอมาเป็นนายกฯ หรอก จริงไหม ?

ทุกวันนี้ยิ่งลักษณ์ยังไม่รู้ตัวเลยมั้งว่า คุกรอเธออยู่อีกไม่ไกลแล้ว

555/@akecity



---------------

เสนอปฏิรูปการตัดสิทธิ์นักการเมืองใหม่

ก่อนอื่นผมขอย้ำอีกครั้ง เหมือนที่เคยเขียนในหลายบทความว่า รัฐประหาร คสช. ไม่ใช่การรัฐประหารที่แท้จริง

แต่เป็นการเข้ามายึดอำนาจจากเหตุที่อำนาจการบริหารประเทศเกิดภาวะสุญญากาศ เพราะรัฐบาลรักษาการของยิ่งลักษณ์ต้องพ้นอำนาจหลังจากที่ยิ่งลักษณ์ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่า นายกรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจโดยมิชอบในการย้ายนายถวิล เปลี่ยนสี

แต่รัฐบาลรักษาการยิ่งลักษณ์ ก็แถเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไปโดยให้นายนิวัฒน์ธำรง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี มารักษาการแทนรักษาการนายกรัฐมนตรี (งงดีไหม เพราะมันแถไงครับเลยเกิดตำแหน่งปัญญาอ่อนแบบนี้ขึ้นมา)

ยิ่งลักษณ์ยุบสภาก่อนเกิดการรัฐประหาร ดังนั้น จึงไม่ใช่การทำรัฐประหารต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นการรัฐประหารต่อรัฐบาลรักษาการที่หมดความชอบธรรมไปแล้ว

คลิกอ่าน รัฐประหาร คสช. ไม่ใช่รัฐประหารที่แท้จริง


เสนอตัดสิทธิ์ทางการเมืองญาติใกล้ชิดนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ด้วย

และหลังจาก สนช. ได้มีมติถอดถอนยิ่งลักษณ์ด้วยคะแนนท่วมท้น 190 เสียง (จากขั้นต่ำ 132 เสียง) จึงทำให้ยิ่งลักษณ์ต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี

แต่ขณะนี้กำลังมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ผมจึงเสนอว่า ควรปฏิรูปการตัดสิทธิ์ทางการเมืองของนักการเมืองเสียใหม่ด้วย คือ ไม่ใช่แค่ตัดสิทธิ์นักการเมืองแค่ 5 ปี เท่านั้น แต่ควรตัดสิทธิ์นักการเมืองคนนั้นไปตลอดชีวิต 

และไม่ใช่แค่ตัดสิทธิ์นักการเมืองที่กระทำผิดแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะมันทำให้เกิดนอมินี ส่งลูก ส่งเมีย ส่งญาติพี่น้องมาลงเลือกตั้งแทน

แต่ขอเสนอให้ตัดสิทธิ์ลูก ภรรยา สามี  พ่อแม่ พี่น้อง และหลานรุ่นใกล้ชิดชั้นแรก รวมถึงอดีตสามี อดีตภรรยา และ ผู้ที่เป็นพ่อของลูก แม่ของลูก(กรณีไม่ได้จดทะเบีนสมรส) ของนักการเมืองที่ถูกถอดถอนหรือถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย

อย่างเช่น กรณียิ่งลักษณ์ถูกถอดถอนและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีนั้น ถ้าได้ปฏิรูปรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามที่ผมเสนอ

กรณียิ่งลักษณ์จะไม่ถูกตัดสิทธิ์เฉพาะตัวยิ่งลักษณ์เพียงคนเดียว แต่ต้องตัดสิทธิ์พี่น้องของยิ่งลักษณ์ทุกคน เช่น ทักษิณ เยาวภา เยาวเรศ พายัพ ด้วย รวมไปถึง

ลูกของทักษิณ ลูกของเยาวภา ลูกของเยาวเรศ ลูกของพายัพ รวมถึงภรรยา สามี อดีตภรรยา อดีตสามี รวมถึงพ่อและแม่ของลูก ๆ ของบุลคลเหล่านี้้ด้วย

ดังนั้น การที่ยิ่งลักษณ์ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ก็เป็นผลให้โอ๊ค พานทองแท้ เอม อิ๊ง ไปป์ และลูกหลานอีกหลายคนที่เป็นหลานใกล้ชิดชั้นแรกต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปด้วย

รวมไปถึงสามีและภรรยาของหลานใกล้ชิดชั้นแรก เช่น สามีเอม พิณทองทา ก็ถูกตัดสิทธิ์ด้วยเช่นกัน หรือ พจมาน ณ ป้อมเพชร สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองด้วยเช่นกัน

ที่สำคัญ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร  ผัวนอกทะเบียนสมรสของยิ่งลักษณ์ก็ต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปด้วยในฐานะที่เป็นพ่อของไปป์

ซึ่งกฎหมายอาจกำหนดเฉพาะนักการเมืองที่กระทำถูกตัดสิทธิ์ไปตลอดชีวิต ส่วนญาติใกล้ชิดอาจถูกตัดสิทธิ์แค่เพียง 10 ปี เป็นต้น

----------------

ไม่ทราบว่า ที่ผมเขียนอธิบายไปนั้น คุณผู้อ่านพอเข้าใจไหมครับ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนกรุณาบอกกล่าว เผื่อแก้ไขให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น

สิ่งที่ผมเสนอคือ อาจเป็นข้อเสนอที่เแรงเกินไป แต่ถ้าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และจัดทำกฎหมายประกอบเลือกตั้งได้มาอ่าน ก็คงปรับให้เบาลงได้

อย่างน้อย ถ้าลูก ภรรยา สามี พ่อแม่ โดนตัดสิทธิ์ตามนักการเมืองไปด้วย ถ้าได้เท่านี้ก็นับว่าเยี่ยมแล้ว

-----------------

กรณีพรรคการเมืองต้องมีส่วนรับผิดชอบการกระทำของนักการเมืองด้วย

อย่างในส่วนพรรคการเมืองที่นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ฯ สังกัดอยู่ ก็ควรถูกตัดสิทธิ์ให้ส่ง สส. ได้น้อยลง

เช่น ถ้านักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ฯ เป็นสส. แบบเขต ก็ทำให้ในเขตนั้น ๆ พรรคการเมืองต้นสังกัดจะหมดสิทธิส่งคนลงสมัครนาน 5 ปีเป็นอย่างน้อย

หรือถ้านักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิ์ฯ เป็น สส.แบบบญชีรายชื่อ ก็ทำให้พรรคการเมืองนั้นถูกลดจำนวน สส. ลง 1 คน หลังจากการนับคะแนนการเลือกตั้งเสร็จสิ้นและกำหนดว่าแต่ละพรรคจะได้จำนวน สส. แบบบัญชีพรรคละกี่คน

เช่น ถ้าพรรคเพื่อไทยจะต้องได้ สส.แบบบัญชีรายชื่อ 40 คน ก็จะถูกตัดออก 1 คน คงเหลือ 39 คนเท่านั้น แล้วจำนวน สส. ที่ขาดไป ก็ยกไปให้พรรคการเมืองในลำดับที่มีจำนวน สส.ที่น้อยที่สุด แทน


คลิกอ่าน ควันหลงหลานปู หลังยิ่งลักษณ์ถูกถอดถอน




วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

ที่มาที่ไปลูกโป่งขวดชาอิชิตันใหญ่ยักษ์ ของเสี่ยเกลือ 40 ตัน







จากกรณีลูกโป่งขวดชาเขียวใหญ่ยักษ์ ยี่ห้อของเสี่อเกลือ 40 ตัน ได้ไปวางเกะกะทัศนียภาพในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนเป็นข่าวดราม่าไปแล้วนั้นว่า

ได้ทำให้ครอบครัวของนักศึกษาที่มาซ้อมรับปริญญาบัตรไม่ว่าจะถ่ายรูปมุมใด ก็หลบไม่พ้นขวดชาเขียวยักษ์ของเสี่ยเกลือ 40 ตัน ได้เลย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนจะมีงานพระราชทานปริญญาบัตรเพียง 1 วันเท่านั้น (กาลเทศะเก็บใส่ตุ่มฝังไว้เลยเสี่ยเกลือแกคงไม่รู้หรอก)


http://imgur.com/pxzLIju,j4v3zG8

http://imgur.com/pxzLIju,j4v3zG8#1

คือมุมที่ขวดยักษ์ตั้งเกะกะอยู่ เป็นมุมที่จะเห็นทิวทัศน์เป็นดอยสุเทพเด่นอยู่ฉากหลัง ซึ่งเป็นมุมที่คนนิยมถ่ายรูปกันมาก แต่ดันมีขวดชาเขียวมาเกะกะนี่สิ

ซึ่งหลายคนก็ด่าเสี่ยเกลือ 40 ตันไปเต็ม ๆ โดยไม่สนใจว่า แล้วใครหว่าที่อนุมัติให้เสี่ยเกลือ 40 ตันเอาลูกโป่งขวดชายักษ์มาตั้งในพื้นที่มหาวิทยาลัยได้ หรือว่าไอ้คนอนุมติมันได้ไอโฟน 6 ไปกี่เครื่องหรือเปล่าวะ ??

แต่ช่างมันไปก่อนประเด็นนั้น

ผมสนใจว่า ทำไมเสียเกลือ 40 ตันถึงได้ไอเดียทำขวดชายักษ์มาสร้างกระแสมากกว่า

ผมเลยไปสุ่มดูหาข้อมูลไปเรื่อย ก็เลยถึงบางอ้อว่า ที่แท้ลูกโป่งขวดชาเขียวยักษ์มันคงมีที่มาจากโฆษณาชาเขียวของเสี่ยเกลือ 40 ตันแน่ ๆ เลยตามรูปนี้

(จำลองเหตุการณ์สมมุติขำ ๆ)

http://imgur.com/jjseZKW,og0WE7A#0



ล่าสุดอธิการบดี ม.เชียงใหม่ได้สั่งให้นำลูกโป่งขวดชายักษ์ออกไปจากพื้นที่แล้ว หลังโดนกระแสสังคมวิจารณ์หนัก

โล่งสบายตา หลังไร้ทัศนอุจาด !!

http://imgur.com/DUoVBrt,yvuPeFM#1 
http://imgur.com/DUoVBrt,yvuPeFM#0

ขอบคุณ astv ที่เล่นข่าวนี้จนเกิดผล

รศ.ธีรภัทร วรรณฤมล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายมวลชนสัมพันธ์และนักศึกษาเก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยถึงกรณีนี้ว่า ไม่เคยอนุญาตให้มีการติดตั้งลูกโป่งหรือป้ายโฆษณาใดๆ ทั้งสิ้น ในพื้นที่มหาวิทยาลัย แต่ช่วงนี้ยังมีการจัดงานฉลองวาระครบ 50 ปีของมหาวิทยาลัย ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเตรียมจัดการหลายอย่าง ทำให้ดูแลได้ไม่ทั่วถึง กลายเป็นภาพที่สร้างความไม่พอใจและส่งผลต่อภาพลักษณ์

ทั้งนี้ในกรณีดังกล่าว ทางมหาวิทยาลัยเตรียมประชุมหารือหาข้อกำหนดและจัดตั้งเป็นนโยบายให้ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก รวมทั้งหาทางออกและตั้งกฎเกณฑ์กับบริษัทเอกชนต่างๆ ที่จะเข้ามาตั้งบูธกิจกรรมและวางสินค้าในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งหลังจากนี้คงต้องเข้มงวดเพิ่มมากขึ้น

หลังจากที่เกิดประเด็นขึ้นในโลกออนไลน์ ซึ่งสอดคล้องกับรายงานจากทวิตเตอร์ @Joyday_napas ที่ระบุว่า ตัน ภาสกรนที ผู้บริหารและเจ้าของแบรนด์เครื่องดื่มชื่อดัง ได้จัดการเก็บลูกโป่งขวดยักษ์ออกไปจากสถานที่แล้ว แต่ยังไม่มีคำชี้แจงใดๆ จากทางบริษัทเครื่องดื่มชนิดดังกล่าว

ข่าวไทยพีบีเอส

------------------------------



สำหรับผม ตั้งแต่กรณีเกลือหิมะ 40 กว่าตัน (เพราะมีการเติมเกลือใส่ทุกวัน) ผมเองไม่ได้เขียนบทความวิจารณ์เสี่ยในเรื่องนี้ เพราะสังคมวิจารณ์หนักหน่วงกันไปแล้ว

