วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ลดดอกเบี้ยเพื่อแก้เงินบาทแข็ง คือการปล้นเงินประชาชน






ต้องขอบคุณ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2556 ที่ผ่านมา ว่ายังไม่ใช้วิธีการลดดอกเบี้ยนโยบาย ตามที่หลายฝ่ายพยายามกดดันอย่างหนัก

โดยเฉพาะจากกลุ่มเสื้อแดงที่มาตามใบสั่งนักการเมือง  จาก รมว.คลัง และจากผู้ประกอบการส่งออก เพราะคนพวกนี้คิดแต่ปัญหาตัวเองเป็นใหญ่ ว่าขาดทุนจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น เป็นการมองปัญหาเพียงด้านเดียว เรียกว่าเห็นแก่ตัวก็ว่าได้


อย่างผู้ส่งออก เขาก็มีระบบHedging เพื่อให้ผู้ส่งออกประกันความเสี่ยงค่าเงิน แต่ผู้ส่งออกไทยก็ไม่สนใจคิดจะทำกัน แล้วพอเกิดปัญหาความผันผวนจากค่าเงินที่เปลี่ยนแปลง ก็ออกมาโวยแล้วจะให้ ธปท. เขาแทรกแซงค่าเงิน จนประเทศไทยเจ๊งเพราะพยุงค่าเงินบาทในปี 2540 มาครั้งนึงแล้ว

พูดง่าย ๆ ก็คือ ประเทศเจ๊งเพราะหวังช่วยผู้ส่งออก !!

ทั้ง ๆ ที่เงินบาทแข็งก็ส่วนดีไม่น้อย เช่นการใช้หนี้ต่างประเทศของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ก็ช่วยประหยัดเงินได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่เป็นหนี้ต่างประเทศมาก ๆ อย่างไทย ก็ย่อมได้ประโยชน์มาก

มาปี 2556 นี้ เงินทุนไหลเข้าไทยจากการเก็งกำไร มีมาตรการสกัดพวกนักลงทุนเก็งกำไรหลายวิธี แต่รมว. คลัง และผู้ส่งออกกลับมองไปที่การลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียวเท่านั้น

นั่นเท่ากับว่า เป็นการปล้นดอกเบี้ยจากคนไทยที่ออมเงิน เพื่อเอาไปให้ผู้ส่งออกชัด ๆ

นี่คือสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมแล้วหรือ ?

หรือถ้าจะพูดตรง ๆ ก็เหมือนปล้นเงินดอกเบี้ยคนแก่ เพื่อไปช่วยผู้ส่งออก !!

มีคนแก่ในประเทศนี้มากมาย ที่เกษียณอายุจากภาคธุรกิจ มีเงินออมไว้กินยามแก่ ก็หวังจะพึ่งดอกเบี้ยอันน้อยนิดอยู่แล้ว เพื่อประทังชีวิตที่เหลืออยู่

แต่พวกนักธุรกิจใหญ่ ๆ ร่ำรวยเป็นพันล้านกลับเห็นแก่ตัว อ้างขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เดือดร้อนมาก จนคิดจะเอาเงินบั้นปลายคนแก่ไปช่วยเหลือธุรกิจตัวเอง นี่คือความเห็นแก่ตัวชัด

วิธีการที่ถูกต้อง ต้องหาวิธีเรียกเก็บเงินจะเป็นภาษี ค่าธรรมเนียม หรืออะไรก็ตามแต่ กับพวกนักลงทุนเก็งกำไรทั้งหลาย ที่หวังเข้ามากอบโกยกำไรในประเทศไทยจนสร้างความเสียหาย

ไม่ใช่ไม่จัดการตัวต้นเหตุ แต่กลับโยนภาระมาให้คนไทยที่ออมเงินในประเทศแทน

ผมขอประณามนายกิตติรัตน์ รมว. คลัง ที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจและพวกพ้อง  จนพยายามกดดัน ธปท. ให้ลดอัตราดอกเบี้ย

และขอประณามนักวิชาการบางคนที่รับใช้่รัฐบาลจนออกนอกหน้า


คลิกอ่าน ความโง่ของกิตติรัตน์ กับวิกฤติค่าเงินบาทแข็ง

คลิกอ่าน ค่าเงินบาทแข็ง คิดลดดอกเบี้ยคือมาตรการห่วยแตก

คลิกอ่าน เงินบาทแข็งโป๊ก เพราะแมงเม่าไทยมันแยะ





วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

ความโง่ของกิตติรัตน์ กับวิกฤติค่าเงินบาทแข็ง







บทความนี้เขียนต่อเนื่องจาก 2 บทความที่ผ่านมา คือ
ค่าเงินบาทแข็ง คิดลดดอกเบี้ยคือมาตรการห่วยแตก และ
เงินบาทแข็งโป๊ก เพราะแมงเม่าไทยมันแยะ


