วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีการเลือกตั้งเป็นโมฆะ







บทความนี้สืบเนื่องจากบทความที่แล้ว คือบทความเรือง ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ยื่นการเลือกตั้งเป็นโมฆะต่อศาลหรือไม่ ?

ซึ่งพวกนักวิชาการแดงจะบอกว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจยื่นเรื่องนี้ตามรธน. มาตรา 245

เพราะการจัดการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ไม่ใช่เป็นเรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่ส่วนของกฎหมาย ซึ่งถ้าผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า กกต. ดำเนินการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดินก็ต้องไปยื่นเรื่องนี้ที่ศาลปกครอง ไม่ใช่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ


ผมจึงขออธิบายความเพิ่มเติมอีกนิดต่อจากบทความที่แล้ว

"ผมมองว่า กกต. ชุดนี้ได้จัดการเลือกตั้งครั้งนี้ตามหน้าที่ดีแล้ว เพียงแต่เกิดปัญหาที่ทำให้จัดการเลือกตั้งภายในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรไม่ได้

ซึ่งผมมองว่า นี่คืออีกช่องทางที่ผู้ตรวจการแผ่นดินทำได้คือ พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งทั่วไป 2 ก.พ.57 จะยังไม่สมบูรณ์จนกว่าการเลือกตั้งทั่วไปจะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์

การเลือกตั้ง กับ พระราชกฤษฎีการเลือกตั้ง เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ เพราะมีผลสืบเนื่องกัน

เพราะผลของการเลือกตั้งคือ การรับรองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งต้องถูกต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญและสมบูรณ์ทุกขั้นตอนก่อน ถึงจะรับรองสมาชิกภาพ ของ สส. ได้

เมื่อการเลือกตั้งทั่วไปถูกจัดขึ้นไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ จึงส่งผลให้พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งทั่วไป จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย

นี่คือการคิดแบบซับซ้อนขึ้น ซึ่งพวกนักกฎหมายสมองธรรมดา ๆ อย่างพวกนักกฎหมายแดงมักจะไม่ค่อยยอมจะเข้าใจง่าย ๆ  ครับ

เพราะนักกฎหมายสมองธรรมดา จะตีความพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง 2ก.พ. ว่า ได้ออกมาสมบูรณ์แล้ว

จำไว้นะครับ พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งทั่วไป จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อการเลือกตั้งทั่วไปเสร็จสิ้นไปแล้วด้วย นี่คือสิ่งที่ศาล รธน. อยากจะบอก

ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายทั่วไป ถ้ามีผู้กระทำผิดกฎหมายนั้นๆ ก็เอาผิดกับผู้กระทำผิดเท่านั้น แต่กฎหมายนั้นๆ ก็ยังบังคับใช้ได้ต่อไป

แต่กรณีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งทั่วไป แตกต่างจากกฎหมายทั่วไป คือ

ถ้าจัดการเลือกตั้งทั่วไปที่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็ต้องไปยกเลิกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งทั่วไปฉบับนั้นลงไปด้วย เพื่อให้มีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ขึ้นแทน!!

การเลือกตั้งที่เป็นโมฆะ เป็นผลให้พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งฉบับนั้นต้องเป็นโมฆะด้วย

เพราะถ้าไม่ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาวันเลือกตั้งเก่าให้โมฆะไป ก็จะไม่สามารถออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งใหม่ได้ เพราะจะเกิดการซ้ำซ้อนกัน

---------------------

ซึ่งคำอธิบายของผม ก็ตรงกับที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ถึงเหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญสามารถรับเรื่องนี้จากผู้ตรวจการแผ่นดินมาพิจารณาได้ ตามรูปนี้





ส่วนเนื้อหาคำตัดสินการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 เป็นโมฆะ ไปอ่านได้ที่ข่าวนี้


http://www.thairath.co.th/content/pol/412314







วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557

ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ยื่นการเลือกตั้ง 2 ก.พ.เป็นโมฆะต่อศาลหรือไม่






ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจยื่นเรื่องการเลือกตั้ง 2 ก.พ. เป็นโมฆะต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?


ในขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้

วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้นัด ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ไปให้ปากคำเกี่ยวกับเหตุผลในการส่งเรื่อง การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

ซึ่งทางฝ่ายรัฐบาลรักษาการเพื่อไทย รวมถึงนักวิชาการฝ่ายแดง จะอ้างว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจผู้ตรวจการแผ่นดินให้ทำเช่นนี้ได้

ทีนี้เราต้องมาดูก่อนว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ใช้อำนาจหน้าที่ตรงไหนในการส่งเรื่องการเลือกตั้งเป็นโมฆะ

รัฐธรรมนูญ 2550  ในมาตรา245

มาตรา ๒๔๕ ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(๑) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

(๒) กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา ๒๔๔ (๑) (ก) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง และให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

ผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงได้อาศัยอำนาจตาม รธน. .ในมาตรา 245 ข้อ 1 เพื่อยื่นเรื่องแก่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ซึ่งพวกนักวิชาการแดงเถือก พยายามจะแถว่า เรื่องนี้ไม่เข้าเกณฑ์ เพราะการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ไม่เข้าข่ายกฎหมายที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะนำไปยื่นต่อศาล รธน. ได้

แต่ในความเป็นจริง การเลือกตั้งทั่วไปทุกครั้ง รวมทั้งการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 ก็ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกายุบสภาและให้จัดการการเลือกตั้งทั่วไป

ซึ่งพระราชกฤษฎีกา ก็ถือเป็นกฎหมายชนิดหนึ่งเช่นกัน

เพราะ นิยามของพระราชกฤษฎีกา

พระราชกฤษฎีกา คือ กฎหมายที่ตราขึ้นโดยพระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี

-------------------------

ในเมื่อพระราชกฤษฎีกาจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป 2 ก.พ. 2557 ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจมีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหลายมาตรา เช่น ขัด มาตรา 108 คือไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายในวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรได้ , การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในช่วงเลือกตั้ง อาจทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ

(ส่วนประเด็นเพราะอะไรถึงจัดการเลือกตั้งภายในวันเดียวไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ใครมีหน้าที่รับผิดชอบก็ไปฟ้องร้องเอาผิดกันไป ซึ่งต้องแยกเป็นคนละประเด็นกัน)

ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงเห็นว่า จากการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา พระราชกฤษฎีกาจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป 2 ก.พ. 2557 จึงอาจมีปัญหาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปแล้ว

แม้ตอนที่ประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปนั้น ตอนแรกที่ประกาศจะไม่ได้ขัดรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ต้องดูผลของการเลือกตั้งที่ตามมาต่อไปด้วย

แต่ผลจากการเลือกตั้งทั่วไปที่ไม่สามารถจัดให้มีการเลือกตั้งภายในวันเดียวได้ ก็ย่อมส่งผลให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็ส่งผลให้พระราชกฤษฎีกายุบสภากำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป 2 ก.พ.  ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปด้วย


ผู้ตรวจการแผ่นดินก็จึงส่งเรื่องการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 ที่อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัย

เรื่องนี้มันอาจแตกต่างซับซ้อนมากกว่ากฎหมายทั่วไปไปบ้าง เพราะพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง กับผลต่อเนื่องของการจัดการเลือกตั้งมันเกี่ยวข้องต่อเนื่องกันแบบแยกไม่ออก

เมื่อการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ พระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งทั่วไปก็ควรเป็นโมฆะ เพื่อให้ได้มีการจัดการเลือกตั้งที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่

ซึ่งนักวิชาการแดง และนักกฎหมายฝ่ายรัฐบาล มันโง่ ระบบความคิดมันไม่ซับซ้อนพอที่จะคิดในเรื่องนี้ได้ครับ หรือมันอาจฉลาด แต่มันจะแถซะอย่างทำไงได้


(เลือกตั้ง 2540 ที่เป็นโมฆะ ก็ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นผู้ยื่นเรื่องต่อศาล รธน. วินิจฉัยเช่นกัน)


ซึ่งผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ไม่ควรก้าวคำวินิจฉัยล่วงหน้า หรือประกาศว่าจะไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล แบบที่คนในรัฐบาลชั่ว และพวกแดงถ่อยกำลังกระทำ

หากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะหรือไม่เป็นโมฆะก็ตาม ทุกคนก็ควรยอมรับคำตัดสินของศาล

เหมือนผมมั่นใจมานานแล้วว่า การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 ต้องเป็นโมฆะ ตามที่ผมได้เขียนไว้ในบทความเก่า "การเลือกตั้ง 2 ก.พ.ของรัฐบาลกบฏยิ่งลักษณ์ต้องเป็นโมฆะแน่นอน"

แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญกลับมีวินิจฉัยว่า การเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 ไม่เป็นโมฆะ

ผมก็ยอมรับได้ เพราะนี่คือส่วนหนึ่งของวิถีประชาธิปไตยที่ถูกต้อง

ส่วนบทความนี้ขอสรุปว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา มีอำนาจหน้าที่ในการยื่นเรื่องการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยครับ





คลิกอ่าน เหตุผลที่ศาล รธน. รับคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดินกรณีเลือกตั้งเป็นโมฆะ






วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

เพลงมรณะ Gloomy Sunday เวอร์ชั่นน่ารักที่สุด โดยหนูน้อย Angeline Jordan







Angeline Jordan หนูน้อยนอร์เวย์ วัย 7 ขวบ เลือกร้องเพลง "gloomy sunday" เพลงมรณะ ในเวอร์ชั่นของนักร้องอเมริกันผิวสี Bille Holiday (ซึ่งเพลงนี้เคยทำให้คนฟังฆ่าตัวตายมาแล้ว 200 คน) ในการแข่งขันนอร์เวย์ก็อตทาเลนท์ 2014

หนูน้อยอายุแค่ 7 ขวบ ได้สะท้อนอารมณ์เพลงได้เหมือนต้นฉบับ สร้างความประทับใจให้ผู้ฟัง จนต้องลุกขึ้นปรบมือให้เธออย่างกึกก้อง



ผมฟังเพลงที่หนูน้อย Angeline ร้องอยู่หลายรอบ ยิ่งฟังก็ยิ่งไพเราะ ยิ่งดูเธอก็ยิ่งน่ารัก เพราะเธอดูคล้าย ๆ Amy Winehouse นักร้องสาวอังกฤษที่เสียชีวิตไปแล้ว


ประวัติและเนื้อเพลง Gloomy Sunday

เนื้อเพลง Gloomy Sunday

Sadly one Sunday I waited and waited
วันอาทิตย์ที่แสนเส้าวันหนึ่ง ฉันรอ... รอ... แล้วก้อรอ - - "

With flowers in my arms for the dream I'd created
ด้วยดอกไม้ที่อยู่ในแขนฉัน เพื่อจะไปสู่ความฝันที่ฉันจะสร้างขึ้นมา

I waited 'til dreams, like my heart, were all broken
ฉันรอจนความฝัน ดังเช่นใจฉัน แตกสลายไป

The flowers were all dead and the words were unspoken
ดอกไม้ทั้งหมดล้วนเหี่ยวเฉา และคำพูดมันช่างยากที่จะเอ่ยเหลือเกิน

The grief that I knew was beyond all consoling
ความเศร้าโศกที่ฉันมันคงจะไม่จากไป

The beat of my heart was a bell that was tolling
เสียงหัวใจฉันก็เปรียบเหมือนระฆังที่ถูกตี

Saddest of Sundays
วันอาทิดที่เศร้าที่สุด

Then came a Sunday when you came to find me
ในที่สุดวันอาทิตย์ที่เธอมาพบชั้นก็มาถึง

They bore me to church and I left you behind me
มันเรียกร้องให้ฉันไปที่โบสถ์ และฉันก็ทิ้งเธอไว้ข้างหลัง

My eyes could not see one I wanted to love me
ดวงตาของฉันไม่อาจเห็นคนที่ชั้นอยากให้รักฉัน

The earth and the flowers are forever above me
โลก + ดอกไม้ ล้วนอยู่เหนือชั้น

The bell tolled for me and the wind whispered, "Never!"
เสียงระฆังกระซิบว่า "..ไม่มีทาง.."

But you I have loved and I bless you forever
แต่เธอได้รักฉันไปแล้ว และฉันคงจะอวยพรให้เธอตลอดไป

Last of all Sundays
วันอาทิตย์ วันสุดท้าย


ต่อไป มาดูเรื่องจริงที่เกิดขึ้น

เพื่อนหญิงที่เลิกรากันไปแล้วของกวีที่ชื่อลาฟโร (László Jávor) ซึ่งเป็นผู้ที่เขาแต่งเนื้อเพลงให้ ได้ฆ่าตัวตายหลังจากที่แผ่นเสียงเพลงนี้ได้ออกสู่ตลาด จดหมายลาตายของเธอเขียนไว้ว่า

\"วันอาทิตย์ที่แสนเงียบเหงา\"

ไม่นานนักเจ้าหน้าที่รัฐบาลผู้หนึ่งก็ได้ยิงตัวตายหลังจากที่ได้อ่านเนื้อเพลงนี้ รายต่อมาเป็นเด็กหญิงคนหนึ่งที่พยายามกินยาพิษเมื่อได้ยินเพลงนี้จากเครื่องเล่นแผ่นเสียง ที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งในกรุงบูตาเบส ชายคนหนึ่งก็ได้ยิงตัวตายในขณะที่เพลงนี้กำลังบรรเลงอยู่

รัฐบาลฮังการีได้สั่งห้ามไม่ให้เปิดเพลงนี้ออกอากาศ แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังเกิดในที่อื่นๆอีก เช่นที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งทางบีบีซีก็ได้ถูกสั่งห้ามเปิดเพลงนี้เช่นกัน แต่ในสหรัฐอเมริกา ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำอย่างรัฐบาลอังกฤษและรัฐบาลฮังการี

โดยสรุปแล้วการฆ่าตัวตายนั้นได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพลงนี้ประมาณ 200 รายทั่วโลก