ส่วนลูกโป่งขวดชาเขียวยักษ์นั้น มันก็คือการตลาดที่มุ่งเอาแต่หวังกระแส หวังผลการตลาดมากจนไม่มองผลกระทบที่ตามมา ก็ไม่ต่างจากกรณีหิมะเกลือของเสี่ยเกลือ 40 ตันนั่นแหละครับ

การตลาดที่หวังแต่ผลกำไรทางธุรกิจ โดยไมสนผลกระทบทางสังคม ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยเกลือ 40 ตันแกถนัดอยู่แล้ว


เสี่ยเกลือ40ตัน แกคงฝันให้ไกลไปให้ถึง !! (รูปโดยท่าน SPDZ)

http://imgur.com/VYUSV1q

(เขียนบทความถึงเสี่ยตันบ่อย ๆ สาวกแกคงเกลียดผมเยอะ แต่ผมไม่สน)

คลิกอ่าน กลยุทธ์รวยหลอกแดกของ ตัน อิชิตัน




วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

ดูความงกของบริษัท RS ในยุคไร้เฮียจั๊ว กรณีฟอร์ด สบชัย







พอดีได้เห็นเอกสารที่แชร์ในเฟสบุ๊ค เกี่ยวกับบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ได้ฟ้องร้องเจ้าของงานแต่งงานที่จ้างคุณฟอร์ด สบชัย ไกรยูรเสน นักร้องและนักแต่งเพลงไปร้องในงานแต่งงาน ในเพลง "หยุดตรงนี้ที่เธอ"

ตามเอกสารนี้


http://imgur.com/gPqJxab,nD2T0Fh#1


ผู้แชร์รูปคนแรกน่าจะเป็นคุณเตชะ ทับทอง


รุปก็คือ บ.อาร์เอส ต้องการฟ้องผู้ว่าจ้างคุณฟอร์ด หรือก็คือเจ้าภาพงานแต่งงานที่ได้จ้างคุณฟอร์ดไปร้องเพลงหยุดตรงนี้ที่เธอ จึงให้ตำรวจออกหมายเรียกเชิญคุณฟอร์ด มาให้การเป็นพยานเอาผิดเจ้าภาพที่ว่าจ้างคุณฟอร์ดไปร้องเพลง

ทั้ง ๆ ที่คุณฟอร์ด เป็นผู้ร้องเพลงหยุดตรงนี้ที่เธอ เวอร์ชันออริจินอลแท้ ๆ แถมยังอาจเป็นผู้แต่งเพลงหยุดตรงนี้ที่เธอเองอีกด้วย (ตรงนี้ผมยังไม่แน่ใจว่าคุณฟอร์ดแต่งเพลงนี้หรือไม่) และแม้คุณฟอร์ดจะขายลิขสิทธิ์การเผยแพร่เพลงให้บริษัทอาร์เอส ก็ตาม

หากการกระทำของบริษัทอาร์เอส (มหาชน) ในยุคเฮียฮ้อคุมอำนาจ เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกฎหมายจริง ๆ ต่อไปใครจะจ้างนักร้องไปร้องเพลงในงาน หรือคนในงานร้องเพลงอาร์เอสกันเองในงานเลี้ยง ก็คงต้องทำเรื่องขออนุญาตบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อนทุก ๆ เพลงใช่ไหม ?

คดีนี้ผมเองอยากให้เจ้าภาพงานแต่งงานนี้สู้คดีให้ถึงที่สุดจริง ๆ เพราะจะได้เป็นคดีตัวอย่างว่า การจ้างนักร้องที่เป็นนักร้องเจ้าของเพลงต้นฉบับนี้เองหรือเป็นทั้งนักแต่งเพลงด้วยไปร้องจะละเมิดลิขสิทธิ์จริงหรือไม่ ?

เพราะถ้า RS ถูก ต่อไปคุณฟอร์ดคงหากินลำบากล่ะครับ เพราะคงไม่มีเจ้าภาพรายไหนอยากยุ่งยากกับคดีความ

----------------

ถ้าตามความเห็นผมสำหรับกรณีนี้ของคุณฟอร์ด

ผมว่า บริษัท RS ไม่น่าจะเอาผิดผู้ว่าจ้างคุณฟอร์ดได้ เพราะคุณฟอร์ดมีอาชีพนักร้อง ได้รับการว่าจ้างไปร้องเพลงของตัวเองเท่านั้น และเจ้าภาพงานแต่งก็ไม่ได้นำเพลงนี้ไม่ทำจำหน่ายเพื่อแสวงหากำไรใด ๆ ก็แค่เชิญเจ้าของเพลงมาร้องเพลงในงานเท่านั้น

ซึ่งเข้าข่ายข้อยกเว้นตามกฎหมายลิขสิทธิ์มาตรา 36 และมาตรา 32

มาตรา 36 การนำงานนาฏกรรม หรือดนตรีกรรมออกแสดงเพื่อเผยแพร่ ต่อสาธารณชนตามความเหมาะสมโดยมิได้จัดทำขึ้น หรือดำเนินการเพื่อหากำไรเนื่องจาก การจัดให้มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชนนั้น และมิได้จัดเก็บค่าเข้าชมไม่ว่าโดยทางตรง หรือโดยทางอ้อม และนักแสดงไม่ได้รับค่าตอบแทนในการแสดงนั้น มิให้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ หากเป็นการดำเนินการโดยสมาคม มูลนิธิ หรือองค์การอื่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ การสาธารณกุศล การศึกษา การศาสนา หรือการสังคมสงเคราะห์ และได้ปฏิบัติตาม มาตรา 32 วรรคหนึ่ง

มาตรา 32 การกระทำแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่นตามพระราชบัญญัตินี้ หากไม่ขัดต่อการแสวงหาประโยชน์จากงานอันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ้าของลิขสิทธิ์และ ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร มิให้ถือว่า เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
มาตรา 32(1) วิจัยหรือศึกษางานนั้น อันมิใช่การกระทำเพื่อหากำไร

ให้สังเกตคำว่า เกินสมควร และคำว่า เพื่อหากำไร

ถามว่า เจ้าภาพงานแต่งงานจ้างนักร้องต้นฉบับไปร้องเพลงในงานถือว่าเกินสมควรหรือไม่ ?  และถือว่าเจ้าภาพทำไปเพื่อหากำไร หรือไม่ ?? แม้นักร้องต้นฉบัยจะได้รับค่าตอบแทนก็ตาม  แต่แค่องค์ประกอบ 2 อย่างคือ "ไม่เกินสมควร" และ "ไม่หากำไร" ก็น่าจะถือว่า ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว


อีกทั้งคุณฟอร์ดก็ถือว่า เป็นเจ้าของเพลงตัวจริง เพราะ กรณีของคุณฟอร์ดเข้าลักษณะสิทธิของลูกจ้างอาร์เอส  คือเขียนเพลงให้อาร์เอสที่เป็นนายจ้าง ทางอาร์เอส จึงมีสิทธิก๊อปปี้เพลงหยุดตรงนี้ที่เธอไปขายต่อได้ หรืออนุญาตให้ใครมาร้องเพลงนี้อีกก็ได้

และสมมุติว่า คุณฟอร์ดอาจจะขายเพลงหยุดตรงนี้ที่เธอ ให้เป็นสิทธิขาดแก่บริษัทอาร์เอสแล้วก็ตาม แต่ผมเชื่อว่า กฎหมายลิขสิทธิ์ยังคงยกเว้นในกรณีที่คุณฟอร์ดซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์เพลงหยุดตรงนี้ที่เธอเป็นคนแรก ย่อมได้รับการยกเว้นทางลิขสิทธิ์ ไม่ว่าคุณฟอร์ดจะนำเพลงที่เขาร้องเวอร์ชันออริจินอลไปร้องในสถานที่ใด ๆ ก็ตาม (ทำให้อาร์เอสเลยต้องไปเล่นงานเจ้าภาพแทน)

ลองดูเปรียบเทียบกับกฎหมายลิขสิทธิ์ว่าด้วย ลิขสิทธิ์ของลูกจ้างเทียบเคียงดูครับ

กฎหมายลิขสิทธิ์ของลูกจ้าง 
"ตามหลักกฎหมายลิขสิทธิ์นั้นผู้สร้างสรรค์งานจะเป็นเจ้าของชิ้นงานทันทีที่สร้างมัน บางกรณีอาจมีข้อสงสัยว่า ถ้าเจ้านายสั่งให้พนักงานสร้างงานขึ้น เช่น บรรณาธิการให้ลูกน้องเขียนบทความใส่หนังสือของตนเอง ใครจะเป็นเจ้าของงานเขียนชิ้นนั้น เป็นต้น กฎหมายกำหนดไว้ว่า งานที่สร้างสรรค์ขึ้นในฐานะพนักงานหรือลูกจ้าง ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ให้ลิขสิทธิ์ในงานนั้นเป็นของผู้สร้างสรรค์ แต่นายจ้างมีสิทธิ์นำงานนั้นออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนได้ตามที่เป็นวัตถุประสงค์ของการจ้างแรงงาน

ดังนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้แตกต่างจากกฎหมายและต้องทำเป็นหนังสือชัดเจน ลูกจ้างซึ่งเขียนบทความย่อมเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ แต่บรรณาธิการมีสิทธิ์นำงานเขียนนั้นไปใช้ในกิจการของตนซึ่งผู้เขียนเป็นลูกจ้างอยู่ได้ ด้วยหลักกฎหมายลิขสิทธิ์ด้านความเป็นเจ้าของชิ้นงานของลูกจ้าง จึงทำให้นายจ้างบางคนทำข้อตกลงระหว่างตนกับลูกจ้างไว้ว่า ถ้าผลิตชิ้นงานในขณะเป็นลูกจ้าง นายจ้างจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ มิใช่แค่มีสิทธิ์นำงานออกเผยแพร่เท่านั้น ผู้สร้างสรรค์งานจึงต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักระหว่างสิทธิ์ตามกฎหมายกับข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างว่า สิ่งใดมีประโยชน์สูงสุดต่อตนหรือต่อสังคม"

ากกรณีของคุณฟอร์ด ผมเชื่อว่า คุณฟอร์ดในฐานะที่เป็นนักร้องและนักแต่งเพลง เพลงหยุดตรงนี้ที่เธอ ย่อมไม่โง่ขายงานตัวเองให้เป็นสิทธิขาดของอาร์เอสแต่ผู้เดียวแน่นอน  เพราะคุณฟอร์ดยังต้องหากินกับเพลงของตัวเองไปตลอดชีวิต

นักร้องเจ้าของเพลงเวอร์ชันออริจินอล ย่อมไม่ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์

และเท่าที่ผมเคยทราบมา แม้นักร้องผู้ร้องเพลงเวอร์ชันออริจินอลหรือร้องเป็นคนแรก เคยออกอัลบั้มด้วยเพลงนั้นมาแล้ว แม้จะไม่ได้แต่งเพลงนั้น ๆ เองก็ตาม แต่หากนักร้องร้องเพลงของตัวเองไม่ว่าจะไปร้องในงานจ้างใด ๆ ก็จะไม่ถือว่า ละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะถือว่า ร้องเพลงของตัวเอง เพียงแต่ว่า ห้ามนำเพลงไปก๊อปปี้ขายเท่านั้น เพราะลิขสิทธิ์การขายเพลงเป็นของบริษัทต้นสังกัด

ดังนั้นเมื่อนักร้องร้องเพลงตัวเองย่อมไม่ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์แล้ว เจ้าภาพงานที่จ้างนักร้องเจ้าของเพลงนั้นไปร้อง ก็ไม่ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์เช่นกัน

แต่ถ้าจ้างนักร้องที่ไม่ใช่เจ้าของเพลง มาร้องเพลงของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตก่อน จึงจะเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งนักร้องและเจ้าภาพ

กฎหมายลิขสิทธิ์ไม่ได้มีไว้เพื่อหาผลประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น  แต่เป็นการปกป้องสิทธิของศิลปินด้วย เพราะถ้านักร้องเจ้าของผลงานออริจนอลนำเพลงของตัวเองไปร้องในงานใด แล้วอาจทำให้เจ้าภาพต้องเดือดร้อน คงไม่ใช่เจตนารมย์ของกฎหมายลิขสิทธิ์ 

ย้ำว่า ตรงนี้คือความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมก็รอให้ผู้เชี่ยวชาญมาอธิบายเหมือนกัน

----------------------

ล่าสุดคุณฟอร์ด สบชัย ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ผ่านรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ว่า

เพิ่งจะเห็นหนังสือเชิญจากตำรวจฉบับนี้เมื่อวันศุกร์นี่เอง และงานแต่งนั้นก็เป็นงานฉลองสมรสพระราชทาน ที่คู่บ่าวสาวเพื่อนของคุณฟอร์ดเอง โดยคุณฟอร์ดได้รับเชิญให้ไปร้องเพื่อเซอร์ไพรส์เท่านั้น โดยที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนแต่อย่างใด และก็ร้องแค่เพลงเดียวเสร็จก็ออกจากงานเลย

โดยส่วนตัวคุณฟอร์ดเชื่อว่า ตนเองเป็นเจ้าของเพลงด้วยคนนึง แต่หากกฎหมายกำหนดว่า ตนเองต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วยหากจะนำไปร้องในงานใด โดยส่วนตัวก็อยากทำให้ถูกต้อง แต่ที่ผ่านมา ตนเองคิดว่า การร้องในงานที่ไม่ได้ขายบัตรหากำไร ก็ไม่น่าจะผิด



เนื่องจากผมยังไม่แน่ใจว่า เพลงหยุดตรงนี้ที่เธอ คุณฟอร์ดแต่งเองหรือไม่

ผมจึงได้ส่งข้อความทางเฟสบุ๊คไปถามคุณฟอร์ดว่า ได้แต่งเพลงหยุดตรงนี้ที่เธอเองหรือไม่ ?