ตั้งแต่ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่า นายกิตติรัตน์ รมว.คลัง ก็กระสันคิดอยากจะลดดอกเบี้ยอยู่ท่าเดียว คิดอย่างอื่นไม่เป็น ทั้ง ๆ ที่มีวิธีการแก้ไขอื่นๆ ยังมี คงเพราะผลประโยชน์ทับซ้อนของตัวเองจากการลดดอกเบี้ยมันเยอะ จึงทำให้นายกิตติรัตน์คิดแต่เรื่องลดดอกเบี้ยเท่านั้น

ต่อมานายกิตติรัตน์ก็คิดแต่อยากจะปลดผู้ว่า ธปท. ที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ยให้สมใจสักที จนให้สัมภาษณ์ออกมาว่า ตนคิดอยู่ทุกวันว่าอยากจะปลดผู้ว่า ธปท. แต่มันก็ทำไม่ได้ เพราะ ธปท. เป็นอิสระจาก รมว.คลัง

และที่สำคัญ ทางธปท. เขารู้ดีว่า การที่ค่าเงินบาทแข็งนั้น ปัจจัยสำคัญไม่ได้อยู่ที่ดอกเบี้ยไทยสูง แต่เป็นเพราะนักลงทุนต่างชาติหวังเขามาเก็งกำไรตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้ และการเก็งกำไรค่าเงิน มากกว่าสนใจอัตราดอกเบี้ยในบ้านเรา



จากตารางคือผลวิจัยของ ธปท. เกี่ยวกับตัวแปรที่มีผลต่อการไหลเข้าของทุนต่างชาติ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ตัวแปรเรื่องส่วนต่างดอกเบี้ยมีผลต่อการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ มีผลแค่ 3 %เท่านั้น

ส่วนตัวแปรที่มีผลมากกว่าจนเป็นอันดับ 1 ก็คือ ความเปลี่ยนแปลงความกังวลของนักลงทุน ซึ่งหมายถึง พวกนักเก็งกำไรระยะสั้นทั้งสิ้น ที่ได้รับผลกระทบจากตัวแปรชนิดนี้ อย่างเช่น แค่มีข่าวว่า ธปท. จะคิดค่าธรรมเนียมถือครองตราสารหนี้สูงขึ้นสำหรับผู้ถือครองระยะสั้น แต่จะเก็บค่าธรรมเนียมน้อยลง หรือไม่เก็บเลย หากถือครองระยะยาว

แค่มีข่าวปล่อยออกมาแค่นี้ ย้ำ !! ว่า เป็นแค่ข่าวปล่อย ยังไม่ได้มีมาตรการนี้จริง ๆ ก็ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงค่อนข้างมากทันที

นี่แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยส่วนใหญ่คือ พวกเก็งกำไรระยะสั้นทั้งสิ้น ถึงได้หวาดกลัวต่อข่าวปล่อยนี้

ส่วนตัวแปรอันดับ 2 คือ แนวโน้มแข็งของค่าเงินบาท นี่หมายถึง ปัจจัยโดยตรงของพวกเก็งกำไรจากค่าเงินบาท ที่หวังให้ค่าเงินบาทแข็งมากขึ้นเพื่อทำกำไร

เพราะทั้งสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น กำลังใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หรือ Quantitative Easing ในการพิมพ์เงินอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ และช่วยให้ค่าเงินตัวเองอ่อนลงเพื่อหวังยอดส่งออกในประเทศเพิ่มขึ้น

ซึ่งเงินที่พิมพ์ใหม่ ๆ เหล่านี้ก็ล้วนชอบมาซื้อเงินบาทไทย จนค่าเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น ทำให้นักค้าเงินได้กำไรจากการเก็งกำไรค่าเงินบาท

ซึ่งพวกเก็งกำไรค่าเงินก็ไม่ได้สนใจเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่นัก เพราะขึ้นชื่อว่านักเก็งกำไรย่อมต้องการผลตอบแทนระยะสั้นและกำไรสูง ผลต่างดอกเบี้ยจึงไม่อยู่ในสายตาคนพวกนี้

ที่สำคัญยังมีเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอีกจำนวนมาก ได้ล่อให้แมงเม่าไทยออกมาเล่นหุ้นกันเยอะ นั่นก็ยิ่งทำให้ค่าเงินบาทแข็งมากขึ้น ตามที่ผมเขียนในบทความที่แล้ว

กับคำถามที่ว่า ทำไมค่าเงินบาทไทยเฉลี่ยแข็งที่สุดในเอเซีย ?

คำตอบไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจไทยดีเด่นอะไรนักหรอก แต่เพราะแมงเม่าไทยมันโลภและกลวงที่สุดในเอเซียต่างหาก เพราะสันดานแมงเม่าไทยก็เหมือนคนไทยทั่วไปที่ชอบเล่นหวยนั่นแหละ นั่นคือ ชอบรวยเร็ว ชอบอบายมุข ชอบการเก็งกำไร ประเทศไทยเลยเจ๊งเพราะแมงเม่าเมื่อคราววิกฤติปี 40 มาทีนึงแล้ว


ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลล่าห์ แข็งขึ้นมาประมาณ 6.69% (ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน 20%)

ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในเอเซีย และอาเซียนค่าเงินเปลี่ยนแปลงไม่มาก เช่นริงกิตมาเลเซีย แข็งขึ้นมาไม่ถึง 1% ทั้ง ๆ ที่ในตอนนี้มาเลเซียถูกจัดอันดับความน่าลงทุนสูงกว่าไทยด้วยซ้ำ

แต่ค่าเงินของมาเลย์กลับแข็งขึ้นน้อยมาก ?

การที่นายกิตติรัตน์ไม่มองหนทางอื่นในการสกัดเงินทุนนอกไหลเข้า คิดแต่จะลดดอกเบี้ยลูกเดียว นั่นเพราะ มาตรการอื่น ๆ จะไปสกัดนักเก็งกำไรในตลาดหุ้น ซึ่งนายกิตติรัตน์มีผลประโยชน์มากในตลาดหุ้นนั่นเอง

ในเมื่อเงินบาทแข็งเกิดจากพวกเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ ก็ต้องหาวิธีแก้ด้วยการสกัดพวกเก็งกำไร จึงจะเป็นหนทางแก้ปัญหาที่ถูกจุด

-----------------------

การลดดอกเบี้ยกลับสร้างปัญหาอีกด้าน

ผู้ว่าธปท. ได้รับคำชมจากต่างชาติพอควรกับการมีวินัยการคลัง ที่ไม่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจนักการเมือง

ในขณะที่ภาครัฐกำลังก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากโครงการประชานิยมต่าง ๆ มากขึ้น ก็ควรต้องส่งเสริมให้ภาคประชาชนออมเงินฝากไว้ให้มากขึ้น เพื่อความมั่นคงของประเทศในอนาคต

หากภาครัฐเกิดดำเนินนโยบายผิดพลาด ก่อหนี้สาธารณะมหาศาล แต่ได้ผลตอบแทนไม่คุ้ม ถ้าภาคประชาชนยังเข้มแข็งมีเงินออมมากอยู่ ภาคประชาชนก็ยังมีส่วนช่วยพาให้ชาติรอดวิกฤติไปได้

เหมือนที่เกาหลีใต้เคยประสบมาแล้ว ประเทศเกือบเจ๊ง แต่รอดได้เพราะคนเกาหลีใต้นำเงินออมออกมาช่วยประเทศเอาไว้

ในขณะที่กรีซ ประเทศกำลังเจ๊ง แถมประชาชนก็ฟุ้งเฟ้อมาตลอดจนเงินออมก็ไม่มี ประเทศกรีซจึงยังไม่เห็นทางรอดจากวิกฤติ แถมปัญหานับวันยิ่งรุนแรงเพิ่มขึ้น

ฉะนั้น หากประเทศไทยลดดอกเบี้ยนโยบายลง ก็ยิ่งทำให้คนไทยแห่ถอนเงินไปลงทุนด้านอื่นมากขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นฟองสบู่ในอีกด้านก็ได้ (ทั้งจากภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้ภาคครัวเรือน และหุ้น ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้เงินเฟ้อภายในประเทศขยายตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงได้)

อีกทั้งถ้าดอกเบี้ยเงินฝากน้อย ก็ไม่จูงใจให้คนอยากออมเงิน แต่คนจะหันไปใช้จ่ายมากขึ้นแทน กลายเป็นว่า รัฐไปส่งเสริมให้คนไทยฟุ้งเฟ้อมากขึ้น ขัดกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง

ทุกวันนี้ เราจึงเห็นปัญหาเงินกู้นอกระบบรุนแรงมาก เพราะคนไทยไม่พอเพียงนี่แหละครับ

ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อยู่ที่ร้อยละ 0.25 อัตราดอกเบี้ยของยุโรปอยู่ที่ร้อยละ 0.75 และอัตราดอกเบี้ยของญี่ปุ่นอยู่ที่ร้อยละ 0.1 อัตราดอกเบี้ยไทยอยู่ที่ร้อยละ 2.75 จึงจะเห็นได้ว่าถึงแม้ไทยจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสัก 1% ตามขอเสนอของนายกิตติรัตน์ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงมีส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างประเทศสูงอยู่ดี

ดังนั้นการลดดอกเบี้ยเชิงนโยบายไม่ได้ช่วยให้หยุดการไหลเข้าของเงินต่างประเทศได้ แต่จะไปช่วยให้เอสซีแอสเสทขายบ้านดีขึ้นมากกว่า