และในปี 1968 ชาวอังกฤษคนหนึ่งก็ได้กระโดดจากชั้น 8 ของอาคารแห่งหนึ่ง เขาคือ ราซโซ แซร์ ซึ่งไม่สามารถแต่งเพลงได้อีกหลังจากการแต่งทำนองเพลง

\"วันอาทิตย์ที่แสนเศร้า\"

เนื้อหาและเมโลดี้ของเพลงนี้นั้น ว่ากันว่าเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้าและความขมขื่นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เนื้อร้องของเพลงคือคำรำพึงรำพันของชายหนุ่มผู้ตัดสินใจตามหญิงสาวที่ตนรักไปสู่ความตาย จริงๆแล้วเพลงนี้ถูกแต่งเป็นภาษาฮังกาเรียนและแปลโดยกวีชาวอังกฤษอีกทีหนึง

ตอนที่เพลงนี้ออกสู่หูของสาธารณะชนเพียงไม่นาน มันก็ได้ชื่อว่า เพลงแห่งการฆ่าตัวตาย ในเวลาไม่นานนัก เนื่องด้วยผู้ฟังส่วนหนึ่ง ทั้งในฮังการีและประเทศอื่น ๆ ได้พากันฆ่าตัวตายเนื่องจากความหดหู่ไม่สิ้นสุดของเพลงนี้ จนสถานีวิทยุหลายแห่งในหลายประเทศได้ห้ามออกอากาศเพลงนี้เด็ดขาด

สถานีวิทยุBBCของอังกฤษได้ให้เหตุผลว่า \"เพลงนี้ทำให้ผู้ฟังหดหู่มากไป\"

แต่ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะน่ากลัวแค่ไหน มันก็ยังถูกเล่น บันทึก และขายอยู่จวบจนทุกวันนี้

ยังคงมีคนซื้อเพลงนี้อยู่ และคนเหล่านี้บางคนก็ได้ฆ่าตัวตาย

(ที่มาประวัตเพลง จากเว็บ Dek-d )

--------------------------

ฟัง Gloomy Sunday เวอร์ชั่นที่ดังที่สุดของ Billie Holiday



บิลลี่ ฮอลิเดย์ นักร้องเพลงแจ๊ส ชาวอเมริกัน ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วด้วยวัย 44 ปีเท่านั้น

---------------

เวอร์ชันออริจินอล

ลองฟัง Gloomy Sunday เวอร์ชั่นภาษาฮังกาเรียน (The Hungarian Suicide Song เพลงฆ่าตัวตายของฮังกาเรียน)

แต่งโดย Rezső Seress นักเปียโนและนักแต่งเพลงชาวอังกาเรียน ในปี 1933 แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ สืบเนื่องมาจากเขาถูกแฟนทิ้ง

เพลง Gloomy Sunday

ทำนองโดย Rezső Seress
เนื้อเพลงโดย László Jávor



เพลงนี้เพราะดี ผมว่านะ




วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

เจ้าชายสิทธัตถะ หนีไปบวชโดยไม่ขออนุญาตพระราชบิดาจริงหรือ






ขอเริ่มด้วย ทำไมผู้ที่จะบวชพระต้องขออนุญาตจากพ่อแม่ก่อน


ในครั้งพุทธกาลมีกุลบุตรจำนวนมากออกบวช บางคนมีลูกมีเมียอยู่ก็หนีมาบวช บางคนก็หนีพ่อหนีแม่มาบวช

ในพรรษาที่ ๒ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จนิวัติกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระญาติ พระเจ้าสุทโธทนะจนสำเร็จเป็นพระอนาคามี พระนางประชาบดี พระนางพิมพา จนสำเร็จเป็นพระโสดาบัน

วันที่สามพระพุทธเจ้าชวนเจ้าชายอานันทะพระอนุชาแท้ ๆ มาบวช (ทั้งที่วันนี้เจ้าชายอานันทะเพิ่งแต่งงานยังไม่ทันส่งตัวเข้าหอ) 

เมื่อเจ้าชายอานันทะบวชแล้วได้ชื่อว่า พระนันทะ ซึ่งพระนันทะบวชด้วยความจำใจเพราะความเกรงใจพี่ ซึ่งคือ พระพุทธเจ้า

วันที่ ๗ พระนางพิมพาส่งราหุลราชโอรสอายุแค่ ๗ ขวบ ให้ไปทูลขอสมบัติขุมทรัพย์ทั้งสี่ของพระบิดา พระพุทธองค์จึงรับสั่งให้พระสารีบุตรรับพระราหุลไปบวชเณร

ทำให้พระเจ้าสุทโธทนะทรงเสียพระทัย เพราะเจ้าชายสิทธัตถะราชโอรสเคยไปบวชโดยไม่บอกลา เจ้าชายอานันทะพระราชโอรสอีกพระองค์ก็บวชโดยไม่ทันได้บอกลา ท้ายสุดยังมีเจ้าชายราหุลพระราชนัดดาก็มาบรรพชาโดยไม่บอกกล่าวอีก

ฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา เมื่อได้ทรงทราบดังนั้นก็ทรงมีความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้รีบเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลถึงความทุกข์ในพระราชหฤทัยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จออกทรงผนวชนั้น พระองค์ก็ทรงประสบความทุกข์อย่างใหญ่ เป็นครั้งแรก

ครั้นเมื่อพระนันทะออกทรงผนวชอีก ก็ทรงประสบความทุกข์เป็นอย่างยิ่งอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังหวังอยู่ว่ายังมีพระราหุลจะทรงเป็นผู้สืบพระราชวงศ์ต่อไป

แต่มาครั้งนี้พระราหุลมาทรงบรรพชาอีก ก็ยิ่งทรงประสบความทุกข์อย่างหนัก เป็นครั้งที่ ๓

เพราะฉะนั้นพระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงขอประทานพรพระพุทธเจ้าข้อหนึ่ง

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ได้ทรงล่วงพรเสียแล้ว

พระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดาก็ทูลโดยความว่า ก็มิใช่จะเป็นการบังคับ เมื่อทรงเห็นสมควรก็ประทาน เมื่อไม่ทรงเห็นสมควร ก็อย่าประทาน

พระพุทธเจ้าก็ทรงให้พระเจ้าสุทโธทนะตรัสว่า จะทรงขออะไร

พระเจ้าสุทโธทนะก็ได้ทูลขอพรข้อหนึ่งว่า

“ต่อไปเมื่อพระสงฆ์จะบวชผู้ใดให้ผู้นั้นได้รับอนุญาตจากมารดาบิดาก่อน
เพราะได้ทรงปรารภถึงความทุกข์ที่เกิดแก่พระองค์ครั้งนี้ว่ามากมายนัก
ก็อย่าให้ความทุกข์เช่นนี้เกิดขึ้นแก่มารดาบิดาอื่นเลย" 

พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต และก็ได้ทรงสั่งพระสงฆ์ว่าจะบวชใครก็ต้องให้ผู้นั้นได้รับอนุญาตจากมารดาบิดาเสียก่อน ตลอดมาถึงบัดนี้