ซึ่งยังไม่ได้รับคำตอบ แต่มีคุณผู้อ่านแจ้งมาทางช่องแสดงความเห็นข้างล่างว่า คุณฟอร์ดไม่ได้แต่งเพลงนี้เอง

แต่ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้ร้องเพลงเวอร์ชันออริจินอล ย่อมได้รับความคุ้มครองให้ยกเว้นจากการละเมิดลิขสิทธิ์อยู่แล้ว

ส่วนข้อยกเว้นการละเมิดฯ ในกรณีเจ้าภาพนั้น จะต้องเข้าองค์ประกอบ 2 ประเด็นหลักคือ

1. ต้องเป็นนักร้องเจ้าของเพลงออริจินอลมาร้องเอง และ
2. งานนั้นไม่ได้แสวงหากำไร จึงจะครบองค์ประกอบข้อยกเว้นครับ

สิ่งนี้คือสิ่งที่นักร้องอาชีพเจ้าของเพลงเวอร์ชันออริจินอล ก็เชื่อตามนี้มาตลอดว่าเขาไดัรับการยกเว้นทั้งตนเองและเจ้าภาพที่จ้างไป

ซึ่งหากไม่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างไร กรมคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาควรออกมาชี้แจงในกรณีแบบนี้ เพื่อจะได้เข้าใจอย่างถูกต้องให้ทราบโดยทั่วกัน


คุณบี พีระพัฒน์ โพสเกี่ยวกับเรื่องนี้

http://imgur.com/vgXOKqG
---------------------

เฮียจั๊ว พี่ชายเฮียฮ้อ ถอนหุ้นจากอาร์เอสหมดแล้ว

เฮียจั๊ว นายเกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ พี่ชายของเฮียฮ้อ ผู้ก่อตั้งบริษัทอาร์เอส จำกัด มหาชน ได้ถอนหุ้นทั้งหมดออกจาก บ.อาร์เอส ไปแล้วตั้งแต่ปลายปี 2555 และปัจจุบันนี้เฮียจั๊วก็ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งกรรมการในบริษัทอีกด้วย

คณะกรรมการบริษัทอาร์เอส จำกัด (มหาชน) ณ.สิ้นปี 2557


ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ทำให้ตอนนี้เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ จึงมีอำนาจสูงสุดในบริษัทอาร์เอส เพราะดำรงตำแหน่งเป็นทั้งประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รวมทั้งยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของบริษัทอีกด้วย


ข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อสิ้นปี 2557


คลิปเมื่อเดือนมกราคม 2556 เฮียฮ้อพูดถึงเฮียจั๊วถอนหุ้นทั้งหมดออกจากอาร์เอส 


มิน่าล่ะ นับตั้งแต่เฮียจั๊วถอนหุ้นทั้งหมดออกจากอาร์เอสไป บริษัทอาร์เอสก็ดูจะเขี้ยวลากดินมากขึ้นทุกวัน ตั้งแต่เรื่องถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกมาแล้ว

ผมเข้าใจนะว่า อาร์เอสตีความกฎหมายมาตรา 36 ตรงประโยคที่ว่า "และนักแสดงไม่ได้รับค่าตอบแทนในการแสดงนั้น มิให้ถือว่าไม่ละเมิดลิขสิทธิ์" 

พออาร์เอสเห็นว่า ถ้านักร้องแม้จะเป็นนักร้องต้นฉบับเองได้รับค่าจ้างจากการร้อง อาร์เอสจึงหันไปเอาเรื่องเจ้าภาพงานว่าละเมิดลิขสิทธิ์แทน

แต่แค่งานแต่งงาน แค่เนี้ย เฮียฮ้อคืนกำไรให้แก่สังคมบ้างไม่ได้เหรอ

เฮียฮ้อ เคยได้ยินพระราชดำรัสนี้ไหมเฮียฮ้อ "ขาดทุนคือกำไร"




แหม คนรวยนี่เลือดฝาดดีจังเลยนะ
http://imgur.com/lmLxLtd

---------------------

ล่าสุดผู้บริหารอาร์เอส ออกมาบอกว่า นักร้องทุกคนต้องจ่ายลิขสิทธิ์ให้อาร์เอส

22 ม.ค. 58 เอเอสทีวีรายงานว่า



เณร ศุภชัย นิลวรรณ รองกรรมการ ผอ.อาวุโส - กลุ่มธุรกิจเพลง บริษัท อาร์เอสฯ ที่เข้ามาดูแลบริหารจัดการภาพรวมธุรกิจเพลงทั้งหมดของอาร์เอส รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวพันกับเพลง และในเรื่องการจัดเก็บลิขสิทธิ์ในเชิงกลยุทธ์ต่างๆ เจ้าตัวก็ได้เปิดใจถึงเรื่องดังกล่าว ยืนยันคนไทยไม่คุ้นเคยกับการจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์เพลง ทั้งที่ปฏิบัติยึดหลักสากล เผยไม่ทำเกินกว่าเหตุกรณีฟอร์ด แต่รับกังวลว่าคนจะมองภาพองค์กรติดลบ

เผยนักร้องทุกคนต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เพลง หากออกจากอาร์เอสเอาเพลงไปร้องก็ต้องจ่าย “ใบเตย” ก็ไม่เว้น

“นักร้องทุกคนโดยหลักการแล้วเขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ทุกคนแม้กระทั้งนักร้องปัจจุบันในอาร์เอสเองเราเก็บนะ แต่เก็บในรูปแบบของสัญญาที่เราหักเขาอยู่แล้ว 30 เปอร์เซ็นต์มันครอบคลุมหมดในเรื่องของลิขสิทธิ์เพลงด้วย วันใดวันหนึ่งที่เขาไม่ได้อยู่กับเราถ้าเขาเอาเพลงเราไปใช้เขาก็ต้องจ่าย เพราะเราต้องจ่ายคนอื่นๆ ทีมงานอะไรอีก คือทุกอย่างมันมีค่าใช้จ่าย เพียงแต่ว่าคนทั่วเข้าใจว่านักร้องไม่ได้จ่ายอะไร แต่จริงๆ แล้วเขาจ่าย ออกไปร้องโชว์ตามงานเราก็เก็บ เราเก็บมาให้นักแต่งเพลง เราเองหักเงินนักร้องมาแบ่งให้ให้นักแต่งเพลง 10 เปอร์เซ็นต์ เรื่องพวกนี้มันยิบย่อยมาก สำหรับโชว์ของนักร้องอาร์สยามเองผมเก็บนักร้อง 10 เปอร์เซ็นต์ ให้ทีมงานและคนทำเพลง สมมุติค่าตัวใบเตย 2 แสนบาท เราหัก 2 หมื่นบาทเข้าทีมงานต่อโชว์ 1 ครั้ง เพื่อเป็นค่าดำเนินการตรงนี้เนื่องจากปัจจุบันค่าซีดีค่าดาวน์โหลดอะไรพวกนี้มันไม่ได้อะไรแล้วเราต้องเข้าใจธุรกิจตรงนี้ด้วย" นายศุภชัย นิลวรรณกล่าว

ซึ่งยึดตามหลักที่ผู้บริหารอาร์เอสพูด ก็แสดงว่า คุณฟอร์ด ก็ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ให้อาร์เอสด้วย !! หากนำเพลงของอาร์เอสไปร้องโดยรับค่าจ้าง

แต่อาร์เอสกลับอ้างว่า จะขอให้คุณฟอร์ดมาเป็นพยานเพื่อเอาผิดผู้ว่าจ้างคุณฟอร์ด (ซึ่งก็คือเจ้าภาพงานแต่งงาน)

ปกติคนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในวงการเพลง ไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับเพลง เขาไม่รู้หรอกว่า จะต้องจ่ายลิขสิทธิ์เพลงนี้ให้ใคร หรือเพลงนี้ใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์

ดังนั้น อาร์เอสต้องไปไล่เบี้ยที่นักร้องเอง ไม่ใช่ไปไล่เบี้ยกับเจ้าภาพที่ไม่ได้นำเพลงไปหากำไร เพื่อให้นักร้องบวกค่าลิขสิทธิ์เพลงรวมไปในค่าจ้างด้วย

สรุปก็คือตรรกะของผู้บริหารอาร์เอสเริ่มสับสนกำกวม เพราะคุณศุภชัย นิลวรรณ ทีแรกอ้างว่า ขนาดใบเตยยังต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เพลง และนักร้องที่ออกจาก RS ไปแล้ว จะนำเพลงไปใช้ก็ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์เพลงให้อาร์เอสด้วย

แต่กรณีนี้ของคุณฟอร์ด อาร์เอสกลับจะไปเรียกค่าลิขสิทธิ์กับเจ้าภาพงานแต่งแทนที่จะเรียกกับคุณฟอร์ด แปลกดีไหม ??

ฉะนั้น ถ้านักร้องไม่สามารถร้องเพลงต้นฉบับที่ตัวเองร้องได้ วงการเพลงไทยมาถึงทางตันแล้วครับ !!

-----------------------

ปฏิรูปกฎหมายลิขสิทธิ์ไทยใหม่เถอะ 

ถึงเวลาแล้วที่ เราต้องมาสังคายนากฎหมายลิขสิทธิ์เสียใหม่ เพราะถ้ายึตตามการตีความกฎหมายของอาร์เอส ก็แปลว่า ถ้าใครนำเพลงอาร์เอสไปร้อง ก็ต้องเสียลิขสิทธิ์ทั้งสิ้น เพราะอาร์เอสขายเพลงไว้ให้คนซื้อใช้ฟังได้เท่านั้น แต่คนซื้อห้ามร้องเพลงอาร์เอส ไม่งั้นอาจโดยกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์

กฎหมายลิขสิทธิ์ที่อาร์เอสตีความในวันนี้เพื่อผลประโยชน์นายทุนมากกว่าปกป้องศิลปิน และเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการร้องเพลงเพื่อสันทนาการด้วย



http://imgur.com/82OUm1n

http://imgur.com/Yi6d9H9

เสก โลโซ พูดในรายการออนเดอะโรดทูเดอะดรีม ของอั่ม อัมรินทร์ เมื่อคืนวันที่ 26 ม.ค. 58


คลิกอ่าน ควันหลงกรณี ช่อง 3 ทำโลโก้ทับโลโก้ช่อง 8 ของเฮียฮ้อ




วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

จับโกหกยิ่งลักษณ์ แก้ตัวโครงการรับจำนำข้าวกลางสภา สนช.








ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนว่า ผมไม่สนใจเรื่องการถอดถอนยิ่งลักษณ์ จะถอดถอนหรือไม่ถอดถอน สำหรับผมไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้มากนัก

แต่ที่ผมสนใจคือคำแก้ตัวของยิ่งลักษณ์เรื่องโครงการรับจำนำข้าวกลางสภา สนช. เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 58 ซึ่งถ้าใครก็ตามติดตามเรื่องโครงการจำนำข้าวอย่างเกาะติดมาตลอด จะรู้ทันทีว่า ยิ่งลักษณ์โกหกมากมาย ยิ่งลักษณ์คงหลอกได้เฉพาะพวกโง่ที่หลงใหลเธอได้เท่านั้น

ยิ่งลักษณ์ใช้หลักแก้ตัวแบบพูดความจริงเพียงด้านเดียว ซึ่งเดี๋ยวผมจะชี้ให้เห็น  และเธอก็เลือกที่จะพูดแต่ข้อดีของโครงการรับจำนำข้าวเท่านั้น

\

โดยผมจะยกเฉพาะประเด็นสำคัญ ๆ เท่านั้น มาชี้ให้เห็น

1. นโยบายรับจำนำข้าวมีมานานแล้ว (คลิปนาที่ 6)

ประเด็นนี้ยิ่งลักษณ์เลือกที่จะพูดความจริงเพียงด้านเดียว นั่นคือ บอกแค่ว่า โครงการจำนำข้าวมีครั้งแรกในสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตั้งแต่ พ.ศ.2524 ซึ่งก็ใช่ครับ แต่สิ่งที่ยิ่งลักษณ์ยกมาอ้างนั้น ยกมาบอกไม่หมด นั่นคือ โครงการจำนำข้าวที่ผ่านมาในอดีต เป็นการรับจำนำข้าวจริง ๆ ไม่ใช่การซื้อข้าวแบบโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

เพราะโครงการรับจำนำข้าวในอดีต จะรับจำนำข้าวจากชาวนาในราคาที่เท่ากับราคาตลาดข้าว หรืออาจสูงกว่าเล็กน้อยไม่เกิน 5-10 % ของราคาตลาดในช่วงนั้น เพื่อให้ชาวนาได้นำข้าวมาจำนำกับรัฐบาลไว้ก่อน แล้วหากวันใดราคาตลาดเกิดปรับสูงขึ้นกว่าราคาจำนำเมื่อไหร่ ชาวนาก็สามารถมาไถ่ถอนข้าวที่นำมาจำนำกับรัฐบาลออกไปเพื่อไปขายเองในราคาตลาดต่อไป เพื่อจะได้ราคาที่ดีกว่า

หรือถ้าชาวนายังไม่มาไถ่ถอนข้าวคืนก่อนกำหนด แล้วเผอิญรัฐบาลจะนำข้าวที่จำนำไปขายในราคาที่สูงกว่าราคาจำนำได้ หากชาวนายินยอมให้รัฐบาลขายให้ เมื่อรัฐบาลขายข้าวไปแล้ว ก็จะนำราคาส่วนได้เกินมาคืนให้แก่ชาวนาอีกที

เช่น รัฐบาลรับจำนำข้าวในราคาตันละ 6 พันบาท ในขณะที่ราคาตลาดข้าวในวันนี้อยู่ที่ตันละ 5,700 แต่พออีก 2 เดือนต่อมา ราคาข้าวในตลาดปรับตัวขึ้นไปเป็นตันละ 6,300 บาท ชาวนาก็จะมาไถ่ถอนข้าวที่จำนำไว้กับรัฐบาลออกไปเพื่อไปขายให้โรงสีเอง เป็นต้น

การจำนำข้าวของรัฐบาลในอดีต จึงเป็นการกดดันให้โรงสีขยับราคารับซื้อข้าวเพิ่มขึ้น เพราะไม่งั้นชาวนาก็ไม่เอามาขาย แล้วพอราคาขยับเพิ่มได้ระดับที่น่าพอใจแล้ว ชาวนาที่จำนำกับรัฐบาลไว้ ก็จะมาไถ่ถอนข้าวคืน เพื่อไปขายเอง

แต่โครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่การจำนำข้าวแบบปกติ แต่เป็นการรับซื้อข้าวในราคาสูงกว่าราคาตลาดถึง100% คือตันละ 15,000 บาท เพราะราคาตลาดในกันยายน2554 ก่อนเริ่มโครงการจำนำข้าวในเดือนตุลาคม 2554 อยู่ที่ตันละ 7,500 บาทเท่านั้น ทำให้ตั้งแต่มีโครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์มา ยังไม่เคยมีเกษตรกรรายใดมาไถ่ถอนข้าวออกไปขายเองเลย 

ดังนั้นโครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์นี้จึงเป็นการรับซื้อข้าวม่ใช่การจำนำข้าวเหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่เลี่ยงบาลีมาใช้คำว่า จำนำข้าว เพราะเกรงจะผิดกฎค้าเสรีที่ไทยเป็นสมาชิก WTO

แถมยังเป็นการผูกขาดตลาดข้าวโดยรัฐบาลเสียเอง เพราะข้าวส่วนใหญ่ในตลาดข้าวอยู่ในมือรัฐบาลเอง ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 43 อีกด้วย

รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 43 ห้ามการผูกขาดการค้า คลิกที่รูปเพื่อขยาย


ถามว่า ในเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์กระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 43 ทำไมถึงไม่มีใครเอาผิด และทำไมถึงยังลอยนวล

คำตอบคือ เพราะนี่คือจุดบกพร่องของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ไม่เปิดโอกาสให้มีคนร้องเอาผิดรัฐบาลในมาตรานี้ได้ และไม่มีบทลงโทษด้วย ตามที่ท่านวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญเคยอธิบายไว้ ตามนี้ คลิกอ่านรายละเอียดที่นี่




2. มีชาวนาไม่ได้เข้าโครงการจำนำข้าว 49 % (คลิปนาทีที่ 11)

ประเด็นนี้ยิ่งลักษณ์บอกเองว่า มีชาวนาไม่ได้เข้าร่วมโครงการจำนำข้าว 49 % ทำให้ยังมีข้าวในตลาดอีกครึ่งนึงที่ทำให้ผู้ค้าข้าวรายใหญ่ยังค้าขายได้ตามปกติ

สังเกตประเด็นนี้ดี ๆ นะครับ มีการใช้เทคนิคการพูดแบบยอกย้อนให้ผิดความหมาย

ให้ดูจากรูปนี้ประกอบ


รูปที่ยิ่งลักษณ์นำมาแสดงในสภา สนช.

ประเด็น 2.1 คำว่ามีชาวนาไม่ได้เข้าโครงการจำนำข้าวมีถึง 49 % นั้น ยิ่งลักษณ์พูดโกหก เพราะตัวเลขที่ยิ่งลักษณ์นำเสนอคือปริมาณข้าว ไม่ใช่จำนวนชาวนา

แถมปริมาณข้าว 49 % ที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการจำนำข้าว ก็เป็นข้าวของชาวนาส่วนใหญ่ในประเทศถึง 60 % ครับ ซึ่งเป็นเกษตรกรรายย่อย ที่ปลูกข้าวไว้กินเอง หรืออาจเหลือขายบ้างเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ได้เข้าโครงการจำนำข้าว ยิ่งชาวนาในภาคอีสานมีมากถึง 70 % ที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการจำนำข้าวเลย

ส่วนปริมาณข้าว 51% ที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวกลับเป็นของชาวนาเพียง 40 % ของประเทศนี้เท่านั้น (บางสำนักข่าวอ้างว่า มีชาวนาในโครงการจำนำข้าวแค่ 25 % เท่านั้น)

เท่ากับว่า โครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ที่ใช้เงินไปมากกว่า 1 ล้านล้านบาท ในช่วง 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา เป็นการนำเงินไปช่วยชาวนาส่วนน้อยของประเทศเท่านั้น

อีกทั้งเงินมากกว่า 1 ล้านล้านบาท เป็นเงินที่ถึงมือชาวนาเพียง 40 % ส่วนที่เหลืออีก 60 % ไปตกอยู่กับโรงสี และกระบวนการทุจริตสวมสิทธิข้าว และผู้ส่งออกที่ใกล้ชิดคนในรัฐบาลที่ได้ซื้อข้าวในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง


ประเด็น 2.2 จากรูป ยิ่งลักษณ์ ยอมรับเองว่า ผู้ค้ารายใหญ่ยังดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ

จึงแสดงว่า โครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์เอื้อประโยชน์เฉพาะผู้ค้ารายใหญ่เท่านั้น นี่คือการทำลายกลไกตลาดชัดเจน



3 วิธีคำนวณมูลค่าสินค้าคงเหลือ

มูลค่าข้าวที่คงเหลือในโกดังจำนำข้าวของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์อ้างว่า ปลัดกระทรวงการคลังกดมูลค่าจนต่ำเกินไป เพราะนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กลับให้มูลค่าคงเหลือสูงกว่า


เอกสารของยิ่งลักษณ์แสดงในสภา สนช.

ประเด็นนี้ ยิ่งลักษณ์แค่ต้องการดิสเครดิตปลัดกระทรวงการคลัง

ส่วนนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าว เขาก็พูดในฐานะนักธุรกิจ เขาไม่ได้มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายกับการขายข้าวในโกดังของรัฐบาล เขาไม่ได้มีหน้าที่ต้องมารับผิดชอบหาทางแก้ไขปัญหาหนี้จำนำข้าวของรัฐบาล เขาก็คงพูดในแนวทางกว้าง ๆ

แต่ปลัดกระทรวงการคลังถือว่า เป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลโดยตรงที่เกียวข้องกับทรัพย์สินและหนี้ที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าว

ดังนั้นประชาชนต้องเชื่อคำพูดหรือข้อมูลของปลัดกระทรวงการคลัง เพราะโกดังข้าวเป็นของรัฐบาล แต่ยิ่งลักษณ์กลับเลือกที่จะอ้างคำพูดของนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวเพื่อเข้าข้างตัวเอง

แล้วทำไมยิ่งลักษณ์ไม่ลองอ้างคำพูดของนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการรับจำนำข้าวบ้างล่ะ

10 มกราคม 2557 นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าว เคยแนะนำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์หยุดโครงการรับจำนำข้าว และหยุดแทรกแซงพ่อค้า



ผู้สื่อข่าว ถาม ท่าทีโครงการรับจำนำข้าว ?

นายเจริญ "หนัก ใจ เพราะตลาดไม่ใช่ภาวะปกติ มีสินค้าในสต๊อกค่อนข้างเยอะ ต้องหาทางระบายออก แต่ผมเชื่อว่าการจำนำข้าวไม่ว่าจะมีรัฐบาลไหนมาทำ คงต้องมีการปรับเปลี่ยนอีกมาก ทั้งราคา การประมูล และการระบาย ทุกอย่าง ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะต้องมีภาระสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ และผลประโยชน์ไม่ได้ตกถึงชาวนาทั้งหมด เราก็พูดมาเป็นเวลา 2 ปีแล้วว่า นโยบายนี้จะมีปัญหา คนแรกที่กระทบคือ ผู้ส่งออก โรงสี หยง และชาวนา เป็นวัวพันหลัก เมื่อขายไม่ได้ข้าวสารลงก็ไปฉุดข้าวเปลือกลงอีก และเรามีข้าวใหม่ทุกปี ถ้าไม่ส่งออกปีละ 8 ล้านตัน เท่ากับว่าเรามีสต๊อกใหม่เพิ่มอีกปีละ 2-3 ล้านตัน รวมสต๊อกข้าวเก่านับ 20 ล้านตัน"

ผู้สื่อข่าว ถาม สมมติเปลี่ยนขั้วแล้วกลับเป็นประกันรายได้ ?

นายเจริญ "การชดเชยให้ชาวนาโดยตรงก็ดีนะ เพราะรัฐบาลสามารถควบคุมงบประมาณได้ รายได้ถึงมือชาวนาได้มากขึ้น รัฐบาลจะใช้ 2-6 แสนล้านบาทก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไปตกที่อื่น แต่จำเป็นต้องมีการกำหนดราคาขั้นต่ำ เช่น ข้าวขาว 5% ความชื้น 15% ราคาตันละ 11,000-12,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 15,000-16,000 บาท ชาวนาน่าจะแฮปปี้ ถ้าต่ำกว่านี้ก็ต้องไปแทรกแซงดึงราคาให้สูงขึ้น หรือช่วยประกันภัย ช่วยปัจจัยการเพาะปลูก บริหารทั้งดีมานด์และซัพพลายตลอดเวลา แต่อย่ามายุ่งกับการซื้อขายของเอกชน เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลมายุ่งราคาตลาดคนเดียวเลย ทำให้ราคาตก ที่เคยขายได้ตันละ 600 เหรียญ เหลือ 400 กว่าเหรียญสหรัฐ ยังต้องแก้อีกหลายปีจะจบไหม"

ผู้สื่อข่าว ถาม ผู้ส่งออกไม่ร่วมประมูล ?