หากมองแค่ภาคส่งออกด้านเดียวก็จะเห็นว่า เงินบาทแข็งเป็นปัญหา แต่ถ้ามองในมุมกลับกัน ประเทศไทยเป็นประเทศที่นำเข้าสินค้ามากกว่าส่งออก จึงขาดดุลการค้ามหาศาลทุกปี การที่ค่าเงินบาทแข็ง ก็มีส่วนทำให้ซื้อของจากนอกได้ถูกลง ก็เท่ากับว่า เสียเงินน้อยลงเช่นกัน

อย่างเช่นเดือน พ.ค.-ส.ค. นี้ ค่าไฟฟ้าเอฟที ก็จะลดลง เพราะค่าเงินบาทแข็งขึ้น การนำเข้าน้ำมันและแก๊ส จึงถูกลงไปด้วย เมื่อต้นทุนพลังงานถูกลง ต้นทุนจากวัตถุดิบจากต่างประเทศถูกลง ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมหลายอย่างถูกลงไปด้วย

และแทนที่รัฐบาลไทยเคยนำเงินไปซื้อพันธบัตรต่างชาติเช่นพันธบัตรของสหรัฐอเมริกา จนขาดทุนยับจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์มาแล้ว ตอนนี้ค่าเงินบาทแข็ง แต่ราคาทองตก รัฐก็น่าจะทยอยนำเงินบาทแข็งไปซื้อทองราคาตก น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าเอาเงินบาทไปไล่ซื้อเงินดอลล่าหเพื่อพยุงค่าเงินบาท

เพราะเปรียบเสมือน รัฐบาลอเมริกาพิมพ์เงินกระดาษออกมาง่าย ๆ ส่วนไทยกลับเอาน้ำพักน้ำแรงที่เหนื่อยยากกว่าจะได้เงิน ไปซื้อเงินกระดาษของอเมริกาแทน ดูมันไม่ค่อยคุ้มค่าเลย

ล่าสุด ธปท. แถลงว่า เงินทุนสำรองไทยลดลงไปแล้ว800ล้านดอลล่าห์ จากการไปซื้อเงินดอลล่าห์เพื่อพยุงค่าเงินบาท


---------------

ก่อนจบ ผมอยากให้ดูคำพูดโง่ ๆ ของแกนนำเสื้อแดงที่พาคนไปกดดันหน้าธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้ผู้ว่าธปท.ลาออก

นายหนึ่งดิน วิมุตตินันท์ เลขานุการ สหกรณ์เกษตรอินทรีสุพรรณบุรี และในฐานะทนายความชมรมผู้รักความเป็นธรรม ผู้สนับสนุนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง

“การทำหน้าที่ของผู้ว่าการ ธปท. ควรเห็นประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ต้องทำอะไรให้ประชาชนอุ่นใจ อย่าทำงานแบบมีธง หรือทำหน้าที่รับใช้ฝ่ายการเมือง ผมเห็นว่าถ้าท่านทำหน้าที่ไม่ได้ ไม่ทำหน้าที่ในการลดดอกเบี้ยลงเพื่อดูแลค่าเงินบาทตามข้อเสนอของ รมว.คลัง ถ้าลดดอกเบี้ยสักอาทิตย์ หรือ 2 อาทิตย์ค่อยปรับขึ้นก็ได้ ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย หรือทำมาตรการออกมา 4 ข้อ เพื่อดูแลก็ไม่เป็นผล ท่านก็ควรลาออกไปเปิดทางให้คนอื่นที่มีความสามารถมาทำหน้าที่แทน ผมว่าเงินบาทแข็งค่ามันกระทบภาคอุตสาหกรรม ทำให้ขาดทุน และอาจจะทำให้เกิดการตกงานเป็นแสน ๆ คน ประชาชนเดือดร้อน ไม่มีกำลังจับจ่ายใช้สอย และทำให้ชาวนาขายข้าวไม่ได้ และทำให้ราคาปุ๋ยแพง” นายหนึ่งดินระบุเหตุผลที่เดินทางมายื่นหนังสือขับไล่ผู้ว่าการ ธปท.

เฮ่อ.. เหตุผลทื่แกนนำแดงคนนี้พูดมา ตอนแรกก็ยังดูไม่รู้หรอกว่าโง่ แต่พอมาตรงสองสามประโยคสุดท้ายเลยรู้ว่า โง่แท้ เช่น

1. ชาวนาขายข้าวไม่ได้ ?
ข้าวมันขายไม่ได้ตั้งแต่นโยบายจำนำข้าวแพงกว่าราคาตลาดโลกต่างหาก

2. ทำให้ปุ๋ยราคาแพง ? 
อันนี้โง่ชัดเจน เพราะวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยเคมีมากกว่าร้อยละ90 ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นหากเงินบาทแข็ง วัตถุดิบปุ๋ยต้องถูกลง แต่ที่ปุ๋ยยังแพงขึ้น มันแพงขึ้นมาตั้งแต่เริ่มนโยบายจำนำข้าวนั่นแหละ ไอ้ทุยแดงเอ๋ย ^^