นี่จึงเป็นมูลเหตุเบื้องต้นนับแต่นั้นมา ที่มีข้อกำหนดว่าเมื่อผู้ประสงค์จะบรรพชาเป็นสามเณร หรือ อุปสมบทเป็นพระภิกษุจะต้องได้รับอนุญาตจากบิดา-มารดาเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้ เว้นไว้แต่มารดา-บิดา ไม่มีชีวิตอยู่ดังนั้นเมื่อจะทำการบรรพชา หรืออุปสมบท

พระสงฆ์ผู้จะทำการให้ก็จะถามก่อนเป็นอันดับแรกว่า บิดา-มารดา ท่านได้อนุญาตหรือยัง หากว่ายังก็ให้ไปขออนุญาตก่อน

---------------------

เจ้าชายสิทธัตถะ เคยทูลขอบวชกับพระราชบิดาแล้ว

หลายคนอาจคิดว่า พระพุทธเจ้าของเรามาบวชโดยไม่ได้ทูลขอพระราชานุญาตจากพระราชบิดาก่อน

แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

เจ้าชายสิทธัตถะทรงเคยทูลขอกับพระราชบิดาแล้วครับ ซึ่งพระองค์ทรงทูลขอแบบเหนือชั้นมาก

โดยผมขออ้างอิงจาก คัมภีร์คัมภีร์ลลิตวิสตระ ชื่อ อภิเนษกรมณปริวรรต

"อภิเนษกรมณ์" (อะพิเนดสะกฺรม) หมายถึง การออกบวชเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่.

ต้องนับว่าเป็นกุศโลบายที่ยอดเยี่ยมของพระพุทธองค์จริง ๆ เพราะในคืนนั้น

เจ้าชายสิทธัตถะได้ทูลขอพระราชบิดาว่า "ขอพระบิดาทรงช่วยอวยพรให้ลูกว่า หากลูกตายขออย่าให้ลูกได้เกิดอีกเลย"

พระเจ้าสุทโธทนะ จึงอวยพรให้เจ้าชายสิทธัตถะว่า "ถ้าลูกกระทำการปลดเปลื้องอิสระจากในโลกนี้ ความคิดซึ่งเป็นความปราถนาแก่ลูกจนเต็มเปี่ยมเถิด"


แปลความง่าย ๆ ว่า พระราชบิดาทรงอวยพรว่า ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะจะกระทำอะไรที่จะช่วยให้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ก็ขอให้ได้สมตามที่ปรารถนา

ด้วยเหตุนี้ เจ้าชายสิทธัตถะจึงได้เสด็จออกไปแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากการเกิด ตามคำอำนวยพรจากพระราชบิดา

เนื้อหาสำคัญเรื่องนี้อยู่ในกรอบสีแดงที่ผมทำไว้ครับ






ในความปรารถนา 4 ข้อแรกของเจ้าชายสิทธัตถะที่ทูลขอพรจากพระเจ้าสุทโธทนะ ก็คือ ขอให้ไม่แก่ ไม่มีโรค ไม่ชรา และไม่ตาย หากพระราชบิดาสามารถให้พรทั้ง 4 ข้อนั้นได้ เจ้าชายสิทธัตถะก็จะไม่ทรงออกบวช

แต่พระราชบิดาก็ไม่สามารถให้พรทั้ง 4 ข้อนั้นแก่พระองค์ได้ เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงต้องออกไปแสวงหาหนทางหลุดพ้นจากการเกิดเอง

ด้วยการขอพรพระราชบิดาว่า ถ้าลูกตายก็ขออย่าให้ลูกกลับมาเกิดอีกเลย

ซึ่งพระราชบิดาพระเจ้าสุทโธทนะก็อำนวยอวยพรนั้นแก่พระราชโอรสสิทธัตถะ

------------

ความกลัวในอดีตของพระเจ้าสุทโธทนะ

ย้อนความเมื่อครั้งที่เมื่อตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติใหม่ ๆ

ท่านอัญญาโกณฑัญญะ เคยได้ทำนายพระชะตาของเจ้าชายสิทธัตถะ และกล้าฟันธงไว้ว่า “พระราชกุมาร ผู้บริบูรณ์ด้วยมหาบุรุษลักษณะอย่างนี้ จะไม่อยู่ครองเพศฆราวาสอย่างแน่นอน จักต้องเสด็จออกบรรพชา และได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างมิต้องสงสัย”

ทำให้ต่อมาพระเจ้าสุทโธทนะ ได้รับสั่งให้มีเวรยามมากมายเพื่อสกัดกั้นไม่ให้เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระราชวังไปบวช

แต่ถึงกระนั้นเจ้าชายสิทธัตถะก็สามารถเสด็จออกจากพระราชวังไปจนได้

จะเรียกว่า หนีไปบวชโดยไม่มาพูดร่ำลาก็ได้ แต่เคยทูลขอพรจากพระราชบิดาในเรื่องการไม่ต้องกลับมาเกิดอีก 

จะเรียกว่า เคยทำบาปนิดนึงที่ทำให้พ่อแม่เสียใจที่ตนเองไปบวชก็ได้

แต่การบวชของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น ต่อมากลับเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ คือ การที่พระพุทธเจ้าทรงกลับนำหนทางพ้นทุกข์นั้นมาสอนให้พ่อแม่ได้พ้นทุกข์ตาม ครับ

การช่วยให้พ่อแม่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร คือ การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่ดีที่สุด

เจ้าชายสิทธัตถะ จึงเป็นผู้มีความกตัญญูต่อพระราชบิดา และพระราชมารดาเลี้ยง พระนางมหาปชาบดีโคตมี อย่างที่สุดครับ

เช่น พระพุทธเจ้ายังทรงเสด็จไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดาด้วยเช่นกัน


รูปวาด สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จแสดงธรรมเทศนาโปรดพุทธบิดา พระเจ้าสุทโธทนะ ซึ่งทรงพระประชวรอย่างหนัก โดยแต่เดิมพระองค์ทรงเป็นพระอนาคามีอยู่แล้ว ก็ได้สำเร็จอรหันต์ก่อนจะสวรรคต


คลิกอ่าน เจ้าชายสิทธัตถะทรงทิ้งเมียทิ้งลูกผิดหรือไม่



วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

อาริศา หอมกรุ่น สาวน่ารักหน้าเป็น เจ้าหญิงดิสนีย์แห่งโลกโซเชียล







ใน facebook มีผู้คนมากมายที่ผมอยากจะไปขอสมัครเป็นเพื่อนด้วย แต่แล้วผมก็ต้องตัดใจไม่สมัครแทบทุกทีไป

เพราะด้วยการที่ผมเป็นนักเขียนบทความ หรือ บล็อคเกอร์ ผมจึงไม่ค่อยได้ไปขอสมัครเป็นเพื่อนกับใครใน facebook เท่าไหร่นัก ก็เพราะผมเกรงใจคนเขาจะเข้าใจว่า ผมอยากเผยแพร่บทความตัวเองโดยอ้อม ทำให้เพื่อนใน facebook ของผมส่วนใหญ่จึงมีเฉพาะคนที่ชอบบทความหรือข้อเขียนของผมเท่านั้น