นายเจริญ "ประมูลผู้ส่งออกไม่นิยมซื้อ เพราะต้องรับสภาพข้าวที่ประมูลซึ่งมีการจัดเก็บไว้นาน เราไม่รู้หรอกข้าวในโกดังเป็นหมื่น ๆ กระสอบจะมีคุณภาพเป็นอย่างไร จึงมีจดหมายถึงท่านนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รักษาการรองนายก รัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ควบคุมมาตรฐาน โดยเสนอว่าถ้าจะยังคงใช้นโยบายจำนำ ต้องมีการตรวจสอบข้าวที่จะเข้าคลังไปจนถึงกระบวนการระบายข้าว ต้องโปร่งใส คุณภาพควบคุมได้ ต่ผมว่าหยุดเลยจะดีกว่า เพราะการจำนำเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ ต่อให้คุณสุจริต แต่มันมหึมาควบคุมไม่ได้ และเสื่อมคุณภาพเร็ว เก็บ 5-6 เดือนคุณค่ามันหายไปหมด นี่เป็นตัวแปรสำคัญ แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ"



4. ประเทศไทยสูญเสียแชมป์เพราะต่างประเทศทุ่มตลาด

ยิ่งลักษณ์อ่านโพยว่า "กรณีข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลของตนทำให้ประเทศไทยเสียแชมป์ข้าวโลกว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง เพราะการระบายข้าวสารดำเนินการระบายตามราคาตลาดโลก ไม่ได้อ้างอิงราคาข้าวเปลือก จึงไม่เกี่ยวกับโครงการรรับจำนำข้าว แต่เป็นผลจากการทุ่มตลาดของต่างประเทศในเวลาดังกล่าว ข้อพิสูจน์คือ ปี 2557 ไทยกลับมาเป็นแชมป์ส่งออกข้าวอีกครั้ง ซึ่งเป็นข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวทั้งสิ้น"

นี่ก็เป็นการพูดความจริงด้านเดียว เพราะเรื่องการแข่งขันตัดราคากันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว โดยเฉพาะตลาดข้าวคุณภาพต่ำ ที่อินเดียมักทุ่มตลาดในส่วนนี้

แต่ไทยเราเป็นชาติที่ขายข้าวคุณภาพดีกว่า เช่นข้าวหอมมะลิก็ยังเสียตลาดในส่วนนี้ให้เวียดนาม เช่นที่ฮ่องกง เป็นต้น


หรือแม้แต่ประเทศฟิลิปปินส์ที่เป็นลูกค้าข้าวรายใหญ่ของไทยมาตลอด ก็เลือกที่จะอดหนุนข้าวเวียดนามแทน

ในปี 2554 ไทยเคยส่งข้าวไปฟิลิปปินส์มีมูลค่า 59.02ล้านเหรียญ  แต่พอมีโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว
ในปี 2555 ไทยส่งข้าวไปฟิลิปปินส์เหลือมูลค่าแค่ 6.03 ล้านเหรียญเท่านั้น !!
ปี 2555 ฟิลิปปินส์นำเข้าข้าวจากเวียดนาม มูลค่ามากถึง 318.77 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็น ร้อยละ 81.54 ของการนำเข้าข้าวทั้งหมด

คลิกอ่าน ความล้มเหลวของข้าวไทยในฟิลิปปินส์ 


ดังนั้นการที่มีโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับช่วยให้ข้าวต่างประเทศมีราคาดีขึ้น แต่ข้าวไทยกลับขายไม่ออก !!

ผมไม่วิจารณ์ประเด็นนี้แล้วกัน แต่ให้อ่านความเห็นของผู้บริหา่รบริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ของเวียดนามเขาอธิบายแล้วกัน

ให้สังเกตที่กรอบสีแดงที่ผมทำครอบไว้ครับ



4.1 ยิ่งลักษณ์อ้างว่า ไทยจ่อได้แชมป์ส่งออกข้าว ก็เพราะผลงานข้าวในโครงการจำนำข้าวของเธอ

โถ ยิ่งลักษณ์แถได้อย่างด้าน ๆ เลยนะครับ  เพราะประเด็นการส่งออกต้องแยกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เอกชนส่งออก กับ ส่วนรัฐบาลขายเอง 

ในส่วนที่เอกชนส่งออก ข้าวส่วนใหญ่เขาซื้อจากโรงสีโดยตรงในฤดูกาลใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับข้าวในโกดังจำนำข้าวสักเท่าไหร่นัก เพราะไม่มีผู้ส่งออกรายใดอยากซื้อข้าวในโครงการนี้แล้ว

ส่วนข้าวที่รัฐบาลขาย รัฐบาลไทยก็ต้องยอมขายแบบขาดทุน ไม่งั้นข้าวไทยก็ขายไม่ออกเหลือเน่าคาโกดัง

แต่ยิ่งลักษณ์กลับแถเอาความดีความชอบเข้าตัวเองเฉยเลย



5 . กปปส. ขัดขวางการจ่ายเงินให้ชาวนาของรัฐบาล (คลิปนาทีที่ 32.30)

เรื่องนี้เป็นตรรกะที่พวกแกนนำแดง ใช้หลอกเสื้อแดงมานานมาก เพราะพวกนี้รู้ดีว่า เสื้อแดงไม่เคยอ่านข้อกฎหมาย ไม่เคยตามข่าว เอาแต่เชื่อแกนนำอย่างเดียว

ผมเองก็อธิบายเรื่องนี้ในหลายบทความแล้วว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้เงินในโครงการจำนำข้าวจนเต็มเพดานเงินกู้ไปแล้ว 5 แสนล้านบาท จึงทำให้ไม่อาจกู้เพิ่มได้อีก เพราะมันจะผิดวินัยการคลัง จึงทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายชาวนามาตั้งแต่เดือนกันยายน 2556

ลองอ่านข่าวนี้

คุณประพีร์ อังกินันทน์ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้เปิดเผยผลการตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินว่า คณะรัฐมนตรีชุดนี้ได้ตีกรอบวงเงินหมุนเวียนโครงการรับจำนำข้าวไว้ว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 จะไม่เกินวงเงิน 500,000 ล้านบาท แต่ตัวเลข ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 (ช่วงที่รัฐบาลเริ่มมีการติดหนี้ชาวนา) รัฐบาลได้เบิกเงินไปแล้ว 677,128.46 ล้านบาท แต่ได้เงินคืนจากการระบายข้าวเพียง 128,373.10 ล้านบาท (แค่1ใน5) รัฐบาลจึงมีหนี้ค้างชำระ ธ.ก.ส. หรือ ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ สูงถึง 548,755.45 ล้านบาท

คุณประพีร์ ระบุด้วยว่า โครงการนี้มีความเสี่ยงที่นำไปสู่การทุจริตในทุกขั้นตอน จะเป็นเจตนาของรัฐบาลหรือเปล่า ผมไม่ทราบ ต้องรอผลการสอบสวนของ ป.ป.ช. แต่ตัวเลข ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2556 รัฐบาลขาดทุนโครงการจำนำข้าวไปแล้ว 332,372.23 ล้านบาท ถ้าเทียบเงินที่รัฐบาลเบิกไป 6 แสนกว่าล้านบาท ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 ก็ถือว่า ขาดทุนแบบครึ่งต่อครึ่ง ยังไม่นับข้าวที่เหลือในโกดัง

(แต่คลิปนาทีที่ 31.10 ยิ่งลักษณ์โกหกกลาง สนช. ว่า ใช้เงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาทในปี 2556)


ส่วนกลุ่ม กปปส. เริ่มก่อตั้งและชุมนุมกันในเดือนพฤศจิกายน 2556 แต่ชาวนาไม่ได้เงินมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 แล้ว ดังนั้นการที่ชาวนาไม่ได้เงินจึงไม่เกี่ยวกับ กปปส. แต่อย่างใด

ส่วนเรื่องการปล่อยกู้ของธนาคารออมสินนั้น กปปส.ไปชุมนุมต่อต้านการปล่อยกู้แบบมีเงื่อนงำไม่โปร่งใส ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นหนี้เน่าที่ไม่มีใครรับผิดชอบ ตามที่ผมเคยอธิบายในบทความเรื่อง ทำไมพนักงานออมสินต้านการปล่อยกู้ให้ ธกส. 

อีกทั้ง กปปส. ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ลาออก  ไม่ได้เรียกร้องให้ยิ่งลักษณ์ยุบสภา

ดังนั้นเมื่อยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภาในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 เอง จึงทำให้รัฐบาลรักษาการณ์ไม่มีอำนาจเต็มในการกู้เงินใด ๆ ที่จะเป็นผลพัวพันได้อีก เพราะจะผิดรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 181 (3) ที่ระบุว่า คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่รักษาการอยู่ ต้องไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป

ดังนั้นการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่สามารถกู้เงินมาจ่ายชาวนาได้ จึงมี 2 ประเด็นคือ
1. ใช้เงินเกินวงเงิน 5 แสนล้านบาทไปแล้ว
2. ประกาศยุบสภา จึงไม่มีอำนาจกู้เงินได้อีก



http://imgur.com/B06CWk1



6. ประเด็นข้าวหาย 2 แสนตัน

โอเค ประเด็นนี้ยังมีข้อมูลตัวเลขที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ถ้ายึดตามที่ยิ่งลักษณ์บอกเองคือ ข้าวหาย 2 แสนตัน ยิ่งลักษณ์พูดเหมือนมันน้อยนะ แต่ความจริงข้าวสาร 2 แสนตัน มันเท่ากับมูลค่าถึง 4 พันล้านบาท (เพราะรับจำนำข้าวเปลือกตันละหมื่นห้า เมื่อสีเป็นข้าวสารจึงมีต้นทุนตันละ 2 หมื่นบาทเป็นอย่างน้อย)

แล้วยิ่งลักษณ์อ้างว่า ในสัญญากับโกดังจัดเก็บ ถ้าข้าวหายหรือเสื่อมสภาพ จะมาคิดเป็นความสูญเสียของรัฐไม่ได้ เพราะทางโกดังต้องเป็นฝ่ายชดใช้

เอ่อ.. อ้างง่ายไปหน่อยนะครับ ยิ่งลักษณ์

ยกตัวอย่างเช่น การโกงเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 1,600 ล้านบาท ถามว่า เมื่อไอ้คนโกงมันหนีไปเมืองนอกแล้ว ฟอกเงินไปแล้ว ถามว่า สถาบันฯ จะได้เงินคืนครบหรือไม่ ?

เข่นเดียวกัน เมื่อข้าวหาย ข้าวเสื่อม สุดท้ายไม่พ้นเป็นความสูญเสียของรัฐอยู่ดี แถมโรงสีอาจสู้คดีอีกนานด้วยว่า ที่ข้าวเสื่อมไม่ได้เป็นความผิดของเขา แค่เพราะรัฐต่างหากที่เสือกมาเช่าเอง โกดังเขาไม่ได้ทำไว้เพื่อเก็บข้าวนานเป็นปี ๆ




7. อ้างถึง คดีประชาธิปัตย์ทำความเสียหายจาก ปรส. 8 แสนล้านบาท


เอกสารของยิ่งลักษณ์แสดงใน สนช.

ประเด็นนี้ต้องบอกว่า ยิ่งลักษณ์เป็นคนเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่นตัวจริง เพราะ คดี ปรส. นั้น มูลค่าทรัพย์สิน 8 แสนล้านบาท คือมูลค่าก่อนการเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่รวมทั้งหนี้ดีและหนี้เสียรวมกัน

แล้วคนทำให้เกิดคดี ปรส. ก็มาจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศที่ผิดพลาดของรัฐบาลชวลิต

เมื่อเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งแล้ว หนี้ดีจะมีมูลค่าลดลงกว่าครึ่ง เช่น มูลค่าที่ดินของตึกร้างเดิมมีมูลค่า 100 ล้านบาท พอเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งมูลค่าที่ดินตกลงเหลือแค่ 50 ล้านบาทเท่านั้น

แต่หนี้เสียกลับไม่ลดลง แถมเพิ่มขึ้นเพราะดอกเบี้ยด้วย เช่น ถ้ากู้เงินมาสร้างตึกมูลค่า 300 ล้านบาท พอเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ มูลค่าหนี้ที่ไปกู้ไม่ได้ลดลง แถมถ้ากู้เงินมาจากต่างประเทศกลับเป็นหนี้เพิ่มขึ้น 2 เท่า เพราะค่าเงินบาทตกลงไปถึง 50 บาทต่อดอลล่าห์สหรัฐ นี่แหละคือสาเหตุที่เกิดตึกร้างกลางกรุงมากมาย

ดังนั้น หลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้งมูลค่าทรัพย์สิน 8 แสนล้าน จึงไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริง ต่อมารัฐบาลปชป.ขายทรัพย์สิน ปรส.ได้เงินประมาณ 2 แสนล้านซึ่งถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว

ซึ่งถ้าใครยังไม่เข้าใจประเด็นนี้  แนะนำอ่านบทความเรื่อง โอ๊คโชวฺโง่คดี ปรส. คลิกที่นี่

แล้วยิ่งลักษณ์ยังกล้าโกหกกลางสภา สนช. ว่า โครงการรับจำนำข้าวทำความเสียหายแค่ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น !!