3. กระทบภาคอุตสาหกรรม ?
มันกระทบหนักตั้งแต่ค่าแรง 300 บาททั่วประเทศแล้ว ทุยแดงเอ๋ย !! มีความรู้ต่ำแต่อยากได้ค่าแรงสูง ก็ตกงานสิครับ


คลิกอ่าน ผลประโยชน์ทับซ้อนของกิตติรัตน์ ในตลาดหุ้น





วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

ผลประโยชน์ร่วมของสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ





ทำไมทุก ๆ ประเทศต้องมีกองทัพ ?
ถ้าตอบประเด็นนี้ได้ ก็จบ ถ้าตอบไม่ได้ ก็จะมีถามโง่ ๆ เช่น จะซื้ออาวุธไปรบกับใคร ? (แสดงว่า คุณมึงที่ถามโง่ ๆ แบบนี้ คุณมึงไว้ใจพม่า ลาว เขมร เวียดนาม และมาเลเซีย แล้วล่ะสิ)

ถ้าทุกประเทศคิดแบบคำถามโง่ ๆ นี้ ก็คงไม่ต้องมีกองทัพในทุกประเทศจริงไหม ?
ที่จริงแล้ว การมีอาวุธดี ๆ และทันสมัย ไม่ได้มีไว้เพื่อรบ แต่มีไว้เพื่อให้ไม่ต้องรบต่างหาก

ใครไม่เก็ตเรื่องนี้(โดยเฉพาะพวกร่าน) ไปอ่านต่อให้เข้าใจที่
https://goo.gl/HyAf5w

--------

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ทั้งสองประเทศไม่เคยพ้นจากสภาวะสงครามมาตั้งแต่หลังสงครามเกาหลี จนแบ่งแยกประเทศเกาหลีออกเป็น 2 ประเทศ คือเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ ที่เส้นขนานที่38 องศา นี่จึงเป็นสาเหตุให้ผู้ชายเกาหลีใต้ที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ทุกคนต้องเป็นทหาร

ทั้งสองประเทศจึงยังถือว่า ประเทศของตนเองยังอยู่ในสภาวะสงครามมากว่า 60 ปีแล้ว

หลายคนอาจมองว่า เกาหลีเหนือต้องเป็นศัตรูกับสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน นั่นคือการมองด้านเดียวเท่านั้น

แน่นอนในทางการเมืองอย่างเป็นทางการ สหรัฐอเมริกาคือผู้นำค่ายเสรีนิยม ส่วนเกาหลีเหนืออดีตลูกหม้อโซเวียตรัสเซีย ที่กลับมาซบจีนแดงภายหลังโซเวียตล่มสลายนั้น เป็นประเทศที่ปกครองระบอบคอมมิวนิสต์กึ่งเผด็จการ (หลัง ๆ นี้เป็นเผด็จการแห่งวงศ์ตระกูลซะมากกว่า)

การมองสถานการณ์โลกอย่างเป็นทางการย่อมมองว่า เกาหลีเหนือเป็นศัตรูกับสหรัฐอเมริกา แน่นอน



คิมจองอิล และ คิมจองอึน สวมหมวกมิกกี้เมาส์


ซึ่งผมอยากจะบอกว่า หากเรามองการปฏิบัติของสหรัฐอเมริกามีต่อเกาหลีเหนือที่ผ่านๆ มา มันคล้ายๆ กับการแกล้งเป็นศัตรูต่อกันมากกว่า เหมือนที่สหรัฐเคยแกล้งทำเป็นศัตรูกับพม่านั่นแหละ

สหรัฐไม่มีทางจะถล่มเกาหลีเหนือเหมือนที่ถล่มซัดดัมแน่นอน ทั้ง ๆ ที่ สหรัฐอเมริกามีฐานทัพอยู่ในเกาหลีใต้มานานแล้ว นั่นเพราะใจจริงสหรัฐไม่ได้อยากทำสงครามกับเกาหลีเหนือ และถ้าจะทำสงครามกับเกาหลีเหนือ จีนแดงกับรัสเซียก็คงโดดมาเข้าเขาข้างเกาหลีเหนือแน่นอน

ส่วนเกาหลีใต้เอง ใจจริงก็ไม่อยากทำสงครามกับเกาหลีเหนือ เพราะมันจะสร้างความเสียหายให้กับเกาหลีใต้อย่างมหาศาล เพราะมูลค่าทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ที่สร้างมา มีมูลค่าสูงมากจนไม่อยากให้พังลงไปในพริบตาเพราะสงคราม (แต่บทบาทของผู้นำเกาหลีใต้ในเวทีโลก ก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีของชาติไว้ ด้วยการประกาศไม่หวั่นเกรงเกาหลีเหนือ)

ที่สำคัญในใจส่วนลึกของคนทั้งสองประเทศ ก็ยังรู้สึกเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน !! (แต่คนเกาหลีใต้จะเกลียดเฉพาะผู้นำเกาหลีเหนือเท่านั้น)