แต่แล้วในวันหนึ่งที่ผมอยากสมัครเป็นเพื่อนกับสาวน้อยคนหนึ่งใน facebook อย่างมาก แบบไม่เคยเป็นมาก่อน

สาเหตุเพราะผมได้เห็นรูปๆ นึงที่มีเพื่อนใน facebook คนนึงได้แชร์รูปด้านล่างนี้



ผมเห็นรูปนี้ครั้งแรกก็ชอบมาก น่ารักดี แล้วก็กด Like ไปตามระเบียบ

แต่โดยทั่วไปเมื่อผมเห็นอะไรที่ชอบก็แค่ไลค์ แล้วปล่อยผ่านเลยไป

ครั้งนี้ก็เช่นกัน พอผมกดไลค์แล้วก็ปล่อยผ่านเลยไปแล้ว

แต่อยู่ ๆ สักพัก ผมก็ย้อนกลับไปดูรูปนี้อีกครั้ง เพราะผมฉุกคิดว่า "เอ๊ะ เด็กคนนี้เขาคิดได้ไง ถึงได้คอสเพลย์ได้เหมือนขนาดนี้"

ผมก็เลยตามไปที่ facebook ของเจ้าของรูปหรือสาวน้อยที่คอสเพลย์ได้เหมือนมากคนนี้

โดย facebook ของเธอใช้ชื่อว่า Arisa Joe Armstrong  สาวน้อยที่เพิ่งจบ ม.6 จากโรงเรียนพระแม่มารีสาทร มาหมาดๆ



เมื่อผมได้ดูรูปภาพใน facebook ของสาวน้อยหลาย ๆ รูป เธอทำให้ผมอึ้ง ทึ่ง ในความน่ารัก ความหน้าเป็น และความคิดสร้างสรรค์ของเธอ เพราะดูรูปของเธอแล้ว ผมได้ขำและอมยิ้มตามไปด้วยทุกรูปเลย

(หน้าเป็น หมายถึง แค่ทำหน้าเฉย ๆ ก็ดูขำแล้ว)

ความรู้สึกหลังจากได้ดูรูปหลาย ๆ รูปของเธอ ผมรู้สึกว่า เธอเป็นสาวน้อยหน้าตาที่สวยธรรมดาแต่กลับไม่ธรรมดา คือยิ่งดูยิ่งน่ารัก ไม่งั้นเธอคงไม่ดังขนาดมีคนติดตาม facebook ของเธอ 4หมื่นกว่าคนหรอก แถมเธอยังมีแฟนคลับไปเปิดเพจใหม่เป็นเพจ Arisa H หรือ เพจแฟนเพจพี่กวาง อีกด้วย

สาวน้อยคนนี้เธอมีนามว่า กวาง อาริศา หอมกรุ่น ซึ่งเธอชอบเรียกตัวเองว่า นุ้งกวาง 





รูปที่เธอโพสจะออกมาแนวขำปนน่ารัก ซึ่งเป็นความขำน่ารักที่เป็นธรรมชาติมาก ๆ

ผมว่านุ้งกวาง เธอเหมือนมีศิลปินดัง ๆ หลายต่อหลายคนมาสิงสถิตในตัวเธอเลยนะ เช่น โน้ส อุดม , Mr.Bean . จิม แครี่ เป็นต้น

แต่ศิลปินที่ว่ามาคือ เขาเป็นศิลปินตลกมืออาชีพ  แต่สำหรับ นุ้งกวาง อาริศา เธอเป็นเหมือน..น่ารักแบบติสต์ ๆ แบบตัวละครที่ชื่อ Amelie ในหนังเรื่อง Amelie มากกว่า




ใครไม่รู้จักหนัง Amelie ลองไปหาดูครับ อารมณ์ที่ได้ดูรูปของนุ้งกวาง อาริศา ผมรู้สึกเหมือนเธอคือ Amelie ตัวจริงที่หลุดออกมาจากในหนังเลยครับ

ที่ผมชอบหนูกวาง อาริศา มาก ๆ เพราะผมไม่เคยเห็นใครที่น่ารักและขำได้เป็นธรรมชาติแบบนี้

หนูกวาง จัดเป็นสาวน้อยที่อารมณ์ดี และมีความสามารถพิเศษในการเล่นกับกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเธอได้เก่งเหมือน จิม แครี่ (Jim Carrey) เลยครับ

ลองดูตัวอย่าง ใบหน้าหลากหลายลีลาของนุ้งกวาง






ดูนุ้งกวาง อาริศา ยิ้มได้น่ารักสุด ๆ




อ้าว !! รูปนี้นุ้งกวางเหมือนใครหว่า ?



หลังจากผมอึ้ง ทึ่ง กับรูปในเฟสบุ้คของ นุ้งกวาง แล้ว ผมก็รีบโพสความประทับใจของผมครั้งแรกลงเฟสบุ้คของผม เพื่อแนะนำให้เพื่อนๆ ในเฟสบุ้คของผมได้รู้จักและร่วมชอบเธอเหมือนผมด้วย




ที่ผมต้องเขียนบทความแนะนำสาวน้อยคนนี้ เพราะผมอยากให้เด็กสาว ๆ ทุกคนได้เห็นนุ้งกวาง อาริศา เป็นตัวอย่างของการเป็นตัวของตัวเองอย่างมั่นใจ ไม่ห่วงติดสวย มีความเป็นธรรมชาติในแบบที่ตัวเองอยากเป็น ซึ่งจุดนี้นี่แหละคือเสน่ห์ของผู้หญิงทุกคน คือ "ความเป็นธรรมชาติ"

แต่นุ้งกวาง อาริศา เธอเก่งและดังกว่าที่ผมคิด เพราะเธอจัดเป็นอัจฉริยะด้านการร้องเพลงคนนึงเลยทีเดียว จนได้ฉายาว่า เจ้าหญิงดิสนีย์ แห่งโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค

ลองดูคลิปที่โด่งดังคลิปนี้ในยูทูปของเธอ ที่ทำให้เธอได้รับฉายาเจ้าหญิงดิสนีย์ จนทำให้เธอได้ไปออกรายการทีวีทางช่อง 5 มาแล้ว

)


ถ้าคลิปแรกยังไม่สะใจ ลองดูเธอเป็นเจ้าหญิงผมยาว ทั้งร้องทั้งแสดงหน้าตาได้น่ารักสุด ๆ

)


ดีใจครับ ที่ผมได้มีโอกาสรู้จัก facebook ของสาวน้อยอัจฉริยะแสนน่ารัก นามว่า อาริศา หอมกรุ่น คนนี้

เธอเคยไปประกวดแข่งร้องเพลงในรายการ Master Key จนติดท็อป 1 ใน 10 แห่งปีมาแล้ว

และล่าสุด จากคลิปเจ้าหญิงดิสนีย์ในชุดนักเรียนก็ทำให้นุ้งกวาง อาริศา หอมกรุ่น ได้ไปออกรายการ 5 เช้าข่าวใหญ่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

)


นุ้งกวางดังแล้วนะ อนาคตสดใสแน่นอนสำหรับสาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้