8. ยิ่งลักษณ์บอกเองว่า ข้าวเหลือคาโกดัง 19 ล้านตัน (คลิปนาทีที่ 32.14)

ยิ่งลักษณ์บอกว่า ถ้าขายข้าว 19 ล้านตันนี้ได้ รัฐบาลก็ไม่ต้องออกพันธบัตรมาใช้หนี้ เพราะจะเป็นภาระผูกพันธ์รัฐบาลในระยะยาว

ที่ยิ่งลักษณ์บอกว่าเหลือข้าว 19 ล้านตัน (ตัวเลขจริงประมาณ17.9ล้านตัน) เพราะจะได้ดูว่า ข้าวในโครงการของเธอไม่ได้หาย ยังมีเหลือในโกดังตั้งเยอะ แต่ความจริงกลับกลายเป็นโชว์โง่แท้ ๆ ว่าที่ผ่านมารัฐบาลตัวเองขายข้าวไม่ได้ต่างหาก

แล้วความจริง รัฐบาล คสช. ต้องออกพันธบัตรชุดสุขกันเถอะเรา 1 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้หนี้จำนำข้าวงวดแรก โดยจะเปิดขายในวันที่ 12 ม.ค. 58 นี้

นั่นเพราะรัฐบาลยังไม่มีเงินจะมาจ่ายหนี้เงินกู้ในโครงการจำนำข้าวได้ เลยต้องออกพันธบัตรขายให้ประชาชนเ เพื่ออาเงินมาหมุนใช้หนี้กู้ระยะสั้นไปก่อน

แต่ยิ่งลักษณ์พูดง่ายทำอย่างกับว่า การขายข้าว 19 ล้านตันทำเหมือนขายขนมครกให้หมดได้ในพริบตา ทั้ง ๆ ที่ข้าว 19 ล้านตันเป็นปริมาณข้าวที่มีมากที่สุดในประวัติศาตร์สต๊อกรัฐบาล ซึ่งคาดว่า อาจต้องใช้เวลาร่วม ๆ 10 ปีถึงจะขายหมด ถ้าไม่มีใครมาซื้อแบบเหมายกเข่งไป แต่กว่าจะขายหมด ก็คงเหลือข้าวที่พอขายได้ไม่เท่าไหร่แล้ว

เช่นเดียวกัน มูลค่าข้าวสารที่มีอยู่ 19 ล้านตัน ถ้ามีต้นทุนที่ 2 หมื่นบาทต่อตัน ก็จะมีมูลค่า เท่ากับ 380,000 ล้านบาท แต่รัฐบาล คสช. คงขายในราคาตันละ 2 หมื่นบาทไม่ได้แน่นอน ซึ่งความเสียหายและขาดทุนในส่วนนี้จะมาโทษรัฐบาล คสช.ไม่ได้ มันต้องโทษรัฐบาลที่ก่อหนี้ต่างาก


ผมชักเหนื่อยจนไม่อยากอธิบายมากแล้ว แต่แนะนำอ่านไปอ่านข่าวนี้เอง
คลิกอ่านรายละเอียดข่าว ผงะสต๊อกรัฐเจอข้าวดีไม่ถึง 13 % นายกฯประยุทธฺ์บอกขาดทุน 6.8 แสนล้านบาท



ทีตัวเลขที่พลเอกประยุทธ์ พูดเป็นประโยชน์ต่อยิ่งลักษณ์ ก็จะถูกเอาไปอ้างเพื่อให้ตัวเองดูดี แต่พอตัวเลขที่พลเอกประยุทธ์พูดเรื่องความเสียหาย 6.8 แสนล้าน ยิ่งลักษณ์กลับไม่กล้าเอ่ยถึง






9. ยิ่งลักษณ์อ้าง ชาวนาพอใจ เศรษฐกิจดี มีเงินหมุนเวียนในระบบเยอะ

ประเด็นนี้ยิ่งลักษณ์เลือกจะพูดในช่วงที่ยังไม่ติดหนี้ชาวนาเอามาพูด แถมที่เศรษฐกิจดี มันก็ดีแต่เปลือก

เพราะเป็นการกู้เงินอนาคตมาใช้ แต่กลับทำให้เป็นภาระของประเทศระยะยาวนานร่วม 30 ปีกว่าจะใช้หนี้โครงการจำนำข้าวได้หมด ซึ่งนายสมหมาย ภาษี รมว. คลังเป็นคนพูดเองว่า อาจต้องใช้หนี้นานถึง 30 ปี

"ทำโครงการแค่ 2 ปีกว่า แต่ต้องใช้หนี้นาน 30 ปียันรุ่นหลาน !!"


ชาวนาไม่ได้เงินมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 ก่อนยิ่งลักษณ์จะยุบสภาในเดือนธันวาคม 2556

ทุกวันนี้รัฐบาลยังต้องจ่ายค่าเช่าโกดังเก็บข้าวที่ยังขายไม่หมดกว่า 17 ล้านตัน ตกเดือนละ 2 พันล้านบาท !! ซึ่งเป็นต้นทุนหนี้ที่ยังเพิ่มขึ้นตลอดเวลา



10. ประเด็น คดีประกันราคาข้าวของพรรคประชาธิปัตย์

ยิ่งลักษณ์อ้างว่า คดีนี้ไม่คืบหน้า เพราะ ป.ป.ช.อ้างว่า เอกสารหายเพราะเกิดน้ำท่วมนั้น

ความจริงคือ คนที่ร้องเรียนคดีนี้ก็คือ สส.เพื่อไทย ก็ควรนำเอกสารหลักฐานมามอบให้ ป.ป.ช. เพิ่มอีกสิ แต่กลับไม่เอาไปมอบให้เอง เพราะต้องการเก็บไว้อ้างว่า คดีประกันราคาข้าวกับคดีจำนำข้าว เป็นเรื่องของ 2 มาตรฐาน 

อีกทั้งคดีนี้มันเกิดจาก รัฐบาลอภิสิทธิ์ขายข้าวเสื่อมสภาพที่หลงเหลือมาจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชาย จึงทำให้ขายข้าวไม่ได้ราคาเท่าที่ควร แต่พรรคเพื่อไทยกลับกล่าวหาว่า มีการโกง



11. ยิ่งลักษณ์อ้างว่า ยกเลิกนโยบายจำนำข้าวไม่ได้ทำง่าย ๆ เพราะมีคณะกรรมการนโยบายหลายคน

เรื่องนี้ก็โกหกชัดเจน เพราะคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติหรือ กขช. นั้นประกอบไปด้วย

นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติโดยตำแหน่ง

รมว.พาณิชย์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ และรมว.คลัง เป็นรองประธานกรรมการ

ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เลขาธิการสศช. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้แทนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิด้านข้าว เป็นกรรมการ

รวมคณะกรรมการฯ ทั้งหมด 24 คน ซึ่งถ้ารัฐบาลคิดจะยกเลิกนโยบายจำนำข้าวจริงๆ ประธานก็เรียกประชุมคณะกรรมการ แล้วเสนอญัตติเข้าไปให้คณะกรรมการพิจารณา แล้วเสนอลงมติว่าจะยกเลิกนโยบายจำนำข้าวหรือไม่

ซึ่งถ้านายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เป็นรองประธานร่วมกันเสนอ โอกาสที่ปลัดกระทรวงต่าง ๆ ที่เป็นกรรมการอยู่นั้น ก็คงไม่ขัดนโยบายรัฐบาลอยู่แล้ว

ถามว่า ยิ่งลักษณ์ เคยคิดเสนอที่ประชุมเพื่อลงมติยกเลิกนโยบายจำนำข้าวบ้างหรือยังล่ะ ?

ถ้ายิ่งลักษณ์ไม่เคยเสนอญัตติยกเลิกนโยบายจำนำข้าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการฯ เลย แล้วมันจะยกเลิกนโยบายได้อย่างไร

ซึ่งก็คือ ยิ่งลักษณ์ไม่เคยคิดยกเลิกนโยบายจำนำข้าวเลยนั่นเอง จึงเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 นั่นเอง

คลิกอ่าน รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน



12. ประเด็นรัฐบาลทุกรัฐบาลก็ขาดทุนจากจำนำข้าวทั้งนั้น รวมทั้งประกันราคาข้าวของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ขาดทุน

ประเด็นนี้ยิ่งลักษณ์เลือกที่จะพูดกว้าง ๆ แต่ลืมไปหน่อยว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เคยพูดก่อนเริ่มโครงการจำนำข้าวไว้ว่า จะไม่ทำให้โครงการจำนำข้าวขาดทุนเกิน 6 หมื่นล้านแน่นอน เท่ากับโครงการประกันรายได้ในช่วง 2 ปีของรัฐบาลอภิสิทธิ์  ซึ่งหากรัฐบาลเพื่อไทยทำโครงการจำนำข้าวขาดทุนเกิน 6 หมื่นล้าน รัฐบาลเพื่อไทยคงอยู่ต่อไม่ได้

แต่พอทำโครงการจริง ๆ แค่ครึ่งปีก็ขาดทุนเกิน 6 หมื่นล้านไปแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ไม่ยอมหยุดโครงการหายนะนี้ ยังเดินหน้าทำโครงการหายนะต่อ

แน่นอน ทุกโครงการที่รัฐบาลช่วยชาวนาย่อมต้องมีขาดทุนบ้าง ในจุดที่พอรับได้ แต่การที่เอาภาษีของชาติภาษีที่คนทั้งประเทศต้องแบกรับหนี้นานถึง 30 ปีมาโปรยให้ชาวนาแค่ในช่วง 2 ปี ก็ไม่ได้ช่วยให้ชาวนายืนอยู่บนลำแข้งได้อย่างยั่งยืนเลย

แน่นอน การทำโครงการจำนำข้าวทำให้มีเงินในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนดีขึ้น ชาวนายิ้มได้ในช่วง 2 ปี แต่พอย่างเข้าปีที่ 3 มีชาวนาฆ่าตัวตายไป 16 รายไงล่ะ

นั่นเพราะมันเป็นการนำเงินอนาคตของประเทศ มามอมเมาชาวนานั่นเอง 


----------------------

คือกว่าผมจะเขียนบทความนี้มาจนจบ ก็ใช้เวลาไปหลายชั่วโมง ก็เลยขอจบเท่านี้ก่อน แต่หากว่า คิดประเด็นใดได้เพิ่มขึ้นอีก ก็จะมาเพิ่มเติมในภายหลังครับ

ขอบคุณคุณผู้อ่านที่สามารถอ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ครับ หากมีข้อบกพร่องหรือเจอคำผิดใด ก็ขออภัยด้วย ก็พยายามจะตรวจทานแล้ว

เหนื่อยใจกับนักการเมืองที่ไร้ความรับผิดชอบจริง ๆ ขอจบด้วยรูปของลุงเต่า ต้วมเตี้ม ทำไว้ ผมว่า ทำได้เข้าใจง่ายดีครับ




คลิกอ่าน ที่มาชื่อพันธบัตรสุขกันเถอะเรา คือ พันธบัตรเสนียดจัญไร




วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558

ที่มาชื่อพันธบัตรชุด 'สุขกันเถิดเรา' มันคือ พันธบัตรเสนียดจัญไร






กระทรวงการคลังและ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ กำลังจะเปิดขายพันธบัตรที่มีชื่อว่า พันธบัตรชุดสุขกันเถิดเรา ในวันที่ 12 ม.ค. 58 นี้

โดยเจตนาของพันธบัตรนี้ก็คือ จะเอาไปจ่ายหนี้จากโครงการจำนำข้าวที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ก่อหนี้เน่ามูลค่ามากกว่า 5 แสนล้านบาทไว้นั่นเอง