ส่วนเกาหลีเหนือก็เปรียบเสมือนเด็กดื้อที่เอาแต่ใจตัวเอง และชอบงอแงในสายตาสหรัฐเท่านั้น

ที่ผ่านมาๆ เมื่อเกาหลีเหนืองอแงอาละวาดคราวใด สหรัฐก็จะมักมีเงินไปช่วยเหลืออุดหนุนปิดปากให้เกาหลีเหนือเงียบทุกครั้งไป หรือแม้แต่เกาหลีใต้เอง ก็คอยช่วยเหลือเกาหลีเหนือมาตลอดเช่นกัน เพื่อหวังไม่ให้เกิดสงครามจริงๆ ขึ้นมา

-------------------------

ทำไมเกาหลีเหนือต้องมีอาวุธนิวเคลียร์

เพราะการมีอาวุธนิวเคลียร์ มันมีประโยชน์หลายอย่าง นั่นคือ

1 ทำให้มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาต้องเกรงใจมากขึ้น

2. ทำให้เกาหลีใต้ก็หวั่นเกรงแสนยานุภาพของเกาหลีเหนือมากขึ้น

3. ทำให้ญี่ปุ่นหวั่นเกรงแสนยานุภาพของเกาหลีเหนือมากขึ้น

4. เมื่อมีอาวุธที่ร้ายแรงครอบครอง จะช่วยให้ไม่ต้องรบกัน เพราะต่างฝ่ายต่างเกรงกัน

เหมือนที่สหรัฐอเมริกากับโซเวียตเคยสะสมอาวุธนิวคลียร์จนทำลายโลกทั้งโลกได้หลาย 100 รอบ แต่สุดท้ายทั้งสองประเทศก็ไม่ก่อสงครามกันจริง ๆ เพราะต่างก็เกรงกันอยู่

ซึ่งทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมา สุดท้ายแล้วผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดก็คือสหรัฐอเมริกา

เพราะเมื่อใดที่เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ยิ่งหวั่นเกรงแสนยานุภาพของเกาหลีเหนือมากเท่าไหร่ ทั้ง 2 ประเทศ ก็จะยิ่งซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกามากขึ้นเท่านั้น !!

นี่จึงเป็นคำตอบว่า ทำไมสหรัฐอเมริกามักให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและด้านอาหารแก่เกาหลีเหนือหลายครั้ง

----------------------

คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือคนใหม่ลูกชายคิมจองอิล เพิ่งเข้ารับตำแหน่งสูงสุดไม่นาน ก็ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนเกาหลีเหนือศรัทธาในตัวผู้นำ จึงแกล้งทำเป็นขู่ทั้งเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา

ส่วนสหรัฐอเมริกา ก็คอยรับผลประโยชน์จากการซื้ออาวุธจากเกาหลีใต้ และญี่ปุ่นตามมา

และเมื่อสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีเริ่มลดลง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นและสงบลงมานับครั้งไม่ถ้วน

ความช่วยเหลือจากสหรัฐทั้งทางตรงทางอ้อม และทางลับ ก็จะมีสู่เกาหลีเหนืออีกเหมือนเดิม

สรุปก็คือ เราอย่ามองแค่ว่า เกาหลีเหนือเป็นศัตรูกับสหรัฐด้านเดียว (ก็ยังเป็นศัตรูกันเหมือนเดิม) แต่บางครั้งเขาก็มีผลประโยชน์ร่วมกันในอีกด้านนึงเช่นกัน

ไม่มีอะไรแน่นอนในเรื่องการเมือง บางครั้งมิตรก็เป็นศัตรู บางครั้งศัตรูก็มาเป็นมิตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายนั่นเองครับ


(ที่นักวิเคราะห์สถานการณ์โลกหวั่นเกรงก็คือ การยั่วยุกันไปกันมา อาจทำให้เกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ)




เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นอย่าลืมอ่านตอน 2 ครับ

คลิกอ่าน ผลประโยชน์ร่วมของสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ (2)




วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

หลักการให้เงินเดือนพ่อแม่ของลูกที่ดี ควรทำอย่างไร







ตั้งแต่เด็กจนโตพ่อแม่เลี้ยงดูเรามาอย่างเหนื่อยยาก

จนเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีงานการทำแล้ว มีอาชีพแล้ว มีรายได้แล้ว เราควรให้เงินตอบแทนพระคุณพ่อแม่อย่างไร ?

เมื่อลูกทุกคนเรียนจบและมีงานทำ ได้เงินเดือนแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่า เอ.. แล้วเราจะให้เงินพ่อแม่อย่างไรดีจึงจะเหมาะสม ?