นุ้งกวาง ไม่ได้ร้องเพลงดิสนีย์อย่างเดียวนะ นุ้งกวางยังร้องเพลงไทยทั่วไป ก็เพราะมาก อย่างเช่น



-----------------------

ข้อแนะนำสำหรับนุ้งกวาง

ผมอยากฝากบอกนุ้งกวางว่า จงรักษาความเป็นธรรมชาติของนุ้งกวางเอาไว้ เพราะนี่แหละคือเสน่ห์ที่ดีที่สุดของนุ้งกวาง

เพราะเมื่อผมได้ดูที่นุ้งกวางย้อมสีผมแดง ไปประกวดในรายการมาสเตอร์คีย์แล้ว ผมว่า ยังสวยและน่ารักไม่เท่ากับนุ้งกวางในแบบผมสั้นที่ไม่แต่งหน้าเลยไม่ได้

ถ้ารายการมาสเตอร์คีย์ นุ้งกวาง ไปแบบธรรมชาติให้มากที่สุด หรือแต่งหน้าให้น้อยมากที่สุด นั่นแหละคือเสน่ห์และตัวตนที่แท้จริงของนุ้งกวางที่จะถูกประกาศก้องให้คนดูได้รู้จัก

และนั่นจะเป็นพลังบวกที่จะทำให้ข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่กรรมการได้ติชมการแสดงบนเวทีมาสเตอร์คีย์ของนุ้งกวางจะกลับกลายเป็นข้อดีที่ส่งเสริมนุ้งกวางไปเลย

แต่เพราะนุ้งกวางไปแบบที่ปกปิดความเป็นธรรมชาติของตัวเองด้วยการทำสีผม และแต่งหน้ามากไปหน่อย ทำให้ความน่ารักที่สุดยอดของน้องจึงถูกบดบังไปครับ

แต่ถึงยังไง ถ้าใครได้เห็นตัวตนแบบธรรมชาติของนุ้งกวางใน facebook มาก่อน แล้วค่อยไปดูคลิปประกวดที่มาสเตอร์คีย์ทีหลัง ก็จะทำให้ชอบและทึ่งในความสามารถของนุ้งกวางมากขึ้น

แต่ถ้าคนที่เขาไม่เคยรู้จักไม่เคยเห็นนุ้งกวางใน facebook มาก่อน เขาดูรายการมาสเตอร์คีย์เลย เขาก็จะพลาดที่จะมองเห็นนุ้งกวางในแบบที่แฟนคลับน้องกวางชื่นชม

ต้องขอบคุณครอบครัวหอมกรุ่น ที่บ่มเพาะให้เกิดมีสาวน้อยน่ารัก อัจฉริยะสุดฮาคนนี้ ให้ผมได้มีโอกาสชื่นชมครับ

------------------

ปีนี้ผมไม่ได้เชียร์ใครในเดอะสตาร์ 10 แต่ถ้าเดอะสตาร์ฮาเฮ ผมเชียร์คนนี้ชัวร์ 555




ถ้าใครอยากติดตามความน่ารักของ กวาง อาริศา หอมกรุ่น ก็ไปได้ที่

https://www.facebook.com/arisa.homgroon (facebook ส่วนตัว)

อ้อ หนุ่มน้อยทั้งหลายโปรดทำใจหน่อยแล้วกัน ถ้าคิดจะจีบนุ้งกวาง เพราะพ่อของนุ้งกวาง ไม่ธรรมดา 555

รูปพ่อนุ้งกวาง


หมายเหตุ แต่เผอิญนุ้งกวางมีแฟนแล้วขอรับ !!



-----------------------

หลังจากบทความนี้เผยแพร่ กับความรู้สึกของนุ้งกวาง






คลิกอ่าน นุ้งกวาง สาวน้อยมหัศจรรย์ที่หน้าไหน ๆ ก็น่ารัก

คลิกอ่าน อาริศา หอมกรุ่น เจ้าหญิงมุ้งมิ้ง Net Idol เสียงใสแห่ง facebook

คลิกอ่าน เมื่อนุ้งกวางเจอสรยุทธ เรื่องเล่าเช้านี้

คลิกอ่าน เมื่อนุ้งกวางทำกาละแมร์ พัชรศรี อึ้ง ในไทยแลนด์ก็อตทาเล้นจ์





วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

คำเตือน ก่อนที่คุณจะฝากเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือชาวนา ธกส.







ธกส. เปิดกองทุนช่วยเหลือชาวนา เพื่อระดมเงินจากประชาชนทั่วไป เพื่อนำเงินจากส่วนนี้ไปจ่ายค่าใบประทวนให้ชาวนา แทนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ฉ้อโกงชาวนา เพราะรับข้าวจากชาวนามานานแล้ว แต่ไม่ยอมจ่ายเงินค่าใบประทวนให้ชาวนา

ซึ่งตามหลักเกณฑ์ที่ผ่านมา หลังจากชาวนาได้ใบประทวนแล้ว ธกส. ต้องจ่ายเงินให้ชาวนาภายใน 3 วันทำการ

แต่ที่เป็นปัญหาคือ มีขาวนาจำนวนมากจำนำข้าวและได้ใบประทวนตั้งแต่เดือนกันยายน 2556 เป็นต้นมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ยังไม่ได้เงินค่าใบประทวนจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ธกส. เปิดกองทุนช่วยชาวนา นั้น ในความเป็นจริงก็คือ กองทุนช่วยเหลือรัฐบาลที่โกงชาวนามากกว่า โดยมี 3 กองทุนดังนี้

1. บริจาคเงินแบบให้เปล่าไม่รับเงินคืน

2. ฝากเงินในรูปบัญชีกองทุน ไม่ได้ดอกเบี้ย แต่รับเงินคืนเมื่อครบอายุโครงการสิ้นปี 2557

3. ฝากเงินในรูปบัญชีกองทุน ได้ดอกเบี้ย 0.63 % และรับเงินคืนเมื่อครบอายุโครงการสิ้นปี 2557

ซึ่งในกองทุนแบบที่ 1 คือคนใจบุญอยากช่วยชาวนาจริง ๆ จึงบริจาคเงินให้ไปจ่ายค่าใบประทวนให้ชาวนาแบบให้เปล่า ซึ่งกองทุนแบบที่ 1 นี้จะไม่มีผลภาระผูกพันที่ ธกส. ต้องหาเงินมาจ่ายคืนภายหลัง (ตระกูลชินวัตรไม่บริจาคเลยสักบาท)

ส่วนในกองทุนแบบที่ 2 และ 3 เมื่อ ธกส. นำเงินส่วนนี้ไปจ่ายค่าใบประทวนให้ชาวนาแล้ว เมื่อสิ้นสุดโครงการ ธกส. ก็ต้องนำเงินจากที่รัฐบาลขายข้าวได้มาคืนให้ผู้ฝากเงินในกองทุนแบบที่ 2 และ 3 โดยเฉพาะแบบที่ 3 มีภาระจ่ายดอกเบี้ย 0.63 % ให้ประชาชนผู้ฝากด้วย

ธกส. ได้ประกาศว่า กองทุนช่วยเหลือชาวนานี้จำกัดวงเงินไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ที่จะนำไปจ่ายค่าใบประทวนให้ชาวนา

ทีนี้ปัญหาคือ ผู้ฝากเงินในแบบที่ 2 และ 3 ก็ต้องภาวนาให้รัฐบาลขายข้าวให้ได้เงินมาจ่ายคืนท่านในวันครบอายุโครงการด้วยแล้วกัน

ถ้ารัฐบาลเกิดขายข้าวไม่ได้ หรือ ขายได้แต่ขายได้ช้าหน่อย ผู้ฝากเงินก็ต้องพร้อมรับความเสี่ยงที่จะได้เงินคืนช้าไปด้วย

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?