----------------

ทำไมไม่ควรซื้อพันธบัตรชุด สุขกันเถอะเรา

เหตุผลที่ไม่ควรซื้อพันธบัตรชุด สุขกันเถอะเรา ผมขอยกคำอธิบายเมื่อหลายวันก่อนของผม มาลงแล้วกันครับ






------------

ต่อไปนี้ขอให้อ่านข่าวประกอบการตัดสินใจ

กรุงเทพธุรกิจ

"คลัง" ประเดิมปี 58 ออกบอนด์ออมทรัพย์รุ่นพิเศษ "สุขกันเถอะเรา" วงเงิน 1 แสนล้านบาท อายุ 5-10 ปี เพื่อใช้หนี้โครงการจำนำข้าว 

ชูดอกเบี้ยสูงเฉลี่ย 3.8-4% เปิดขาย 12-23 ม.ค.นี้ หวังระดมเงินรีไฟแนนซ์เงินกู้ระยะสั้นโครงการรับจำนำข้าว และลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแต่ละปี เผยรัฐค้างหนี้ ธ.ก.ส. วงเงิน 2.3 แสนล้าน

กระทรวงการคลัง กำลังทยอยออกพันธบัตร เพื่อนำเงินที่ได้ไปรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้ที่เกิดจากโครงการจำนำข้าวในรัฐบาลชุดที่แล้ว ซึ่งขณะนี้เหลือวงเงินกู้ที่รอการชำระจำนวน 4.93 แสนล้านบาท 

โดยล่าสุดได้ประกาศเสนอขายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ รุ่น "สุขกันเถอะเรา" วงเงิน 1 แสนล้านบาท เป็นพันธบัตรของกระทรวงการคลัง 5 หมื่นล้าน และเป็นพันธบัตรของ ธกส. อีก 5 หมื่นล้าน

ทั้งนี้ พันธบัตรของกระทรวงการคลัง มีอายุ 10 ปี วงเงิน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเป็นแบบขั้นบันได คือ ในปีแรกถึงปีที่ 3 จะอยู่ที่ร้อยละ 3 ส่วนปีที่ 4-7 จะอยู่ที่ร้อยละ 4 และ ปีที่ 8-10 จะอยู่ที่ร้อยละ 5 หรือ เฉลี่ยตลอด 10 ปี อยู่ที่ร้อยละ 4 จำหน่ายผ่านธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์

ส่วนพันธบัตร ธ.ก.ส. มีอายุพันธบัตร 5 ปี วงเงิน 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 3.8 จำหน่ายผ่าน ธ.ก.ส. ทุกสาขา ทั้งนี้ จะเริ่มเปิดจำหน่ายในวันที่ 12 -23 ม.ค. 2558



โดยในจำนวนนี้ 5 หมื่นล้านบาท จะนำไปรีไฟแนนซ์เงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงินในโครงการรับจำนำข้าวดังกล่าว

การทยอยออกพันธบัตร เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เงินกู้จำนำข้าวดังกล่าว เพื่อลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายในแต่ละปีเพื่อมาชำระหนี้ เนื่องจากรัฐบาลต้องการจัดสรรงบประมาณเพื่อการลงทุนให้มากขึ้น


ต้องใช้หนี้จำนำข้าว 30 ปี 

ขณะที่วงเงินงบประมาณมีจำกัด โดยรัฐบาลมีแผนจะใช้เวลาในการรีไฟแนนซ์หนี้ก้อนนี้ยาวถึง 30 ปี โดยระยะเวลาดังกล่าว จะขึ้นอยู่กับเม็ดเงินชำระหนี้ที่ได้จากการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลด้วย


พันธบัตรดอกเบี้ยสูง ใครจ่าย ?

นายสมหมาย ภาษี มั่นใจว่า การเสนอขายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นพิเศษนี้ จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในช่วงเวลาเดียวกัน โดยพันธบัตรดังกล่าวมีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น

"ผมมั่นใจว่า พันธบัตรล็อตนี้จะขายได้หมด เพราะอัตราดอกเบี้ยจูงใจ อย่างไรก็ดี เราแผนที่จะออกพันธบัตรออมทรัพย์อีกรอบในช่วงที่เหลือของปีนี้" นายสมหมาย กล่าว

รับภาระดอกเบี้ยสูงขึ้นเล็กน้อย

ด้านนายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ส่วนของภาระหนี้จากการดำเนินโครงการจำนำข้าว ส่วนที่เป็นเงินกู้ 4.93 แสนล้านบาทนั้น มีหนี้ที่ครบกำหนดปีนี้ 1.54 แสนล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้ออกพันธบัตรรีไฟแนนซ์หนี้ไปแล้ว 5.33 หมื่นล้านบาท

ล่าสุดออกพันธบัตรออกทรัพย์รุ่นพิเศษอีก 5 หมื่นล้านบาท จึงเหลืออีก 5.07 หมื่นล้านบาท ที่ต้องพิจารณารูปแบบการกู้เงินต่อไป ซึ่งจะเน้นปรับโครงสร้างหนี้จากระยะสั้นที่กู้แบบเทอมโลนจากสถาบันการเงิน มาเป็นพันธบัตรระยะยาวมากขึ้น ขณะนี้มีสัดส่วนของพันธบัตรเพิ่มจาก 46% มาอยู่ที่ 64% หลังจากที่ออกบอนด์ออมทรัพย์ล่าสุด

ทั้งนี้ หลังออกพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นพิเศษที่มีดอกเบี้ยสูง ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้โครงการนี้สูงขึ้นเล็กน้อย จากปัจจุบันที่มีเงินกู้เฉลี่ย 3% ต่อปี


รัฐค้างหนี้ ธ.ก.ส. 2.3 แสนล้าน

ส่วนการชำระคืนเงินต้นทั้งจากการกู้ยืมและการใช้สภาพคล่องของธนาคาร ซึ่งขณะนี้ มียอดรวมที่รัฐบาลต้องใช้หนี้ ธ.ก.ส.อยู่จำนวน 2.3 แสนล้านบาท ก็ต้องรอเงินจากการขายข้าวและการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายในปีต่อไป หลังจากที่ปี 2558 ได้รับจัดสรรงบชะคืนเงินต้น 3 หมื่นล้านบาท และชำระดอกเบี้ยประมาณ 2 หมื่นล้านบาท

สำหรับการขายข้าว ล่าสุดหลังจากสอบถามไปยังกฤษฎีกา และได้รับการยืนยันให้ขายข้าวในสต็อกรัฐบาลได้ เพื่อไม่ให้ข้าวมีคุณภาพเสื่อมลงไปอีก หากเก็บไว้นาน และเป็นภาระต้นทุนในการจัดเก็บ ทำให้ทางกระทรวงพาณิชย์ เริ่มระบายข้าวออกมาบางส่วนแล้ว น่าจะได้รับเงินเข้ามาอีกทางหนึ่ง แต่ต้องทยอยขาย เพื่อไม่ให้กระทบกับข้าวใหม่ที่ออกสู่ตลาดให้มีราคาลดลง

----------------------


ที่มาชื่อพันธบัตร "สุขกันเถอะเรา" 

นี่ครับ ที่มาของชื่อ พันธบัตรรัฐบาล "สุขกันเถิดเรา" ก็คงมาจากยิ่งลักษณ์เคยร้องเพลง สุขกันเถิดเรา นั่นเอง



ชื่อ สุขกันเถอะเรา คงหมายถึง พรรคพวกยิ่งลักษณ์มีความสุขกันเถอะเรา แต่ประเทศชาติต้องทนทุกข์แทนพวกมัน เพราะพันธบัตรดอกเบี้ยสูงนี้ ก็คือเงินภาษีชาติที่ควรจะนำไปพัฒนาประเทศ แต่กลับต้องมามาจ่ายทั้งต้นทั้งดอกสิ้นของหนี้เน่าก้อนนี้แทน เป็นเวลานานถึง 30 ปี

ผมว่า พันธบัตรใช้หนี้จำนำข้าวนี้ควรจะใช้ชื่อว่า พันธบัตรเสนียดจัญไร ถึงจะเหมาะสมกว่า !! 

นี้จำนำข้าวที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อไว้หลายแสนล้าน เธอยังหน้าด้านจะไปชี้แจงกับ สนช. ด้วยเหตุผลว่า โครงการจำนำข้าวที่รัฐบาลเธอต้องทำไปนั้น จะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะรัฐบาลของเธอได้แถลงนโยบายนี้ต่อรัฐสภาไปแล้ว อีกทั้ง เป็นโครงการที่ช่วยเหลือชาวนา ชาวนาได้ประโยชน์

ประเด็นแรก ยิ่งลักษณ์อ้างว่า ได้แถลงการนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว

akecity ขออธิบายประเด็นแรกว่า "โครงการจำนำข้่าวแม้จะแถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว แต่เมื่อได้ทำไป 1 ฤดูกาล กลับพบว่า มีข้อเสียมากมาย และจะสร้างความเสียหายในอนาคตอีกมากมายตามมา จนทั้ง สตง. และ ป.ป.ช. ได้มีหนังสือเตือนหลายครั้งว่าควรยุติโครงการนี้

แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับยังดื้อแพ่ง ฝืนทำโครงการหายนะนี้ต่อไปจน 2 ปีกว่า ไม่ยอมยุติโครงการนี้ จึงเท่ากับว่า ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ีในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชาติ จึงเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157"


ประเด็นที่ 2 ยิ่งลักษณ์อ้างว่า เป็นโครงการที่ช่วยเหลือชาวนา

akecity ขออธิบายประเด็นที่ 2 ว่า "ชาวนาที่ได้ประโยชน์จากโครงการจำนำข้าวนี้ จะต้องเป็นชาวนาที่มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวมาก ซึ่งโดยข้อเท็จจริง ๆ แล้วชาวนาส่วนใหญ่ของประเทศนี้กลับไม่ได้เข้าร่วมโครงการจำนำข้าว แต่อย่างใด

อีกทั้งการอ้างว่าช่วยชาวนา แต่กลับทำให้ประเทศชาติโดยรวมต้องเสียหายมหาศาล ข้าวไทยซื้อมาขายไม่ออก แต่คนไทยทั้งประเทศกลับต้องกินข้าวแพงเกินควร เหตุผลของยิ่งลักษณ์ย่อมฟังไม่ขึ้น"

-------------

บทความผมคงไม่อาจยับยั้งคนไทยที่มีเงินเย็นนอนอยู่แห่ไปซื้อพันธบัตรสุขกันเถอะเราไม่ได้หรอก

เพียงแต่ว่า ผมอยากให้คนไทยได้รับรู้ว่า พวกเราควรมีส่วนร่วมในการปกป้องชาติไม่ให้คนชั่วลอยนวล

สุดท้ายฝากข้อเขียนของคุณสุนันท์ ศรีจันทรา คอลัมภ์นิสต์รู้ทันกลโกลหุ้น ไว้ว่า

"การทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เกิดความเสียหายที่ประเมินกันเบื้องต้นประมาณ 7 แสนล้านบาท จนต้องออกพันธบัตร กู้เงินนับแสนล้านบาท ทิ้งภาระให้ลูกหลานต้องร่วมกันชดใช้ นางสาวยิ่งลักษณ์ยังจะทำหน้าสวย ยังทำเป็นสาวไร้เดียงสา ไม่รับรู้การโกงอันมโหระทึกอย่างนั้นหรือ ตอนเริ่มต้นโครงการ แม้จะมีเสียงทักท้วงจากหลายฝ่าย ในความเสียหายที่จะตามมา แม้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแหลกรานถึงการทุจริต แต่นางสาวยิ่งลักษณ์คนนี้ไม่ใช่หรือที่เถียงฉอดๆ ตลอดเวลา ตอนนี้จะมาโอดครวญแก้ตัวทำไม"




คลิกอ่าน พันธบัตรสุขกันเถอะเรา ก็คือ แชร์ลูกโซ่




วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

รีวิวนางเอกซีรีย์ ยอดชายคาบูกิ เพราะเธอยากจน เธอจึงน่ารัก







ช่วงนี้ไทยพีบีเอส มีซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่อง ยอดชายคาบูกิ Pintokona ออกอากาศทุกคืนวันเสาร์และอาทิตย์ ตอนสามทุ่มตรง

ละครเรื่องนี้เป็นเรื่องของ "คาวามูระ เคียวโนะสุเกะ" พระเอกซึ่งเป็นทายาทตระกูลนักแสดงคาบูกิ ที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียงโด่งดัง พระเอกจึงได้รับการวางตัวให้สืบทอดตระกูลที่มีชื่อเสียงนี้ต่อไป