ผมจึงขอแนะนำว่า เงินเดือนที่เราได้ในเดือนแรกนั้น เราควรให้พ่อแม่ทั้งหมด เพื่อความเป็นศิริมงคลในการเริ่มต้นทำงานของเรา และหากเราไม่มีเงินใช้เลยในช่วงเดือนแรก ก็ให้ขอเงินจากพ่อแม่เหมือนตอนเรายังเรียนไม่จบ แต่ถ้าเราพอมีเงินเก็บส่วนตัวอยู่บ้าง ก็ให้เราใช้เงินเก็บส่วนนั้นในเดือนแรกของการทำงานแทน

ต่อมาในเดือนที่ 2 ให้ทำดังนี้คือ

1. หากลูกยังอาศัยบ้านพ่อแม่อยู่เหมือนเดิม หลักการให้เงินแก่พ่อแม่ควรให้ดังนี้ คือ แบ่งเงินเดือนของเราออกเป็น 3 ส่วน คือ 1 ส่วนเพื่อพ่อ 1 ส่วนเพื่อแม่ และ 1 ส่วนเพื่อตัวเราเองใช้สอย

เพราะการอยู่บ้านพ่อแม่ เราไม่ต้องเสียเงินค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ต้องจ่าย

ยิ่งถ้าเรากลับมากินข้าวที่บ้าน ข้าวก็ไม่ต้องซื้ออีก เพราะพ่อแม่จ่ายให้ทุกอย่าง เพราะถ้าพ่อแม่ไม่เดือดร้อนจริง ๆ ก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนมาขอเงินจากลูกให้ช่วยจ่ายค่าโน่นค่านี่ในบ้านหรอก

เข้าทำนอง บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ ปรึกษาหารือไม่ต้องเสียสตางค์ !!

ฉะนั้น เราต้องคิดเองได้ คือให้พ่อแม่ท่านไปเลยโดยไม่ต้องรอให้ท่านขอ เพราะการที่พ่อแม่ต้องมาขอเงินลูกใช้ ถือเป็นความบกพร่องของเรา !!

สรุปว่า เงินเดือนที่เราได้มา ควรให้พ่อและแม่รวมกันอย่างต่ำ 66% ที่เหลือ 33%กว่า ๆ ก็เป็นส่วนของเราไป


2. หากเราได้เงินเดือนขึ้น ไม่ว่าจะกี่เปอร์เซ็นต์ก็ตาม ก็ต้องเพิ่มให้พ่อแม่ด้วย ในอัตราเท่ากันหรือมากกว่าที่เราได้เพิ่ม ไม่ใช่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ให้พ่อแม่เท่าเดิม


3. หากเราได้โบนัสประจำปี เราก็ต้องใช้หลักเกณฑ์เดียวกันคือ แบ่งเงินโบนัสออกเป็น 3 ส่วน 1 ส่วนให้พ่อ 1 ส่วนให้แม่ และ 1 ส่วนเป็นของเรา


4. หากเราย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ไปแล้ว แน่นอนรายจ่ายของเราย่อมเพิ่มขึ้น

หากเราไม่สามารถให้พ่อแม่เท่าเดิมได้ คือการแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วนได้

ก็ให้เราบอกพ่อแม่ว่า จะขอให้เงินเดือนพ่อแม่รวมกัน 60% ของเงินเดือนเราได้ไหม ส่วนตัวเราขอเงิน 40% ของเงินเดือนลูกนะพ่อนะแม่นะ ลูกจะขอเอาไปใช้จ่ายค่าที่อยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ของลูก

แต่ถ้าคิดว่าเงิน 40% ของเงินเดือนแค่นี้ยังไม่พอสำหรับเรา ก็ให้เงินส่วนของพ่อแม่เป็น 50 % แล้วส่วนของเราก็ 50% ของเงินเดือน หากพ่อแม่ไม่ยอม เราก็ห้ามขัดใจ

แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว พ่อแม่มักจะเห็นใจลูก เนื่องจากลูกก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว ค่าใช้จ่ายของลูกย่อมจะเพิ่มขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในบ้านของพ่อแม่ก็คงลดลง เพราะลูกไม่อยู่แล้ว

แต่โบนัสประจำปี เราต้องให้พ่อแม่เหมือนเดิมแบบที่เราเคยให้


5. หากเราแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว และไม่ได้อยู่บ้านพ่อบ้านแม่แล้ว ก็ให้เราแบ่งเงินเดือนออกเป็น ส่วนของพ่อแม่ 40 % ส่วนของเราและครอบครัว 60% แต่ต้องบอกกล่าวพ่อแม่ให้ท่านรับทราบก่อน ว่าท่านจะเห็นด้วยกับเราหรือไม่ ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็จะเข้าใจลูก

แล้วถ้าเรารวย อยากจะให้พ่อแม่มากกว่านี้ก็ย่อมได้


6. หากพ่อแม่เราร่ำรวยมาก ไม่จำเป็นต้องได้เงินจากเราก็ได้ พ่อแม่ก็อยู่ได้อย่างสุขสบายอยู่แล้ว เราก็ควรให้เงินพ่อแม่เหมือนกับคำแนะนำทั้งหมดที่ผมแนะนำเหมือนเดิม