คำตอบก็คือ กองทุนช่วยเหลือชาวนา แท้จริงก็คือ การเปลี่ยนจากที่ชาวนาเป็นเจ้าหนี้รัฐบาล ให้กลายมาเป็นผู้ฝากเงินเข้ากองทุนช่วยชาวนากลายเป็นเจ้าหนี้รัฐบาลแทนชาวนานั่นเองครับ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ชาวนาถือใบประทวนมาหลายเดือนแต่ไม่ได้เงินจากรัฐบาล

แต่กองทุนช่วยเหลือชาวนาของ ธกส. ได้เปลี่ยนให้ใบประทวนของชาวนา กลายเป็นสมุดเงินฝากของผู้ฝากเงินเข้ากองทุนช่วยชาวนาแทน

แปลความง่าย ๆ คือ นี่คือกลยุทธแปลงให้ผู้ฝากเงินเข้ากองทุนถือใบประทวน(ในรูปสมุดเงินฝาก) แทนชาวนาแบบอ้อม ๆ นั่นเอง



หรือแปลง่าย ๆ อีกทีก็คือ ธกส. ยืมเงินคุณไปจ่ายค่าใบประทวนให้ชาวนาก่อนนั่นเอง แล้วก็รอให้รัฐบาลนำเงินมาคืนให้คุณเมื่อสินโครงการ

นี่คือความเก่งในการเลี่ยงบาลีเลี่ยงกฎหมายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คือ รัฐบาลรักษาการมีปัญหาไปกู้เงินสถาบันการเงินไม่ได้ เพราะผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 181 (3)

รัฐบาลจึงใช้วิธีให้ ธกส. ตั้งกองทุนนี้ขึ้นมา โดยประชาชนเต็มใจนำเงินมาให้ ธกส. เอง (แต่ในความเป็นจริงก็คือ รัฐบาลนั่นเองที่กู้เงินจากประชาชนผ่าน ธกส.)

แต่ผู้ที่ทำสัญญากับผู้ฝากเงินคือ ธกส. ฉะนั้นหากเป็นหนี้สูญรัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบ แต่ ธกส. คือผู้รับผิดชอบโดยตรงแทน

----------------------

ผู้ฝากเงินกลายเป็นผู้ยอมรับความเสี่ยงแทนชาวนา

ผมคาดว่าผู้ฝากเงินคงน่าจะได้เงินคืนตามกำหนดนะ เพราะมีเวลาตั้งเกือบปีที่ให้รัฐบาลขายข้าวค้างในโกดังเพื่อหาเงินมาคืนให้ผู้ฝากเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือชาวนาทันกำหนด

แต่ถ้าโชคร้ายจริง ๆ รัฐบาลขายข้าวได้ช้ากว่ากำหนด ผู้ฝากเงินก็รอเงินคืนหน่อยแล้วกัน ซึ่งผมคาดว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น

แต่ถ้าเกิดรัฐบาลหน้าไม่ใช่รัฐบาลเพื่อไทย แล้วรัฐบาลนั้นขายข้าวได้ช้า ผู้ฝากเงินจะไปโทษรัฐบาลใหม่ไม่ได้เช่นกัน เพราะปัญหาข้าวเน่า ข้าวเสื่อมสภาพ มันมีสาเหตุหมักหมมเพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำทิ้งไว้นั่นเอง

หรือถ้ารัฐบาลใหม่ยังเป็นรัฐบาลเพื่อไทยอีกรอบ ก็ให้ระวังพวกรัฐบาลเพื่อไทยมันโกงคุณแบบที่มันเคยโกงชาวนาแล้วกัน ด้วยคำพูดที่ว่า ไม่ได้โกง แต่ยังไม่มีจ่าย

ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ไม่โกง มีเมื่อไหร่ก็จ่ายเมื่อนั้น


--------------------

ผู้ฝากเงินกับธกส. บัญชีอื่นๆ ต่างหากคือผู้รับความเสี่ยงตัวจริงได้บุญตัวจริง!!

เพราะการที่ ธกส. ออกกองทุนช่วยเหลือชาวนานั้น แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับที่ ธกส. เคยไปขอกู้เงินธนาคารออมสินแทนรัฐบาลเพื่อเอามาจ่ายค่าใบประทวน

ซึ่งตอนนั้นรัฐบาลไม่ค้ำประกันการกู้ให้ ธกส. ซึ่งหากหนี้นั้นเป็นหนี้สูญ ธกส. ก็ซวยเอง ซึ่งสุดท้ายภาระก็ตกไปอยู่กับลูกค้า ธกส. ทุกคน

กองทุนช่วยเหลือชาวนาก็เช่นกัน ธกส. คือผู้กู้เงินจากผู้ฝากเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือชาวนาไปจ่ายค่าใบประทวนแทนรัฐบาลก่อน

เมื่อครบกำหนด ธกส. ในฐานะผู้ทำสัญญากับผู้ฝากเงิน ก็ต้องคืนเงินแก่ผู้ฝากเข้ากองทุนตามกำหนด ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่เอาเงินค่าข้าวมาจ่ายให้ทันเวลา

ผู้รับความเสี่ยงหนี้นี้ ก็คือ ธกส. เอง ซึ่งก็หมายถึง ผู้ฝากเงินกับ ธกส. ทุกคนคือผู้รับความเสี่ยงหนี้นี้แทน

ฉะนั้นผู้ที่ได้บุญจากการช่วยชาวนาจริง ๆ ไม่ใช่ ผู้ฝากเงินเข้ากองทุนช่วยชาวนา เพราะพวกเขาจะได้เงินคืนหลังสิ้นสุดโครงการแน่นอน

แต่ผู้ฝากเงินกับ ธกส. ในบัญชีอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทุนช่วยชาวนาเลยต่างหาก คือผู้รับความเสี่ยงหนี้ค่าใบประทวนโดยตรง พวกเขานี่แหละคือผู้ได้บุญในการช่วยชาวนาตัวจริง

ฉะนั้นผู้ที่ฝากเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือชาวนา คุณโดนหลอกแล้วล่ะว่า คุณจะได้บุญจากการช่วยชาวนา เพราะคุณกลายเป็นผู้ออกมาช่วยออกหน้าออกเงินแทนรัฐบาลที่โกงชาวนาต่างหาก คุณคือผู้ช่วยรัฐบาลฉ้อโกง แต่คุณโดนหลอกว่าคุณคือผู้ช่วยชาวนา

ซึ่งผู้ที่ฝากเงินเข้ากองทุนแบบที่ 2 และ 3 นั้น เชื่อหรือไม่ ? ส่วนใหญ่ก็คือพวกที่นิยมชื่นชมรัฐบาลยิ่งลักษณ์นั่นเอง เช่น บก.ลายจุด และอีโอ๊ค เป็นต้น

หากคิดช่วยชาวนาด้วยใจสัตย์จริงก็ได้กุศลบ้าง จากกุศลจิต แต่ถ้าอ้างว่าช่วยชาวนา แต่เจตนาแท้จริงคือช่วยรัฐบาลชั่วยิ่งลักษณ์ ก็บาปร่วมกับรัฐบาลชั่วไปด้วยกัน

ส่วนผู้ที่จะได้บุญตัวจริงคือ ผู้บริจาคเงินเข้ากองทุนแบบที่ 1 และผู้ฝากเงิน ธกส. ในบัญชีอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทุนช่วยชาวนาต่างหากครับ .