คาบูกิ คือศิลปะการแสดงละครเวทีชั้นสูงของญี่ปุ่น ซึ่งคาบูกิจะมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่แสดง ไม่ว่าจะเป็นบทผู้ชายหรือบทผู้หญิง ก็ตาม

ส่วนพระรอง "ซาวายาม่า อิจิยะ" เป็นหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดงคาบูกิอันดับ 1 ของญี่ปุ่นให้ได้ ซึ่งพระรองเป็นแฟนกับนางเอก และเคยสัญญากับนางเอกตั้งแต่ตอนอายุ 5-6 ขวบว่า เขาจะเป็นนักแสดงคาบูกิอันดับ 1 เพื่อนางเอก

ตัวพระรองไม่ใช่คนร่ำรวยเหมือนพระเอก แต่เขาได้รับการชุบเลี้ยงจากเศรษฐีตระกูลคาบูกิอีกตระกูล และได้รับการวางตัวให้เป็นทายาทสืบทอดตระกูลนี้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องแต่งงานกับคุณหนูลูกสาวคนเดียวของตระกูล (นางรอง)

พระรอง และ พระเอก



พระรอง กับนางเอก ตอนเด็ก ๆ ซึ่งเป็นตอนที่พระรองสัญญากับนางเอกว่าจะเป็นนักแสดงคาบูกิอันดับ 1 ของญี่ปุ่นให้ได้เพื่อนางเอก




รูปนี้ พระเอกและพระรองได้แสดงคาบูกิร่วมกัน โดยบทนี้พระรองแสดงเป็นผู้หญิง




บทความนี้ผมไม่ได้มารีวิวซีรีย์เรื่องนี้เป็นหลักนะครับ แต่ที่ผมอยากจะรีวิวคือ ตัวนางเอกเรื่องนี้ว่า เธอถูกวางบทบาทไว้น่าสนใจมาก ซึ่งผมเห็นว่า เป็นตัวอย่างที่ดีที่ละครญี่ปุ่นเขาฝากแนวคิดดี ๆ ผ่านมาที่ตัวนางเอก เพื่อให้นักเรียนหญิงญี่ปุ่นได้ซึมซับความคิดดี ๆ ของนางเอกเรื่องนี้




นางเอกชื่อ จิบะ อายาเมะ (รับบทโดย คาวาชิมะ อุมิกะ) เธอเป็นเด็กสาวที่หลงใหลการชมการแสดงคาบูกิเป็นชีวิตจิตใจ

วันที่ละครเปิดตัวในตอนแรก นางเอกไปดูพระเอกแสดงคาบูกิ ซึ่งพระเอกได้ฉายาว่า เจ้าชายแห่งวงการคาบูกิ แต่ปรากฏว่า เพราะความที่พระเอกโด่งดังมาก จึงมีเสน่ห์กับสาว ๆ ทุกเพศทุกวัย

ขณะที่ในวันนั้น นางเอกกลับผิดหวังกับการแสดงของพระเอกอย่างมาก จนถึงขนาดไปดักรอต่อว่าพระเอกว่า แสดงไม่ได้เรื่อง ไม่สมกับฉายา เจ้าชายคาบูกิ เลย

นี่คือฉากแรกของซีรีย์ ที่พระเอกกำลังแสดง คาบูกิ แล้วนางเอกรู้สึกผิดหวัง



พอโดนนางเอกตำหนิเรื่องการแสดงที่ไม่ทุ่มเทเท่าที่ควร จึงทำให้พระเอกอึ้ง และเริ่มได้สติ ที่หลงตัวเองว่า เก่งและดัง

ตอนแรกผมดูซีรีย์เรื่องนี้ ผมไม่ได้ชอบนางเอกเลยนะ เพราะดูเธอก็ไม่ได้สวยมาก แถมตัวเล็กมากด้วย เพราะผู้แสดงเป็นนางเอกคือ คาวาชิมะ อุมิกะ เธอมีความสูงแค่ 154 เซนติเมตรเท่านั้นเอง ปัจจุบันเธออายุ 20 ปีแล้วล่ะ



นี่จึงเป็นประเด็นแรกที่ละครญี่ปุ่นเรื่องนี้นำเสนอ นั่นคือ นางเอกไม่จำเป็นต้องตัวสูง หุ่นดี หรือสวยหยาดเยิ้ม

ส่วนนางรองหรือตัวร้ายฝ่ายหญิงกลับดูสวยกว่านางเอก แถมหุ่นดีกว่านางเอกด้วยซ้ำ (แต่พอดูไปเรื่อย ๆ นางเอกจะดูสวยมากขึ้น ๆ)


นางเอก vs นางรอง


นางรองหรือนางร้าย

แต่ที่ผมชอบบทของนางเอกเรื่อง ยอดชายคาบูกิ มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะในเรื่องเธอมีฐานะยากจนครับ

ซีรีย์เรื่องนี้สร้างขึ้นในปี 2013 นี่เอง ซึ่งญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศเจ้าของเทคโนโลยีไฮเทคทุกด้าน แต่เชื่อไหมครับ อายาเมะ นางเอกเรื่องนี้ เธอไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้

นางเอกใช้โทรศัพท์สาธารณะ



เวลานางเอกอยู่บ้านซึ่งเป็นอพาร์ทเมนต์เก่า ๆ ก็ใช้โทรศัพท์บ้าน 

ถ้าเป็นประเทศไทยแลนด์แดนโลว์เทค เด็กวัยรุ่น หรือนักเรียนไทยทุกคนต่างมีโทรศัพท์มือถือใช้กันแล้วใช่ไหม ??

นี่จึงเป็นอีกประเด็นที่ผมชอบซีรีย์ญี่ปุ่นเรื่องนี้ ที่เขาแทรกในเนื้อหาแบบอ้อม ๆ ว่า นางเอกแสนน่ารัก เธอมีทั้งพระเอกและพระรองมารุมหลงรัก แต่เธอกลับไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ ซึ่งนางเอกดูไม่ได้มีปมด้อยหรือน้อยเนื้อต่ำใจที่เธอจนเลยนะครับ

คิดว่า โทรศัพท์มือถือคงไม่ได้แพงอะไร เพียงแต่ว่า มันคงยังไม่จำเป็นมากพอที่เธอคิดว่าควรจะมีใช้มากกว่า

หรืออย่างเช่น การไปออกค่ายกับโรงเรียนที่ทะเล พระเอกหวังอยากจะเห็นนางเอกใส่ชุดว่ายน้ำ เหมือนเพื่อนนักเรียนหญิงคนอื่น ๆ เขาใส่กัน แต่ที่ไหนได้ กลับเป็นตามรูปนี้



พระเอกถามนางเอกว่า "แล้วไหนชุดว่ายน้ำของเธอล่ะ"

นางเอก "ก็ฉันไม่มีชุดว่ายน้ำนี่"

แม้นางเอกจะไม่มีชุดว่ายน่้ำใส่เหมือนเพื่อน ๆ  แต่นางเอกก็เล่นเกมร่วมกับเพื่อนๆ ที่ชายหาดอย่างสนุกสนาน

ซึ่งไม่ว่าจะประเทศไหน ๆ ชุดว่ายน้ำ จัดว่า เป็นชุดที่มีราคาแพงพอควร ดังนั้นเมื่อนางเอกจน ก็เลยไม่มีชุดว่ายน้ำใส่

-----------------------

อีกตัวอย่างเช่น นางเอกบอกว่า เธอไม่เคยไปเที่ยวสวนน้ำ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเลย เพราะตั๋วมันแพง

แต่แล้วมีวันหนึ่งเพื่อนสนิทนางเอก ได้ให้ตั๋วชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและสวนน้ำแก่นางเอก 2 ใบ เพื่อหวังให้นางเอกได้ไปเที่ยวกับแฟน (ซึ่งก็คือพระรอง)

แต่นางเอกได้บอกเพื่อนสนิทไปว่า


นางเอกทำงานนอกเวลาที่ร้านเบเกอร์รี่


แล้วเพื่อนสนิทผู้แสนดีกับนางเอก ก็ตอบว่า




ทีนี้นางเอกก็เลยได้ชุดน่ารัก ๆ ไปเดทสวนน้ำและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำกับพระรอง ได้แล้ว




แต่แล้วพระรองก็เกิดมาเดทด้วยไม่ได้ เพราะนางร้ายใช้แผนรั้งตัวพระรองเอาไว้ นางเอกเลยโทรไปหาพระรอง แล้วโทรศัพท์พระรองก็มีข้อความแจ้งว่า มีโทรศัพท์สาธ่ารณะโทรเข้ามา





พอพระรองบอกว่ามาเดทด้วยไม่ได้ นางเอกเราเลยนั่งเศร้าในตู้โทรศัพท์




สุดท้าย พระเอกชวนนางเอกมาเที่ยวสวนสัตว์น้ำอีกรอบ โดยอาสาจะเป็นไกด์นำเที่ยว (ไม่ใช่การเดท)



---------------------

ในซีรีย์เรื่องนี้ มีอยู่ตอนนึง นางเอกได้ซื้อพลุและไฟเย็นมาเล่นกับพระรอง ผมชอบตรงที่ นางเอกจะถือกระป๋องสำหรับใส่น้ำมาด้วย เพื่อเวลาจุดพลุแล้วเล่นเสร็จแล้ว ก็จะจุ่มพลุลงกระป๋องน้ำเพื่อดับไฟให้สนิท



ผมชอบที่สังคมญี่ปุ่นเขาสอนว่า เวลาจะเล่นพลุเล่นไฟ ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์อย่างถังน้ำมาด้วยนี่แหละ ถือเป็นการป้องกันภัยและปลูกฝังจิตสำนีกรับผิดชอบต่อสังคมไปในตัว

ส่วนนี่คืออพาร์ทเมนต์เก่า ๆ ที่นางเอกอยู่ครับ


พระเอกวิ่งมาบ้านนางเอก เพราะกลัวนางเอกจะผิดหวังที่ไม่ได้เดทกับพระรองที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำและสวนน้ำ


การที่ประเทศญี่ปุ่น เขาปลูกฝังแนวคิดการใช้ชีวิตแบบไม่ฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็นในซีรีย์ผ่านตัวละครนางเอก ผมว่า เป็นการสอนเยาวชนที่ดีมาก

ซึ่งการสอนแนวคิดแบบนี้มีทั้งในซีรีย์เกาหลีใต้เช่นกัน

ที่สำคัญที่สุดของซีรีย์เรื่องนี้คือ ละครเขาทำให้การศิลปะแสดงชั้นสูง ศิลปะประจำชาติญี่ปุ่นอย่าง คาบูกิ เป็นเรื่องที่เท่มากในสายตาของคนดู

อย่างพระเอก จะได้รับการยกย่องจากนักเรียนในโรงเรียน โดยเรียกว่า ท่าน นำหน้าชื่อ เป็น ท่านเคียว

--------------------

รีวิวรูป ก่อนจบบทความ

พระเอกกับพระรอง เล่นบทซามุไรขี้เมา ซึ่งพระรองเกิดรู้สึกเครียดที่พระเอกแสดงได้ดีมาก จนคนดูทั้งโรงรวมทั้งนางเอกเฝ้าจ้องมองแต่การแสดงของพระเอกคนเดียว



รูปข้างล่างนี้ผมชอบมาก ผมชอบชุดที่นางเอกใส่ตอนไปเข้าค่ายชุดนี้มาก เพราะดูสบาย ๆ บ้าน ๆ เหมือนคนไทยใส่ดี ซึ่งเป็นตอนที่พระเอกเรียกนางเอกออกมาดูของขวัญวันเกิดที่พระเอกเตรียมไว้ให้




ตอนเลิกเรียน นางเอกจะทำงานพิเศษเป็นคนสวนให้โรงเรียน





นางร้ายจะทำตัวเป็นสาวเรียบร้อย อ่อนหวาน แต่ที่จริงร้ายลึกมาก ออกแนวโรคจิตนิด ๆ


สุดท้ายขอจบด้วย คาวาชิมะ อูมิกะ ผู้แสดงเป็นนางเอกเรื่องนี้ในชุดว่ายน้ำครับ



ส่วนใครอยากดูซีรีย์เรื่องยอดชายคาบูกิ ภาพชัดมากแต่ซับไทยอ่านสบายตา ก็คลิกที่นี่เลยครับ