เพราะคนเป็นลูกต้องมีหน้าที่ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ แม้พ่อแม่จะไม่อยากได้เงินจากลูกที่จนกว่าพ่อแม่ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรเสีย ลูกก็ควรให้พ่อแม่ เพราะในใจพ่อแม่ย่อมดีใจและภูมิใจที่มีลูกที่ดี คิดตอบแทนพระคุณของพ่อแม่

ซึ่งสุดท้ายเงินของพ่อแม่ก็ไม่ได้หายไปไหน สุดท้ายในที่สุดเงินทุกบาททุกสตางค์ ทรัพย์สินที่พ่อแม่มีย่อมตกเป็นของลูกในที่สุด

การให้เงินพ่อแม่ ก็เปรียบเสมือนการปลูกพืชพรรณบุญลงในเนื้อนาบุญที่ดีที่สุดของลูก เป็นการออมที่ดีที่สุดของลูก ดอกผลจะงอกเงยเป็นความเจริญก้าวหน้าแก่ตัวลูกเอง

ซึ่งการที่ได้ให้เงินแก่พ่อแม่นั้น แม้พ่อแม่หลายคนอาจจะไม่ได้อยากเงินของลูกก็ตาม แต่ให้เชื่อเถอะ พ่อแม่ดีใจเสมอที่ลูกให้เงินพ่อแม่

ที่ผมแนะนำมาทั้งหมดนั้น หากใครทำได้ก็ดี แต่ถ้าใครยังทำไม่ได้ตามนี้ ก็ต้องพยายามให้มากขึ้น และควรหันไปตอบแทนพระคุณพ่อแม่ในเรื่องอื่น ๆ ให้มากยิ่งขึ้นเป็นการทดแทน

เช่น ถ้าใครยังให้เงินพ่อแม่ไม่ได้ ก็ต้องออกแรงช่วยงานท่านให้มากให้เต็มที่

"หากใครเงินน้อย ก็ให้ออกแรงช่วยพ่อแม่ให้เยอะ งานการในบ้านนอกบ้าน ภารกิจที่พ่อแม่ได้มอบหมาย เราควรแบ่งเบาภาระของท่านให้เต็มที่"


ในประเพณีวันแม่ของจีน ลูกจะล้างเท้าให้แม่

--------------

สุดท้ายผมอยากฝากไว้ว่า เมื่อเราเดือดร้อนครั้งใด ก็มีพ่อแม่ที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายให้เราได้เสมอ

การฝากเงินไว้กับเนื้อนาบุญของเรา ไม่มีคำว่า สูญเปล่าแน่นอน

เพราะถึงแม้พ่อแม่จะใช้เงินที่เราให้หมดไปก็ตาม แต่ที่เหลือเต็มๆ ที่เราจะได้ คือบุญกุศลที่อภิชาติบุตรสมควรได้รับ

ขอให้เชื่อเถอะว่า หากลูกคนไหนคิดและทำตามได้อย่างที่ผมแนะนำ รับรองลูกคนนั้นจะมีแต่ความสุข ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นในทุกด้าน หรือถ้ามีทุกข์ก็จะเป็นคนตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ แน่นอน


เพราะลูกกตัญญู นอกจากมีบุญคุ้มครองแล้ว เทพเทวดาฟ้าดินก็คุ้มครองด้วย เทวดาก็อยากสงเคราะห์คนดี เพราะเทวดาก็อยากได้บุญเหมือนกัน

"ตอนเป็นเด็ก ตรุษจีน เรารับอั่งเปาจากพ่อแม่ แต่เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ มีอาชีพ มีรายได้แล้ว ก็อย่าลืมให้อั่งเปาคืนแก่พ่อแม่ด้วยล่ะ"


ถึงเทศกาลขึ้นปีใหม่สากล เทศกาลตรุษจีน เทศกาลสงกรานต์ ไหว้พ่อไหว้แม่ ให้เงินพ่อแม่น่ะดีที่สุดแล้วให้พ่อแม่อวยพรให้ นี่คือสุดยอดมงคลที่สุดแล้ว

และลูกที่ทำให้พ่อแม่สุขกาย สุขใจ เห็นเจริญรุ่งเรืองทุกคน

"ูลูกที่ยิ่งให้ความสุขแก่พ่อแม่ ลูกคนนั้นยิ่งได้ความสุขและความเจริญเป็นทวีคูณ"

--------------

พอดีมีคุณแม่ท่านนึงได้อ่านบทความนี้แล้ว ก็แสดงความเห็นบนเฟสบุ๊คเอาไว้ ผมเลยขอนำมาประกอบบทความเพิ่มครับ

ตามนี้



คลิกอ่าน หน้าที่พ่อแม่ และหน้าที่ลูก ที่คุณอาจยังไม่เข้าใจ