ส่วนบาปกรรมจากทุกข์ของชาวนาก็เกิดจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นผู้กระทำ ก็จงรับบาปกรรมนั้นไป


ถ้าพวกเสื้อแดงอยากช่วยชาวนาจริง ๆ แน่จริงต้องทำแบบบทความด้านล่างนี้ ไม่ใช่ทำแบบเอาหน้า สร้างภาพเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้

คลิกอ่าน แน่จริง บก.ลายจุด ไปชวนโอ๊คตั้งกองทุนชินวัตรรับซื้อใบประทวนสิ







วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

แน่จริง บก.ลายจุด โอ๊ค ไปบริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยชาวนาของ ธกส. สิ







ตอนที่ประชาชนไปถอนเงินจากธนาคารออมสิน ไอ้พวกฟายแดง บก.ลายจุด อีโอ๊ค พานทองแท้ ไอ้สมชายผัวอีแดง ไอ้พร้องพงศ์ลิเกเตะเมีย ตลอดจนเมียไอ้ธาริต เสร่อเอาหน้าไปแห่ไปฝากเงินออมสิน อ้างอยากช่วยชาวนา

หรือจะเป็นพวกเสื้อแดงคนอื่น ที่ทำเป็นถือเงินสดโชว์ให้กล้องนักข่าวถ่าย อ้างจะไปฝากเงินออมสินเพราะอยากช่วยชาวนา แถมยังพาลด่าพนักงานออมสินที่แต่งชุดดำประท้วงการปล่อยกู้ให้ ธกส. อีกด้วยคงจะจำกันได้

อย่างอีโอ๊ค พานทองแท้ ก็โพสรูปว่าไปฝากเงินที่ออมสิน 10 ล้านบาท

ตามรูปนี้



แถมโอ๊ค มันโพสข้อความประกอบรูปด้านบนไว้ว่า

สัปดาห์แห่งการช่วยเหลือชาวนา เริ่มต้นแล้วครับ..!!

"ใครที่อยากตอบแทนบุญคุณชาวนา ขอเชิญร่วมฝากเงินกับธนาคารออมสิน"

ขณะที่ "รัฐบาล" กำลังทำทุกวิถีทาง ที่จะ "หาเงินมาจ่ายชาวนา"
“ม็อบ กปปส." ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ "ชาวนาไม่ได้รับเงิน"


ส่วนไอ้สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไอ้พร้อมพงศ์ ไอ้โภคิน ไอ้จารุพงศ์ ไอ้วิชาญ ก็เสร่ออยากเอาหน้าไปฝากเงินออมสิน ตามรูปนี้



รวมทั้ง ไอ้บก.ลายจุด พร้อมมวลหมู่ฟายแดง แอ๊คท่าอยากจะฝากเงินออมสินช่วยชาวนา แต่ไม่ได้ฝาก เพราะอ้างว่า ออมสินไม่ให้ ธกส. กู้แล้ว



โถ ๆ พวกมึงฝากเงินออมสิน เงินมันไม่มีทางถึงชาวนาอยู่แล้ว

ถ้าพวกฟายแดง พวกมึงอยากช่วยจริง ๆ นี่อ่านข้างล่างแล้วรีบไปบริจาคหรือฝากเงินอย่างด่วน !!

----------------

ธกส. เปิดกองทุนช่วยชาวนาแล้ว เสื้อแดงรีบไปบริจาคด่วน

วันนี้ ธกส. ได้เปิดบัญชีกองทุนช่วยเหลือชาวนา อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมี 3 แบบคือ

1 . แบบบริจาคเงินให้ชาวนาไปเลย ไม่เอาเงินคืน (ธกส.ประเดิมบริจาคเริ่มติน 10 ล้านบาท)

2. แบบฝากเงินเพื่อนำเงินไปช่วยซื้อใบประทวนจากชาวนา โดยไม่ขอรับดอกเบี้ยเงินฝากเลย (กองทุนนี้ ธกส. ประเดิมลงให้ 100 ล้านบาท สิ้นสุดโครงการ ธกส. ก็เอาเงินคืน)

3. แบบฝากเงิน โดยได้ดอกเบี้ยเท่ากับเงินนฝากออมทรัพย์ทั่วไป คือ 0.63% ต่อปี

ระยะเวลาสิ้นสุดกองทุนช่วยเหลือชาวนานี้คือ สิ้นเดือนธันวาคม 2557





จะดูซิ พวกเสื้อแดงมันจะจริงใจอยากช่วยชาวนาจริง ๆ หรือแค่เอาหน้าเพื่อหาเรื่องด่า กปปส. ไปวันๆ

อีโอ๊ค กับ ไอ้ บก.ลายจุด นี่แหละตัวดี ทำเป็นอยากช่วยชาวนา เพราะโครงการจำนำชั่ว ๆ ของทักษิณและยิ่งลักษณ์

พวกเสื้อแดงทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบโครงการจำนำข้าวเน่านี้ ด้วยการบริจาคให้ชาวนาแบบให้เปล่า ไม่เอาเงินคืน !!

ถ้าเสื้อแดงมี 15 ล้านเสียง ช่วยบริจาคคนละ 1 พันบาท ก็จะได้ 1.5 แสนล้านบาทช่วยชาวนาแล้ว หรือถ้าเสื้อแดงตอนนี้เหลือ 10 ล้านเสียง บริจาคช่วยชาวนาคนละ 1 พันบาท ก็ได้ 1 แสนล้านบาทแล้ว

แล้วคนในตระกูลชินวัตร รวมทั้งพวกพรรคเพื่อไทยทั้งหมดร่วมบริจาคสมทบอีก 3 หมื่นล้านบาท ก็จะทำให้ได้เงินจ่ายค่าใบประทวนชาวนาจนครบ

รีบ ๆ เลย ไอ้พวกเสื้อแดง กูจะรอดู 555

-----------------

ดีนะรัฐบาลชั่วโกงจำนำข้าว หรือทำเจ๊งไปหลายแสนล้านบาท สุดท้ายก็มาให้ประชาชนช่วยเอาเงินมาแก้ไขแทน

คลิกอ่าน โอ๊คไม่บริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยชาวนา แค่ฝากเงินแบบเอาเงินคืนเท่านั้น